บทที่ 07

วิปัสสนาญาณ

เมื่อได้ศึกษาบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ

บทที่ ๗ ญาณวิปัสสนา

• ๑. บอกควาหมายของวิปัสสนาญาณได้

• ๒. บอกหลักการและความสำคัญของวิปัสสนาญาณได้ ๓. อธิบายธรรมอันเป็นปัจจัยให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณได้ ๔. จำแนกรายละเอียดของวิปัสสนาญาณ ๑๖ ได้

• ๕. วิเคราะห์สภาวลักษณะของวิปัสสนาญาณได้

ขอบข่ายเนื้อหา

ความหมายของวิปัสสนาญาณ

ความสำคัญของวิปัสสนาญาณ

ธรรมอันเป็นปัจจัยให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณ

วิปัสสนาญาณ ๑๖

วิปัสสนาญาณ ๓ ระดับ

๗.๑ ความนำ

วิปัสสนาญาณ หรือ ญาณ คืออริยญาณ (อริยปัญญา) เป็นปัญญาระดับสูงสุดในพุทธศาสนา เป็น ญาณที่รู้เห็นปรมัตถธรรมตามที่เป็นจริง คือนามและรูปปรมัตถ์ตามความเป็นจริง โดยกระบวนการของญาณ ย่อมเข้าประกอบสนับสนุนกับบทธรรมต่างๆ ทั้งปวงที่เป็นฝ่ายกุศล (กุสลา ธมฺมา) และบทธรรมที่เป็นฝ่ายอัพ ยากฤต (อพฺยากตา ธมฺมา) ยกเว้นบทธรรมฝ่ายอกุศล (อกุสลา ธมฺมา) กล่าวคือกระบวนการของญาณจักไม่เข้า ประกอบสนับสนุนบทธรรมฝ่ายอกุศลทั้งสิ้นโดยเด็ดขาด อีกทั้งองค์ฌานทุกองค์ย่อมมีกระบวนการของญาณ เข้าประกอบสนับสนุนทั้งสิ้น มีการรู้แจ้งซึ่งสภาวธรรมตามความเป็นจริงเป็นลักษณะ มีการกำจัดความหลงทา ให้แจ่มแจ้งเป็นกิจ มีความไม่หลงเป็นผลปรากฏ มีสมาธิเป็นเหตุใกล้ เป็นต้น จึงมีปัญหาที่ต้องศึกษาให้รู้ถึง ความสำคัญของญาณ และกระบวนการของญาณในพุทธศาสนา เพื่อรู้ถึงญาณแท้และญาณเทียม ตลอดถึง หนทางที่ให้เกิดญาณ อันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือเกื้อกูลแก่ความตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค ฯลฯ อัน ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนา

วิปัสสนาญาณจะปรากฏขึ้นได้เมื่อจิตเป็นสมาธิมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องใส ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน (องฺคณ กิเลสเพียงดังเนิน มีราคะเป็นต้น เพราะยังให้จิตลาดต่ำ โน้มเอียงลงไปสู่ที่ต่ำ เช่น ต้องย้อนกลับคืนไปสู่ จตุตถฌานอีก เป็นต้น) ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะควรแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ (คือความรู้และความเห็นที่ตรงตามความเป็นจริง รวมทั้งมัคคญาณ ผล ญาณ สัพพัญญุตญาณ ปัจจเวกขณญาณ วิปัสสนาญาณ) รู้ชัดอย่างนี้ว่า ‘กายของเรานี้คุมกันเป็นรูปร่าง ประกอบขึ้นมาจากมหาภูตรูป ๔ เกิดมาจากบิดามารดา เจริญวัยเพราะข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ต้องอบ ต้องนวดเฟ้น มีอันจะแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา วิญญาณของเราอาศัยและเนื่องอยู่ในกายนี้’ เปรียบเสมือนแก้วไพฑูรย์อันสวยสดงดงามตามธรรมชาติ มีแปดเหลี่ยม ที่ได้เจียระไนดีแล้ว มีความสุกใสเป็น ประกาย ได้สัดส่วน มีด้ายสีเขียว เหลือง แดง ขาว หรือสีนวลร้อยอยู่ข้างใน คนที่ตาถึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นเอา วางไว้ในมือแล้วพิจารณา รู้ว่า ‘แก้วไพฑูรย์อันสวยสดงดงามตามธรรมชาติ มีแปดเหลี่ยม ที่ได้เจียระไนดีแล้ว สุกใสเป็นประกาย ได้สัดส่วน มีด้ายสีเขียว เหลือง แดง ขาว หรือสีนวลร้อยอยู่ข้างใน’ ฉันใด เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อน เหมาะสมแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่ หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว ภิกษุน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ ย่อมรู้ชัดได้อย่างนี้ว่า ‘กายของเรานี้คุมกันเป็นรูปร่าง ประกอบขึ้นมาจากมหาภูตรูป ๔ เกิดมาจากบิดามารดา เจริญวัยเพราะข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ต้องอบ ต้องนวดเฟ้น มีอันจะแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา วิญญาณของเราอาศัยและเนื่องอยู่ในกายนี้’ ฉันนั้น ข้อนี้จัดเป็นผลแห่งความเป็นสมณะอันเห็นประจักษ์แจ้ง ซึ่งดีกว่าและประณีตกว่าผลแห่งความเป็น สมณะอันเห็นประจักษ์ในข้อก่อนๆ”

สรุปความได้ว่า วิปัสสนาญาณ หมายถึงกระบวนการของปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานจนจิตพัฒนาสามารถเข้าไปรู้เห็นความเป็นจริงของรูปนามที่กำลังปรากฏอยู่ ซึ่งเรียกการรู้การเห็นนี้ ว่า ญาณทัสสนะ เป็นปัญญาที่รู้เห็นรูปนามตั้งแต่ขั้นต้น นามรูปปริจเฉทญาณ จนถึงปัจจเวกขณญาณ นั่นเอง

๗.๒ ความหมายของวิปัสสนาญาณ

ญาณ หมายถึง ความรู้ ความปรีชาหยั่งรู้ ความปรีชากำหนดรู้ ความรู้ความเข้าใจอันชัดเจนแจ่ม ชัด ความรู้ความเข้าใจหยั่งแยกได้ในเหตุและผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์เป็นต้น และรู้ที่จะ จัดแจง จัดสรร จัดการ ความรอบรู้ในกองสังขาร มองเห็นตามความเป็นจริงของสภาวธรรมทั้งรูปธรรมและ นามธรรม ญาณในพระพุทธศาสนาที่แท้จริงหมายเอาความหยั่งรู้ทางธรรมเท่านั้น และนับตั้งแต่ปรีชาหยั่งรู้ ในทิฏฐิวิสุทธิ คือสภาวะที่สามารถแยกนามและแยกรูปได้ กล่าวคือนามรูปปริจเฉทญาณ เป็นต้นขึ้นไป อันนับว่าเป็นอริยปัญญา คือสภาวะญาณ ซึ่งสามารถแบ่งญาณได้เป็น ๓ ระดับ ดังนี้

(๑) ญาณระดับต้น

“ญาณระดับต้น เป็นปัญญาทั่วๆ ไป ได้แก่ ปัญญาในการดำเนินชีวิตประจำวัน ปัญญาในการ เข้าสังคม ดำรงตนให้อยู่ในสังคมได้เป็นปกติสุขตามสมควรแก่ฐานะ กล่าวคือปัญญาในการครองตน ตลอดจน ปัญญาในดำเนินกิจการงานอาชีพ หรือในหน้าที่การงานให้เป็นปกติสุขตามสมควรปัญญาในการบริหาร ครอบครัวให้อบอุ่น ปัญญาในการประกอบสัมมาชีพ เป็นต้น”

(๒) ญาณระดับกลาง

“ญาณระดับกลาง ได้แก่ ปัญญาในการศึกษาหาความรู้วิชาการและศาสตร์สาขาต่างๆ ปัญญา ในการศึกษาเล่าเรียนวิชาการวิชาชีพแขนงต่างๆ คือปัญญาในการแสวงหาความรู้วิทยาการให้ทันกับยุคสมัย ต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ปัญญาในการวิจัยค้นคว้าเทคโนโลยีและศาสตร์ชั้นสูงต่างๆ ตลอดจนปัญญาใน การคิดค้นสร้างสรรค์ความเจริญแก่โลก เป็นต้น”

(๓) ญาณระดับสูง

“ญาณระดับสูง เป็นปัญญาในระดับ “ญาณ” คือเป็นอริยปัญญา ญาณในระดับนี้เป็นญาณแท้ เป็นอริยญาณ มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ได้แก่ ปัญญาที่เห็นแจ้งสภาวธรรมนามและรูปตามความที่ เป็นจริงโดยประจักษ์ชัด เริ่มตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณขึ้นไปจนถึงปัจจเวกขณญาน และวิปัสสนาญาณ คือ ความเป็นไปบริสุทธิ์หมดจดแห่งญาณทัสสนะ”

ญาณในระดับที่ ๓ คือญาณในระดับสูงสุดเท่านั้น จึงเป็นญาณที่แท้จริง กล่าวคือเป็นอริยญาณ หรืออริยปัญญา อริยญาณนี้มีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ส่วนที่เหลือข้างต้น ๒ ญาณนั้นสามารถมีได้ทั่วๆ ไป

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ว่า ภิกษุผู้พิจารณาเห็นสังขารโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ด้วย อนุโลมขันติ ๔๐ ประการ ชื่อวิปัสสนาญาณ๑ หมายความว่า โยคีผู้ที่จะปฏิบัติเข้าถึงวิปัสสนาญาณ ต้อง พิจารณาสังขาร คือ รูปนามเป็นไตรลักษณ์ เพราะเพ่งขันติในการพิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา

๑ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๗/๕๙๖ – ๕๙๘.

อรรถกถาสัทธัมมปกาสินีได้อธิบายว่า อนุโลมขันติ มี ๓ อย่างคือ อย่างอ่อน อย่างกลาง อย่างแข็ง ๑) อนุโลมขันติที่มีการพิจารณาเป็นกลาป (กลาปสัมมสนญาณ) เป็นเบื้องต้น มีอุทยัพพยญาณเป็นที่สุด เป็น อนุโลมญาณอย่างอ่อน ๒) อนุโลมขันติที่มีภังคานุปัสสนาเป็นเบื้องต้นมีสังขารุเปกขาญาณเป็นที่สุด เป็นอนุโลม ญาณอย่างกลาง ๓) อนุโลมญาณ (ปรีชาเป็นไปโดยอนุโลมได้แก่การกำหนดรู้อริยสัจ) ชื่อว่าเป็นอนุโลมขันติ อย่างแข็ง๒

พระพรหมคุณาภรณ์ ได้ให้ความหมายวิปัสสนาญาณ คือ ความรู้แจ้ง เห็นแจ้งในธรรมชาติที่แท้จริง (ปรมัตถธรรม) ของกายและใจ (รูปและนาม) ที่มีอยู่ ในลักษณะของความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และการไม่อยู่ใน อำนาจของใคร (วิปัสสนา)ญาณเป็นความรู้ระดับสุดยอดของปัญญามนุษย์ และเป็นผลสำเร็จที่ สำคัญของ มนุษย์ (วิปัสสนา)ญาณไม่ว่าจะเป็นโลกียญาณหรือโลกุตรญาณ ล้วนเป็นส่วนผลักดันให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ในอารยธรรมของมนุษยชาติ” เมื่อความรู้แจ้งเห็นจริงเหล่านี้พอกพูนมากขึ้น ๆ จนทำให้ความรู้สึกนึกคิด ทัศนะที่มีต่อโลกของผู้ปฏิบัติเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดสามารถทำลายกิเลส คือ ความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นต้นเหตุ แห่งทุกข์ทั้งปวง คงเหลือแต่บรมสุขที่ถาวรนั่นแล๓

พระธรรมเมธาภรณ์(ระแบบ ฐิตญาโณ)อธิบายไว้ว่าวิปัสสนาญาณ ได้แก่ญาณที่นับเนื่องในวิปัสสนา หรือที่จัดเป็นวิปัสสนาญาณ คือ ความรู้อันเกิดจากความเห็นอย่างแจ่มแจ้งตามความเป็นจริงของรูปนาม๔

เศวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ ได้อธิบายว่า วิปัสสนาญาณ หมายถึง ปัญญาที่เกิดมาจากการปฏิบัติตาม หลักมหาสติปัฏฐาน เป็นปัญญาที่รู้แจ้งในความจริงของชีวิตตามที่เป็นจริง ซึ่งจะเกิดแก่ผู้ปฏิบัติเป็นขั้น ๆ เรียงลำดับไปอย่างน่าพิศวงปราศจากการข้ามลำดับเหมือน ๆ กัน๕

สรุปได้ว่า วิปัสสนาญาณ คือ ความรู้แจ้ง เห็นแจ้งในธรรมชาติที่แท้จริง (ปรมัตถธรรม) ของกาย และใจ (รูปและนาม) ที่มีอยู่ คือความรู้อันเกิดจากความเห็นอย่างแจ่มแจ้งตามความเป็นจริงของรูปนามโดย ความเป็นพระไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดมาจากการปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐาน

๗.๓ ความสำคัญของวิปัสสนาญาณ

วิปัสสนาญาณเป็นเป้าหมายเบื้องต้นของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพราะเป็นเครื่องยืนยันหรือ เครื่องมือในการตรวจสอบสภาวธรรมปัญญาของผู้ปฏิบัติในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นว่าดำเนินมาถูก ทางหรือผิดทางอย่างไร และทำให้พระวิปัสสนาจารย์ทราบได้ว่าจะดำเนินการช่วยเหลือหรือต่อยอดอย่างไรใน การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของผู้ปฏิบัติ เพื่อให้ดำเนินไปให้ถึงจุดหมายปลายทางคือ มรรค ผล พระนิพพาน

๒ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๙/๗/๒/-/๘๒๙.

๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑,

(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๕๔.

๔ พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบิต าโณ), ธรรมปริทัศน์ ๒, หน้า ๔๑๖.

๕ เศวตร เปี่ยมพงศ์สานต์, พุทธวิปัสสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สหธรรมิก, ๒๕๕๕), หน้า

• ๕๗.

๗.๔ ธรรมอันเป็นปัจจัยให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณ

ธรรมอันเป็นปัจจัยให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณ พระพรหมคุณาภรณ์ อธิบายไว้ว่า วิปัสสนา คือปัญญา ที่เกิดจากการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ ที่รู้แจ้งเห็นจริงโดยประการต่าง ๆ ในสภาวะลักษณะของสภาวธรรมรูป และสภาวธรรมนามที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา การที่เห็นประจักษ์แจ้งเป็นวิสุทธิ คือความหมดจด ความ บริสุทธิ์ ที่สูงขึ้นไปเป็นขั้น ๆ ธรรมที่ชำระสัตว์ให้บริสุทธิ์ ยังไตรสิกขาให้บริบูรณ์เป็นขั้น ๆ ไปโดยลำดับจน บรรลุจุดหมายนิพพาน เริ่มตั้งแต่

ระดับศีล สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล คือ ประพฤติดี เลี้ยงชีวิตที่ถูกต้อง มีศีลบริสุทธิ์ตามภูมิชั้น ของตน อนึ่งในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ หน้าที่ของศีลคือละกิเลสอย่างหยาบที่จะล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา ไม่ให้เกิดขึ้น จำต้องปฏิบัติตามปาริสุทธิศีล ๔ คือ

ปาฏิโมกขสังวรศีล คือความส่ารวมในปาติโมกข์ เว้นจากข้อห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาต รักษาวินัย ประพฤติเคร่งครัดในสิกขาบททั้งหลาย

อินทรียสังวรศีล ความสำรวมอินทรีย์ ระวังไม่ให้อกุศลความชั่วครอบงำจิตใจในเมื่อรับรู้ อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง ๖

อาชีวปาริสุทธิศีล ความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะ เลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบธรรม

ปัจจัยสันนิสิตศีล การเกี่ยวข้องด้วยปัจจัย ๔ การใช้สอยด้วยปัญญาพิจารณาให้เป็นไปตาม ความหมายและประโยชน์ของสิ่งนั้น ๆ ไม่บริโภคด้วยตัณหา

ระดับสมาธิ จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต การฝึกอบรมจิต หรือพัฒนาคุณภาพและสมรรถภาพ ของจิตจนเกิดสมาธิ พอเป็นบาทหรือปทัฏฐานแห่งวิปัสสนา ตั้งแต่ขณิกสมาธิ เป็นต้น

ระดับปัญญา ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ คือความรู้ความเข้าใจมองเห็นรูปนามตามสภาวะ ที่เป็นจริง กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเหตุข้ามพ้นความสงสัย มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณที่รู้เห็นว่าเป็นทางหรือมิใช่ทาง ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณอันรู้ เห็นทางดำเนินโดยสาระแท้ ๆ ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทัศนะ ความรู้ในอริยมรรค ๔ ความ เป็นอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้นโดยวิสุทธิข้อนี้ เป็นอันบรรลุเป้าหมายสูงสุดของวิสุทธิ๖

สรุปได้ว่า วิปัสสนาภาวนา ก็คือ การทำความเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น มีขึ้น ให้เจริญยิ่งขึ้น โดยมีอารมณ์ ของรูปนาม เป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาญาณ และการที่จะเกิดวิปัสสนาญาณได้นั้นผู้ปฏิบัติต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ มั่นคงไม่หวั่นไหว ต้องมีทั้งความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ มีความเพียรพยายามและความอดทนสูง

๖ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓๕, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ผลิธัมม์, ๒๕๕๕), หน้า ๔๗๖ – ๔๗๙.

๗.๕ กระบวนการของวิปัสสนาญาณ ๑๖

กระบวนการของญาณมีการดำเนินไปตามลำดับในญาณ ๑๖ โดยไม่ข้ามลำดับกัน ญาณจักหยั่งรู้ไป ตามลำดับญาณต่ำไปถึงญาณสูง โดยญาณที่เป็นเบื้องต้นกว่า จักเป็นกำลังส่งต่อให้แก่ญาณที่เป็นลำดับสูงกว่า ขึ้นไปตามลำดับๆ ญาณมีทั้งที่เป็นโลกิยญาณ และที่เป็นโลกุตตรญาณ เริ่มตั้งแต่ นามรูปปริจเฉทญาณเป็นต้น และปัจจเวกขณญาณเป็นที่สุด ดังต่อไปนี้ คือ

ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่รู้รูป - นาม ความเห็นเช่นนี้ เรียกว่า ทิฏฐิวิสุทธิ เป็นความเห็นที่บริสุทธิ์หมดจด เป็นวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ เป็นญาณที่รู้รูปนามโดยความเป็นปรมัตถ์ ที่ไม่มีสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา สามารถแยกสมมติบัญญัติออกมาได้ เป็นปัญญาที่หยั่งรู้รูปนามแยกรูปแยกนามออกจาก กันได้ เป็นญาณที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องรูปธรรมนามธรรม ผู้ที่จะปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น หลังจากผ่าน สีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ มาแล้วพึงศึกษาเรื่องรูปนามว่า คืออะไร ตามลำดับไป

(๑) ความหมายของนามรูปปริจเฉทญาณ

อรรถกถามโนรถปูรณี อธิบายว่ารูป คือ สิ่งที่รับรู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งได้แก่ สี เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่าง ๆ ซึ่งมีการแตกดับหรือสลายอยู่เสมอ เป็นลักษณะ รูปสลายไปเพราะหนาวบ้าง ร้อนบ้าง เหตุนั้น ธรรมชาตินั้นเรียกว่ารูป๗

อรรถกถาสัทธัมมปกาสินี อธิบายว่านาม คือ สภาวะที่รับรู้ทางใจ และความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ มีการ น้อมไปสู่อารมณ์เป็นลักษณะ มีหน้าที่ประกอบกับจิตและเจตสิกด้วยกัน มีวิญญาณเป็นเหตุให้เกิด ได้แก่ นาม ขันธ์ ๔ ยังกันและกันให้น้อมไปในอารมณ์๘

รูปนาม คือ ขันธ์ ๕ ทวาร ๖ ดังได้อธิบายมาแล้ว ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะตนที่มีเอกลักษณ์แตกต่าง กันไปเพื่อให้ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดรู้ รูปนามจึงจัดเป็นปรมัตถ์ลักษณะ

ปรมัตถธรรม แปลว่า ธรรมที่มีสภาวะอันประเสริฐ เพราะเป็นที่รวมของบัญญัติธรรม, ไม่ผันแปร, เป็นที่โคจรของสติปัญญา๙ ในขณะปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ย่อมไม่มีสัตว์บัญญัติเป็นอารมณ์

การที่ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้อารมณ์ปรมัตถ์ต่าง ๆ จนสามารถแยกความจริงออกจากสมมติบัญญัตินั้น เป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติวิปัสสนา และเป็นเบื้องต้นของการไม่ยึดติดสมมติบัญญัติ ซึ่งมนุษย์เราถูกสมมติ บัญญัติครอบงำมาตลอด ได้รับความทุกข์มาจากสมมติบัญญัติมิใช่น้อย ตราบที่ยังไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา๑๐

๗ องฺ.เอกก.อ. (ไทย) ๓๒/๑/๑/-/๒๗.

๘ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๒๒๐.

๙ นวองคุลี, วิปัสสนาญาณ, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เม็ดทราย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๕ – ๑๖.

๑๐ นวองคุลี, วิปัสสนาญาณ, หน้าที่ ๑๘.

อุบาสิกาแนบ ได้อุปมารูปนามไว้ว่า อุปมาเหมือนเราทำขนมอะไรกินสักอย่างหนึ่ง เมื่อทำขึ้นแล้ว และก็กินหมดไปแล้ว จะทำใหม่อีกอย่างหนึ่งก็ต้องทำขึ้นมาใหม่ เครื่องปรุงก็คนละส่วนคนละอย่าง ไม่ใช่ว่าจะ เอาขนมอีกอย่างหนึ่งแล้วก็เอาอันนั้นมาทำเป็นอันนี้ ต้องใช้วัตถุคนละอันถึงแม้จะใช่ไข่ด้วยกัน แต่ก็เป็นไข่คน ละลูก ไม่ใช่ลูกเดียวกัน ถึงแม้รูปและนามก็เป็นฉันนั้น หากรูปทั้งหมดจะเกิดจากมหาภูตรูป ๔ ก็จริงอยู่ แต่ใน รูปนั่ง นอน ยืน เดิน นั้น การปรุงของมหาภูตรูปก็ต้องมีสัดส่วนต่าง ๆ ไม่เท่ากัน คือที่ปรุงให้นั่งก็อย่างหนึ่ง ที่ ปรุงให้เดินก็อย่างหนึ่ง เป็นคนละสัดส่วนดังนี้๑๑

เมื่ออุปาทานขันธ์ ๕ มีอยู่ เพียงคำเรียกว่า สัตว์ บุคคล ก็มีขึ้น แต่เมื่อเข้าไปพิจารณาธรรมหนึ่ง ๆ โดยปรมัตถ์แล้ว สัตว์ บุคคลหามีไม่ แต่ทว่า โดยปรมัตถ์ ก็มีเพียง รูป นามเท่านั้น๑๒ บรรดารูปนามนี้ นามไม่มี เดช ไม่สามารถเป็นไปได้ด้วยเดชของตนเอง ไม่ดื่ม ไม่กิน ไม่พูด ไม่ส ำเร็จอิริยาบถถึงแม้รูปก็ไม่มีเดช ไม่สามารถเป็นไปได้ด้วยเดชของตนเอง เพราะรูปนั้นไม่ต้องการที่จะกิน อีกทั้งไม่มีความต้องการที่จะดื่ม ไม่ มี ความต้องการที่จะพูด รูปเป็นไปได้ก็เพราะอาศัยนาม นามก็เป็นไปเพราะอาศัยรูปโดยแท้แล แต่ทว่าเมื่อนามมี ความปรารถนาที่จะกิน ปรารถนาที่จะดื่ม มีความปรารถนาที่จะพูด มีความปรารถนาที่จะสำเร็จอิริยาบถ รูป จึงกิน จึงดื่ม จึงพูด จึงสำเร็จอิริยาบถ

สภาวธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง (สังขตะ) ทั้งหลาย ทุพพลภาพอยู่ในตัวเอง หาเกิดขึ้นด้วยกำลังตนเอง ได้ไม่ อีกทั้งธำรงอยู่ด้วยกาลังของตนเองก็หาได้ไม่ ดำเนินไปด้วยอานาจของสภาวธรรมอย่างอื่น สภาวธรรมที่ เป็นปัจจัยปรุงแต่งเหล่านี้ เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่น ตั้งขึ้นจากอารมณ์อื่น เกิดขึ้นด้วยอารมณ์และปัจจัยและด้วย ธรรมอื่นด้วย๑๓

รูปนามเป็นสิ่งที่ถูกแยกโดยการพิจารณาหยั่งรู้ หาใช่แยกโดยการเอารูปออกจากนาม เอานามออก จากรูป ทั้งไม่พึงแสวงหาลักษณะเฉพาะ (วิเสสลักษณะ)ของจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหา วิญญาณ กายวิญญาณ เพราะย่อมไม่ปรากฏ วิเสสลักษณะของปัญจวิญญาณ ย่ออนุโลมแก่รูปที่มากระทบ นั่นเอง ญาณนี้จึงเป็นปัจจักขญาณ คือรู้โดยประจักษ์ ก็ด้วยสามารถแห่งการระลึกรู้วิเสสลักษณะของนาม ทั้งหลาย เป็นอนุมานญาณ (รู้โดยคิดคานึง) ก็ด้วยสามารถแห่งการอนุมานเอาว่า รูปกับนามไม่ใช่สิ่งเดียวกัน๑๔

พระภัททันตะ อาสภเถระ ได้อธิบายแนวทางปฏิบัติว่าขณะผู้ปฏิบัติกาลังส่งอารมณ์ต่อพระอาจารย์ โดยบอกว่าขณะกำลังกำหนดพอง-ยุบอยู่นั้นได้เห็นอาการพอง-ยุบแบ่งออกเป็น ๒ ตอน คือ ตอนหนึ่งพอง และ ตอนหนึ่งยุบ อย่างนี้พึงทราบว่า ผู้ปฏิบัติสามารถหยั่งรู้รูปได้และเข้าถึง รูปปริจเฉทญาณ แล้วเมื่อกำหนดไป ๆ พออาการพอง-ยุบเกิดขึ้น ใจก็รู้อาการพอง-ยุบ พึงทราบว่าบัดนี้ผู้ปฏิบัติหยั่งรู้และเข้าถึง นามปริจเฉทญาณ

๑๑ อุบาสิกาแนบ มหานีรานนท์, แนะแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร: ห.จ.ก. ทิพย์วิสุทธิ์, ๒๕๕๗), หน้า ๖๖.

๑๒ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๙๘๗.

๑๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙๙๓.

๑๔ นวองคุลี, วิปัสสนาญาณ, หน้าที่ ๒๖.

อาการพอง-ยุบ และ ใจที่หยั่งรู้อาการพอง-ยุบนั้นแยกกัน คือ พอง-ยุบก็อย่างหนึ่ง ใจที่รู้พอง-ยุบก็อย่างหนึ่ง แต่ถ้าทั้งสองอย่างนี้เกิดพร้อมกัน นี้พึงทราบว่า ผู้ปฏิบัติมีปรีชาญาณกำหนดรู้ได้ทั้งรูปและนาม๑๕

พระชนกาภิวงศ์ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ ได้อธิบายแนวทางปฏิบัติไว้ว่าการกำหนดอิริยาบถย่อย ก็มีนัยเดียวกัน ขณะที่ผู้ปฏิบัติมีสติตามกำหนดรู้อาการที่มือหรือเท้าเหยียดออก หรือคู้เข้า อาการที่กายหย่อน ลง ๆ ที่จะนั่ง หรือ อาการพยุงกายลุกขึ้น ๆ ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านั้นเกิดจากอาการย่อย ๆ หลาย ๆ อาการมา ประกอบรวมกัน หากผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดดูตามรู้อาการที่เกิดขึ้นนั้นอย่างจดจ่อและเท่าทันปัจจุบันก็จะรู้แจ้ง ชัดว่าเป็นเพียงอาการเหยียดออก คู้เข้าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เท่านั้น แม้จิตที่กาลังกำหนดรู้นั้นก็เป็นเพียง สภาวธรรมทางจิตอย่างหนึ่ง จากการประจักษ์แจ้งนี้เอง ได้ชื่อว่าผู้ปฏิบัติสามารถจำแนกสภาวธรรมทางกายคือ อาการเคลื่อนไหวและสภาวธรรมทางจิตคือ การรู้อาการเคลื่อนไหวออกจากกัน จึงเรียกญาณนี้ว่า นามรูป ปริจเฉทญาณ

การรับรู้อาการพอง อาการยุบ ตลอดจนความอ่อน ความแข็งของกายโดยปราศจากรูปพรรณ สัณฐานของกาย คือ การเข้าไปรู้แจ้งถึงลักษณะของธาตุ การรู้แจ้งนี้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า อาการพอง อาการยุบ หรือความอ่อน ความแข็งนั้น แท้ที่จริงไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาอยู่เลย มีเพียง อาการเท่านั้น จึงนับได้ว่าผู้ปฏิบัติได้ทาลายอัตตานุทิฏฐิ

(ความเห็นว่ามีบุคคล มีตัวตนหรือมีวิญญาณ) ได้แล้ว มีเพียงสภาวธรรมตามธรรมชาติเท่านั้นเอง ผู้ปฏิบัตินี้จึงได้ชื่อว่าบรรลุถึงทิฏฐิวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์แห่งความเห็น)๑๖

สรุปได้ว่า นามรูปปริจเฉทญาณนี้ หมายถึงความรู้ความเข้าใจในรูปและนาม คือแยกออกด้วยความ เข้าใจว่าสิ่งใดเป็นรูปธรรม อันสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง ๕ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งใดเป็นนามธรรม อันเพียงสัมผัสได้ด้วยใจอย่างถูกต้อง เหล่านี้เป็นความเข้าใจขั้นพื้นฐานในการพิจารณาธรรมให้เข้าใจยิ่ง ๆ ขึ้น ไป เป็นการเห็นด้วยปัญญาว่า สักแต่ว่า นาม กับ รูป ไม่มีตัวตนแท้จริง เรียกง่าย ๆ ว่าเห็น นาม รูป

(๒) ลักษณะนามรูปปริจเฉทญาณ

นามรูปปริจเฉทญาณ หมายความว่า วิถีแห่งญาณที่เห็นนามรูปโดยถ่องแท้ กล่าวคือ กำหนดแยก นามแยกรูปตามสภาวะที่เป็นจริงได้ สภาวะที่เป็นจริงก็คือสภาวปรมัตถ์ อันล่วงพ้นจากบัญญัติทั้งปวง ญาณที่ พิจารณาหยั่งรู้เห็นลักษณะเฉพาะของสภาวธรรมทางรูปกาย และกำหนดหยั่งรู้เห็นลักษณะเฉพาะของ สภาวธรรมทางใจ ซึ่งเป็นนามธรรม จนแยกนามและรูปออกจากกันได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงของ สภาวธรรมทั้งสองนั้นว่าส่วนนี้เป็นรูป ส่วนนี้เป็นนาม กล่าวคือมีความเห็นอันหมดจดบริสุทธิ์ ว่ารูปธรรมมี

๑๕ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ วิทยาลัย, ๒๕๓๒), หน้า ๘๔.

๑๖ พระชนกาภิวงศ์ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, เชมเย สยาดอ, (มณฑาทิพย์ คุณวัฒนา แปล), วิปัสสนาญาณ

ก้าวหน้าอย่างไร, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์บุญศิริการพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๑๕-๑๙.

สภาพที่จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงต้องชำรุดทรุดโทรมเสื่อม สลายไปเป็นธรรมดา มีสภาพที่ต้องแปรปรวนไป เสมอ กล่าวคือมีสภาพที่ต้องย่อยยับไป ไม่คงที่ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และรูปกายไม่สามารถรู้อารมณ์ เป็นอพยากฤต ส่วนนามธรรมมีสภาพน้อมไปสู่อารมณ์ได้ หรือน้อมอารมณ์มาสู่ตนได้ กล่าวคือรู้อารมณ์ได้ นั่นเอง โดยมีรูปธรรมเป็นตัวยืนให้นามธรรมรู้อารมณ์ ว่านามรูปพ้นจากความเป็นตัวตน พ้นจากความเป็นสัตว์ พ้นจากความเป็นบุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นไปตามเหตุปัจจัยแห่งขณะนั้นๆ ให้เป็นไป เมื่อสิ้น เหตุปัจจัยก็สลาย

ความเห็นดังกล่าวนี้จึงเป็นความเห็นที่บริสุทธิ์ขึ้นแล้ว จึงได้ชื่อว่า ทิฏฐิวิสุทธิ ทิฏฐิคือความเห็นที่ บริสุทธิ์ ความเห็นที่ถูกต้องตรงตามสภาวะที่เป็นจริง และที่ได้ชื่อว่า นามรูปปริจเฉทญาณ หมายความว่า เป็น ญาณที่กำหนดรู้เห็นนามและรูปว่าเป็นคนละสิ่งละส่วนกัน คือเป็นคนละสิ่ง ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ไม่ระคนหรือปน กัน เพียงแต่อาศัยกันและกันเป็นไปเท่านั้นเอง ความเห็นว่าเป็นตัวตน เรา เขา สัตว์ บุคคล เป็นต้น จึงหายไป หมดสิ้น สรรพสิ่งทั้งหมดเหลือเพียงสอง คือ มีแต่นามและรูปเท่านั้น นอกนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ประกอบหรือมา ประชุมกันชั่วขณะ ไม่ยั่งยืนจีรังใดๆ เลย

ญาณจะเจริญและบริสุทธิ์ได้ จึงต้องอาศัยนามและรูปอันมีในปัญจโวการภูมิเท่านั้น พระสัมมาสัม พุทธเจ้าทุกพระองค์จึงทรงมาตรัสรู้ในปัญจโวการภูมิ อาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตรจึงสูญ สิ้นโอกาสบรรลุธรรมได้ เพราะในอรูปภูมิขาดรูปธรรมเสียแล้ว จึงได้ตรัสว่า ดาบสทั้งสองวิบัติเสียแล้ว ได้ กำเนิดวิบัติเสียแล้ว ส่วนในอสัญญสัตตภูมิก็ขาดนามธรรมเสีย สัตว์เกิดในภูมิเหล่านี้ คือ จตุโวการภูมิและเอก โวการภูมิ จึงเป็นอภัพพสัตว์ เพราะไม่เกื้อกูลแก่โสดาปัตติมัคคญาณ นามและรูปจึงเป็นอุปกรณ์คือเป็นอารมณ์ ให้แก่การกำหนดพิจารณาเพื่อให้เกิดญาณทัสสนะ ดังนี้

• - สีเป็นรูปมากระทบกับจักขุประสาทอันเป็นรูปใสที่รับสีได้ แต่จิตเป็นผู้รับรู้ คือ เห็นสี นามและ รูปจึงเป็นคนละส่วนกันอย่างชัดเจนแน่นอน

• - เสียงเป็นรูปมากระทบกับโสตประสาทอันเป็นรูปใสที่รับเสียงได้ แต่จิตเป็นผู้รับรู้ คือ รู้ เสียง นามและรูปจึงเป็นคนละส่วนกันอย่างชัดเจนแน่นอน

• - กลิ่นเป็นรูปมากระทบกับฆานประสาทอันเป็นรูปใสที่รับกลิ่นได้ แต่จิตเป็นผู้รับรู้ คือ รู้ กลิ่น นามและรูปจึงเป็นคนละส่วนกันอย่างชัดเจนแน่นอน

• - รสเป็นรูปมากระทบกับชิวหาประสาทอันเป็นรูปใสที่รับรสได้ แต่จิตเป็นผู้รับรู้ คือ รู้รส นาม และรูปจึงเป็นคนละส่วนกันอย่างชัดเจนแน่นอน

• - ความเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง หย่อน-ตึง เป็นรูปมากระทบกับสัมผัสทางกายประสาทอัน เป็นรูปใส ที่รับสัมผัสความเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง หย่อน-ตึงได้ แต่จิตเป็นผู้รับรู้ คือ รู้สัมผัสเหล่านั้น นาม และรูปจึงเป็นคน ละส่วนกันอย่างชัดเจนแน่นอน

• - หทัยวัตถุเป็นรูปเป็นที่อาศัยแก่จิต จิตเป็นผู้นึกคิดและรับรู้อารมณ์ทางใจได้ นามและ ปจึงเป็น คนละส่วนกันอย่างชัดเจนแน่นอน

ในสติปัฏฐาน ๔ นั้น เมื่อพิจารณากำหนดตามแนวสติปัฏฐาน ๔ จึงได้สภาวะดังนี้

• - สภาวะยืนในขณะยืนเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการยืนเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะเดินในขณะเดินเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการเดิน (ย่าง) เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะนั่งในขณะนั่งเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการนั่งเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกันอย่าง

• - สภาวะนอนในขณะนอนเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการนอนเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะเหยียดในขณะเหยียดเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการเหยียดเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะคู้ในขณะคู้เป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการคู้เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะเหลียวในขณะเหลียวเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการเหลียวเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะกลับในขณะกลับเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการกลับเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะกินในขณะกินเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการกินเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะดื่มในขณะดื่มเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการดื่มเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะทำในขณะทำเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการทำเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะพูดในขณะพูดเป็นรูป จิตที่กำหนดรู้อาการพูดเป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากยืน (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะยืน เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยากยืน (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากเดิน (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะเดิน เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยาก เดิน (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากนั่ง (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะนั่ง เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยากนั่ง (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากนอน (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะนอน เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยาก นอน (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากเหลียว (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะเหลียว เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่ อยากเหลียว (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากคู้ (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะคู้ เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยากคู้ (จิตที่ มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากเหยียด (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะเหยียด เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่ อยากเหยียด (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากกิน (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะกิน เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยากกิน (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากเคี้ยว (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะเคี้ยว เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยาก เคี้ยว (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากดื่ม (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะดื่ม เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยากดื่ม (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากพูด (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะพูด เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยากพูด (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

• - สภาวะอยากทำ (จิตที่อยาก) เป็นนาม สภาวะในขณะทำ เป็นรูป สติที่กำหนดรู้จิตที่อยากทำ (จิตที่มีสติสัมปชัญญะ) ก็เป็นนาม จึงเป็นคนละส่วนกัน

ดังนั้น นามย่อมดำเนินไปได้โดยอาศัยรูป รูปก็ย่อมดำเนินไปได้โดยอาศัยนาม นามดำเนินไปโดย อาศัยนามก็ได้ และรูปก็ดำเนินไปโดยอาศัยรูปก็ได้ จึงเป็นสภาวะที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น นามและรูปจึงเป็น ปัจจัยสำคัญยิ่งแก่ญาณ นามรูปจึงสำคัญต่อญาณทัสสนะ ขั้นนี้จึงได้ชื่อว่า นามรูปปริจเฉทญาณ

ญาณที่ ๒ ปัจจยปริคคหญาณ ปัญญารู้เหตุปัจจัยของรูป - นาม เพราะรูปและนามต่างอาศัย กันและกันเกิดเป็นเหตุเป็นผลแก่กันและกัน ไม่มีใครสร้างขึ้นมาเพราะได้รู้เห็นปัจจัยของรูปนาม เรียกว่า กังขา วิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งความสิ้นสงสัย อรรถกถาจารย์กล่าวว่าเป็นจูฬโสดาบัน

ปัจจยปริคคหญาณ หมายถึง ปัญญาที่หยั่งรู้เหตุรู้ผลของรูปนาม กล่าวคือปัจจัยการเกิดขึ้นของรูป นาม ทั้งยังตัดความสงสัยที่มีมาทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน เมื่อว่าโดยการปฏิบัติแล้ว มีหลายนัยที่จะปฏิบัติ

คัมภีร์วิสุทธิมรรค อธิบายว่า

ผู้ปฏิบัติที่ปรารถนาจะบรรลุกังขาวิตรณวิสุทธิ ต้องค้นหาเหตุและปัจจัยของนามและรูป คือ เมื่อผู้ ปฏิบัติบรรลุถึงนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว มีความเพียรปฏิบัติต่อไป ก็การกำหนดรู้เหตุปัจจัยของรูปกายนี้ก่อน อย่างนี้ว่า “กายนี้เมื่อเกิดขึ้นมา มิได้เกิดขึ้นภายในดอกบัวอันมีกลิ่นหอม หากแต่เกิดขึ้นในระหว่างกระเพาะ อาหารใหม่และกระเพาะอาหารเก่าเอาพื้นท้องไว้ข้างหลัง เอากระดูกสันหลังไว้ข้างหน้า แวดวงไว้ด้วยไส้ใหญ่ และไส้น้อย แม้ตัวเองก็ปฏิกูลด้วยของน่าเกลียดมีกลิ่นเหม็น อยู่ในที่คับแคบมาก ซึ่งปฏิกูลด้วยของน่าเกลียดมี กลิ่นเหม็น ดุจตัวหนอนที่เกิดขึ้นในปลาเน่า เป็นต้น รูปซึ่งเกิดขึ้นอย่างนี้นั้น มีธรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัย ๕ อย่าง ได้แก่ ธรรม ๔ อย่างคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม เหล่านี้เป็นเหตุ เพราะเป็นผู้ให้เกิดขึ้นและอาหารเป็น ปัจจัย เพราะเป็นผู้อุปถัมภ์ แม้ในธรรมเหล่านั้น ๓ อย่าง มีอวิชชาเป็นต้น เป็นที่เข้าอยู่อาศัยของกายนี้ เปรียบ เหมือนมารดาเป็นที่เข้าอยู่อาศัยของทารก กรรมเป็นผู้ให้เกิด เปรียบเหมือนบิดาเป็นผู้ทาให้บุตรเกิด อาหาร

เป็นผู้ค้ำจุน (กายนี้) ให้ธำรงอยู่ เปรียบเหมือนพี่เลี้ยงคอยอุ้มชูทารก ครั้นกำหนดรู้ปัจจัยของรูปกายนี้แล้ว จึง กำหนดรู้ปัจจัยของนามกายต่อไป๑๗ เพราะอาศัยจักขุและรูป จักขุวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงเกิด เพราะตัณหา เป็นปัจจัย อุปาทานจึงเกิด เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงเกิด เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงเกิด เพราะชาติ เป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงเกิด๑๘ หมายความว่า ผู้ปฏิบัติได้อาศัย ความรู้จากทิฏฐิวิสุทธิ เห็นว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หาได้เป็นตัวตนไม่ แท้ที่จริง รูป และนามนี้มีอาการเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา แม้ในอดีตก็ได้เกิดดับแล้ว ปัจจุบันก็กำลังเกิดขึ้นอยู่และใน อนาคตก็จะเกิด- ดับต่อไปแน่นอน เมื่อรู้ว่ารูปและนามมีความเป็นอยู่อย่างนี้ ความสงสัย ๑๖ อย่างก็จะ อันตรธานไป

พระโสภณมหาเถระ อธิบายถึงความสงสัย ๑๖ อย่าง ว่า

ความสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต ๕ ประการ

(๑) ข้าพเจ้าเคยเกิดมาแล้วในอดีตภพหรือไม่หนอ ? (๒) ข้าพเจ้าไม่เคยเกิดมาในอดีตภพหรือไม่หนอ ? (๓) ในอดีตข้าพเจ้าเคยเป็นอะไรหนอ ?

(๔) ในอดีตข้าพเจ้าเคยมีรูปร่างสัณฐานเช่นไรหนอ ?

(๕) ในอดีตภพทั้งหลายที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเคยเกิดเป็นอะไร แล้วต่อจากภพนั้น ๆ เกิดเป็น

อะไรอีก ?

ความสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต ๕ ประการ (๖) ข้าพเจ้าตายจากภพนี้แล้วจะได้เกิดไหมหนอ ?

(๗) หลังจากที่ข้าพเจ้าตายจากภพนี้แล้ว ตัวข้าพเจ้าจะดับสูญไหมหนอ ?

(๘) หลังจากตายแล้ว ในอนาคต ข้าพเจ้าจะเกิดเป็นอะไรหนอ?

(๙) หลังจากตายแล้ว ในอนาคต ข้าพเจ้าจะเกิดมามีรูปร่างเป็นอย่างไรหนอ ?

(๑๐)ในอนาคตต่อ ๆ ไป หลาย ๆ ภพ ข้าพเจ้าจะเป็นอะไร และต่อไปจะเป็นอะไรอีก แล้ว

ต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไรอีกหนอ ?

ความสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ๖ ประการ

(๑๑) ในร่างกายนี้ที่ว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขานั้นจริงหรือไม่หนอ ? (๑๒) ในร่างกายนี้ที่ว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขานั้น จริงหรือไม่หนอ ? (๑๓) ตัวเราเป็นอะไรอยู่หนอ เป็นกษัตริย์ หรือเป็นเศรษฐี ฯลฯ ?

(๑๔) ตัวข้าพเจ้ากำลังมีทรวดทรงสัณฐานเช่นไรหนอ ใหญ่หรือเล็ก กลมหรือแบน ?

๑๗ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๙๙๕ – ๙๙๖.

๑๘ ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๓/๘๙.

(๑๕) ตัวข้าพเจ้านี้จุติมาจากภพหรือสถานที่ใดหนอ ?

(๑๖) ตัวข้าพเจ้านี้ เมื่อตายไปจากภพนี้ จะไปเกิดในภพภูมิไหนหนอ ?๑๙

การข้ามพ้นความสงสัยนี้ หมายความว่า ผู้ปฏิบัติเชื่อความเกิดดับของรูปของนามในชาติ ก่อนๆ ในอดีตแน่แล้ว เกิดหรือไม่เกิดนั้นไม่สงสัยแล้ว เพราะมีความสามารถเข้าใจทั้งเหตุและผลของรูปของ นาม เมื่อมีความเข้าชัดเช่นนี้จึงเป็นเหตุให้ตัดความสงสัยเรื่องชาตินี้ชาติหน้าออกไปจากจิตใจได้ ฉะนั้น ผู้ปรารถนาที่จะรู้ว่าชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่ ในอดีตตนเคยเกิด เคยตายมาจริงหรือไม่ ก็ต้องมาเจริญวิปัสสนา กรรมฐานจนบรรลุปัจจยปริคคหญาณ จึงจะขจัดความสงสัยเหล่านี้ได้หมดสิ้น ญาณข้ามพ้นความสงสัยในกาล ทั้ง ๓ (อดีต อนาคต ปัจจุบัน) ด้วยการกำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูปโดยนัยต่าง ๆ เป็นกังขาวิตรณวิสุทธิ คำว่า ธัมมฐิติญาณ๒๐ ญาณกำหนดรู้ความตั้งอยู่ด้วยธรรมเป็นปัจจัยก็ดี, คำว่า ยถาภูตญาณ ญาณกำหนดรู้ตาม เป็นจริงก็ดี, คาว่า สัมมาทัสสนะก็ดี, เป็นไวพจน์ของคำว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ๒๑

การกำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูปทางกัมมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์ และละความสงสัยใน ๓ กาล ก็ เป็นอันได้รู้ธรรมที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน สิ้นทั้งปวงแล้ว โดยทางจุติและปฏิสนธิความรู้เช่นนั้น เป็น ญาตปริญญา คือ การกำหนดรู้สิ่งที่ปรากฏอยู่แล้ว๒๒ เพราะปัจจัยมีมากอย่าง จึงชื่อว่า ปัจจยปริคคเห แปลว่า ปัญญาเป็นเครื่องกำหนดปัจจัยทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติ อาจพิจารณาเห็นเหตุปัจจัยอันเป็นบ่อเกิดของรูปนามต่าง ๆ กันไปตามอัธยาศัย คือ

• - บางจำพวกพิจารณาเห็นว่า รูปเป็นปัจจัยแก่นาม นามเป็นปัจจัยแก่รูป ต่างเป็นปัจจัยแก่กัน

และกัน

• - บางจำพวกพิจารณาเห็นว่า รูป นาม ทั้งหลายเหล่านี้มีอวิชชา ตัณหา อุปาทานกรรม และ

อาหารเป็นปัจจัย

• - บางจำพวกพิจารณาเห็นว่า รูป นาม เหล่านี้มีขบวนการปฏิจจสมุปบาทเป็นเหตุปัจจัย

• - บางจำพวกพิจารณาเห็นว่า รูป นาม เหล่านี้มีกรรมเป็นเหตุปัจจัย

• - บางจำพวกพิจารณาโดยความเป็นสาธารณปัจจัยกับอสาธารณปัจจัย ผลย่อมปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติ คือ ขณะที่ผู้ปฏิบัตินั่งมีสติกำหนดอยู่กับอาการพอง-ยุบนั้นพอง และ

ยุบหายไป ทำให้ผู้ปฏิบัติกำหนดไม่ได้ จึงเกิดความกลุ้มใจ เบื่อหน่าย ท้อถอย เพราะไม่รู้จะกำหนดอะไร นั้น แสดงว่า บัดนี้ผู้ปฏิบัติกำหนดปัจจัยได้แล้ว กล่าวคือรู้เหตุและผลของรูปนาม หมายความว่า เมื่อพอง-ยุบไม่มี

๑๙ พระโสภณมหาเถร อัครมหาบัณฑิต (มหาสีสยาดอ), (จำรูญ ธรรมดา แปล), หลักการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน, (กรุงเทพมหานคร: ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๖๒ -๖๔.

๒๐ ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๕/๗๐, ๒๒๗/๓๘๓.

๒๑ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๑๐๐๗.

๒๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐๐๕.

ทำให้ใจกำหนดไม่ได้จนเกิดความเบื่อหน่าย พอง-ยุบ (รูป) และเป็นเหตุทำให้เป็นผลไปถึงใจ (นาม) อย่างนี้ เรียกว่า (รูป) พอง-ยุบไม่มี เป็นเหตุ (นาม) ใจที่กำหนดไม่ได้เป็นผล

เมื่อผู้ปฏิบัติทราบชัดว่า เวลาจะคู้ จะเหยียด จะก้ม จะเงย จะยืน เดิน นั่ง นอน หรือจะทำอะไรก็ ตาม ใจจะเป็นผู้สั่งก่อน แล้วจึงทำกิริยาอาการนั้น ๆ ตามที่ใจสั่ง อย่างนี้แสดงว่าผู้ปฏิบัติเห็นนามเป็นเหตุ เห็น รูปเป็นผล กล่าวคือ นาม (ใจที่สั่ง) เป็นเหตุ รูป (กิริยาอาการต่าง ๆ ที่ทำตามสั่งการของใจ) เป็นผล พึงทราบว่า ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงปัจจยปริคคหญาณ

(๒) ลักษณะปัจจยปริคคหญาณ

• ๑. บางครั้ง รูปเป็นเหตุ นามเป็นผล เช่น ท้องพองขึ้นก่อนแล้ว จิต จึงวิ่งไปกำหนดทีหลัง ๒. บางครั้งนามเป็นเหตุ รูปเป็นผล เช่นจิตวิ่งไปอยู่ก่อนแล้วท้องจึงพองขึ้นทีหลัง

• ๓. อยากยืนเป็นเหตุ รูปที่ยืนเป็นผล อยากนั่งเป็นเหตุ รูปที่นั่งเป็นผล ๔. พองค้างอยู่ลงไปไม่สุดก็มี

• ๕. ยุบลงไปลึกๆ แล้วค้างอยู่ก็มี

• ๖. พอง ยุบ หายไปเอามือไปคลำดูก็มี

• ๗. เวทนามีมากบาง น้อยบ้าง ตัวเองเข้าใจว่า เคราะห์ร้ายก็มี ๘. มีนิมิตรบกวนมากเช่น รูปสัตว์ ป่า ภูเขา เป็นต้น

• ๙. พอง ยุบ กับจิตที่กำหนดไปพร้อมๆกัน

• ๑๐. บางทีสดุ้งฟุบไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง

• ๑๑. มีความเห็นว่า ภพนี้ ภพหน้า ภพต่อๆไป ก็มีเพียง เหตุ ผล มีเพียงรูปนาม เท่านี้ ๑๒. พองครั้งหนึ่งมี ๒ ระยะ คือต้นพอง กับสุดพอง

พระโสภณมหาเถระ ได้กล่าวลักษณะของปัจจยปริคคหญาณนี้ว่า อาการพอง-ยุบเกิดขึ้นก่อน ใจจะ ตามรู้ทีหลัง ส่วนญาณที่ ๑ อาการพอง-ยุบ และใจที่รู้อาการจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ผู้ปฏิบัติจะสามารถรู้และเข้าใจ ได้ว่า รูป และนามทั้งสองนั้นต่างก็เป็นเหตุเป็นผลแก่กันและกัน คือ รูปเป็นเหตุนามเป็นผล หรือนามเป็นเหตุ รูปเป็นผล หาใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาไม่ ย่อมข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ เรียกว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ๒๓

พระพรหมโมลี ได้แสดงถึงอานิสงส์ว่า วิปัสสนาญาณนี้ก็มีอานิสงส์มาก คือผู้ปฏิบัติผู้อุตสาหะ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุถึงวิปัสสนาญาณนี้แล้ว ย่อมได้ความเบาใจ ได้ที่พึ่งในพระบวรพุทธศาสนา ได้ ชื่อว่า ‘จูฬโสดาบัน’ มีคติเที่ยงแท้ หรือหากว่าพระวิปัสสนาญาณนี้ไม่เสื่อม ในชาติต่อไป (ชาติที่ ๒ คือชาติหน้า

๒๓ พระโสภณมหาเถร อัครมหาบัณฑิต (มหาสีสยาดอ), หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน, หน้า ๖๐ -๖๑.

ซึ่งต่อจากชาตินี้) ก็จะได้ไปสู่สุคติภูมิมีเทวโลกเป็นต้น ปิดอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นิรยภูมิ ๑ เปตติวิสัยภูมิ ๑ อสุรกายภูมิ ๑ ติรัจฉานภูมิ ๑ ปิดจตุรบายเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน แต่ว่าในชาติต่อไป (ชาติที่ ๓) นั้น ไม่แน่นอน คืออาจไปเกิดในอบายภูมิได้ แน่นอนแต่เพียงชาติที่ ๒ ซึ่งต่อจากชาตินี้เท่านั้น ถ้าต้องการปิดอบายภูมิให้ได้ แน่นอนต้องบาเพ็ญวิปัสสนาภาวนาต่อไป จนกระทั่งบรรลุถึงมรรคผล๒๔

ปัจจยปริคคหญาณ ญาณที่เข้าใจในเหตุปัจจัย คือรู้เข้าใจว่านามและรูปว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย พระอรรถกถาจารย์ในภายหลัง ๆ เรียกว่าเป็น "จูฬโสดาบัน" คือพระโสดาบันน้อย ที่ถือว่าเป็นผู้มีคติหรือ ความก้าวหน้าอย่างแน่นอนในพระศาสนา เห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายสักแต่ว่าเกิดแต่เหตุปัจจัย เห็นความ เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้น

ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ สัมมสนญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม อันเป็น จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ทางของวิปัสสนาญาณ นั่นคือ เมื่อพิจารณารู้ว่าเบญจขันธ์นี้มีปัจจัยเป็นเหตุผลของรูป นาม ต่อจากนั้นจึงเข้าสู่การพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ เป็นปัญญารู้รูปนามโดยลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ ตัวตน การกำหนดพองยุบ รู้ชัดระยะกลางเป็นนามรูปริจเฉทญาณ รู้ชัดระยะแรกกับระยะกลาง เป็นปัจจย ปริคคหญาณ รู้ชัดระยะแรก ระยะกลาง ระยะสุดท้ายเป็นสัมมสนญาณ นิมิตค่อยๆ เกิดค่อยๆ หายเห็นชัดทั้ง ๓ ระยะ ทุกขเวทนามากกำหนดจนหายไป รูปนามชัดเจน เป็นวิปัสสนาญาณที่ ๑ ในวิ ปัสสนาญาณ ๑๐ (สัมมสนญาณ) ดังปรากฏข้อความว่า

อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนาน ธมฺมาน สงฺขิปิตฺวา ววตฺถาเน ปญฺ สมฺมสเน าณํ

“ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันแล้วกำหนดไว้”๒๕ คัมภีร์สัทธัมมปกาสินี อธิบายไว้ว่า

ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลาย ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันกำหนดได้ คือ ขันธ์ ๕ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตปัจจุบันเหล่านั้น เข้าไว้ในลักษณะขันธ์หนึ่งๆ แล้วทำให้เป็นกองโดยเป็นกลาปะ แล้วกำหนด วินิจฉัย ตัดสิน กลาปสัมมสนญาณ คือญาณในการพิจารณาเบญจขันธ์โดยความเป็นกลาป

กลาปสัมมสนญาณนี้ ย่อมเกิดแก่โยคีบุคคลผู้ได้ธรรมฐิติญาณ เป็นเครื่องกำหนดปัจจัยของนาม รูป ในลำดับแห่งนามรูปววัตถานญาณ ผู้ยกแต่ละขันธ์ ๆ ที่กำหนดไว้แล้วในกาลก่อนขึ้นสู่ไตรลักษณ์ แล้วเห็นแจ้งอยู่ โดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาตามที่กล่าวแล้ว โดยนัยเป็นต้นว่า รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันเป็นภายในก็ตาม ภายนอก ก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลก็ตาม ในที่ใกล้ก็ตาม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง กำหนดโดยความเป็นทุกข์ กำหนดโดยความเป็นอนัตตา การกำหนดนี้ก็เป็นสัมมสน-

๒๔ พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์ดอกหญ้า ๒๕๔๕, หน้า ๑๑๗.

๒๕ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๔๘/๕๔., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๘/๗๔.

ญาณ๒๖

ปริญญา คือการกำหนดรู้ มี ๓ ประการ กล่าวคือ นามรูปปริจเฉทญาณ และปัจจยปริคหญาณ เป็น

ภูมิของญาตปริญญา เพราะในระหว่างนี้ความเป็นใหญ่มีอยู่แก่การแทงตลอดเฉพาะของตัวธรรมทั้งหลายฝ่าย เดียวตั้งแต่กลาปสัมมสนญาณจนถึงอุทยัพพยญาณ เป็นภูมิของตีรณปริญญา เพราะในระหว่างนี้ความเป็นใหญ่ มีอยู่แก่การแทงตลอดสามัญลักษณะโดยเฉพาะตั้งแต่ภังคานุปัสสนาญาณ จนถึงญาณในเบื้องสูง เป็นภูมิของ ปหานปริญญา เพราะว่าตั้งแต่ภังคานุปัสสนาญาณนั้นไป ความเป็นใหญ่มีอยู่แก่อนุปัสสนา ๗

อนึ่ง เมื่อตีรณปริญญาเป็นไปอยู่ มัคคามัคคญาณจึงบังเกิดขึ้น ตีรณปริญญาก็บังเกิดในลาดับ ของญาตปริญญาตามลาดับ เมื่อผู้ปฏิบัติมีความพากเพียรปฏิบัติต่อไปสติจะค่อย ๆ มีกำลัง และมีความต่อเนื่อง มากยิ่งขึ้น สมาธิแก่กล้ายิ่งขึ้น ผู้ปฏิบัติจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งในพระไตรลักษณ์ (สามัญลักษณะ คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน)ของสภาวธรรมทางกายและจิตอย่างชัดเจนอัน เป็นลักษณะของสัมมสนญาณที่ ๓ นี้เอง๒๗ กล่าวคือ เมื่อผู้ปฏิบัติตั้งสติกาหนดพอง-ยุบ และรู้อาการพอง-ยุบ แตกต่างจากที่ผ่านมา คือ๒๘

• - นามรูปปริจเฉทญาณ ผู้ปฏิบัติจะรู้อาการของพอง-ยุบในระยะกลางของพอง-ยุบเท่านั้น

• - ปัจจยปริคคหญาณ ผู้ปฏิบัติจะรู้อาการของพอง-ยุบในระยะแรก และระยะกลางของพอง-ยุบ

เท่านั้น

ของพอง-ยุบ

-สัมมสนญาณ ผู้ปฏิบัติจะรู้อาการของพอง-ยุบตลอดทั้งระยะแรก ระยะกลาง และระยะสุดท้าย

นอกจากลักษณะของอัชฌัตติการมณ์ (อารมณ์ภายใน) ที่ปรากฏดังกล่าวมาแล้ว ยังมีพหิทธารมณ์ คือ อารมณ์ภายนอกอีกด้วย เช่นลักษณะของนิมิตซึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แล้วก็ดำรงอยู่นาน เมื่อจะหายไปก็ ค่อย ๆ หายไป หรือถ้าเป็นแสงก็จะปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าใกล้ ๆ แล้วค่อย ๆ ลอยห่างออกไปจนเล็กลง ๆ และ หายไป หรือไม่ก็เป็นดวงไฟเล็ก ๆ ปรากฏในที่ไกล แล้วค่อยลอยใกล้เข้ามา ๆ แล้วค่อย ๆ หายไป ซึ่งแตกต่าง จากอาการปรากฏของนิมิตในญาณที่ ๒ คือนิมิตอย่างหนึ่งเกิดขึ้นยังไม่ดับไป นิมิตใหม่ก็เกิดซ้อนขึ้นมาอีก ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่เห็นระยะสุดท้ายของนิมิตอารมณ์ สำหรับสัมมสนญาณที่ ๓ นี้อาการปรากฏของนิมิตจะมี ความชัดเจนทั้ง ๓ ขณะ คือ ขณะเกิด (อุปาทะ) ขณะตั้งอยู่ (ฐีติ) และขณะดับไป (ภังคะ) ซึ่งเป็นเหตุให้เห็น พระไตรลักษณ์อย่างชัดเจน ญาณนี้จึงจัดเป็นวิปัสสนาญาณแท้

เวทนาก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะบอกให้ผู้ปฏิบัติทราบว่า ได้บรรลุถึงสัมมสนญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นอย่างมากเหลือล้น และมีอาการที่สุดจะพรรณนา การปรากฏของเวทนาที่มากมายก็เพื่อให้ ผู้ปฏิบัติตั้งสติกำหนดให้เห็นพระไตรลักษณ์อย่างชัดเจน จะได้รู้ว่ารูปนามเป็นทุกข์ ครั้นกำหนดจนทุกขเวทนา

๒๖ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๓๓ – ๓๔.

๒๗ พระชนกาภิวงศ์ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ เชมเย สยาดอ, วิปัสสนาญาณก้าวหน้าอย่างไร, หน้า ๔๐.

๒๘ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๙๗ - ๙๘.

หายไปเอง ก็จะเห็นความไม่เที่ยง เมื่อทราบชัดว่าทุกขเวทนาแม้ตนไม่ปรารถนามันก็เกิดขึ้น และเมื่อมันจะหาย มันก็หายไปเอง อันเป็นลักษณะของอนัตตาที่ผู้ใดจะบังคับไม่ได้

การเห็นไตรลักษณ์อย่างชัดเจนในขณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยเฉาพะ เวทนาจะทำให้รู้การ กำหนดไตรลักษณ์ได้อย่างชัดเจน คือจะได้รู้ว่ารูปนามเป็นทุกข์ ครั้นกำหนดจนทุกขเวทนาหายไปเอง ก็จะเห็น ความไม่เที่ยง เมื่อทราบชัดว่าทุกขเวทนาแม้ตนไม่ปรารถนามันก็เกิดขึ้น และเมื่อมันจะหาย มันก็หายไปเอง อันเป็นลักษณะของอนัตตาที่ผู้ใดจะบังคับไม่ได้ จึงเป็นลักษณะของสัมมสนญาณ ซึ่งเป็นการก้าวหน้าไปถูกทาง อย่างแน่นอน ไม่หลงไปทางอื่น ทำให้วิปัสสนาญาณก้าวหน้าต่อไป

สัมมสนญาณ ญาณพิจารณา พิจารณาเห็นการเกิด การตั้งอยู่อย่างแปรปรวน การดับไป คือเห็น ด้วยปัญญา ปัญญาจักขุในความไม่เที่ยงแปรปรวนและดับไปทั้งหลายตามแนวทางพระไตรลักษณ์นั่นเอง เห็น ด้วยปัญญาว่า สิ่งทั้งหลายสักแต่ว่าล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่เป็นแก่นสารอย่างแท้จริง

ลักษณะสัมมสนญาณ

• ๑. พิจารณาเห็นรูปนามทางทวารทั้ง ๕ เป็นไตรลักษณ์ คือ นิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๒. พอง ครั้งหนึ่งเห็นเป็น ๓ ระยะ คือ ต้นพอง กลางพอง สุดพอง

• ๓. ยุบครั้งหนึ่งก็เห็นเป็น ๓ ระยะ คือ ต้นยุบ กลางยุบ สุดยุบ ๔. มีเวทนามากก็หายช้าๆ กำหนดตั้ง ๗-๘ครั้ง จึงหาย

• ๕. มีนิมิตมาก และกำหนดหายช้าๆ ค่อยๆ จางๆ หายไป ๖. พองยุบหายไป บางคนหายไปนาน บางคนไม่นาน

• ๗. พองยุบไวบ้าง สม่ำเสมอบ้าง แน่นอึดอัดบ้าง

• ๘. ใจฟุ้งซ่านบาง นั่นแสดงให้เห็นว่าจิตเป็นพระไตรลักษณ์ ๙. สบัดมือสบัดเท้าบ้าง

• ๑๐. เกิดอุปกิเลสทั้ง ๑๐ ขึ้นในญาณนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง

อุปกิเลส ๑๐ นั้น คือ:-

• ๑. โอภาส แปลว่า แสงสว่าง มีลักษณะดังนี้

๑) มีแสงสว่างเท่าหิ่งห้อย เท่าไฟฉาย เท่าตารถยนต์ เท่าตารถไฟ ๒) สว่างทั้งห้อง สว่างจนมองเห็นตัว

๓) สว่างคล้ายกับห้องไม่มีฝากั้น

๔) สว่างคล้ายกับเห็นสถานที่ต่างๆ มาปรากฏเฉพาะหน้า

๕) สว่างจนเห็นประตูเปิด เอามือไปปิดบ้าง ลืมตาดูบ้าง ยกมือขึ้นดูบ้าง ๖) สว่างจนเห็นดอกไม้สีต่างๆ มาปรากฏอยู่ใกล้ๆ

๗) เห็นทะเลตั้ง ๑ โยชน์ ยกตัวอย่าง พระเถระ ๒ รูป คือ รูปหนึ่งพอแสงสว่างเกิดขึ้นมองเห็น ดอกไม้ที่ลานพระเจดีย์แล้วบอกเพื่อนมาดู อีกรูปหนึ่งพอแสงสว่างเกิดขึ้นมองเห็นทะเลตั้งโยชน์หนึ่งแล้บอก เพื่อนมาดู

๘) มีแสงสว่างพุ่งออกจากร่างกาย และจากหัวใจของตัวเอง ๙) สว่างจนนิรมิตรเป็นรูปช้างได้

• ๒. ปิติ แปลว่า ความอิ่มอกอิ่มใจ มีอยู่ ๕ อย่าง คือ

• ๒.๑ ขุททกาปีติ มีลักษณะดังนี้ คือ

๑) มีสีขาวต่างๆ

๒) เยือกเย็น ขนลุก มึนตึง หนัก

๓) น้ำตาไหล หนังหัวพองสยองเกล้า ๔) ปฐวีธาตุ ๒๐

• ๒.๒ ขณิกาปีติ มีลักษณะดังนี้ คือ

๑) เกิดในจักขุทวารดุจสายฟ้าแลบ ๒) เป็นประกายดังตีเหล็กไฟ

๓) เป็นดังปลาตอด ดังเส้นเอ็นชัก ๔) แสบทั่วกาย กายแข็ง

๕) ดังแมลงเม่าจับ ไต่ตามตัว ๖) ร้อนตามตัว

๗) หัวใจสั่น ไหว ๘) สีแดงๆ ด่างๆ

๙) ขนลุกขนชันบ่อยๆ แต่ไม่มากนัก

๑๐) คันยุบยิบคล้ายมดไต่คลานตามตัว ตามหน้า ๑๑) เตโชธาตุ ๔

• ๒.๓ โอกกันติกาปีติ มีลักษณะดังนี้ คือ

๑) ไหว เอน โยค โคลง ๒) สบัดหน้า, มือ, เท้า

๓) สั่น สูงๆ ต่ำๆ คล้ายเตียงจะคว่ำ

๔) คลื่นไส้ดุจอาเจียร อาเจียรออกมาจริงๆก็มี ๕) ดุจลูกคลื่นกระทบฝั่ง

๖) ดุจถูกละลอกซัด

๗) สั่นระรัวดุจไม้ปักในน้ำไหล ๘) สีเหลืองอ่อน สีดอกผักตบ ๙) กายโยคไป โยคมา

๑๐) อาโปธาตุ ๑๒

• ๔. อุพเพงคาปีติ มีลักษณะดังนี้คือ

๑) กายสูงขึ้น ตัวเบา ตัวลอย

๒) คันยุบยิบดุจไรไต่ตามหน้า ตามตัว ๓) ลงท้อง ท้องเดิน เป็นบิด

๔) สัปหงกไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง ๕) คล้ายคนผลัก

๖) คล้ายคนจับศีรษะหมุนไป หมุนมา

๗) ปากงับๆ บ้าง อ้าปากบ้าง หุบปากบ้าง ๘) ไหว โยคโคลง โอนไปมาดุจลมพัดต้นไม้ ๙) กายหกคะเมนถลำไป

๑๐) กายกระโดดขึ้น ปลิวไป

๑๑) กายกระดุกกระดิก ยกแขน ยกขา

๑๒) กายเงื้อมไปมาข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง ๑๓) มีสีไข่มุก สีขี้รม สีนุ่น

๑๔) วาโยธาตุ ๖

• ๒.๕ ผรณาปีติ มีลักษณะดังนี้คือ

๑) แผ่สร้านเยือกเย็นไปทั่วร่างกาย ๒) สงบเป็นพักๆ

๓) คันยุบๆ ตามตัว

๔) ซึมๆ ไม่อยากลืมตา

๕) ไม่อยากเคลื่อนไหวร่างกาย

๖) ซู่จากปลายเท้าถึงศีรษะ จากศีรษะถึงปลายเท้า ๗) กายเย็นดุจอาบน้ำ ดุจถูกน้ำแข็ง

๘) สีคราม สีเขียว ใบตองอ่อน สีแก้วมรกต ๙) มีอาการยิบๆ แยบ เหมือนไรไต่หน้า ๑๐) อากาศธาตุ ๑๐

• ๓. ปัสสัทธิ แปลว่า จิต เจตสิกสงบ มีลักษณะดังนี้

๑) สงบเงียบดุจเข้าผลสมาบัติ ๒) ไม่ฟุ้งซ่าน รำคาญ

๓) กำหนดได้ดี

๔) เยือกเย็นสบาย ไม่กระวนกระวายใจ ๕) พอใจในการกำหนด

๖) ความรู้สึกเงียบไป คล้ายๆกับหลับไป ๗) เบาแคล่วคล่องดี

๘) สมาธิดี ไม่เผลอ ไม่ลืม ๙) ความคิดปลอดโปร่งดี

๑๐) คนที่มีนิสัยดุร้าย โหดเหี้ยม ทารุณ จะเกิดความรู้สึกว่า ธรรมเป็นของละเอียดมาก ต่อไป เราจะละความชั่ว ทำแต่ความดี

๑๑) คนพาลเกเร ติดเหล้า เมาสุราก็จะเลิกนิสัยเดิมได้ เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนทีเดียว ดุจหน้ามือเป็นหลังมือฉะนั้น

• ๔. สุข แปลว่า ความสบาย มีลักษณะดังนี้

๑) สุขสบายดี

๒) มีความยินดีมาก เพลิดเพลิน สนุกสนาน ไม่อยากออกอยากจะอยู่นานๆ ๓) อยากพูด อยากบอกผลที่ตนได้แก่ผู้อื่น

๔) ภูมิใจ ดีใจ คล้ายกับว่าจะระงับไว้ไม่ได้

๕) บางคนจะพูดว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบความสุขเช่นนี้เลย ๖) นึกถึงบุญคุณของครูบาอาจารย์มาก

๗) เห็นหน้าอาจารย์มาอยู่ใกล้ๆ คล้ายกับว่าท่านจะมาช่วยฉะนั้น

• ๕. ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อมีลักษณะดังนี้

๑) เชื่อและเลื่อมใสมากเกินไป ๒) อยากจะให้ทุกคนมาปฏิบัติ

๓) อยากชวนผู้อยู่ใกล้ชิดให้มาปฏิบัติ ๔) อยากจะสนองบุญคุณของสำนัก

๕) อยากให้การปฏิบัติเจริญก้าวหน้าไปไกลและรวดเร็วมากกว่านี้ ๖) อยากทำบุญทำทาน อยากสร้างและปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุต่างๆ ๗) นึกถึงบุญคุณของผู้ที่ชวนตนมาเข้าปฏิบัติ

๘) อยากนำของไปถวายอาจารย์ ๙) อยากออกบวช

๑๐) อยากจะอยู่นานๆ ไม่อยากออกง่าย ๑๑) อยากจะไปอยู่ในที่เงียบสงัด

๑๒) ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติเต็มที่

• ๖. ปัคคาหะ แปลว่า ความเพียร มีลักษณะดังนี้

๑) ขยันมากเกินควร อาจารย์จะยุไม่ได้เป็นอันขาด เพราะจะทำให้ผู้นั้นเสียสติ ๒) ตั้งใจจริง ปฏิบัติจริง ยอมสู้ตาย ไม่ถอยหลัง

๓) มีแต่ความเพียรมากถ่ายเดียว แต่สติสัมปชัญญะอ่อนไป ทำให้ฟุ้ง ไม่เป็นสมาธิ

• ๗. อุปัฏฐานะ แปลว่า สติ คือความระลึกได้ มีลักษณะดังนี้

๑) สติมากเกินไป เป็นเหตุให้คิดถึงอดีต อนาคต ทิ้งอารมณ์ปัจจุบัน ๒) ระลึกถึงแต่เรื่องอดีต คือเรื่องที่ผ่านมาแล้วตั้งแต่นานๆ โน้น

๓) คล้ายๆ กับว่าตนเองจะระลึกชาติได้

• ๘. ญาณ คือ ความรู้ มีลักษณะดังนี้

๑) ความรู้ปริยัติผสมกับปฏิบัติ ทำให้เข้าใจผิด แต่ตนคิดว่าถูก ชอบอวดดี สู้ครู ๒) วิพากษ์วิจารณ์ อารมณ์ต่างๆ เช่น พอง เป็นเกิด ยุบ เป็นดับ เป็นต้น

๓) นึกถึงหลักฐานต่างๆ ที่ตนได้รู้ ได้ศึกษาเล่าเรียนมา

๔) ไม่ได้ปัจจุบัน ส่วนมากเป็น “วิปัสสนึก” คือ นึกเอาเองเป็นจินตาญาณ

• ๙. อุเบกขา คือความวางเฉย มีลักษณะดังนี้

๑) ใจเฉยๆ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ใจหลงๆ ลืมๆ พอง ยุบ มัวๆและบางครั้งไม่เห็น ๒) ใจลอยๆ เลือนๆ คล้ายกับว่าไม่ได้นึกคิดอะไร

๓) บางครั้งเห็นพองยุบ บางครั้งไม่เห็น ๔) ไม่กระวนกระวายใจ ใจสงบดี

๕) ไม่อยากได้ดิบดีอะไรทั้งสิ้น

๖) อารมณ์ดีชั่วกระทบก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย แต่ไม่ได้กำหนด ปล่อยใจให้ลอยไปตาม อารมณ์ภายนอกมาก

• ๑๐. นิกันติ คือความใคร่ มีลักษณะดังนี้

๑) พอใจในอารมณ์ต่างๆ

๒) พอใจแสงสว่าง ปีติ สุข ศรัทธา ความเพียร ความรู้ ความเฉย ๓) พอใจในนิมิตต่างๆ

ญาณที่ ๔ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ปัญญารู้ความเกิด และความดับของรูปของนามชัดเจน

แบ่งเป็น ๒ คือ ตรุณอุทยัพพยญาณ๒๙ มีกำลังญาณอ่อนเป็นวิปัสสนูปกิเลส๓๐และพลวอุทยัพพยญาณ กำลัง

๒๙ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.๙), ปิดประตูอบาย ทางไปสู่นิพพาน, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษร พิทยา, ๒๕๓๕), หน้า ๑๒๒.

๓๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หน้า ๒๗๗.

ญาณแก่กล้าสามารถละความเห็นผิดในวิปัสสนูปกิเลสได้ เพราะญาณปัญญาพิจารณาเห็นการเกิดดับของรูป นามในปัจจุบัน ซึ่งมีการพิจารณาการเกิดดับของขันธ์ ๕ นั่นเอง มีบาลีว่า

ปจฺจุปฺปนฺนาน ธมฺมาน วิปริณามานุปสฺสเน ปญฺ อุทยพฺพยานุปสฺสเน าณ

“ปัญญาในการพิจารณาเห็นความแปรผันแห่งธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจุบัน๓๑ ปัญญาอันหยั่งรู้ ความเกิดและความดับของนามรูป๓๒

คัมภีร์วิสุทธิมรรค กล่าวถึงในการเจริญวิปัสสนาเพื่อให้บรรลุญาณนี้ ต้อพิจารณาลักษณะของความ เกิด ๕ และลักษณะของความดับ ๕ ของขันธ์ ๕ โดยขันธ์หนึ่ง ๆ ได้ลักษณะ ๑๐ ทั้งเกิดและดับ ขันธ์ ๕ จึงมี ลักษณะการเกิดดับ ๕๐ ถ้วน

การพิจารณาลักษณะการเกิดของรูปขันธ์

(๑) รูปเกิดขึ้นเพราะอวิชชา - ความไม่รู้แจ้งเกิดขึ้น

(๒) รูปเกิดขึ้นเพราะตัณหา - ความทะยานอยากเกิดขึ้น (๓) รูปเกิดขึ้นเพราะกรรม - กุศลและอกุศลเกิดขึ้น

(๔) รูปเกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นตัวอุปถัมภ์เกิดขึ้น (๕) ความเกิดขึ้นอย่างเดียว โดยไม่คานึงถึงเหตุปัจจัย

การพิจารณาลักษณะความดับของรูปขันธ์ (๑) รูปดับสิ้นไปก็เพราะอวิชชาดับสิ้นไป (๒) รูปดับสิ้นไปก็เพราะตัณหาดับสิ้นไป (๓) รูปดับสิ้นไปก็เพราะกรรมดับสิ้นไป (๔) รูปดับสิ้นไปก็เพราะอาหารดับสิ้นไป

(๕) รูปดับสิ้นไปอย่างเดียวโดยไม่คานึงถึงเหตุปัจจัย

แม้ในเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ก็พึงพิจารณาเหมือนกับรูปขันธ์ ต่าง แต่ในเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ ให้เอาผัสสะมาเปลี่ยนแทนอาหารเท่านั้น/เพราะขันธ์ทั้ง ๓ จะ เกิดขึ้นหรือดับไปส่วนหนึ่งก็เพราะผัสสะ คือ การประจวบกันระหว่างอายตนะ ๑๒ และวิญญาณ ๖ หาใช่ เกิดขึ้นและดับไปเพราะอาหารเหมือนอย่างรูปขันธ์ไม่

ด้านวิญญาณขันธ์ ให้เอานามรูปมาเปลี่ยนแทนอาหารว่าวิญญาณเกิดขึ้นเพราะนามรูปวิญญาณดับ ก็เพราะนามรูป หาใช่เพราะอาหารและผัสสะไม่๓๓

๓๑ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๔๙/๕๖, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๔๙/๗๗.

๓๒ ฐิตวณฺโณ ภิกขุ, วิปัสสนาภาวนา, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (นครปฐม: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า๑๗๒.

๓๓ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๑๐๕๖.

ปัญญาหยั่งรู้การเกิดขึ้นและดับไปของขันธ์ ๕ โดยความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขาร คือรูปนาม อย่างแท้จริง

ในขณะที่อุทยัพพยญาณอย่างอ่อนเกิดขึ้น คือ ในขณะที่ปัญญาหยั่งเห็นการเกิดดับของรูปนามยัง ไม่แก่กล้านี้เอง ทำให้เกิดวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่ติดอยู่ในวิปัสสนูปกิเลส ก็จะรู้เห็นว่าใช่ทางมิใช่ทาง๓๔

พระภัททันตะ กล่าวว่าเมื่อผู้ปฏิบัติประสบกับทุกขเวทนาอย่างมากมายในญาณที่ ๓ แล้ว หากไม่ เลิกปฏิบัติเสียก่อน แต่มีความตั้งใจปฏิบัติด้วยความอดทน ในไม่ช้าญาณสภาวะก็จะก้าวหน้าขึ้นไปสู่อุทยัพพย ญาณที่ซึ่งจะรู้ได้จากลักษณะดังต่อไปนี้

รู้ได้จากอารมณ์ภายใน (อัชฌัตติการมณ์) เช่น ผู้ปฏิบัติบอกว่าเวลานี้ตนกำหนดพอง ยุบ ไม่เหมือน ก่อน เพราะรู้สึกว่าพอง ยุบเกิด ดับเร็ว อาการเกิดและดับเร็วเช่นนี้เป็นอาการปรากฏชัดของการเกิดขึ้น (อุ ปาทิ) และอาการดับไป (ภังคะ) แต่อาการตั้งอยู่ (ฐีติ) นั้นเร็วมากจนไม่สามารถกำหนดได้ โดยสรุป คืออาการ เกิดขึ้นของพอง ยุบ ในญาณนี้เกิดเร็ว

รู้ได้จากอารมณ์ภายนอก (พหิทธารมณ์) ได้แก่นิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หายไปอย่าง รวดเร็ว เปรียบเสมือนการโยนก้อนดินขึ้นบนอากาศ พอสุดแรงโยนก้อนดินนั้นก็จะตกลงสู่พื้นดินทันที ไม่ค้าง อยู่ในอากาศ

รู้ได้จากอาการของเวทนา เวทนาในญาณนี้ยังพอมีอยู่บ้าง เมื่อเกิดขึ้นพอกำหนดได้ ก็หายไปแล้ว เกิดขึ้นอีกและกำหนดอีก ก็หายไปอีก ผู้ปฏิบัติที่คร้ามต่อเวทนาในสัมมสนญาณที่ ๓ เมื่อถึงอุทยัพยญาณจะไม่ รู้สึกหวาดเกรงอีกต่อไป๓๕

ลักษณะอุทยัพพยญาณ

• ๑. เห็นพอง ยุบ เป็น ๒-๓-๔-๕-๖ ระยะ ๒. พอง ยุบ ขาดๆ หายๆ เป็นลำดับไป

• ๓. เวทนาต่างๆ หายไปรวดเร็ว คือ กำหนดเพียงครั้งสองครั้งก็หาย ๔. กำหนดได้ชัดเจนและสะดวกดี

• ๕. นิมิตต่างๆหายไปเร็ว กำหนดว่า เห็นหนอๆ สัก ๒-๓ ครั้งก็หายไป ๖. แสงสว่างแจ่มใสคล้ายไฟฟ้า

• ๗. ต้นพอง สุดพอง ต้นยุบ สุดยุบ ปรากฏชัดดี

๓๔ ฐิตวณฺโณ ภิกขุ, วิปัสสนาภาวนา, หน้า ๑๗๓ - ๑๗๔.

๓๕ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๙๘ - ๙๙.

• ๘. มีอาการงุบ สัปหงกไปข้างหน้า ไปข้างหลัง ไปข้างๆ เบาบ้าง แรงบ้างแล้วแต่สมาธิ คล้ายๆ ง่วงนอนแต่ไม่ใช่ง่วงนอน เรียกว่า สันตติขาดพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏ เช่น

ก. อาการพอง ยุบ เร็วเข้า แล้วสัปหงกไปอย่างนี้เรียกว่า อนิจจัง

ข. อาการพอง ยุบ แผ่วเบา หรือสม่ำเสมอกันแล้วสัปหงกไป อย่างนี้เรียกว่า อนัตตา ค. พองยุบ แน่นอึดอัด หายใจฝืดๆแล้วสัปหงกไป อย่างนี้เรียกว่า ทุกขัง

• ๙. ผู้ที่มีสมาธิดี จะปรากฏดับวูบลงไปบ่อยๆ คล้ายตกเหว หรือตกหลุมอากาศ แต่ตัวอยู่เฉยๆ

ไม่สัปหงกลงไป

ญาณที่ ๕ ภังคานุปัสสนาญาณ๓๖ ปัญญารู้แต่ความดับไปของรูปนาม๓๗ หรือเห็นความแตก ไป๓๘ หรือตั้งสติไว้ในความดับ๓๙ ญาณละความเกิดรู้เฉพาะความเสื่อม๔๐ หรือเห็นแต่ความย่อยยับ๔๑ การ กำหนดรู้ขันธ์ ๕ รูปนามว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนอยู่เสมอๆ ๔๒ จะเห็นสภาวะปรากฏเร็วมากกำหนด ไม่ทันความเกิด กำหนดได้เฉพาะความสิ้นไป๔๓ ดังบาลีว่า

อารมฺมณ ปฏิสงฺขา ภงฺคานุปสฺสเน ปญฺ

“ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความดับ”๔๔

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคอธิบายว่าจิตที่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นพิจารณาความ ดับไปของจิตนั้น ด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา๔๕

ปัญญาที่พิจารณารูปนามนั้น ๆ แล้วตามเห็นเฉพาะความดับไปของรูปนามฝ่ายเดียว คือเห็นว่าไม่ เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ดับสนิท ละกิเลส ไม่ยึดมั่นถือมั่น ตามเห็นเฉพาะ ความดับไปฝ่ายเดียว

คัมภีร์วิสุทธิมรรคได้กล่าวไว้ว่า ปฏิสังขาวิปัสสนา คือ การกำหนดรู้อารมณ์ เห็นความดับของรูป แล้ว ความดับนั้นเห็นด้วยจิตดวงใด ย้ายไปสู่วัตถุอื่นจากวัตถุเดิม ด้วยการเห็นความดับของจิตแม้ดวงนั้นต่อไป

๓๖ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๒๐๐.

๓๗ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๑/๘๒, ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๑๑๒-๑๑๓/๖๙๔.

๓๘ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๖๘/๑๑๒/๖๙๒, ขุ. ป.อ. (ไทย) ๗/๑/ ๖๙๒.

๓๙ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/๖๙๕.

๔๐ ฝ่ายวิชาการอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย, วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๑๓๑.

๔๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ประมวลศัพท์, หน้า ๑๙๙.

๔๒ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๑/ ๖๙๕.

๔๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ประมวลศัพท์, หน้า ๑๓๑.

๔๔ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๕๑/๕๙., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๑/๘๒.

๔๕ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๒/๘๒.

อีก ละความเกิด แน่วแน่อยู่แต่ในความดับ มีความสามารถในการนึกคิดติดต่อกันไม่มีหยุดคั่น เพื่อเห็นความดับ ของรูป จะได้เห็นความดับของจิต ซึ่งมีความดับเป็นอารมณ์ต่อไป ชื่อว่าภังคานุปัสสนา๔๖

การกำหนดธรรม ๒ ประการ คือสังขารที่เป็นอดีตและที่เป็นอนาคตว่ามีสภาวะอย่างเดียวกันกับ อารมณ์ปัจจุบัน ความน้อมจิตไปในความดับ ความเห็นแจ้งซึ่งมีความเสื่อมไปเป็นลักษณะชื่อว่าวยลักขณ วิปัสสนา

พระธรรมธีรราชมหามุนี อธิบายว่า การกำหนดรูปนามอย่างนี้ พิจารณาตรวจตรารูปนามอยู่ บ่อยๆ ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ญาณนั้นย่อมแก่กล้า รูปนามก็ย่อมปรากฏรวดเร็ว เมื่อญาณแก่กล้าดำเนิน ไปอยู่ รูปนามก็ปรากฏเร็วขึ้น สติไม่ทันความเกิด ไม่ทันความตั้งอยู่ ไม่ทันความเป็นไปไม่ขาดสายของรูปนาม ดุจกระแสน้าไม่ทัน รูปร่างสัณฐานของรูปนาม สติจึงตั้งอยู่เฉพาะความสิ้นความเสื่อมแตกสลายทำลายไป ดับ ไปของรูปนามฝ่ายเดียว๔๗

เมื่อผู้ปฏิบัติกำหนดรูปนามที่เกิดดับได้ดีแล้ว๔๘ ปล่อยวางความเกิดเสียไม่พิจารณา ไปพิจารณา ความดับของสังขารอย่างเดียวเป็นอารมณ์ โดยพิจารณาว่าสังขารทั้งสิ้นย่อมแตกดับไป ไม่มีสังขารใด เลยไม่ แตกดับ สังขารทั้งสิ้นต้องแตกดับไปเหมือนกองไฟใหญ่ มีสัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอารมณ์ ล้วนแต่เกิด มาแล้วดับไป ไตรลักษณ์ปรากฏได้ดีแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเห็นรูปนามนี้เป็นอนิจจัง ไม่ใช่ของเที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่สุข และเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน มีความแตกสลายไปในที่สุด ไม่เฉพาะแต่ปัจจุบัน แม้แต่ในอดีต และในอนาคตก็จะ แตกสลายเช่นเดียวกัน ดุจหยาดน้าค้างบนยอดหญ้าย่อมสลายไปเมื่อต้องอาทิตย์ขึ้นฉะนั้น๔๙ อุทยัพพยญาณก็ จะแก่กล้าเต็มที่ จังหวะที่กาหนดก็ย่อมรวดเร็วและมั่นคงประดุจเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เป็นไปอย่างทันควัน จึงทำให้สังขารธรรมซึ่งเป็นอารมณ์ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย ถึงตอนนี้ผู้ปฏิบัติจะไม่เอาจิตไปจับที่อุป ปาทขณะและฐีติขณะและจะไม่เอาใจใส่แม้กระทั่งลาดับของรูปนาม (ว่าอะไรเกิดก่อน เกิดหลัง) หรือแม้แต่ สังขารซึ่งเป็นนิมิตที่ปรากฏดุจมีสัณฐาน เช่น ขณะที่ทำการคู้เข้าหรือเหยียดออกจะปรากฏรูปสัณฐานเป็นมือ เป็นเท้าเฉพาะในตอนแรกของการปฏิบัติ แต่ในตอนนี้กลับไม่ปรากฏสัณฐานของมือและเท้า ในทุก ๆ ครั้งที่ -

กำหนดจะเกิดญาณซึ่งทากหน้าที่รู้ว่า “รูปนามดับแล้ว” ท่านจึงเรียกญาณนี้ว่า ภังคญาณ๕๐ ในภังคญาณนี้ เป็นญาณที่ก้าวเข้าสู่อธิปัญญา อธิปัญญา มี ๓ คือ

(๑) พิจารณารูปนามที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าซึ่งเรียกว่า ปัจจุบัน

๔๖ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๑๐๗๗.

๔๗ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท ประยูรวงศ์พริ้นติ้ง จำกัด, ๒๕๕๔), หน้า ๔๔๙.

๔๘ พระโสภณมหาเถร อัครมหาบัณฑิต, หลักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน, หน้า ๑๖๐-๑๖๑.

๔๙ ฐิตวณฺโณ ภิกขุ, วิปัสสนาภาวนา, หน้า ๑๗๔.

๕๐ พระโสภณมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต, หลักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน, หน้า ๑๖๐-๑๖๑.

(๒) ตามเห็นเฉพาะความดับไปของรูปนามฝ่ายเดียว

(๓) เห็นรูปนามปรากฏโดยความเป็นของสูญ คือ ว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มี เพียงรูปนามเท่านั้น ถ้าใครพิจารณาเห็นอย่างนี้จะละอัตตานุทิฏฐิเสียได้ มัจจุราชก็จะตามไม่ทัน สมดังนี้ พระพุทธเจ้าทรงเทศนาสอนโมฆราชมานพไว้ว่า

สุญฺ โต โลก อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต อตฺตานุทิฏฺึ อูหจฺจ เอว มจฺจุตฺตโร สิยา

เอว โลก อเวกฺขนฺต มจฺจุราชา น ปสฺสตีติ๕๑

โมฆราช เธอจงพิจารณาเห็นโลกโดยความว่างเปล่ามีสติทุกเมื่อ พึงถอนอัตตานุทิฏฐิเสีย เป็นผู้ ข้ามมัจจุราชเสียได้ ด้วยอาการอย่างนี้ บุคคลพิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้มัจจุราชจึงไม่เห็น๕๒

ภิกษุพวกหนึ่งเรียนกัมมัฏฐานในสานักของพระศาสดาแล้ว เข้าไปสู่ป่า พยายามปฏิบัติ ก็ไม่ได้ บรรลุคุณวิเศษ จึงคิดว่า ''พวกเราจักเรียนกัมมัฏฐานให้มากขึ้น" ในขณะที่กำลังมาสู่สานักของพระศาสดา เห็น พยับแดดในระหว่างทาง เจริญกัมมัฏฐานมีพยับแดดเป็นอารมณ์นั่นแหละมาแล้ว ฝนตกในขณะแห่งภิกษุ เหล่านั้นเข้าไปสู่วิหารนั่นเอง ภิกษุเหล่านั้นยืนที่หน้ามุขนั้น ๆ เห็นฟองน้าทั้งหลายซึ่งตั้งขึ้นแล้ว แตกไปอยู่ด้วย ความเร็วแห่งสายน้ำ ยึดเอาเป็นอารมณ์ว่า "อัตภาพแม้นี้ เป็นเช่นกับฟองน้ำ เพราะอรรถว่าเกิดขึ้นแล้วแตกไป เหมือนกัน "พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเอง ทรงแลดูภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงแผ่พระโอภาสเหมือน ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-

ยถา ปุพฺพุฬก ปสฺเส ยถา ปสฺเส มรีจิก เอว โลก อเวกฺขนฺต มจฺจุราชา น ปสฺสติ.

" พระยามัจจุ ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็นอยู่ซึ่งโลก เหมือนบุคคลพึง เห็นฟองน้ำ (และ)เหมือนบุคคลพึงเห็นพยับแดด. "๕๓

ฟองน้ำและพยับแดดเป็นของลวง เป็นของว่างเปล่า เมื่อมองไกล ๆ เห็นมีตัว แต่เมื่อเข้าไปใกล้ไม่ เห็นอะไร มีแต่ความว่างเปล่า ดังนั้น แม้แต่รูปนามก็เป็นเช่นนั้น หาตัวตนไม่ได้ จะเห็นได้ว่าฟองน้ ำก็ดี พยับ แดดก็ดี ล้วนมีเกิดดับด้วยตัวของมันเองอย่างเร็วมาก จนว่างเปล่าไม่มีอะไร เพราะดับตลอดเวลานั่นเอง

พระพรหมโมลี ได้อธิบายว่า ภังคานุปัสสนาญาณญาณนี้ มีลักษณะกาหนดเห็นความแตกสลายไป แห่งรูปนามเป็นประการ สำคัญ และเมื่อผู้ปฏิบัติถึงวิปัสสนาญาณนี้ ย่อมมีประสบการณ์แปลกประหลาด มหัศจรรย์ อาจจะเข้าใจว่าตนถึงนิโรธแล้ว วิปัสสนาญาณนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะล่วงอารมณ์บัญญัติก้าวเข้าสู่

๕๑ ขุ.จู. (บาลี) ๓๐/๘๘/๑๙๖.

๕๒ ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๑๔๔/๓๔.

๕๓ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๔๒/๑/๒/๓/๒๐๑.

ปรมัตถ์ล้วน ๆ จึงต้องมีมนสิการให้ดี เมื่อมีมนสิการดีแล้ว ด้วยการตั้งสติกำหนดรูปนามต่อไปไม่หยุดยั้ง ครั้น อินทรีย์ ๕ ถึงความพรั่งพร้อมก็สามารถล่วงพ้นวิปัสสนาญาณนี้ไปได้๕๔

พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้กล่าวถึงอานิสงส์ว่า เมื่อผู้ปฏิบัติเนือง ๆ เห็นแต่ความดับไปของรูปนาม เหล่านี้ ภังคานุปัสสนาญาณมีกำลังแก่กล้าย่อมได้อานิสงส์ ๘ ประการ คือ (๑) ละสัสสตทิฏฐิ คือความเห็นว่า รูปนามเป็นของเที่ยงเสียได้ (๒) ทอดอาลัยในชีวิต หมายความว่า ยอมสละชีวิตบูชาพระรัตนตรัยได้ เพราะมี ศรัทธาแก่กล้า (๓) ขยันหมั่นเพียรภาวนาบ่อย ๆ (๔) มีอาชีพอันบริสุทธิ์ มีความเป็นอยู่อันบริสุทธิ์ คือครองชีพ โดยสุจริตธรรม ห่างไกลจากความอิสสาริษยากัน ห่างไกลจากความประพฤติชั่วทางไตรทวาร (๕) ละความ ห่วงใยในกิจการน้อยใหญ่เสียได้ เพราะมีความสังเวชกล้า โดยพิจารณาเห็นสังเวชธรรม ๘ ประการ คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ นรก ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย (๖) ปราศจากภัยคือหมดภัย เพราะไม่มีความเยื่อใยในตน ต้องการจะให้หลุดพ้นจากภัยในวัฏฏสงสารทั้งปวง (๗) มีความอดทน และสงบเสงี่ยม สัมมาคารวะอ่อนน้อม สุภาพเรียบร้อยดี (๘) อดทนต่อความไม่ยินดีในเสนาสนะอันสงัดครอบงำความยินดีในกามคุณ และยินดีแต่ใน อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา๕๕

ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณอันเห็นการแตกดับ เมื่อเห็นการเกิดดับบ่อย ๆ ถี่ขึ้น ชัดเจนขึ้นก็จักเริ่ม คานึงเด่นชัดขึ้นด้วยปัญญา ในความดับไป มองเห็นเด่นชัดขึ้นที่จิตที่หมายถึงปัญญานั่นเอง ถึงการต้องดับสลาย ไปของนาม รูป หรือของขันธ์ต่าง ๆ การดับไปจะเห็นได้ชัด ถ้าอุเบกขาที่หมายถึงการเป็นกลางวางทีเฉย รู้สึก อย่างไรไม่เป็นไร แต่ไม่เอนเอียงแทรกแซงด้วยถ้อยคิดปรุงแต่งใด ๆ ก็จะเห็นการดับไปด้วยตนเองชัดแจ้งเป็น ลำดับ โดยปัจจัตตัง เห็นการดับ

ลักษณะภังคญาณ

• ๑. สุดพอง สุดยุบ ปรากฏชัดดี

• ๒. อารมณ์ที่กำหนดไม่ชัดแจ้ง เช่น พอง ยุบ มัวๆ หรือ ลางๆไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง

• ๓. พอง ยุบ นั่ง ถูก หายไป เช่น เวลากำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ พอง ยุบ หายไป กำหนด ว่า นั่งหนอ ถูกหนอ นั่ง ถูกหายไป กำหนดรู้หนอๆ เป็นต้น

• ๔. คล้ายกับไม่ได้กำหนดอะไรเลย

• ๕. พอง ยุบ กับจิตผู้รู้หายไปๆ แต่ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่ารูปหายไปก่อน จิตหายไปทีหลัง อันที่ แท้จริงนั้นหายไปพร้อมกัน การที่เป็นเช่นนั้นเพราะจิตก่อนหายไป จิตหลังตามรู้

• ๖. พอง ยุบ ห่างๆ จางๆ ไม่ชัดเจนดี

• ๗. ไม่เห็นรูปร่างสันฐานท้อง มีแต่อาการตึงๆ

๕๔ พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, หน้า ๑๙๒.

๕๕ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๔๕๑.

• ๘. กำหนดไม่ค่อยได้ดี เพราะล่วงบัญญัติ มีแต่อารมณ์ปรมัตถ์ ๙. บางครั้งมีแต่พอง ยุบ ตัวตนหายไปคล้ายกับไม่มี

• ๑๐. มีอาการวูบๆ ไปตามตัว

• ๑๑. มีอาการชาๆ มึนๆ เหมือนเอาร่างแหมาครอบ ๑๒. อารมณ์กับจิตหายไปพร้อมกัน

• ๑๓. ครั้งแรกรูปหายไป ใจยังรู้อยู่ ครั้นต่อมาอารมณ์ก็หายไป ใจที่รู้ก็หายไปพร้อมกัน

• ๑๔. บางคนพองยุบหายไปไม่นาน บางคนนานตั้ง ๒-๓-๔ วันจนเบื่อก็มี ต้องเดินจงกรมมากๆ ๑๕. อุปปาทะ ฐิติ ภังคะ คือ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีอยู่แต่ไม่สนใจดู ไปสนใจดูเฉพาะ

ความดับไปของรูปนามเท่านั้น

• ๑๖. อารมณ์ภายในเช่น พอง ยุบ ไม่ชัด อารมณ์ภายนอกก็เช่นเดียวกัน ยืน นั่ง ก็สั่นๆ ต้นไม้

กุฏิก็ปรากฏสั่นๆ

• ๑๗. ดูอะไร คล้ายๆ กับดูสนามหญ้าในฤดูหมอกลง ปรากฏสลัวๆ มัวๆ ไม่ชัดเจนดี ๑๘. ดูท้องฟ้า อากาศก็ปรากฏเช่นกัน

• ๑๙. พองยุบ ประเดี๋ยวหายไป ประเดี๋ยวเห็น

ญาณที่ ๖ ภยตูปัฏฐานญาณ ปัญญารู้รูปนามปรากฏเป็นของน่ากลัว คือ เห็นความแตกสลาย ไม่ว่าภพใดภูมิใด ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น เป็นความกลัวที่เกิดขึ้นจากการกำหนดรูปนาม ในอดีตดับไปแล้ว ปัจจุบันกำลังดับอยู่ อนาคตก็จะต้องดับไป ย่อมเห็นความน่ากลัวเกิดขึ้น เพราะรูปนามเป็นที่ตั้งแห่งกองทุกข์ ทั้งมวล มีพระบาลีว่า ภยตุปฏฺ าเน ปญฺ า๕๖ “ปัญญาในการเห็นสังขาร ปรากฏโดยความเป็นภัย ปัญญาใน ความปรากฏขึ้นแห่งความเกิดและความเป็นไป นิมิตเครื่องหมาย การประมวลมาและปฏิสนธิ โดยความเป็น ภัย คือการเข้าไปยึดถือว่ามีภัยปรากฏอยู่เฉพาะหน้า โดยการประกอบด้วยความเบียดเบียนอยู่เนือง ๆ๕๗ ปัญญาที่หยั่งรู้เห็นรูปนามเป็นของน่ากลัว

พระภัททันตะ กล่าวว่าเมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุถึงภังคญาณแล้วและพยายามปฏิบัติต่อไป ญาณสภาวะก็ จะแก่กล้าขึ้นไป รูปนามก็ปรากฏหายไป ๆ นาน ๆ เข้าก็จะบังเกิดความกลัวขึ้นมา ซึ่งเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นมา จากการกาหนด เช่นเมื่อกาหนดรูปนามก็เกิดความกลัวขึ้นมาเอง เป็นต้นว่ากลัวจะเป็นบ้า หรือกลัวอะไรก็ไม่ ทราบ บอกไม่ถูก แต่รู้สึกว่ากลัว หากผู้ปฏิบัติมีลักษณะเช่นนี้พึงทราบได้ว่าบรรลุถึงภยญาณแล้ว๕๘

๕๖ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๕๓/๖๐.

๕๗ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๓๖.

๕๘ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๑๑๓-๑๑๔.

พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้แสดงถึงภัย เป็นของน่ากลัว เมื่อพิจารณาภังคานุปัสสนาญาณมาแล้ว เห็นความดับ เป็นของที่น่าสะพรึงกลัวตามความเป็นจริง เพราะรูปนามที่แตกดับไปอย่างนี้ เป็นที่ตั้งแห่งความ โศกและกองทุกข์มากมายทีเดียว สภาพที่น่ากลัวแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ โดยตรงและโดยอ้อม สภาพน่ากลัว โดยตรง ที่ตั้งอันเป็นรากเหง้าเค้ามูลแห่งกองทุกข์ ๕ อย่าง คือ ความเกิด ความเป็นไป ความแสดงออก การ เกิดอีก กรรมเป็นเหตุ

(๑) ความเกิดขึ้นแห่งขันธ์ ๕ อาศัยอดีตกรรม ถ้าไม่มีอดีตกรรมคือกรรมเก่าที่ได้ทำไว้ในภพ ก่อนแล้ว ขันธ์เดี๋ยวนี้ก็จะไม่มี ขันธ์นี้จึงเป็นของที่น่ากลัว เพราะประกอบไปด้วยทุกข์นานัปประการ

(๒) ความเป็นไปไม่ขาดสูญของรูปนาม ในรูปภพ อรูปภพ เป็นของที่น่ากลัว เพราะเป็นทุกข์ ถูกทุกข์ต่าง ๆ เบียดเบียนบีบคั้นอยู่เนืองๆ

(๓) รูปนามที่เป็นอดีต อนาคตปัจจุบันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ เป็นของบังคับ บัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอานาจของใคร เป็นของนิดหน่อยว่างเปล่า ไม่มีเจ้าของ ไม่มีสาระแก่นสาร มีแต่ตายไป ฝ่ายเดียว รูปนามจึงเป็นของที่น่ากลัวมากสาหรับผู้มีปัญญาพิจารณาเห็น

(๔) การเกิดอีกเพราะผลกรรมที่ทาไว้ดังกล่าวมา เมื่อเกิดเป็นรูปนามขึ้นมาเมื่อใด ทุกข์ก็ต้อง ติดตามมาเมื่อนั้น รูปนามจึงเป็นของน่ากลัว

(๕) กรรมเป็นเหตุให้ถือปฏิสนธิอีกต่อไปคือ กุศลกรรมนำไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ อกุศลกรรมนาไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ ดังนั้น รูปนามจึงเป็นของน่ากลัว สภาพน่ากลัวโดยอ้อม ที่ต้องแห่งกอง ทุกข์ ประกอบด้วยทางเป็นที่ดำเนินไปแห่งชีวิต เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความคร่ำคร่า ความแก่ ความเสื่อมไปของรูปนามความเจ็บไข้ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไร รำพัน ความคับแค้นใจ๕๙ เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นเป็นรูปนามเป็นของน่ากลัว จะทำให้สามารถเห็นรูปนามปัจจุบันหายไปได้ความรู้

ว่า รูปนามอดีตก็หายไป รูปนามอนาคตก็หายไป รูปนามปัจจุบันก็กำลังเป็นไปอยู่ จึงเกิดความกลัว

ลักษณะภยญาณ

• ๑. อารมณ์ที่กำหนดกับจิตที่รู้นั้นทันกัน ติดกันหายไปพร้อมกัน ๒. มีความกลัวแต่ไม่ใช่กลัวผี

• ๓. เห็นรูปนามหายไป สูญไปจึงน่ากลัว

• ๔. รู้สึกเสียวๆ คล้ายกับจะเป็นโรคเส้นประสาท ยืน เดิน ก็เช่นกัน ๕. บางคนนึกถึงหมู่เพื่อน ญาติมิตรแล้วร้องไห้

• ๖. บางคนกลัวมากเห็นอะไรๆ ก็กลัว จนชั้นที่สุดเห็นตุ่มน้ำและเสาเตียงก็กลัว

• ๗. เมื่อก่อนเห็นว่า รูปนามนี้ดี แต่บัดนี้เห็นว่ารูปนามนี้ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย

๕๙ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๔๕๙.

• ๘. ไม่ยินดี ไม่เพลิดเพลิน ไม่สนุกสนาน

• ๙. เป็นเพียงพิจารณาว่า รู้สึกน่ากลัวแต่ไม่ใช่กลัวจริงๆก็มี

สรุปว่า ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารหรือนามรูปว่าเป็นของที่มีภัย เพราะความ ที่ไปเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารหรือนามรูปต่างล้วนไม่เที่ยง ต้องแปรปรวน แตกสลาย ดับไป ไม่มีแก่นแกนตัวตน อย่างแท้จริง ถ้าไปยึดไปอยากย่อมก่อทุกข์โทษภัย เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เห็นสังขาร เป็นของมีภัย ต้องแตกดับเป็นธรรมดา จึงคลายความอยากความยึดในสังขารต่าง ๆ

ญาณที่ ๗ อาทีนวานุปัสสนาญาณ๖๐ ปัญญารู้เห็นทุกข์โทษของรูปนามโดยถ่ายเดียว ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่หลบหลีก ไม่มีส่วนใดน่าปรารถนาเลย เป็นเหมือนฝี เหมือนโรค เหมือนอาศัยอยู่ในป่าชัฏอันตรายจาก สัตว์ร้าย เป็นของน่ากลัวไม่ปลอดภัย เป็นสิ่งที่มีความบกพร่องระคนอยู่ด้วยทุกข์ ไม่ว่ากำหนดครั้งใดพบแต่ ของไม่ดีเป็นโทษทั้งสิ้น

การพิจารณาเห็นโทษ ได้แก่ การรู้เห็นโทษในภพทั้งปวงเป็นต้น อันเกิดขึ้นด้วยอานาจภยตูปัฏฐาน ญาณ เมื่อท่านกล่าวถึงภยตูปัฏฐานานุปัสสนาและอาทีนวานุปัสสนา ก็เป็นอันท่านกล่าวถึงนิพพิทานุปัสสนา๖๑ เพราะบาลีว่า ยา จ ภยตุปฏฺ าเน ปญฺ าย ฺจ อาทีนเว าณ ยา จ นิพฺพิทา อิเม ธมฺมา เอกตฺถา พฺยญฺชนเมว นาน ฯ แปลว่า ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาในการ (เห็นสังขาร) ปรากฏโดยความเป็นภัย อาทีนวญาณ และ นิพพิทามีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น๖๒

พระภัททันตะ อาสภเถระ อธิบายว่าเมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุภยญาณแล้ว พยายามพัฒนาอินทรีย์ให้ สม่ำเสมอ ญาณสภาวะก็จะสูงขึ้นด้วยการเห็นโทษของรูปนาม กล่าวคือไม่ว่าจะกำหนด อะไรก็จะพบแต่ความ ไม่พอใจ น่ารังเกียจ เห็นว่ารูปนามมีแต่ทุกข์เข็ญ แม้ว่าในช่วงนี้จะไม่มีความฟุ้งซ่านมารบกวน สมาธิมั่นคงดี แต่ ผู้ปฏิบัติก็ไม่รู้สึกเป็นสุขกับการปฏิบัติ กลับมีแต่ความเซื่องซึม ห่อเหี่ยวอันบ่งบอกถึงการหมดความสนใจในการ ปฏิบัติ เพราะเห็นโทษของรูปนาม เปรียบเหมือนกับคนเคยรักกัน แต่มาบัดนี้ได้รู้ได้เห็นความไม่ดีของกันและ กัน จึงเห็นแต่โทษของอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้ปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน ก่อนนี้เคยเห็นรูปนามเป็นที่ชอบใจ ยึดเอามาเป็นที่ พึ่งได้ ภายหลังมาทราบว่ารูปนามแท้จริงแล้วเป็นของหาแก่นสารไม่ได้เลย จึงเกิดความเห็นโทษขึ้น๖๓

พระธรรมธีรราชมหามุนี อธิบายถึงทุกข์โทษของรูปนามสังขารไว้ดังนี้ ผู้ปฏิบัติย่อมทราบชัดในทุกข์ โทษของรูปนามว่ากาลังถูกไฟเผาอยู่ เห็นทุกข์โทษ มีอยู่ ๑๕ อย่าง

(๑) ในการเกิดของรูปนาม

(๒) ความเป็นไปของรูปนาม คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (๓) สัญลักษณ์ที่ชัดเจนของรูปนาม เช่น ผมหงอก ฟันหัก เป็นต้น

๖๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ประมวลศัพท์ ,หน้า ๔๐๘.

๖๑ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๒๑๐.

๖๒ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๒๒๗/๒๘๑., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๒๒๗/๓๘๓.

๖๓ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๑๑๕.

(๔) การสั่งสมกรรมของรูปนาม แล้วนำไปเกิดในภพน้อยใหญ่ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น หาสาระแก่นสารอะไรมิได้เลย

(๕) ในการถือปฏิสนธิ จะถือปฏิสนธิในภพภูมิไหนๆ ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น

(๖) ในคติทั้ง ๕ คือ นรก ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย มนุษย์ เทวดา จะอยู่ในคติใดล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์

ทั้งนั้น

(๗) ในการเกิดขึ้นของขันธ์ใหม่ คือ จะเกิดเป็นรูปขันธ์ก็ตาม นามขันธ์ก็ตาม ย่อมเป็นทุกข์ทั้งสิ้น (๘) การเกิดอยู่ของรูปนาม

(๙) ในความแก่ ความเสื่อม ฟันหัก หนังเหี่ยว ตามัว หูตึง แรงน้อยถอยกาลังนั่งก็งวย จะลุกจะ

เดินไปไหนก็ไม่สะดวก เป็นต้น

(๑๐) โรคภัยเบียดเบียน หลายร้อยพันอย่าง มีอวัยวะที่ไหนก็เจ็บที่นั่น เช่น มีปากก็เจ็บปากมีท้อง มีไส้ มีแขน มีขา มีตา มีมือ ก็เจ็บปวดขึ้นได้ในเมื่อถูกโรคเบียดเบียน ต้องวิ่งหายามาช่วยปลดทุกข์ มีผ่าตัดบ้าง เป็นต้น สู้ไม่ได้ก็ตายไป ถึงไม่ตายก็ต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกนาน

(๑๑) การตายของรูปนาม เห็นว่าจะต้องแตกสลายพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ไม่วัน

ใดก็วันหนึ่ง

(๑๒) ในความโศกเศร้าต่าง ๆ นานา เพราะรูปนามแตกดับไป เสื่อมไป วิบัติไป เช่น ญาติที่ตาม

ไป ทรัพย์ที่หายไป โรคภัยเบียนเบียนเป็นต้น

(๑๓) ในภพที่จะไปเกิด คือจะไปเกิดในที่ไหนๆ ก็ไม่พ้นไปจากทุกข์ได้

(๑๔) ในการร่ำให้ เพราะถูกความเสื่อมทั้ง ๕ มีเสื่อมญาติเป็นต้น ครอบงาอยู่ทุกรูปนาม (๑๕) ถูกความคับแค้นใจครอบงำ๖๔

อาทีนวญาณ ญาณคำนึงเห็นโทษ เมื่อเห็นสิ่งต่างล้วนต้องดับแตกสลายไปล้วนสิ้น จึงคำนึงเห็นโทษ ที่จักเกิดขึ้น ว่าจักเกิดทุกข์โทษภัยขึ้น จากการแตกสลายดับไปของสังขารหรือนามรูปต่าง ๆ ถ้าไปอยากหรือยึด ไว้ เกิดสังสารวัฏการเวียนว่ายตายเกิดในภพในชาติอันเป็นทุกข์อันเป็นโทษ เห็นโทษ

ลักษณะอาทีนวญาณ

• ๑. พอง ยุบ หายไปทีละนิดๆ ปรากฏมัวๆ ลางๆ ไม่ชัดเจน ๒. ไม่ดี น่าเกลียด น่าเบื่อ

• ๓. รูปนามปรากฏเร็ว แต่กำหนดได้ดีอยู่

• ๔. มีแต่สภาพการณ์ที่มีโทษ คือเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์และโทษ เพราะความเกิดขึ้นแห่งรูปนาม ความสลายแห่งรูปนาม รูปนามเป็นไตรลักษณ์

๖๔ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๔๖๖ – ๔๖๗.

• ๕. กำหนดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่ได้ดี สู้วันก่อนๆไม่ได้

ญาณที่ ๘ นิพพิทานุปัสสนาญาณ๖๕ ปัญญารู้รูปนามโดยอาการเบื่อหน่าย๖๖ เพราะมีแต่ความ แตกสลายไป ไม่น่าอภิรมย์ยินดีเลย เห็นรูปนามเป็นโทษ ไม่เพลิดเพลินติดใจไม่อยากไปสู่ภพใดๆ ไม่อยาก กำหนดแต่ยินดีพิจารณาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหรือกำหนดได้ ญาณที่เป็นอย่างเดียวกัน อย่างอ่อนเป็น ภยญาณ อย่างกลางเป็นอาทีนวญาณ อย่างแก่เป็นนิพพิทาญาณ๖๗

พระโสภณมหาเถระ ได้กล่าวว่าญาณ ๓ อย่าง คือ ภยญาณ อาทีนวญาณ และนิพพิทาญาณ โดย ลักษณะที่เห็นโทษของสังขารเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ที่นามาแยกเพราะความแก่กล้าไม่เท่ากัน คือ ภยญาณเป็น ญาณอย่างอ่อน อาทีนวญาณเป็นญาณอย่างกลาง นิพพิทาญาณเป็นญาณแก่กล้าถ้าหากอาทีนวญาณแก่กล้า นิพพิทาญาณก็เกิดขึ้น ในช่วงนิพพิทาญาณทุกครั้งที่พระโยคาวจรกาหนดจะรู้สึกเหมือนความเบื่อหน่าย ทั้งนี้ เพราะเห็นทุกข์โทษต่าง ๆ ด้วยอาทีนวญาณ จึงทาให้มีความเบื่อหน่าย แม้แต่ในเวลาคิด ยังรู้สึกเบื่อหน่าย ความรู้สึกคิดจินตนาการนั้นเลย๖๘

พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้กล่าวว่า เมื่อผู้ปฏิบัติผ่านอาทีนวญาณแล้ว ก็จะพบกับความเบื่อหน่าย ในรูปนามจนไม่อยากพบใคร หรือแม้แต่การตั้งสติกาหนดซึ่งเป็นหน้าที่ของตนก็แสนจะเบื่อหน่าย ตามธรรมดา คนเราที่ประกอบการงานเป็นอิสระเฉพาะตน หากเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาก็จะเลิกเสียเพื่อที่ตนเองจะได้เป็น อิสระ แต่ภาวะแห่งนิพพิทาญาณนี้ไม่เป็นอย่างนั้น คือทั้ง ๆ ที่แสนจะเบื่อ แต่ก็จำใจกำหนดรูปนามที่ตนเบื่อ หน่ายโดยไม่มีใครบังคับ อุปมาความเบื่อหน่ายในสังขารธรรมคือรูปนามไว้ ดังนี้

เหมือนนกที่ถูกจับมาขังไว้ในกรงไม้ กรงเงิน กรงทอง หรืออัญมณีใด ๆ ก็ตาม แต่นกนั้นหาต้องการ อยู่ไม่ มุ่งหน้าพยายามหนทางออกจากกรง เพื่อบินหนีออกไปจากกรงอันแสนจะน่าเบื่อหน่ายนั้น ฉันใด ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาเมื่อนิพพิทาญาณก็ฉันนั้น ย่อมเบื่อหน่ายรูปนาม เบื่อหน่ายในภพ เบื่อหน่ายในกำเนิดทั้ง ๔ เบื่อหน่ายในคติ ๕ เบื่อหน่ายในวิญญาณฐิติ ๗ เบื่อหน่ายในสัตตาวาส ๙ เป็นต้น เหมือนกัน

เหมือนพระยาหงส์ทอง ยินดีอยู่ในเชิงเขาจิตรกูฏ ไม่ยินดีในหลุมใกล้บ้านคนจัณฑาลซึ่งไม่สะอาด ย่อมอภิรมย์ในสระใหญ่ทั้ง ๗ ฉันใด ผู้ปฏิบัติวิปัสสนา เมื่อถึงนิพพิทาญาณก็ฉันนั้น ย่อมไม่ยินดีในรูปนามซ่ึงมี ความแตกสลายไม่จิรังยั่งยืน มีแต่ทุกข์โทษซึ่งตนได้พิจารณาเห็นแน่ชัดแล้วนั้น ย่อมยินดีแต่เฉพาะใน อนุปัสสนา ๖ เพราะตนมีภาวนาเป็นเรือนใจอยู่เสมอมิได้ประมาท

เหมือนพญาช้างฉัททันต์เผือกปลอด ย่อมไม่ยินดีในกลางเมือง ย่อมยินดีเฉพาะในป่าชัฏใกล้สระน้ำ ฉันใด ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาก็ฉันนั้นเหมือน ย่อมไม่ยินดีในรูปนามแม้ทั้งหมด ยินดีเฉพาะสันตบทซึ่งตนเห็นแล้ว

๖๕ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๑๒๖.

๖๖ ฝ่ายวิชาการอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย, วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๑๔๔.

๖๗ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺ าย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยาติ

๖๘ พระโสภณมหาเถร อัครมหาบัณฑิต, หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน, หน้า ๑๗๕ – ๑๗๖.

โดยนัยว่า ถ้าไม่กลับมาเกิดอีกต่อไปปลอดภัยแท้ ผู้นั้นมีใจน้อมไป เอนไปสู่พระนิพพาน ดุจแม่น้ำคงคามีกระแส อันเชี่ยวพัดพาขอนไม้มุ่งตรงลงไปสู่ทะเล ฉันนั้น๖๙

พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้อธิบายถึง อนุปัสสนา ๗ ประการไว้ดังนี้

(๑) อนิจจานุปัสสนา การตามเห็นรูปนามว่าไม่เที่ยง เป็นของหวั่นไหว เป็นของผุพัง เป็นของไม่ ยั่งยืน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา มีความเสื่อม ถูกปัจจัยปรุงแต่งและมีความตายเป็นธรรมดา

(๒) ทุกขานุปัสสนา การพิจารณาเห็นรูปนามเป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นฝี เป็นลูกศรคับแคบ มี อาพาธ จัญไร มีอุปัทวะ เป็นภัย มีอุปสรรค ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่หลีกเร้น เป็นของว่าง มีโทษ มีความคับแคบ เป็นมูล เป็นผู้เข่นฆ่าสรรพสัตว์ เป็นเหยื่อของมาร มีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บ เป็นธรรมดา มีความโศกเศร้าเป็นธรรมดา มีความร้องไห้เป็นธรรมดา มีความคับแค้นใจเป็นธรรมดา มีความ เศร้าหมองเป็นธรรมดา

(๓) อนัตตานุปัสสนา การพิจารณาเห็นรูปนามเป็นอนัตตา คือความเป็นอย่างอื่น เป็นของแตก สลาย เป็นของเปล่า เป็นของสูญ เป็นของไม่ใช่ตัวตน และหาสาระแก่นสารไม่ได้ เมื่อผู้ปฏิบัติกรรมฐาน พิจารณาเห็นรูปนามโดยลักษณะเช่นนี้ ก็จะละเสียได้ซึ่งอัตตสัญญา คือ สำคัญผิดคิดว่าเป็นตัวตนของเราเสียได้

(๔) นิพพิทานุปัสสนา การพิจารณาเห็นรูปนามเป็นของน่ากลัว เป็นทุกข์โทษ แล้วเกิดความเบื่อ หน่าย โดยการพิจารณารูปนามทางอายตนะภายใน และรูปนามภายนอกใน ๓๑ ภูมิ ทั้งในอดีต และอนาคตว่า เป็นของน่ากลัว เต็มไปด้วยทุกข์โทษแล้วเกิดความเบื่อหน่ายเมื่อผู้ใดพิจารณารูปนามเห็นแจ้งชัดดังนี้ ผู้นั้นก็จะ ละเสียได้ซึ่งความยินดี ได้แก่ ตัณหาที่มีความยินดีชื่นชมเพลิดเพลินอยู่กับกามคุณทั้ง ๕

(๕) วิราคานุปัสสนา การพิจารณาตามเห็นรูปนามที่เกิดทางทวาร ๖ ว่าเป็นของน่ากลัว เป็น ทุกข์โทษ เกิดความเบื่อหน่ายแล้วคลายกำหนัด โดยประจักษ์ และและรูปนามภายนอกใน ๓๑ ภูมิ ทั้งในอดีต และอนาคตว่าเป็นของน่ากลัว เต็มไปด้วยทุกข์โทษแล้วเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด

เมื่อปฏิบัติถึงญาณนี้ ก็จะละได้เสียซึ่งราคะ คือความกาหนัดในสังขารธรรม

(๖) นิโรธานุปัสสนา การพิจารณาเห็นความดับไปรูปนามตามทวาร ๖ โดยแจ้งชัดแล้วเกิดความ เบื่อหน่ายคลายกำหนัด และละและรูปนามภายนอกใน ๓๑ ภูมิ ทั้งในอดีต และอนาคตโดยอนุมานว่า จะต้องมี ความเกิดดับเหมือนกับรูปนามในปัจจุบันอย่างนี้ทั้งนั้น

(๗) ปฏินิคสัคคานุปัสสนา การพิจารณาเห็นรูปนามว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นของน่ากลัว เต็มไปด้วยโทษ แล้วละความสำคัญผิดว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา เป็นของสวยงามเสีย ได้ ด้วยการพิจารณาทั้งโดยประจักษ์ และโดยอนุมาน

๖๙ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๔๗๐.

เมื่อปฏิบัติวิปัสสนามาถึงนิพพิทาญาณแล้ว ผู้นั้นย่อมยินดีอยู่ในอนุปัสสนา ๗ ญาณนี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยอันสำคัญมากอยู่ที่จะนำผู้ปฏิบัติรีบรัดเข้าสู่ทางพระนิพพาน๗๐

เมื่อผู้ปฏิบัติวิปัสสนาวิปัสสนา มีวิปัสสนาญาณผ่านมาโดยลำดับ ๆ จนถึงนิพพิทาญาณ ถ้าขณะ ใดพิจารณาเห็นรูปนามปรากฏเป็นภัยคือเป็นของน่ากลัว ขณะนั้นจัดเป็นภยญาณ ขณะใดพิจารณาเห็นรูปนาม เป็นโทษ ขณะนั้นจัดเป็นอาทีนวญาณ ขณะใดพิจารณาเห็นรูปนามปรากฏเป็นของน่าเบื่อหน่าย ใจน้อมเข้าสู่ สันติบท ขณะนั้นจัดเป็นนิพพิทาญาณ ดังกรณีศึกษาตารางสรุปอุปมามีมาในคัมภีร์สารัตถปกาสินี๗๑ ดังต่อไปนี้

๗๐ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๔๗๑ – ๔๗๓.

๗๑ ดูรายละเอียดใน ส .สฬา.อ. (ไทย) ๒๘/๔/๑/-/๓๗๓-๓๘๑.

จากตารางแสดงให้เห็นความจริงว่า มหาภูตรูป ๔ อายตนะภายใน ๕ อายตนะภายนอก ๕ สุขุมรูป ๑๕ ในธรรมายตนะ เป็นส่วนหนึ่งของสักกายะ ชื่อว่ารูปขันธ์ มนายตนะ วิญญาณขันธ์ ส่วนหนึ่งแห่ง ธรรมายตนะ โอฆะ ๔ เป็นส่วนหนึ่งของสักกายะ จัดเป็นอรูปขันธ์ รูปขันธ์ คือ รูป อรูปขันธ์ คือนาม ส่วนนันทิ ราคะ กาโมฆะ ภโวฆะ ส่วนหนึ่งแห่งธรรมายตนะ เป็นส่วนหนึ่งแห่งสักกายะ ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งรูป นาม

ผู้ปฏิบัติมีใจน้อมไปในสันติบท สังขารคือรูปนามที่ปรากฏเป็นภัยอยู่นั้น ก็จะปรากฏเป็นของมีโทษ มาก และเป็นของน่าเบื่อหน่ายแท้ ใจย่อมไม่ติดไม่ข้องอยู่ในรูปนาม เพราะตนได้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาชั้นสูง แล้วว่า เป็นของมีโทษมาก ย่อมเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในสังขารคือรูปนาม ที่เป็นไปในกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ เพราะสังขารทั้งหลายล้วนแต่มีความแตกสลายทำลายไปเสื่อมด้วยกันทั้งสิ้น

กล่าวได้ว่าจุดเด่นของญาณนี้ คือความเบื่อหน่ายในความเป็นไปของสังขารธรรม ซึ่งเป็นการเบื่อ หน่ายกระบวนการทั้งระบบมีไตรลักษณ์และภพเป็นต้น มากกว่าหรือเด่นชัดกว่าการที่จะเบื่อหน่ายรูปแต่รูป นามแต่ละนาม แบบแยกส่วนเป็นรูป ๆ หนึ่ง นาม ๆ หนึ่ง หรือเบื่อไปทุกรูปทุกนาม

พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้สรุปลักษณะของนิพพิทาญาณ ไว้ว่า

(๑) ผู้ปฏิบัติเบื่อหน่ายต่อรูปนามทางทวารทั้ง ๖ (๒) รู้สึกใจคอเหี่ยวแห้งคล้าย ๆ กับขี้เกียจ แต่ ก็ยังกาหนดรูปนามได้ดีอยู่ (๓) ใจไม่ปกติ มีอาการเศร้าโศกดุจพลัดพรากจากของรักของชอบใจฉะนั้น (๔) กำหนดรูปนามไม่เพลิดเพลิน (๕) ไม่อยากพูดจาปราศรัยกับใคร ๆ ไม่อยากพบใคร อยากอยู่ในห้องคนเดียว เท่านั้น (๖) เมื่อก่อนได้ยินเขาพูดว่าเบื่อ แต่ยังไม่เคยเห็นว่าน่าจะเบื่อตรงไหน แต่บัดนี้รู้แล้วว่าเบื่อจริง ๆ (๗) ไม่พอใจยินดีในโลกธรรม อยากจะให้ถึงสันติเร็ว ๆ (๘) อาหารน้อย นอนน้อย พูดน้อย๗๒

ลักษณะนิพพิทาญาณ

• ๑. น่าเบื่อหน่ายขยะแขยงในอารมณ์นั้นๆ

• ๒. รู้สึกแห้งแล้งคล้ายกับขี้เกียจ แต่ยังกำหนดได้ดีอยู่

• ๓. ไม่เบิกบาน เบื่อๆ เศร้าๆ โศกๆ ดุจพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ฉะนั้น ๔. เมื่อก่อนได้ยินเขาพูดกันว่า เบื่อ เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าเบื่อจริงๆ

• ๕. เมื่อก่อนเห็นว่าอบายภูมิเท่านั้นที่ไม่ดี ส่วนมนุษย์ สวรรค์ ยังเห็นว่าดีอยู่ แต่บัดนี้รู้สึกว่า นิพพานเท่านั้นที่ดี นอกนั้นไม่เห็นมีอะไรดีเลย ใจน้อมเอียงไปสู่พระนิพพาน

• ๖. กำหนดรูปนามไม่เพลิดเพลินเลย

• ๗. ทุกสิ่งทุกอย่างรู้สึกว่าเป็นของไม่ดีทั้งสิ้น และไม่เห็นว่าจะสนุกสนานที่ตรงไหน

๗๒ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๔๗๙.

• ๘. ไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากเห็นใคร อยากอยู่ในห้องเท่านั้น

• ๙. รู้สึกแห้งแล้งคล้ายกับอยู่ในสนามหญ้ากว้างๆ ซึ่งมีแดดเผามาให้หญ้าเหี่ยวแห้งฉะนั้น ๑๐. รู้สึกหงอย เศร้าๆ ไม่เบิกบาน

• ๑๑. บางคนเห็นว่าลาภยศที่ตนต้องการเมื่อก่อนๆโน้นไม่มีอะไรที่น่ายินดีเลยแล้วก็เกิดเบื่อ หน่าย เห็นว่า คำว่าคนก็เกิดเสื่อมอย่างนี้ ทุกชาติ ทุกภาษา แม้เทวดา พรหมก็เป็นอย่างนี้ ที่ได้ลาภยศเป็น เศรษฐี เจ้านาย คุณหญิง คุณนายก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย มีเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่น เดียวกัน จึงไม่รู้สึก เพลิดเพลิน ไม่ทะเยอทะยาน เกิดความเบื่อหน่าย เห็นว่าถ้าถึงนิพพานได้เป็นสุขแน่ ใจก็โน้มโอนไปสู่นิพพาน

ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปัญญารู้อยากจะพ้นไปจากรูป-นาม๗๓ อันน่าเบื่อหน่ายเต็มทนนั้น เสียเหมือนปลาติดข่าย ไก่ป่าถูกขังในกรงอยากจะพ้นไปจากข่ายจากกรงขัง ฉะนั้น อาการเวทนาไม่รุนแรง มีคันหน้าคันตา ซู่ซ่าตามกาย เจ็บคันใบหู หรือ แมลงไต่

คัมภีร์สัทธัมมปกาสินีได้อธิบายว่า มุญจิตกัมยตาญาณย่อมเกิดแก่ผู้ปฏิบัติที่อดอาลัยในสังขารทั้ง ปวงแล้ว ใคร่จะปล่อยวางซึ่งสังขารทั้งหลายอันมีอันแตกดับไป อันมีในภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ และสัตตา วาสทั้งปวงอย่างนี้ ย่อมยกสังขารเหล่านั้นขึ้นสู่ไตรลักษณ์พิจารณาเห็นแจ้งด้วยปฏิสังขานุปัสสนาญาณอีก เพื่อ จะทำอุบายแห่งการปล่อยวางให้สำเร็จ ดังนี้๗๔

พระโสภณมหาเถระ ได้อธิบายว่า ผู้ปฏิบัติเกิดความเบื่อหน่าย กระสัน ไม่อภิรมย์ ด้วยนิพพิทา ญาณนี้ มีจิตใจไม่เกี่ยวข้องด้วยผูกพันแม้ในสังขารใดสังขารหนึ่ง จากสังขารจำนวนมากที่มีความแตกทำลายที่ ตั้งอยู่ในที่ทั้งปวง คือ ภพ ๓ โยนิ ๔ คติ ๕ วิญญาณัฏฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ จิตของกุลบุตรนั้นปรารถนาที่จะหลุด พ้น ปรารถนาที่จะออกจากสังขารทั้งหลาย ก็ในกาลเช่นนี้ มุญจิตุกัมยตาญาณย่อมเกิดขึ้นแก่เธอผู้ปราศจาก ความอาลัยในสังขารทั้งปวง ผู้ปรารถนาหลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง๗๕

จิตของผู้ปฏิบัติวิปัสสนา เมื่อดำเนินมาถึงมุญจิตุกัมยตาญาณนี้แล้ว ก็อยากจะหลุดอยากจะพ้นจาก สงสารจากวัฏฏะดังกล่าว เพราะพิจารณาเห็นแน่ชัดว่าความเกิดในภพนี้ก็ดี ความเป็นไปของขันธ์ที่เกิดแล้วก็ดี ความไม่เที่ยงของรูปนามก็ดี การเกิดมาอีกก็ดี คติต่าง ๆ ที่จะไปเกิดก็ดี เช่น ทุคติก็ดี สุคติก็ดี ความบังเกิดของ ขันธ์ทั้งหลาย ความเป็นไปแห่งผลกรรม ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ อุปายาส ล้วนแต่เป็นภัย เป็น ทุกข์เป็นโทษ เป็นเหยื่อหลอกล่อให้หลงติดอยู่ในภพเป็นสังขารปรุงแต่งให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งนั้นเกิดความ เบื่อหน่าย ไม่ยินดี ไม่ชอบ ไม่ติด จิตอยากออกอยากหนี อยากหลุด อยากพ้น เห็นเห็นประจักษ์ว่า ถ้าไม่มีรูป

๗๓ พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ศัพท์, หน้า ๒๓๕.

๗๔ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๔๑.

๗๕ พระโสภณมหาเถร อัครมหาบัณฑิต, หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน, หน้า ๑๗๘.

นามเสียได้ จะเกษม ปลอดภัย เป็นสุข ไม่มีเหยื่อหลอกล่อให้ลุ่มหลง จิตก็มีกาลัง กล้ามุ่งหน้าแต่จะออกหนี จะ หลุด จะพ้นไปจากสังขารธรรมและสังสารวัฏ

ลักษณะมุญจิตุกัมยตาญาณ

• ๑. คันตามตัวเหมือนมดกัน เหมือนมีสัตว์ไต่ตามใบหน้า ตามร่างกาย

• ๒. ลุกลี้ลุกลนผุดลุกผุดนั่ง ยืนกำหนดไม่ได้ดี นั่งกำหนดไม่ได้ดี นอนกำหนดไม่ได้ดี เดิน

กำหนดไม่ได้ดี

• ๓. กำหนดอิริยาบทน้อยใหญ่ไม่ได้ดี ๔. ใจคอหงุดหงิดเอือมๆ เบื่อๆ

• ๕. อยากออก อยากหนี อยากหลุด อยากพ้น

• ๖. บางคนคิดกลับบ้าน นึกว่าตนหมดบุญวาสนาบารมีเสียแล้ว เตรียมเก็บเสื่อ เก็บหมอนกลับ

บ้าน โบราณเรียกว่า “ญาณม้วนเสื่อ” อย่างนี้เป็นลักษณะของปฏิจจสมุปบาท

ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ปัญญารู้ทางพ้นไป๗๖ หรือ ญาณที่คำนึงหาทางจะพ้น จึง หันกลับไปพิจารณาไตรลักษณ์ ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทุกขเวทนามีน้อยแต่รุนแรง การกำหนดไม่ สะดวก ไม่ค่อยทันปัจจุบัน ต้องพยายามมากกว่าที่ญาณผ่านมา๗๗

คัมภีร์สัทธัมมปัชโชติกา อธิบายไว้ว่า ผู้ปฏิบัติใคร่จะปล่อยวางซึ่งสังขารทั้งหลายอันมีอันแตกดับไป ย่อมยกสังขารเหล่านั้นขึ้นสู่ไตรลักษณ์พิจารณาเห็นแจ้งด้วยปฏิสังขาญาณอีก เพื่อจะทำอุบายแห่งการปล่อย วางให้สำเร็จ ปฏิสังขาญาณอันมีความกำหนดหมายด้วยอนิจจลักษณะย่อมเกิดขึ้น ปฏิสังขาญาณอันเป็นไป ด้วยอำนาจเป็นทุกขลักษณะย่อมบังเกิดขึ้น และปฏิสังขาญาณอันมีความกำหนดหมายและเป็นไปด้วยอำนาจ เป็นอนัตตลักษณะก็ย่อมบังเกิดขึ้น๗๘

พระโสภณมหาเถระ กล่าวว่า ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาที่ปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากสังขารที่มีความแตกดับ ซึ่งตั้งอยู่ในภพ โยนิทั้งปวงจะต้องกำหนดโดยยกสังขารเหล่านั้นนั่นแหละขึ้นสู่ไตรลักษณ์ด้วยปฏิสังขานุปัสสนา ญาณ ทั้งนี้เพื่อจะได้หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวงนั่นเอง๗๙

พระภัททันตะ อาสภเถระ กล่าวว่า เมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุถึงญาณนี้แล้วย่อมมีปรีชากำหนดเห็นพระ ไตรลักษณ์ กล่าวคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง เช่นจะประสบกับทุกขเวทนา และแม้

๗๖ ฝ่ายวิชาการอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย, วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๑๕๗.

๗๗ พระธรรมปิฎก (ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หน้า ๑๔๖.

๗๘ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๔๑.

๗๙ พระโสภณมหาเถร อัครมหาบัณฑิต, หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน, หน้า ๑๘๑.

ทุกขเวทนานั้นจะรุนแรง แต่ก็ไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตใจท้อถอยในการทำความเพียรทั้งนี้เพราะสมาธิญาณสูงขึ้น แล้ว และมองเห็นคุณค่าของการปฏิบัติได้เป็นอย่างดียิ่ง จึงไม่มีจิตรังเหมือนในญาณก่อน ๆ๘๐

พระธรรมธีรราชมหามุนี อธิบายไว้ว่าปฏิสังขาญาณ แปลว่าปัญญาย้อนกลับไปพิจารณาสังขาร ยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์โดยอาการ ๔๐ อย่าง คือ พิจารณาสังขารเป็นอนิจจัง โดยอาการ ๑๐ อย่าง พิจารณาสังขาร เป็นทุกขัง โดยอาการ ๒๕ อย่าง พิจารณาสังขารเป็นอนัตตา โดยอาการ ๕ อย่าง

๑) พิจารณาเบญจขันธ์เป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยง มีความเสื่อมอย่างใหญ่หลวง มีความหวั่นไหว เปลี่ยนแปลง มีความแตกสลายทำลายไป ไม่มีความยั่งยืนถาวรอะไรเลย มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ไม่มี แก่นสารอะไรเลย มีความเสื่อม มีความวิบัติ มีความฉิบหายอยู่เป็นนิตย์ถูกปัจจัยปรุงแต่งด้วยอำนาจกรรม จิต อุตุ อาหาร มีความตายมีความแตกดับเป็นธรรมดา

๒) พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ว่าเป็นทุกข์ (๑) เป็นทุกข์ คือ ทนอยู่ไม่ได้ถูกบีบคั้นเนือง ๆ (๒) เป็น โรค คือ เสียดแทงเบียดเบียนอยู่เสมอ (๓) เป็นฝี คือ เป็นดุจหัวฝีที่กลัดหนอง มีทั้งเลือด ทั้งหนอง ทั้งเจ็บ ทั้ง ปวด เช่นเป็นแผลเปื่อยเน่า เป็นมะเร็ง ขี้เรื้อนกุดถัง เป็นต้น (๔) เป็นสัลละ คือเป็นลูกศรปักเสียบทิ่มแทงอยู่ เสมอ เช่น เจ็บ ปวด เมื่อย คัน แสบ ร้อน หิว กระหาย เป็นต้น (๕) เป็นอฆะ คือคับแคบ เบียดเบียนเดือดร้อน (๖) เป็นอฆมูล เป็นรากเหง้าเค้ามูลแห่งความคับแคบแห่งความเดือดร้อน เพราะอำนาจแห่งโรคภัยมีประการ ต่าง ๆ และกิเลสทั้งหลาย (๗) เป็นอาพาธ คือเจ็บป่วย เช่น ถูกยิง ถูกแทง ถูกไฟ เป็นไข้ เป็นอัมพาต เป็น เบาหวาน เป็นหอบ เป็นหืด เป็นริดสีดวง เป็นต้น (๘) เป็นอีติ คือ จัญไร มีแต่ทุกข์ ไม่ดี ไม่สุข (๙) เป็น อุปัททวะ เช่น ถูกรถทับ ถูกรถชน ประสบกับอุปัททวะเหตุอื่น ๆ อีก สุดแท้แต่จะเกิด (๑๐) เป็นภัย คือเป็น ของน่ากลัว เพราะจะต้องเผชิญกับภัยนานาชนิด (๑๑) เป็นอุปสัค คือสิ่งที่ขัดขวางกีดกันกางกั้นไม่ให้ชีวิตดา เนินไปโดยราบรื่น (๑๒) เป็นอตาณะ คือไม่มีอะไรจะมาต้านทานไว้ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา เช่นแก่ เจ็บ ตายเป็นต้น (๑๓) เป็นอเลณะ คือป้องกันอะไรไม่ได้ จะหลีกเร้นอยู่ที่ไหนๆ ก็ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้ (๑๔) เป็นอสรณะ คือไม่มีที่พึ่ง เพราะต้องแตกดับไปทาลายไป สลายไป ทนอยู่ไม่ได้ (๑๕) เป็นอาทีนวะ คือมี ทุกข์ มีโทษมาก ทั้งภายในภายนอก (๑๖) เป็นวธกะ คือผู้ฆ่า เพราะเขาเป็นประดุจนายเพชฌฆาตคอยถือดาบ เข่นฆ่าสรรพสัตว์อยู่ตลอดเวลา ไม่มียกเว้นใครทั้งสิ้น (๑๗) เป็นสาสวะ คือเป็นบ่อเกิดแห่งอาสวะทั้ง ๔ (๑๘) เป็นมารามิส คือเป็นเหยื่อหลอก เป็นเหยื่อล่อให้สรรพสัตว์หลงติดบ่วง ดุจพรานเบ็ดตกปลา ฉะนั้น (๑๙) เป็น ชาติธรรม คือ มีความเกิดมารับกองทุกข์เป็นธรรมดา เกิดมาเมื่อไรก็หอบเอาทุกข์มา เมื่อนั้น (๒๐) เป็นชรา ธรรม คือมีความแก่ มีความเสื่อม มีความทรุดโทรมเป็นธรรมดา ไม่มีใครห้าม และแก้ได้เลย (๒๑) เป็นพยาธิ ธรรม คือมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้เลย (๒๒) เป็นโสกธรรม คือมีความเศร้า โศกเป็นธรรมดา เพราะเสื่อมญาติ เสื่อมทรัพย์ เป็นโรค เป็นต้น ไม่มีใครล่วงพ้นไปได้เลย (๒๓) เป็นปริเทวธ รรม คือมีความร้องไห้บ่นเพ้อเป็นธรรมดา เพราะถูกความเสื่อมต่าง ๆ ครอบงา (๒๔) เป็นอุปายาสธรรม คือมี

๘๐ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๒๕๐.

ความคับแค้นใจเป็นธรรมดา (๒๕) เป็นสังกิเลสธรรม คือมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เศร้าหมองเพราะกิเลส ๑๐ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ

๓) พิจารณาเห็นเบญจขันธ์ว่าเป็นอนัตตา (๑) เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ ในอานาจของใคร ๆ ทั้งสิ้น (๒) เป็นอื่น คือไม่คงที่ แปรปรวนเสมอ (๓) เป็นริตตะ คือเป็ นของนิดหน่อย เล็กน้อย เกิดขึ้นมาไม่นานก็แตกสลายไป ทาลายไป (๔) เป็นตุจฉะ คือว่าง ได้แก่ว่างจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา (๕) เป็นสุญญะ คือเป็นของเปล่า เป็นของสูญ๘๑

พระภัททันตะ ได้กล่าวถึงลักษณะของปฏิสังขาญาณนี้ พึงทราบจากสภาวะได้ ดังนี้ คือ

(๑) ผู้ปฏิบัติจะพบกับเวทนาครั้งหนึ่ง เวทนาจะอยู่ในบริเวณที่แคบกว่าแต่ก่อน แต่จะรุนแรง เมื่อเกิดที่จุดใดแล้วก็ตั้งอยู่นานทำให้รู้สึกเจ็บปวดมาก เช่น ปวดที่ก้นย้อยที่บริเวณที่กาหนด “ถูก” แม้จะ กำหนดหายไปแล้วก็กลับปวดขึ้นมาอีก บางทีก็รู้สึกเมื่อยไปทั้งตัว เท้าเป็นเหน็บหรือหนักและชาไปทั้งขาจนไม่ อยากจะขยับไปทางไหน

(๒) การกำหนดจะไม่สะดวกนัก จะต้องพยายามจนเหนื่อยอ่อน ถึงกระนั้นก็ไม่ค่อยทันปัจจุบัน เหนื่อยและระอาเป็นอย่างยิ่ง ลักษณะของญาณนี้จะสังเกตได้จากการที่ผู้ปฏิบัติต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ในการกำหนด๘๒

พระพรหมโมลี เปรียบรูปนามในญาณนี้ไว้ว่า เหมือนโคดื้อ เจ้าของต้องพยายามเคี่ยวเข็ญให้ เดิน ถึงกระนั้นก็ไม่ค่อยจะลุกขึ้นเดิน มันมักประพฤติกิริยานอนลงและมองดูเจ้าของทำตาปริบๆ อยู่อย่างนั้น ถึงจะเดินก็เดินอย่างเสียไม่ได้ แล้วในไม่ช้าก็ล้มตัวลงนอนอีก ทาให้เจ้าของต้องพยายามเคี่ยวเข็ญให้มันเดินไป ตามวิถีจนเหน็ดเหนื่อย บางครั้งผู้ปฏิบัติถึงกับไขว้เขว และคิดไปว่า “คงหมดวาสนาไปเสียแล้ว ชะรอยคงจะ เป็นคนมีกิเลสหนาปัญญาหยาบ คงไม่มีหวังที่จะได้มรรคผลเสียแล้วกระมัง๘๓

คัมภีร์วิสุทธิมรรค มีข้อความเปรียบเทียบมุมมองของผู้ปฏิบัติที่มีต่อรูปนาม ไตรลักษณ์ตั้งแต่ต้น จนถึงญาณนี้ว่า เปรียบเหมือนบุรุษคิดว่า เราจะจับปลา จึงถือเอาสุ่ม สุ่มลงไป ในน้ำที่คิดว่าควรจะมีปลา แล้ว จึงหย่อนมือลงไปในปากสุ่ม แล้วก็คว้าเอาคองูเห่าที่อยู่ภายในน้าด้วย สำคัญว่าเป็นปลาไว้แน่น ดีใจว่าเราได้ ปลาใหญ่ แล้วก็ยกขึ้นจึงเห็นว่าเป็นงู เพราะเห็นดอกจัน ๓ แฉก เกิดกลัว เห็นโทษ เบื่อหน่ายในการจับ ใคร่ที่ จะพ้น จึงทำอุบายเพื่อจะหลุดพ้น จึงจับงูให้คลายมือตั้งแต่ปลายหางแล้วชูแขนขึ้น แกว่งไปรอบศีรษะ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ทาให้งูทุรพลแล้วเหวี่ยงออกไปพร้อมกับพูดว่า เฮ้ย ไปเจ้างูร้าย แล้วโดดขึ้นยืนบนบกโดยเร็วทีเดียว เกิด ร่าเริงใจว่า ท่านผู้เจริญ เราพ้นแล้วจากปากงูใหญ่แล้วแลดูทางที่ตนมา๘๔ ดังตารางอุปมาต่อไปนี้

๘๑ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ), วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๔๙๐-๔๙๕. ๘๒ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๑๑๙ – ๑๒๐. ๘๓ พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, หน้า ๒๔๔.

๘๔ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๑๐๙๔-๑๐๙๕.

ผู้ปฏิบัติมาถึงญาณนี้ย่อมจะมีปรีชากำหนดไตรลักษณ์เห็นได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนอย่างยิ่งอีกครั้ง ซึ่งเมื่อต้องเห็นไตรลักษณ์ในขณะปฏิบัติ ก็ย่อมต้องประสบกับทุกขเวทนาบ้างเป็นธรรมดา ถึงแม้ว่าทุกขเวทนา นั้นจะรุนแรงอยู่ แต่ก็ไม่ทาให้ผู้ปฏิบัติท้อถอยในการกระทำความเพียรได้เท่าไรเลย ทั้งนี้เพราะสมาธิญาณของผู้ ปฏิบัติสูงขึ้นมากแล้ว และมองเห็นคุณค่าของการปฏิบัติได้อย่างดี ไม่มีจิตคิดเกเรเหมือนยังอยู่ในวิปัสสนาต่ำ ๆ

ปฏิสังขาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนเพื่อให้เห็นทางหลุดพ้นไปเสียจากภัยเหล่านั้นดังเช่น โยนิโส มนสิการหรือปัญญาหยิบยกสังขารหรือขันธ์ ๕ นามรูปขึ้นมาพิจารณาโดยไตรลักษณ์เพื่อหาอุบายที่จะปล ด เปลื้องหรือปล่อยวางในสังขารหรือขันธ์ ๕ เหล่านี้ เพื่อให้หลุดพ้นจากภัยเหล่านั้นทบทวนพิจารณา

ลักษณะปฏิสังขาญาณ

• ๑. ปรากฏดุจเข็มแทง ดุจเอาไม้เล็กๆมาจี้ตามร่างกาย ๒. เวทนามีมากแต่หายเร็ว กำหนด ๒-๓ ครั้งก็หาย ๓. มีอาการซึมๆ

• ๔. ตัวแข็งดุจเข้าผลสมาบัติ แต่ใจรู้อยู่ หูยังได้ยินเสียงอยู่ ๕. ตึงๆ หนักๆ เหมือนเอาหินหรือท่อนไม้มาทับลง

• ๖. รู้สึกร้อนทั่วสรรพางค์กาย ๗. รู้สึกอึดอัดแน่นๆ

ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ ปัญญารู้รูปนามโดยอาการวางเฉย๘๕ เป็นกลาง รู้เห็นรูปนาม ตามเป็นจริงจนเบื่อหน่าย และปรารถนาจะหนีไปเสียให้พ้นแต่ไปไม่ได้ จึงเกิดความรู้สึกพะอึดพะอม แต่สติ กำหนดรู้เฉยอยู่ ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีข้อขัดข้อง กำหนดได้ง่ายที่สุดไม่หวาดกลัว ไม่เบื่อหน่าย เห็นรูปนาม ว่างเปล่า ละวางรูปนามลงได้จิตนิ่งเฉยไม่ฟุ้งซ่านกระวนกระวาย สมาธิตั้งอยู่นาน กำหนดรู้รูปนามสุขุม ละเอียดลออ ญาณแล่นสู่นิพพาน๘๖

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคว่า สังขารุเปกขาญาณ เกิดขึ้นด้วยอานาจวิปัสสนา คือ ปัญญาที่พิจารณา ความเกิดขึ้น ความเป็นไป นิมิต กรรมเป็นเครื่องประมวลมา ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด ความอุบัติ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความเศร้าโศก ความรำพัน ความคับแค้นใจแล้วดำรงมั่นอยู่ เพื่อต้องการได้ อริยมรรค ๔ อริยผลสมาบัติ ๔ สุญญตวิหารสมบัติ และอนิมิตตวิหารสมาบัติ๘๗

อรรถกถา สัทธัมมปกาสินี ให้ความหมายถึง ปัญญาที่หยั่งรู้การวางเฉยในรูปนามว่าปัญญาที่ พิจารณาเห็นรูปนามเป็นของไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ ว่างเปล่าจากสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ละ ความกลัวและความยินดีเสียได้ มีตนเป็นกลางในสังขารทั้งหลาย ดุจบุรุษเห็นโทษของภรรยาแล้วทิ้งภรรยาเสีย แล้ววางเฉย มีตนเป็นกลางในภรรยานั้น การพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยปัญญา ละความยินดียินร้าย ก็ย่อม วางเฉย มีตนเป็นกลางในขันธ์ทั้งหลาย ไม่ถือว่าเรา หรือว่าของเรา จิตของพระโยคีบุคคลนั้น เมื่อรู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างนี้ ก็ย่อมหลีกออก ถอยกลับ หมุนกลับ ไม่ยินดีในภพทั้ง ๓ เหมือนใบบัวโอนไปหน่อยหนึ่ง หยาดน้ ำ ทั้งหลายย่อมไหลไป ถอยกลับ หมุนกลับไม่ไหลลื่นไป, หรือเหมือนขนไก่หรือเอ็นและหนัง ที่เขาใส่ในไฟย่อม หลีกออก งอกลับ ม้วนกลับ ไม่คลี่ออกแม้ฉันใด; จิตของพระโยคีบุคคลนั้น ย่อมหลบหลีก ถอยกลับ หมุนกลับ ไม่ยินดีในภพทั้ง ๓ ฉันนั้น, อุเบกขา ความวางเฉย ก็ย่อมตั้งขึ้น สังขารุเปกขาญาณย่อมเป็นอันเกิดขึ้นแล้วแก่ พระโยคีบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้๘๘

คัมภีร์วิสุทธิมรรค ว่า การวางเฉยในรูปนาม เป็นการเข้าสู่สุญญตานุปัสสนา กล่าวคือ การเห็น เนืองๆ โดยความว่างเปล่า คือว่างเปล่าจากอัตตา และว่างเปล่าจากสิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา๘๙

นวองคุลี อธิบายไว้ว่า สังขารุเปกขาญาณ เป็นญาณสภาวะสำคัญ เพราะเป็นยอดของโลกียญาณ อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติ คือ กำหนดก็ง่ายและสบาย ไม่ต้องคอยระมัดระวังอะไร ความเจ็บปวดก็ หายไป เมื่อกำหนดไป ๆ ใจจะสงบเงียบไม่อยากลุกขึ้น ให้นั่งนานเท่าไรก็ได้อารมณ์ต่าง ๆ ก็สุขุมละเอียดยิ่ง เริมเข้มข้นประดุจดังน้ำเดือด มาตั้งญาณที่ ๖ แล้วเดือดรุนแรงเรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อถึงญาณ ๑๑ เริ่มซาลง -

๘๕ ฝ่ายวิชาการอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย, วิปัสสนากรรมฐาน , หน้า ๑๖๕.

๘๖ พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ประมวลศัพท์, ๒๕๓๘, หน้า ๓๑๐.

๘๗ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๗/๙๒.

๘๘ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๔๒.

๘๙ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๑๐๙๖.

เพลาการเดือดแต่ยังมีความร้อนอยู่ การกำหนดไตรลักษณ์จึงละเอียดอ่อนมาก๙๐

พระภัททันตะ อาสภเถระ แสดงลักษณะเฉพาะของญาณนี้ คือ ใจสงบ ไม่มีความเจ็บปวดกำหนด ง่ายซึ่งแตกต่างไปจากการกำหนดในปฏิสังขาญาณ๙๑

พระพรหมโมลี อธิบายสภาวะลักษณะไว้ว่า ผู้ปฏิบัติแม้ไม่มีผู้ใดมาคอยตักเตือนก็จะพยายามได้เอง เพราะเกิดความสงบใจจึงใคร่ที่จะปฏิบัติอย่างไม่ลดละ เมื่ออินทรีย์ได้ส่วนสมดุลกันดี สังขารุเปกขาญาณก็จะ ค่อยๆพัฒนาแก่กล้าขึ้น ในที่สุดก็จักสาแดงสภาวะแห่งญาณนี้ออกมา ดังนี้ คือ

(๑) ไม่มีความยินดียินร้าย กำหนดรูปนามได้ง่ายอย่างสม่ำเสมอ ปราศจากอุปสรรคทั้งปวง (๒) ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีแต่ตั้งสติกาหนดเฉยอยู่อย่างเดียว

(๓) วางเฉยอยู่ได้ในสังขารรูปนามทั้งปวง เป็นความวางเฉยชั้นสูง ซึ่งผู้ไม่ได้บรรลุถึงจะรู้ไม่ได้

โดยการอนุมาน

(๔) สมาธิตั้งอยู่นาน กำหนดอยู่ได้เป็นเวลานานๆ ไม่อยากลุกไปไหน เพราะความฟุ้งซ่านไม่มี

นิวรณธรรมทั้งหลายก็สงบ ไม่มีมารบกวน

(๕) ยิ่งตั้งสติกำหนดไป รูปนามอันเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาก็ยิ่งละเอียดสุขุมประณีตเข้าทุกที แม้จะเห็นรูปนามไม่ชัด แต่ก็กำหนดได้อย่างสบาย ใจสงบมาก

(๖) มีจิตใจแคบเข้ามา ความคิดฟุ้งซ่านน้อยที่สุด ขณะที่กาหนดอยู่นั้นอารมณ์ภายนอกก็เข้ามา น้อยมาก และการกำหนดก็ไม่ได้กระทาอย่างจดจ่อ เพียงกำหนดพอง-ยุบเท่านั้นก็เพียงพอที่ทำให้ใจสงบได้ จะเห็นได้ว่าระยะนี้กรรมฐานจะสั้นเข้า เหมือนยางที่ยืดออกไปแล้วหดสั้นเข้ามาเพราะเป็นสภาวะญาณที่สูงยิ่ง ผู้ไม่ได้ผ่านการปฏิบัติย่อมยากที่จะเข้าใจที่สังขารุเปกขาญาณแสดงสภาวะออกมาเช่นนี้ เป็นเพราะจิตใจได้รับ การฝึกให้พิจารณารูปนามทบทวนกลับไปกลับมาจนเห็นความเป็นจริงอย่างชัดเจน และจิตใจไม่ได้ยึดติดในคุณ หรือโทษของรูปนาม แต่วางเฉยต่อรูปนาม ปล่อยให้รูปนามแสดงไปเองแต่ฝ่ายเดียว จะรู้สึกมีความสงบและ สบายขึ้นมาทันที ทุกขเวทนาที่กาลังได้รับอยู่ก็เลือนหายไปหมดสิ้น การกำหนดก็คล่องแคล่วขึ้นมาก เมื่อ วิปัสสนาญาณได้พัฒนามาจนถึงขั้นสังขารุเปกขาญาณนี้แล้ว ญาณสภาวะจะพัฒนาไปสู่ระดับญาณขั้นสูงขึ้นไป อันเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน๙๒

คัมภีร์วิสุทธิมรรค อธิบายว่า การที่ผู้ปฏิบัติจะบรรลุถึงญาณเบื้องสูงนั้น อาจต้องใช้เวลามากน้อย แตกต่างกันไป เพราะอินทรีย์ไม่เสมอกัน หรือความที่ผู้ปฏิบัติมีความรู้ปริยัติมามาก จึงทาให้เข้าใจเองว่า ตนเองจวนจะได้มรรค ได้ผลแล้ว ความคิดเช่นนี้เป็นเหตุให้คอยดู จ้องอยู่ อยากรู้ว่ามรรคผลที่เกิดขึ้นแก่ตนนั้น จะเป็นอย่างไร นี้เองที่เป็นเหตุให้เกิดความเนิ่นช้าแห่งญาณสภาวะ ครั้นทาความเพียรให้อินทรีย์เสมอกันดี ญาณสภาวะก้าวขึ้นสู่ขั้นสูง หากคอยจ้องอยู่ ญาณสภาวะก็จะเลื่อนขึ้นลง กลับไปกลับมาเปรียบเหมือนหาฝั่ง๙๓

๙๐ นวองคุลี, วิปัสสนาญาณ, หน้าที่ ๑๔๙.

๙๑ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๑๒๑.

๙๒ พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, หน้า ๒๕๖-๒๕๘.

๙๓ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๑๑๐๓.

กรณีที่วิปัสสนาญาณของผู้ปฏิบัติจะแก่รอบประกอบด้วยองค์คุณ ๖ ประการดังกล่าวมาแต่ก็ต้อง กลับมายึดเอาสังขารเป็นอารมณ์อยู่ซ้ำซาก เป็นเวลานาน นี้นับว่าเป็นปัญหาสำคัญยืนยันให้เราเห็นว่า โอวาทา นุสาสนีแห่งพระบรมศาสดานั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงที่ใคร ๆ จะคัดค้านไม่ได้ว่า กรรมหนักที่จะมาปรากฏคอย ห้ามมรรคผลนิพพาน มาคอยขัดขวางกั้นมรรคผลนิพพานไม่ให้เกิด คอยเป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างเต็มที่เวลานี้ เอง กรรมหนักนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ใน ปริกุปปสูตรว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๕ จำพวกนี้เป็นผู้ไปอบาย เป็นผู้ไปนรก เป็นผู้เดือดร้อน เป็นผู้แก้ไขไม่ได้ คือ ผู้ฆ่ามารดา ผู้ฆ่าบิดา ผู้ฆ่าพระอรหันต์ ผู้มีจิตคิดประทุษร้าย ทำพระโลหิตของตถาคตให้ห้อขึ้น ผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน”๙๔ ฉะนั้น เขาจึงไม่สามารถผ่านวิปัสสนาญาณนี้เข้า ไปสู่พระนิพพานได้

พระพรหมโมลี กล่าวถึงอุปสรรคที่จะมาขัดขวางไม่ให้ผ่านวิปัสสนาญาณนี้ มิใช่แต่กรรมที่เป็น อกุศลเท่านั้น แม้กรรมที่เป็นกุศลอย่างประเสริฐ เช่น ความปรารถนาพุทธภูมิเพื่อการบรรลุเป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตอันไม่ไกลนี้ก็เป็นอุปสรรคได้เช่นเดียวกัน จะต้องมีพระวิปัสสนาจารย์คอยแนะน ำ ตักเตือนให้ได้สติพิจารณาถึงความเป็นจริง จนสามารถเลิกล้มความปรารถนาพุทธภูมินั้น ญาณสภาวะจึงจะ ก้าวขึ้นสู่วิปัสสนาญาณขั้นสูงต่อไป๙๕

สังขารุเปกขาญาณ มีการวางเฉยในสังขารรูปนามเป็นลักษณะ เป็นวิปัสสนาญาณขั้นสุดยอดใน การปฏิบัติขั้นโลกิยญาณ ถ้ามีอุปสรรคมาขัดข้องประการใดประการหนึ่ง เช่น อนันตริยกรรมปาราชิก หรือ อินทรีย์ไม่ถึงพร้อมได้ส่วนสมดุลก็ไม่สามารถผ่านไปได้ อนึ่งผู้ได้บรรลุย่อมมีใจสงบยิ่งนักและจะไปพบกับสิ่ง ประหลาดมหัศจรรย์เป็นแท้

สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร เมื่อรู้เข้าใจตามความเป็นจริง ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงด้วยปัญญา เช่น สังขารอย่างปรมัตถ์แล้ว ก็วางใจเป็นกลางต่อสังขารและกายสังขารได้ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ติดใจในสังขารทั้งหลาย จึงโน้มน้อมที่จะมุ่งสู่ความหลุดพ้นหรือพระนิพพาน วางใจเป็น กลางต่อสังขารทั้งปวง

ลักษณะสังขารุเปกขาญาณ

• ๑. ไม่กลัว ไม่ยินดี ใจเฉยๆ อยู่กับรูปกับนาม คืออยู่กับพอง กับยุบ ๒. ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีสติ สัมปชัญญะดี ไม่เผลอจากรูปนาม

• ๓. จำง่าย กำหนดสะดวกสบายดี

• ๔. สมาธิดี ใจสงบแน่วแน่ไปได้นานๆ ดุจรถยนต์วิ่งในถนนลาดยางดีๆ รู้สึกเพลิดเพลินจนลืม

เวลาไป

๙๔ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๒๙/๒๐๙.

๙๕ พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, หน้า ๒๖๑-๒๖๖.

• ๕. ยิ่งนานยิ่งละเอียดประณีต ดุจคนร่อนแป้ง ยิ่งร่อนมากก็ยิ่งละเอียด ๖. ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่รำคาญใจ รูป เสียง กลิ่น รส ไม่ปรากฏมารบกวนได้เลย

• ๗. โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น โรคอัมพาต โรคเส้นประสาทเป็นต้น อาจหายไปเลย แม้โรคหืด โรคกระเพาะ โรคความดันโลหิตสูงก็หายได้ โรคลมบ้าหมูก็หายได้

สรุปความว่า ญาณนี้รู้สึกเฉยๆ นั่งกำหนดได้ดีเพลิดเพลินลืมเวลาไป เช่นกำหนดไว้ว่าจะนั่งราว ๓๐ นาที อาจจะเลยไปจนถึง ๑ ชั่วโมงก็ได้

ญาณที่ ๑๒ สัจจานุโลมิกญาณ๙๖หรือ อนุโลมญาณ ปัญญารู้รูปนามครั้งสุดท้ายโดยอนุโลมไป ตามลำดับ เมื่อสำเร็จกิจในวิปัสสนาญาณ ๘ ตั้งแต่อุทยัพพยญาณถึงสังขารุเปกขาญาณ หรือกำหนดไปตาม โพธิปักขิยธรรม ๓๗ หรือญาณอันเป็นไปต่อการตรัสรู้อริยสัจ๙๗ เมื่อใจเป็นกลางต่อรูปนาม การตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้น ถึงจุดหมายปลายทางสู่ความดับ ปล่อยความเป็นไปของรูปนามตรงสู่พระนิพพาน เป็นสังขารุเปก ขาญาณชั้นสุดยอด ท่านพระอนุรุทธาจารย์ เรียกยอดของสังขารุเปกขาญาณ และ อนุโลมญาณว่า วุฏฐานคา มินีวิปัสสนาญาณวิปัสสนาญาณตั้งแต่อุทยัพพยญาณถึงสัจจานุโลมิกญาณ เรียกว่า ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ คือความบริสุทธิ์หมดจดจากข้อปฏิบัติจะนำไปสู่มรรคผลนิพพาน ข้อที่ ๖ ในวิสุทธิ ๗

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ได้กล่าวว่า การได้อนุญาณนี้ต้องผ่านการพิจารณาหยั่งรู้อาการ ๔๐ อย่าง

ดังนี้

ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ อย่าง หยั่งลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการ ๔๐ อย่าง คือ ภิกษุเห็นเบญจขันธ์ (๑) โดยความไม่เที่ยง (๒) โดยความเป็นทุกข์ (๓) โดยความเป็นโรค (๔) โดยความ เป็นดังหัวฝี (๕) โดยความเป็นดังลูกศร (๖) โดยเป็นความลำบาก (๗) โดยเป็นอาพาธ (๘) โดยเป็น อย่างอื่น (๙) โดยเป็นของชำรุด (๑๐) โดยเป็นอัปปมงคล (๑๑) โดยเป็นอันตราย (๑๒) โดยเป็นภัย (๑๓) โดยเป็นอุปสรรค (๑๔) โดยเป็นความหวั่นไหว (๑๕) โดยเป็นของผุพัง (๑๖) โดยเป็นของไม่ ยั่งยืน (๑๗) โดยเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน (๑๘) โดยเป็นของไม่มีอะไรป้องกัน (๑๙) โดยเป็นของไม่มี ที่พึ่ง ๒๐) โดยเป็นความว่างเปล่า (๒๑) โดยความเปล่า (๒๒) โดยเป็นสุญญตะ (ความว่าง) (๒๓) โดย เป็นอนัตตา (๒๔) โดยเป็นโทษ (๒๕) โดยเป็นของมีความแปรผันเป็นธรรมดา (๒๖) โดยเป็นของไม่มี แก่นสาร (๒๗) โดยเป็นมูลแห่งความลำบาก (๒๘) โดยเป็นดังเพชฌฆาต (๒๙) โดยเป็นความเสื่อมไป (๓๐) โดยเป็นของมีอาสวะ (๓๑) โดยเป็นของถูกปัจจัยปรุงแต่ง (๓๒) โดยเป็นเหยื่อแห่งมาร (๓๓) โดยเป็นของมีความเกิดเป็นธรรมดา (๓๔) โดยเป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา (๓๕) โดยเป็นของมี ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา (๓๖) โดยเป็นของมีความตายเป็นธรรมดา (๓๗) โดยเป็นของมีความเศร้า

๙๖ ฝ่ายวิชาการอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย, วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๒๑๑.

๙๗ พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ศัพท์, หน้า ๓๑๘.

โศกเป็นธรรมดา (๓๘) โดยเป็นของมีความรำพันเป็นธรรมดา (๓๙) โดยเป็นของมีความคับแค้นใจเป็น ธรรมดา (๔๐) โดยเป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา๙๘

ภิกษุเมื่อเห็นเบญจขันธ์โดยความไม่เที่ยง ย่อมได้อนุโลมขันติ [ซึ่งได้มีการพิจารณาเห็นโดย ความเป็นอาการ ๔๐ นี้มาตั้งแต่ญาณ ๔ เป็นต้นมาจนถึงสุดยอดแห่งวิปัสสนา] เมื่อเห็นว่าความดับ แห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง” ย่อมหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยาม

เมื่อเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นทุกข์ . . . เมื่อเห็นว่า “ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพาน”.

. . ฯลฯ . . . ย่อมหยั่งสู่สัมมัตตนิยาม๙๙

อรรถกถา สัทธัมมปัชโชติกา อธิบายไว้ว่า อนุโลมญาณมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า อนุโลมขันติ “ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นสังขารไร ๆ โดยความเป็นของไม่เที่ยงจักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ ข้อนั้น ย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ไม่ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ จักก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนั้นย่อมไม่เป็นฐานะที่จะ มีได้ เมื่อไม่ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม จักกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผล ข้อนั้นย่อมเป็นฐานะที่มีได้๑๐๐

หมายความว่า ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนามาถึงขั้นนี้ได้ ต้องมีความอดทนต่อความเป็นไปแห่งไตรลักษณ์มี ประการต่าง ๆ มาโดยตลอดจนถึงจุดสูงสุดของวิปัสสนาโลกีย์ อันเป็นวาระสุดท้ายเพื่อข้ามเข้าโคตรปุถุชนเป็น อริยะ ต้องอาศัยขันติบารมีธรรมอย่างเต็มเปี่ยม จึงจะผ่านมาถึงขั้นนี้ได้ ถ้าไม่มีขันติจะก้าวเข้าสู่สัมมัตตนิยาม คืออริยมรรคไม่ได้ อริยผลก็คงไม่ต้องกล่าวถึงเป็นแท้

คัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้อธิบายถึงอนุโลมญาณนี้ว่าแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ดังนี้

อนุโลมญาณแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ อนุโลมเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เบื้องหน้าเพราะว่าอนุโลม ญาณนั้นคล้อยตามวิปัสสนาญาณ ๘ ข้างต้น มีกิจเหมือนกันคือปรารภเหตุสังขารทั้งหลายต้องดำเนิน ไปโดยลักษณะมีอนิจจลักษณะเป็นต้น ความว่า อุทยัพพยญาณ ได้เห็นแล้วซึ่งความเกิดขึ้นและความ ดับไปของธรรมทั้งหลาย ที่มีความเกิดและความดับอยู่เป็นปกตินั่นแหละหนอ และว่าภังคานุปัสสนา ญาณ ได้เห็นความดับของธรรมทั้งหลาย ที่มีแต่ความดับอยู่อย่างเดียวแล้วละหนอ และว่าสิ่งซึ่งมีแต่ ความน่ากลัวแต่อย่างเดียวหนอ ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัวแก่ภยตูปัฏฐานญาณแล้ว และว่าอา ทีนวานุปัสสนาญาณ ได้เห็นโทษเลวร้ายในธรรมที่มีแต่โทษเลวร้ายอย่างเดียวหนอ และว่านิพพิทา ญาณก็เบื่อหน่ายแล้ว ในธรรมที่น่าเบื่อหน่ายหนอ และว่ามุญจิตุกัมยตาญาณ ก็เกิดความปรารถนา เพื่อจะพ้นไปเสียจากธรรมที่ความจะพ้นไปโดยแท้จริงหนอ และว่าสิ่งที่ควรทบทวนกำหนดรู้นั่นแหละ เราได้ทบทวนแล้วด้วย ปฏิสังขาญาณ และว่าสิ่งที่ควรวางเฉยนั่นแหละ เราได้วางแล้วด้วยสังขารุเปก

๙๘ ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๗/๕๙๘ – ๕๙๙.

๙๙ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๓๗/๕๙๙ – ๖๐๓.

๑๐๐ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๔๒.

ขาญาณ ดังนี้ และเบื้องหลัง เพราะคล้อยตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เพราะต้องบรรลุด้วยการ ปฏิบัติ [การข่มกิเลสที่บังสัจจะแห่งอนุโลมญาณ]

อนุโลมญาณเบื้องหลัง คือการอนุโลมแก่อริยสัจ ๔ คือปัญญาพิจารณาเห็นความเป็นไปของรูปนาม ไตรลักษณ์ทั้งสิ้น โดยความเป็นอริยสัจ ๔ เมื่อมาถึงขั้นนี้ผู้ปฏิบัติย่อมมองทุกอย่างเป็นบทสรุป เป็น ความรู้รวบยอดว่า สรรพทุกข์ที่เฝ้ากำหนดรู้ เฝ้าดู เฝ้าเห็น เฝ้าพิจารณามาโดยตลอดนั้น แท้ที่จริงมี การเห็นอริยสัจ ๔ เป็นทางรอด เป็นพรหมจรรย์ เป็นเครื่องละกิเลส ยิ่งเห็นอริยสัจ ๔ มากเท่าไร ก็ดับ ทุกข์ได้มากเท่านั้น ซึ่งธรรมอันเป็นเครื่องเห็นอริยสัจ ๔ ได้แก่โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการนั่นแล๑๐๑

นวองคุลี กล่าวว่า การที่อนุโลมญาณแก่ญาณ ๘ ข้างต้น เหมือนคนแบกของหนักเดินทางไกล หยุด เดินแล้วหันไปมองทางที่ผ่านมา ทิ้งของสัมภาระลงแล้ว การอนุโลมญาณแก่อริยสัจ ๔ ข้างปลาย เมื่อทิ้งของ หนักลงแล้วมองไปข้างหน้า เห็นสระอโนดาตอันมีน้ำใสเย็นแล้วมุ่งหน้าไปที่สระนั้น๑๐๒

พระภัททันตะ อาสภเถระ กล่าวว่าเมื่อสังขารุเปกขาญาณถึงความเป็นยอด และไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางกางกั้น ผู้ปฏิบัติก็จะเข้าสู่สภาวะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ความดับซึ่งเป็นจุดสำคัญเพราะอาจทำให้ ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิดได้ ความดับที่มีเหตุเกิดแตกต่างกันทั้ง ๕ ประการนี้เป็นความดับเทียมซึ่งส่วนมากเกิดขึ้นใน อุทยัพพยญาณ มุญจิตุกัมยตาญาณ และในสังขารุเปกขาญาณ๑๐๓

อู ชะนะกาภิวังสะ พระกัมมัฏฐานาจาริยะ กล่าวว่า ส่วนความดับที่แท้จริงในที่นี้ คือความดับโดย มรรค เมื่อสังขารุเปกขาญาณแก่กล้าแล้ว สังขารอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนอยู่ในขณะนั้นก็จะค่อย ๆ เร็วขึ้น ๆ ถี่ ขึ้น(ทาให้กาหนดไม่ทัน) แล้วก็กลับช้าลงอีก (กลับไป กลับมา) ซึ่งอุปมาดั่งกาหาทิศ หากกามองไม่เห็นฝั่ง มันก็ กลับมาสู่เสากระโดงเรืออยู่ดี เพราะไม่มีที่อาศัย หากมันมองเห็นฝั่ง มันก็จะบินเข้าฝั่งโดยไม่ใยดีที่จะกลับมาสู่ เสากระโดงเรืออีกต่อไป

เมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุถึงอนุโลมญาณนี้แล้วจะมีประสบการณ์สอดคล้องถูกต้องกับวิปัสสนาญาณตั้งแต่ เบื้องต้น คือ อุทยัพพยญาณที่ ๔ ไปจนถึงญาณเบื้องสูง คือ สังขารุเปกขาญาณที่ ๑๑ โดยไม่ขัดแย้งกัน จึงเรียก ญาณนี้ว่า เป็นที่มีความเห็นสอดคล้องตามกัน (อนุโลมญาณ)๑๐๔

นวองคุลี กล่าวถึงอริยสัจ ๔ ว่า มีมาตั้งแต่ญาณที่ ๑ แต่ผู้ปฏิบัติไม่เห็นเพราะปัญญาไม่ถึงขั้น มา เห็นชัดตอนปฏิบัติถึงอนุโลมญาณ จึงเรียกญาณนี้ว่า สัจจานุโลมิกญาณ คือการเห็นสรรพสังขารธรรม [รูป นาม] ทั้งปวง อนุโลมแก่อริสัจ ๔ เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นคราวใดก็จะเห็นพร้อมกันทั้ง ๔ สัจจะเสมอไป ยกเว้นใน

๑๐๑ พระพุทธโฆสเถร, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๑๑๒๖ – ๑๑๒๗.

๑๐๒ นวองคุลี, วิปัสสนาญาณ, หน้า ๑๖๕ – ๑๖๖.

๑๐๓ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๑๒๕-๑๒๖.

๑๐๔ อู ชะนะกาภิวังสะ พระกัมมัฏฐานาจาริยะ, ธรรมบรรยายเกี่ยวกับธรรมปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๓๗), หน้า ๑๕๓.

วาระโลกุตตรจิตบังเกิดขึ้น จะเห็นเฉพาะสัจจะเดียวคือ นิโรธสัจ ได้แก่พระนิพพาน ซึ่งมรรคจิตผลจิตจะมี นิพพานเป็นอารมณ์ สัจจะที่เหลืออีก ๓ ประการจะไม่ปรากฏ๑๐๕

ในอริยสัจ ๔ ประการนั้น ทุกข์กับสมุทัย ลึกซึ้งเพราะเห็นได้ยาก นิโรธกับมรรคเห็นได้ยากเพราะ

ลึกซึ้ง๑๐๖

สรุปได้ว่าอนุโลมญาณนี้ เป็นไปโดยอนุโลมสัจจะ คือ อนุโลมแก่วิปัสสนาญาณ ๘ ข้างต้น และแก่

ส่วนข้างปลาย เพราะเมื่อได้อุเบกขาญาณแล้ว ก็เลื่อนเป็นอนุโลมญาณ ก่อนจะเลื่อนขึ้นเป็นอริยสัจจญาณ คือ ตั้งแต่โคตรภูญาณต่อไป และเป็นญาณสุดท้ายของวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี มีสังขารเป็นอารมณ์และเกิด ในขณะจิตที่อริยมรรค ซึ่งเกิดขึ้นในที่สุดแห่งสังขารุเปกขาญาณ อนุโลมญาณ ญาณอันเป็นไปโดยการหยั่งรู้ อริยสัจ เมื่อวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลายแล้ว ญาณอันคล้อยตามอริยสัจย่อมเกิดขึ้นในลาดับถัดไป เป็น ขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณ

ลักษณะอนุโลมญาณ

• ๑. อนุโลมตามญาณต่ำ เริ่มปรากฏตั้งแต่ญาณที่ ๔ ถึง ญาณที่ ๑๒

• ๒. อนุโลมตามญาณสูง คือ อนุโลมตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ มีสติปัฏฐาน ๔ สัมมับ ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ เป็นต้น

อนุโลมญาณนั้น มีลักษณะที่จะพึงรู้อยู่ ๓ ประการ คือ

• ๑.) อนิจจัง ผู้ที่เคยให้ทาน รักษาศีลมาก จะผ่านทางอนิจจังโดยมีอาการพอง ยุบ เร็วเข้าๆ แล้วก็ดับวูบลงไป ผู้นั้นก็ทราบอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า ดับลงไปตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือตอนถูก อาการที่พอง ยุบเร็วเข้าๆ นั้น เป็นอนิจจัง การที่ทราบอย่างแจ่มแจ้งว่าดับลงไปตอนไหนนั้น เป็นอนุโลมญาณ แต่มิใช่นึกเดาหรือคาดคะเนเอาเอง ต้องรู้จริงเห็นจริง ในขณะปัจจุบันเท่านั้น

• ๒.) ทุกขัง ผู้ที่เคยได้เจริญสมถกรรมฐานก่อนจะผ่านทางทุกขัง คือเวลากำหนดพอง ยุบ หรือ

นั่ง ถูก นั้น จะรู้สึกว่าแน่นอึดอัด เมื่อกำหนดไปๆ ก็จะดับวูบลงไปตอนพอง ยุบ หรือตอนนั่ง ถูก อาการแน่น อึดอัดฝืดๆไม่สบายนั้น เป็นทุกขัง การที่ทราบชัดว่า ดับลงไปตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่ง หรือตอนถูกนั้น เป็นอนุโลมญาณ

• ๓.) อนัตตา ผู้ที่ได้เคยเจริญวิปัสสนามาก่อน หรือได้สนใจใคร่ต่อวิปัสสนามาแต่ปุเรกชาติจะ ผ่านทางอัตตา คือ พอง ยุบ มีอาการสม่ำเสมอบ้าง มีอาการแผ่วเบาบ้าง แล้วก็ดับวูบลงไป ผู้ปฏิบัติก็ ทราบ ชัดเจนว่า ดับลงไปตอนไหน ตอนพอง หรือตอนยุบ ตอนนั่ง หรือตอนถูก อาการที่ท้องพอง ยุบ ปรากฏ สม่ำเสมอ หรือแผ่วเบานั้นเป็น อนัตตา การที่ผู้ปฏิบัติสามารถทราบได้ชัดเจนว่า ดับลงไปตอนไหนแน่ คือดับ ลงไปตอนพองหรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือตอนถูก นั้นเป็น อนุโลมญาณ

๑๐๕ นวองคุลี, วิปัสสนาญาณ, หน้า ๑๖๙.

๑๐๖ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๓๒๓.

อริยสัจจ์ ๔

ในญาณนี้อริยสัจจ์ ๔ ย่อมปรากฏชัดเจนแจ่มแจ้งดี เป็นดังนี้ คือ :-

อาการที่ท้องเริ่มพอง เริ่มยุบ ในเวลาจะเข้าสู่โคตรภูญาณนั้น เรียกว่า รูปชาติ นามชาติ คือ ความเกิดขึ้นของรูปนาม ได้แก่รูปพอง รูปยุบนั่นเอง ความเกิดขึ้นของพองของยุบเป็น สมุทัยสัจ มีบาลีรับรอง ว่า

ทุกขสัจ

“ชาติสมุทยสจฺจํ” ชาติ คือความเกิดขึ้นของรูปนาม เป็น สมุทัยสัจ

ทุกขสัจ ได้แก่ อาการพอง ยุบ เป็นต้นนั้น ทนอยู่ไม่ได้ ดับลงไป หมดไป สิ้นไป ดังบาลีว่า

“ชรามรณํ ทุกฺขสจฺจํ” ชรา คือ ความเสื่อมไปของรูปนาม มรณะ คือความตายของรูปนาม เป็น

นิโรธสัจ ได้แก่ อาการพอง ยุบเป็นต้นนั้น ดับลงไปพร้อมกัน และจิตที่กำหนดรู้ก็ดับลงไปพร้อมกัน

ได้แก่ นิพพานนั่นเอง ดังบาลีว่า “อุภินฺนํปินิสฺสรณํ” อาการที่ทุกข์ สมุทัยทั้งสองนั้นดับลงไปเป็นนิโรธสัจ มัคคสัจ ได้แก่ ปัญญาที่เห็นพอง ยุบ เป็นต้น ตั้งแต่เริ่มแรก จนกระทั่งดับลงไป สิ้นไป หมดไป เป็น

มัคคสัจ ดังบาลีว่า “นิโรธปฺปชานนามคฺคสจฺจํ” ปัญญาที่ทราบชัดซึ่งทุกข์ สมุทัยว่า ดับลงไปตอนไหนเป็น

มัคคสัจ

ญาณที่ ๑๓ โคตรภูญาณ๑๐๗ ความหยั่งรู้ที่เป็นภาวะแห่งการข้ามพ้นจากปุถุชนเข้าสู่อริยบุคคล โดยโคตรภูจิตหน่วงนิพพานเป็นอารมณ์ ละปุถุชนโคตรทันที๑๐๘ เป็นจิตทำลายชาติเชื้อปุถุชน การกำหนดรู้ อนุโลมญาณ เข้าโคตรภูญาณ ตัดอารมณ์โลกีย์ ตัดโคตรปุถุชนไม่มีเหลือ เป็นโลกียญาณ๑๐๙ ปล่อยวางขันธ์ ๕ ก่อนที่อริยมรรค ได้นิพพานเป็นอารมณ์ครั้งแรก ดังมีพระบาลีว่า

พหิทฺธาวุฏฺ านวิวฏฺฏเน ปญฺ “ปัญญาในการออกและหลีกไปจากนิมิตภายนอก”๑๑๐

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค อธิบายไว้ว่า ชื่อว่าโคตรภู เพราะปัญญาครอบงาความเกิดขึ้นความเป็นไป นิมิต กรรมเป็นเครื่องประมวลมา ปฏิสนธิ คติ ความบังเกิด ความอุบัติ ความเกิดความแก่ ความเจ็บไข้ ความ ตาย ความเศร้าโศก ความราพัน ความคับแค้นใจ สังขารนิมิตภายนอก, เพราะแล่นไปสู่ความไม่เกิดขึ้น ความ

๑๐๗ พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสตร์ประมวลธรรม,หน้า ๓๑๑-๓๑๒.

๑๐๘ คำว่า โคตรภู แยกได้ ๒ บท คือโคตร แปลว่าชาติหรือเชื้อสาย บทหนึ่ง ภู มาจากบาลีว่า อภิภุยฺย แปลว่าทำลาย เพราะโคตรภู มี ๒ อย่าง คือมหัคคตโคตรภู การทำลายชาติ กาม และโลกุตตรโคตรภู การทำลายเชื้อ สายของปุถุชน

๑๐๙ วิสุทธิมัคคอรรถกถา ว่า ปริกรรม อุปจาร อนุโลม ทั้ง ๓ นี้ มีหน้าที่ขจัดความมืด คือโมหะ แต่ยังไม่

เห็นนิพพาน โคตรภูสามารถเห็นพระนิพพานได้ แต่ประหาณโมหะไม่ได้

๑๑๐ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๕๙/๖๘., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๙/๙๔.

ไม่เป็นไป . . .ฯลฯ . . .เพราะแล่นไปสู่ความดับ คือนิพพาน, เพราะครอบงาความเกิดขึ้นแล้วแล่นไปสู่ความไม่ เกิดขึ้น . . . ฯลฯ . . . เพราะครอบงาสังขารนิมิตภายนอกแล้วแล่นไปสู่ความดับคือนิพพาน, เพราะออกจาก ความเกิดขึ้น . .. ฯลฯ . . . เพราะออกจากสังขารนิมิตภายนอก, เพราะหลีกออกจากความเกิดขึ้น . . . ฯลฯ . .

.เพราะหลีกออกจากสังขารนิมิตภายนอกแล้วแล่นไปสู่ความดับคือนิพพาน โคตรภูธรรม ๘ ประการเกิดขึ้นด้วย อานาจสมถะ ๑๐ ประการเกิดขึ้นด้วยอานาจวิปัสสนา๑๑๑

อรรถกถา สัทธัมมปัชโชติกา อธิบายว่า โคตรภูญาณยังไม่ออกจากกิเลสและขันธ์ที่ยังเป็นไป เพราะ ตัดสมุทัยยังไม่ขาด แต่ออกจากนิมิตได้ เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ ฉะนั้นจึงชื่อว่าเอกโตวุฏ ฐานะ (ออกจาก สังขารนิมิตโดยส่วนเดียว) ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงาซึ่งโคตรปุถุชน และเพราะก้าวขึ้นสู่โคตรอริยะ๑๑๒

พระภัททันตะ อาสภเถระ อธิบายว่า ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงโคตรภูญาณนี้แล้วจะหน่วงพระนิพพานมา เป็นอารมณ์ ทำลายเชื้อสายปุถุชนเสีย แล้วทำให้เชื้อสายแห่งพระอริยะเกิดขึ้น หมายถึงดวงจิตที่ทำลายเชื้อ สายของกาม เพราะในการปฏิบัติที่ต้องกาหนดสังขารอารมณ์ตั้งแต่ต้นมานั้นได้สิ้นสุดลงที่อนุโลมญาณนี้เท่านั้น จึงต้องสละสังขารอารมณ์เสีย แล้วหน่วงเอานิพพานมาเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น ญาณนี้จึงเป็นเขตแดน ระหว่างปุถุชนกับอริยชน อยู่ใกล้กับมรรคญาณที่สุด ถึงกระนั้นโคตรภูญาณนี้ก็ยังคงเป็นโลกียญาณอยู่ เพราะ ประหาณโมหะยังไม่ได้๑๑๓

อนุโลมญาณ เกิดขึ้น กำจัดความมืดคือกิเลสอันปกปิดสัจจะเป็นชั้น ๆ ให้สูญสิ้นไป ตามควรแก่ กำลังดังกล่าวมาแล้ว ในระยะนี้จิตของโยคีบุคคล ย่อมไม่แล่น ไม่หยุด ไม่น้อมเชื่อ ไม่ข้อง ไม่ติด ไม่เนื่องใน สังขารรูปนามทั้งปวง ย่อมละเลย ย่อมงอกลับ ย่อมบ่ายกลับ ดุจอุทกวารีที่ตกจากดอกปทุมชาติฉะนั้น แล้วก็ พลันก้าวล่วงเสียซึ่งโคตรของปุถุชน ซึ่งสามัญแห่งปุถุชน แล้วย่างขึ้นสู่โคตรแห่งพระอริยะ สู่ภูมิแห่งพระอริยะ ซึ่งในตอนนี้เรียกชื่อว่า ‘โคตรภูญาณ’โคตรภูญาณ นี้ เกิดขึ้นต่อจากอนุโลมญาณ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ประหาร โคตรปุถุชน ทำลายเชื้อสายโคตรปุถุชนให้เด็ดขาดลงไปในตอนนี้เอง แล้วก็ยังเชื้อสายแห่ง ‘อริยโคตร’ ให้ เกิดขึ้น เพื่อความแจ่มชัดในเรื่องนี้ มีอุปมาไว้ว่า ยังมีบุรุษผู้หนึ่งซึ่งต้องการจะกระโดดข้ามเหมืองกว้างใหญ่ไป ฝั่งโน้น จึงวิ่งหน้าตั้งมาโดยเร็ว แล้วเอามือจับเชือกซึ่งผูกห้อยอยู่ที่กิ่งไม้ฝั่งนี้แล้วกระโดดไป มีกายน้อมโอนเอน ไปสู่ฝั่งโน้น ครั้นถึงตรงเบื้องบนฝั่งโน้นแล้ว จึงปล่อยเชือกสั่นอยู่ตกถึงพื้นดินฝั่งโน้น แล้วค่อย ๆ ยืนขึ้น อุปมานี้ ฉันใด อนุโลมญาณทำหน้าที่ในการแล่นเข้าสู่ความดับ ตัดขาดจากโคตรปุถุชน ฉันนั้น

สรุป โคตรภูญาณนี้ คือญาณที่ข้ามโคตรปุถุชน ตัดโคตรปุถุชน ก้าวขึ้นสู่แดนอริยชนตัดโลกิยารมณ์ ทั้งหมด ตัดโคตรปุถุชนให้หมดสิ้นไม่มีเหลือ พระวิปัสสนาญาณนี้เป็นเขตแดนระหว่างปุถุชนกับอริยชน อยู่ ใกล้ชิดกับมรรคเป็นที่สุด จึงเปรียบเสมือนไฟฉายส่องให้มรรคปรากฏ เพราะความใกล้ชิดกับมรรคนี่เองจึงมี

๑๑๑ ดูรายละเอียดใน ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๕๙/๙๔ – ๙๖.

๑๑๒ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๔๔ – ๔๕.

๑๑๓ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, หน้า ๑๒๘ – ๑๒๙.

ปัญหาขึ้นมาว่าโคตรภูญาณนี้ เป็นโลกิยญาณหรือ โลกุตรญาณ วิสัชนาว่ายังเป็นโลกิยญาณอยู่ ในขณะนี้ก็ เหมือนกัน คือ ‘โคตรภูญาณ’ นี้ เปรียบเสมือนทหารราชองครักษ์นำหน้ามรรคญาณมา ถึงแม้จะใกล้ชิดมรรค ญาณเป็นที่สุด ก็ยังเป็นโลกิยญาณอยู่! ส่วน ‘มรรคญาณ’เปรียบเสมือนองค์สมเด็จพระมหากษัตริย์ ซึ่งเสด็จ พระราชดำเนินตามหลังทหารราชองครักษ์คือโคตรภูญาณมา ย่อมมีอำนาจสมบูรณ์ เสวยอารมณ์พระนิพพาน ได้เต็มที่ เพราะเป็นโลกุตรญาณแท้

ลักษณะโคตรภูญาณ

โคตรภูญาณ คือ ญาณที่ตัดขาดจากโคตรปุถุชน ได้แก่รูปนามพร้อมทั้งจิตที่รู้ ดับลงไป สงบไป เงียบไป คือ ถึงพระนิพพานนั่นเอง หน่วงเอาพระนิพพานมาเป็นอารมณ์ ตรงที่เริ่มขาดความรู้สึกนั่นแหละ โคตรภูญาณ ดังบาลีว่า

• ๑. อุปฺปาทํ อภิภุยฺยตีติ โคตฺรภู ปัญญาที่ครอบงำความเกิด เรียกว่า โคตรภู

• ๒. ปวตฺตํ อภิภุยฺยตีติ โคตฺรภู ปัญญาที่ครอบงำความเป็นไปของรูปนาม เรียกว่า โคตรภู

• ๓. พหิทฺธาสงฺขารนิมิตฺตํ อภิภุยฺยตีติโคตฺรภู ปัญญาที่ครอบงำรูปนามข้างนอก เรียกว่าโคตรภู

• ๔. อนุปฺปาทํ ปกฺขนฺทตีติ โคตฺรภู ปัญญาที่แล่นไปสู่ความดับ เรียกว่า โคตรภู

• ๕. อปฺปวตฺตํ นิโรธํ นิพฺพานํ ปกฺขนฺทตีติ โคตฺรภู ปัญญาที่แล่นไปสู่ความไม่เป็นไป คือความ ดับสนิท ได้แก่ พระนิพพาน ชื่อว่า โคตรภู

• ๖. อุปฺปาทํ อภิภุยฺยิตฺวา อนุปฺปาทํ ปกฺขนฺทตีติ โคตฺรภู ปัญญาที่ครอบงำความเกิดแล้วแล่น ไปสู่ความไม่เกิด เรียกว่า โครตภู

สรุปความว่า ตรงที่ขาดความรู้สึกครั้งแรกนั่นแหละเป็น โคตรภูญาณ อยู่ในระหว่างโลกียะกับโล กุตตระต่อกัน

ญาณที่ ๑๔ มรรคญาณ ความหยั่งรู้ที่ให้สำเร็จภาวะอริยบุคคล๑๑๔ เมื่อโคตรภูจิตดับ อริยมรรค จิตเสวยนิพพานต่อชั่วขณะจิตหนึ่ง ญาณปัญญาที่เกิดร่วมกับมรรคจิต เรียกว่า มรรคญาณ เห็นนิโรธสัจ ส่วนทุกข์ สมุทัย มรรค เกิดพร้อมกัน๑๑๕เป็นโลกุตตระ เป็นอัปปนาวิถี๑๑๖ มีอินทรีย์เสมอกัน เริ่มหมด ความรู้สึกที่อนุโลมญาณ ก้าวสู่ความดับผ่านโคตรภูญาณ ถึงมรรคญาณ ชื่อว่า ญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นข้อ สุดท้ายในวิสุทธิ ๗ มีพระบาลีว่า

๑๑๔ พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หน้า ๒๒๗.

๑๑๕ เปรียบเหมือนคุณสมบัติของดวงไฟทำกิจ ๔ อย่างในขณะเดียวกัน คือ ๑.ทำให้ไส้ไหม้ ๒. ขจัดความมืด ๓.เกิดแสงสว่าง ๔.ทำให้น้ำมันหมดไป ข้อนี้ฉันใด มรรคญาณก็ฉันนั้น

๑๑๖ ตสฺสา มนฺตรเมว มคฺโค ทุกขสจฺจํ ปริชานนฺโต สมุทยสจฺจํ ปชหนฺโต นิโรธสจฺจํ สจฺฉิกโรนฺโต มคฺคสจฺ จํ ภาวนาวเสน อปฺปนาวีถิโมตรติฯ

ทุภโต วุฏฺ านวิวฏฺฏเน ปญฺ มคฺเค าณ

“ปัญญาในการออกและหลีกไปทั้งจากกิเลสขันธ์และจากนิมิตภายนอก ชื่อว่ามรรคญาณ”๑๑๗

คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค อธิบายไว้ว่า

ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ญาณที่ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสภาวะเห็น ย่อมออกจากมิจฉาทิฏฐิ ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐินั้น จากขันธ์ทั้งหลาย และออกจากสรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุ นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการออกและหลีกไปทั้งจากกิเลสขันธ์และจากนิมิตภายนอกญาณที่ชื่อว่าสัมมา สังกัปปะ เพราะมีสภาวะตรึก . . . ญาณที่ชื่อว่าสัมมาวาจา เพราะมีสภาวะกาหนดไว้ . . . ญาณที่ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ เพราะมีสภาวะเป็นสมุฏฐาน . . . ญาณที่ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ เพราะมีสภาวะผ่องแผ้ว . . . ญาณ ที่ชื่อว่าสัมมาวายามะ เพราะมีสภาวะประคองไว้ . . . ญาณที่ชื่อว่าสัมมาสติ เพราะมีสภาวะตั้งมั่น . . . ญาณที่ ชื่อว่าสัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไม่ฟุ้งซ่าน . . . เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการออกและหลีกไป ทั้งจากกิเลสขันธ์และจากนิมิตภายนอก ชื่อว่ามัคคญาณ

ในขณะแห่งสกทาคามิมรรค ญาณที่ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสภาวะเห็น ฯลฯ ญาณที่ชื่อว่า สัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมออกจากกามราคสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือกาม ราคะ) จากปฏิฆสังโยชน์ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพคือปฏิฆะ) จากกามราคานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ ในสันดานคือกามราคะ) จากปฏิฆานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานคือปฏิฆะ) ส่วนหยาบ ๆ ออกจากเหล่า กิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ์ทั้งหลายและออกจากสรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุนั้น ท่านจึง กล่าวว่า ปัญญาในการออกและหลีกไปทั้งจากกิเลสขันธ์ และจากนิมิตภายนอก

ในขณะแห่งอนาคามิมรรค ญาณที่ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสภาวะเห็น ฯลฯ ญาณที่ชื่อว่า สัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมออกจากกามราคสังโยชน์ จากปฏิฆสังโยชน์ จากกามราคานุสัย จากปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ์ทั้งหลายและออกจาก สรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการออกและหลีกไปทั้งจากกิเลสขันธ์และจาก นิมิตภายนอก

ในขณะแห่งอรหัตตมรรค ญาณที่ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะมีสภาวะเห็น ฯลฯ ญาณที่ชื่อว่า สัมมาสมาธิ เพราะมีสภาวะไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมออกจากรูปราคะ (ความกาหนัดในรูป) จากอรูปราคะ (ความกำหนัด ในอรูป) จากมานะ (ความถือตัว) จากอุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) จากอวิชชา(ความไม่รู้) จากมานานุสัย (กิเลสที่ นอนเนื่องอยู่ในสันดานคือมานะ) จากภวราคานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานคือภวราคะ) จากอวิชชา นุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานคืออวิชชา)ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาสมาธินั้น จากขันธ์ ทั้งหลายและออกจากสรรพนิมิตภายนอก เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าปัญญาในการออกและหลีกไปทั้งจาก กิเลสขันธ์และจากนิมิตภายนอก ชื่อว่ามัคคญาณ๑๑๘

๑๑๗ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๖๑/๗๑., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๑/๙๙.

๑๑๘ ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๑/๙๙ – ๑๐๑.

อรรถกถา สัทธัมมปัชโชติกา อธิบายว่า

มรรคญาณเกิดขึ้น ทาพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ต่อจากโคตรภูญาณ, ตัดกิเลสอันจะพึงฆ่าเอง โดยไม่มีส่วนเหลือ, เผาผลาญห้วงสมุทรคือทุกข์ในสังสารวัฏอันมีเบื้องต้นและที่สุดอันบุคคลไปตามอยู่รู้ไม่ได้ แล้วให้เหือดแห้งไป, ปิดประตูอบายทั้งปวงเสีย, การทำอริยทรัพย์ ๗ ให้ปรากฏอยู่ต่อหน้า, ละมิจฉามรรค ประกอบด้วยองค์ ๘, ทำเวรภัยทั้งปวงให้สงบ, มรรคญาณ ออกจากนิมิต เพราะมีพระนิพพานอันไม่มีนิมิตเป็น อารมณ์, และย่อมออกจากกิเลสและขันธ์ที่เป็นไปเพราะตัดสมุทัยได้ขาด ฉะนั้นจึงชื่อว่า ทุภโตวุฏฐานะ ออก โดยส่วนทั้งสอง๑๑๙

นวองคุลี อธิบายที่ชื่อว่าออกโดยส่วนทั้งสองเพราะออกจากสังขารนิมิต หมายถึงตลอดระยะเวลา อันยาวนานในสังสารวัฏ จะมีแต่สังขารนิมิตต่าง ๆ เช่น สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง รัก โกรธ ชัง ชอบ ฯลฯ เป็นอารมณ์มาโดยตลอด ในวาระที่มรรคจิตเกิดขึ้นจะเป็นครั้งแรกที่มีอนิมิตเป็นอารมณ์ ออกจากขันธ์ หมายถึงรูปนามขันธ์ ๕ นี้ เกิดดับมายาวนานตลอดสังสารวัฏยังไม่มีครั้งใดเลยที่จะหยุดกระแสเกิดดับต่อเนื่องนี้ ได้ แต่พอปฏิบัติจนมรรคจิตเกิดขึ้น มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ กระแสของรูปนามไตรลักษณ์ที่เกิดดับต่อเนื่องก็ หยุดลง จากนั้นมรรคญาณก็จะทำการประหานกิเลส ๓ กองให้หมดไปจากขันธสันดาน ก็คือ

สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิที่ยึดถือว่ารูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นสัตว์บุคคล สีลัพพตปรามาส การถือปฏิบัติในศีลและพรต ที่มิใช่ทางแห่งความดับทุกข์ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในธรรม๑๒๐

พระพรหมโมลี อธิบายไว้ถึงการที่ผู้ปฏิบัติก้าวข้ามโคตรภูญาณเข้าสู่มรรคญาณ มีลักษณะอาการไม่ เหมือนกันว่า เมื่อพ้นจากโคตรภูญาณแล้ว เข้าสู่มรรคญาณซึ่งมีลักษณะสภาวะแห่งความดับ สำหรับความดับนี้ ดังที่ได้กล่าวไว้ในโคตรภูญาณนั้นมันเป็นความดับที่ไม่จริง พอเข้าสู่มรรคญาณแล้วก็ยังอยู่ในความดับ และ อาการที่อยู่ในความดับนี้มีลักษณาการไม่เหมือนกันดังต่อไปนี้

(๑) สำหรับผู้ปฏิบัติที่มีศรัทธามาก คือมีสัทธินทรีย์แก่กล้า ย่อมจะเห็นอนิจจลักษณ์ได้ชัดเจน มากที่สุด เพราะอนิจจลักษณ์มีกาลังแรงมากกว่า ทาให้วิปัสสนาที่กาลังแล่นเข้าสู่มรรคดาเนินไปอยู่นั้นเป็นเหตุ ให้ผู้ปฏิบัติสามารถเห็นรูปนามแสดงความไม่เที่ยงอย่างละเอียดสุขุมอย่างยิ่ง จนในที่สุดก็ดับไป ลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าการเข้าสู่มรรคทางอนิจจัง

(๒) สำหรับผู้ปฏิบัติที่มีสมาธิมาก คือมีสมาธินทรีย์แก่กล้า ย่อมจะเห็นทุกขลักษณ์ชัดเจนมาก ที่สุด เพราะทุกขลักษณ์มีกาลังแรงมากกว่า ทำให้วิปัสสนาที่กำลังแล่นเข้าสู่มรรคดำเนินไปอยู่นั้น เป็นเหตุให้ผู้ ปฏิบัติเห็นรูปนามแสดงความเป็นทุกข์ให้ปรากฏเห็นอย่างชัดเจนที่สุด แล้วดับไปในที่สุด ลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าการเข้าสู่มรรคทางทุกขัง

๑๑๙ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๔๖.

๑๒๐ นวองคุลี, วิปัสสนาญาณ, หน้าที่ ๑๘๘ – ๑๘๙.

(๓) สำหรับผู้ปฏิบัติที่มีปัญญามาก คือมีปัญญินทรีย์แก่กล้า ย่อมจะเห็นอนัตตลักษณ์ชัดเจน ที่สุด เพราะอนัตตลักษณ์มีกาลังแรงมากกว่า ทาให้วิปัสสนาที่กาลังแล่นเข้าสู่มรรคดำเนินไปอยู่นั้นเป็นเหตุให้ผู้ ปฏิบัติเห็นรูปนามแสดงความเป็นอนัตตาให้เห็นปรากฏอย่างชัดเจนที่สุด (ส่วนจะแสดงออกมาชัดในลักษณะ ใดบ้างนั้น ผู้รู้ท่านไม่ได้แสดงเอาไว้ คงปล่อยให้เป็นเรื่องปัจจัตตัง สำหรับผู้ปฏิบัติจะพึงประสบด้วยตนเอง) มี อาการละเอียดสุขุมยิ่งนัก แล้วค่อย ๆ เล็กลง ๆ เหมือนเส้นด้ายที่เล็กที่สุดและขาดดับหายไป ลักษณะอย่างนี้ เรียกว่าการเข้าสู่มรรคทางอนัตตา๑๒๑ และโดยทันทีที่เข้าสู่เขตโคตรภูซึ่งเป็นญาณที่มีความรู้สุกงอมอยู่ใน ขณะนั้น มรรคญาณก็รอรับผู้ปฏิบัติผู้ซึ่งมีอินทรีย์สมบูรณ์นั้นอยู่ และเมื่อผ่านเข้าเขตแดนแห่งมรรคญาณ เขาก็ ได้บรรลุความเป็นอริยชนในฉับพลันนั้นเอง และ ณ ญาณนี้เอง ผู้ปฏิบัติจึงมีปรีชาหยั่งรู้อริสัจทั้งสี่ คือ ทุกขอริย สัจ สมุทยอริยสัจ นิโรธอริยสัจ และมัคคอริยสัจอย่างทั่วถึงโดยตลอด๑๒๒

การที่ผู้ปฏิบัติคนใดคนหนึ่งจะเข้าสู่มรรคญาณได้นั้นจะต้องเข้าทางพระไตรลักษณ์ตามอานาจ วาสนาบารมีได้สั่งสมมาแตกต่างกันของแต่ละบุคคลเท่านั้น จะไม่มีทางอื่นนอกเหนือไปจาก ๓ ทางที่กล่าว มาแล้วนั้นอย่างแน่นอน

อรรถกถา สัทธัมมปาสินีแสดงอุปมาขั้นตอนของการโอนข้ามโคตรปุถุชนมาสู่โคตรอริยชน ไว้ดังนี้

บุรุษปรารถนาจะโดดข้ามแม่น้าน้อยขึ้นไป ยืนอยู่บนฝั่งโน้น จึงจับเชือกหรือท่อนไม้ ที่ติดอยู่กับ ต้นไม้บนฝั่งนี้ แล้วโดดข้ามไปโดยเร็ว จนตัวไปตกอยู่บนฝั่งโน้น เมื่อตัวตกที่ฝั่งโน้นแล้วก็ละความ หวาดหวั่นนั้น ขึ้นอยู่บนฝั่งได้ฉันใด, พระโยคีบุคคลผู้ปรารถนาจะข้ามพ้นกิเลสทั้งหลาย เห็นภัยฝั่งนี้ ล้วนแล้วด้วยสักกายทิฏฐิ แล้วยืนอยู่ที่ฝั่งคือพระนิพพานอันไม่มีภัย จึงจับเชือกคือรูปขันธ์เป็นที่ยึดโดด มาโดยเร็วด้วยอุทยัพพยานุปัสสนาเป็นเบื้องแรก หรือจับไม้กล่าวคือนามขันธ์นั้นไว้ด้วยดี กระโดดมา ด้วยอาวัชชนจิตโดยนัยตามที่กล่าวแล้วในก่อน โดดขึ้นด้วยอนุโลมญาณ แล้วโน้มไปในพระนิพพาน เข้าไปสู่ที่ใกล้แห่งพระนิพพานนั้น ก็ปล่อยอารมณ์คือสังขารธรรมนั้นเสียได้ด้วยโคตรภูญาณ แล้วตกลง ที่ฝั่งอื่นคือพระนิพพานอันเป็นอสังขตธรรม แต่นั้นก็ตั้งอยู่ด้วยมรรคญาณ ฉันนั้น๑๒๓

อรรถกถา สุมังคลวิลาสินี ได้อธิบายเรื่องอินทรีย์ไว้ว่า ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรคสัทธินทรีย์ ย่อม บริบูรณ์ด้วยอรรถคือการน้อมนึก วิริยินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือการยกย่องสตินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ด้วย อรรถคือการระลึกถึง สมาธินทรีย์ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือความไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถ คือการเห็น มนินทรีย์ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือการรู้แจ้ง โสมนัสสินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือความ เพลิดเพลินยิ่ง ชีวิตินทรีย์ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือความเป็นใหญ่แห่งการสืบต่อยังเป็นไป๑๒๔

๑๒๑ พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, หน้า ๒๙๓-๓๐๒.

๑๒๒ อู ชะนะกาภิวังสะ, พระกัมมัฏฐานาจาริยะ, ธรรมบรรยายเกี่ยวกับธรรมปฏิบัติ, หน้า ๑๕๕-๑๕๖.

๑๒๓ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๔๖ – ๔๗.

๑๒๔ ที.ป.อ. (ไทย) ๑๖/๓/๒/-/๔๖๐.

สรุปได้ว่า ในสภาวะญาณทั้งหมดนี้ มีสภาวธรรมที่ปรากฏให้เป็นตามสภาพเป็นจริง ๔ อย่างคือ วิ เสสลักษณะ, สามัญลักษณะ, อริยสัจ ๔ และนิพพาน การเห็นความเกิดดับของรูปนามในอุทยัพพยญาณ และ เห็นความดับไปของรูปนามอย่างเดียวในภังคญาณ สงเคราะห์เข้าในการเห็นสามัญลักษณะ เพราะหมายเอา การเห็น การเกิดขึ้น การแปรปรวน และการดับไปของรูปนาม ที่เหลือนอกนั้นเป็นมุมมองต่อสิ่งที่ถูกเห็น เช่น ความรู้สึกกลัว ความรู้สึกเบื่อ ความอยากหลุดพ้นเป็นต้น

ลักษณะมรรคญาณ

หลังจากขาดความรู้สึกลงไปแล้ว ทรงอยู่ ๑ ขณะ ตรงนี้เป็นมรรค ตัดกิเลสเป็น สมุจเฉทประหาร คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสขาดเด็ดลงไปตรงญาณนี้ ญาณนี้มีนิพพานเป็นอารมณ์ถึงพระนิพพาน ที่ตรงญาณนี้ ญาณนี้เป็น โลกุตตระ

ลักษณะการดับแตกต่างกันมีลักษณะ ดังนี้

ลักษณะที่ ๑ สังขารสุขุมละเอียดอย่างยิ่ง ดับไป เรียกว่า ดับทางอนิจจัง๑๒๕ ลักษณะที่ ๒ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นอย่างแรง ในที่สุดดับไป เรียกว่า ดับทางทุกขัง๑๒๖ ลักษณะที่ ๓ สังขารละเอียดอย่างยิ่ง ค่อยๆ หายดับไป เรียกว่า ดับทางอนัตตา๑๒๗

ญาณที่ ๑๕ ผลญาณ ความหยั่งรู้ที่เป็นผลสำเร็จปัญญาญาณในอริยผล๑๒๘ เมื่อมรรคจิตดับผล

จิตเสวยนิพพานทันที ๒ ขณะญาณที่เกิดร่วมผลจิต เรียกว่า ผลญาณ เป็นญาณโลกุตตระ มรรคญาณไม่ว่า ชั้นใดเกิดขณะจิตเดียวเท่านั้น ผลญาณปรากฏ ๒-๓ ขณะจิต๑๒๙ การกำหนดรู้ดำเนินต่อไป๑๓๐ ในปฐมมรรค หรือโสดาปัตติมรรค ได้ประหารกิเลส ๕ อย่าง๑๓๑ คือ

๑) ความเห็นว่าเป็นตัวของตน๑๓๒ ๒) ความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ ๑๓๓

๑๒๕ ยทิ วุฏฺ านคามินี วิปสฺสนา ทุกฺขโต วิปสฺสติ อปฺปณิหิโต วิโมกฺโข นาม โหติฯ ๑๒๖ ยทิ วุฏ านคามินี วิปสฺสนา อนิจฺจาโต วิปสฺสติ อนิมิตฺโต วิโมกฺโข นาม โหติฯ ๑๒๗ ยทิ วุฏ านคามินี วิปสฺสนา อนตฺตโต วิปสฺสติ สุญฺ โต วิโมกฺโข นาม โหติฯ ๑๒๘ พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ประมวลศัพท์, หน้า ๑๗๗.

๑๒๙ ฝ่ายวิชาการอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย , วิปัสสนากรรมฐาน, หน้า ๒๓๑.

๑๓๐ ตโตปรํเทวตีณิผลจิตฺตานิปวตฺติตวานิรุชฌนฺติฯตโตปรํภวงฺคปาโตวโหติฯปุนภวงฺคํปนวิจฺฉินฺทิตวาปจฺจเวกฺขณ าณานิปวตฺตนฺติฯ

๑๓๑ วิสุทธิมัคคอรรถกถา ว่า สํโยชเนสุ ตาว สกฺกายทิฏฺ ิวิจิกิจฺฉาสีลพฺพตปรามาโส อปายคมนียา จ กาม

ราคปฏิฆาติ เอเต ปญฺจ ธมฺมา ปฐมญาณวชฺฌาฯ

๑๓๒ สักกายทิฏฐิคือความเห็นว่าเป็นตัวของตนเป็นเหตุถือตัวตนเช่นเห็นรูปเป็นตนเห็นนามเป็นตน

๑๓๓ วิจิกิจฉา คือความลังเลไม่ตกลงได้,ความไม่แน่ใจ, ความสงสัย เป็นต้น

๓) ความยึดถือว่าบุคคลบริสุทธิ์ด้วยศีล และวัตรเท่านั้น๑๓๔ ๔) การนำไปสู่อบายภพโดยกามราคะ ๑๓๕

๕) การนำไปสู่อบายภพโดยปฏิฆะ๑๓๖

อรรถกถา สารัตถปกาสินี อธิบายว่า โสดาปัตติผลย่อมเกิดขึ้นในระหว่างแห่งโสดาปัตติมรรค เท่านั้น วาระของจิตอื่นในระหว่างหามีไม่๑๓๗ หมายถึง ลาดับนั้นผลญาณก็จะเกิดขึ้นต่อจากมรรคญาณทันที ไม่ มีระหว่างมากั้น เพราะมรรคญาณนั้นจะปรากฏอยู่ได้เพียงระยะเวลาชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น และจะปรากฏขึ้น เพียงครั้งเดียวไม่ว่าจะเป็นมรรคญาณชั้นใด เป็นนิยามของโลกุตตรกุศลที่จะต้องมีวิบากแบบเฉียบพลัน จึงต่าง จากกุศลกรรมหรืออกุศลทั่วไป ที่ทำลงไปแล้วบางครั้งกว่าวิบากจะส่งผล ต้องใช้เวลานานพอสมควร บุคคลเมื่อ ทากรรมไม่ว่ากุศลหรืออกุศลที่ประกอบด้วยเจตนา ย่อมสำเร็จเป็นกรรม เมื่อมีกรรมก็ต้องมีผลของกรรมคือ วิบาก เกิดขึ้นตามมาภายหลัง เพียงแต่มรรคกุศลจะให้ผลแบบเฉียบพลันคือทันที ไม่มีอะไรมาขั้นได้เลย แม้ กรรมประเภทวิปัสสนาภาวนาทั้งระบบตั้งแต่ต้นจนถึงสังขารุเปกขาญาณ จะให้ผลแบบมีระหว่างขั้น คือต้อง อาศัยกาลเวลาที่จะส่งผลโดยทาให้มีปัญญามากทั้งภพนี้และภพหน้า ยกเว้นอนุโลมญาณ และโคตรภูญาณ ใน กรณีที่ข้ามชาติ แต่ก็ยังมีระหว่างขั้น

พระพรหมโมลี อธิบายว่า ผลญาณนี้เมื่อกล่าวตามประเภทของผู้ปฏิบัติ มีอยู่ ๒ ประเภทคือ บุคคล ประเภทมัณฑบุคคล คือ บุคคลผู้มีปัญญาน้อย ปัญญาไม่แก่กล้า ผลญาณปรากฏในระยะนี้ ๒ ครั้ง หมายความ ว่า ท่านก้าวเข้าสู่มรรคผลอย่างเชื่องช้า โดยต้องมี ปริกรรม เป็นขณะแรกเสียก่อน สาหรับติกขบุคคล คือ บุคคลผู้ มีปัญญาแก่กล้า ผลญาณปรากฏในระยะนี้ ๓ ครั้ง หมายความว่า ท่านก้าวเข้าสู่มรรคผลอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีบริกรรมต่อจากผล ๓ ครั้ง ก็มี ภวังค์ มาคั่นแล้วจึงบรรลุถึงปัจเวกขณญาณ อันเป็นญาณสุดท้ายเลย ทีเดียว๑๓๘

ลักษณะผลญาณ

ผลญาณเป็นผลของมรรค คือหลังจากความตั้งมั่น ๑ ขณะของมรรคไปแล้ว ผลจิตมีนิพพานเป็น อารมณ์เกิดขึ้น ๒-๓ ขณะจิ ต ญาณนี้เป็น โลกุตตะ

ญาณที่ ๑๖ ปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้การพิจารณาทบทวน กิเลสที่ละ หรือที่เหลือ และ นิพพาน เว้นแต่พระอรหันต์ไม่มีกิเลสที่เหลือ๑๓๙ลักษณะญาณครั้นผลจิตดับ ภวังคจิตเกิดสืบต่อแล้ว

๑๓๔ สีลัพพตปรามาส คือความยึดถือว่าบุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยศีลและวัตรเท่านั้น

๑๓๕ อปายคมนียกามราคะ คือการนำไปสู่อบายภพได้โดยกามราคะ

๑๓๖ อปายคมนียปฏิฆะ คือการนำไปสู่อบายภพได้โดยปฏิฆะ

๑๓๗ ส.ส.อ. (ไทย) ๒๔/๑/๑/-/๘๔.

๑๓๘ พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, หน้า ๓๐๓-๓๐๖.

๑๓๙ พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, หน้า ๑๖๑.

กามาวจรกุศลจิตญาณสัมปยุต เกิดขึ้นพิจารณามรรคผลเป็นต้น หรือกลับไปพิจารณาสภาวะที่เข้าสู่ความดับ ว่าเป็นอะไรไป ในอรรถกถาว่า อริยบุคคลที่ไม่ได้พิจารณาก็มี ในอภิธัมมัตถสังคหอรรถกถาว่า อริยบัณฑิตพหุ สูตย่อมพิจารณากิเลสที่ละ และกิเลสที่เหลือ บุคคลไม่มีปริยัติไม่ได้พิจารณา แต่ก็กำหนดต่อไป มีบาลีว่า

ตทา สมุปาคเต ธมฺเม ปสฺสเน ปญฺ า ปจฺจเวกฺขเณ าณํ

แปลว่า ปัญญาในการเห็นธรรมที่มาร่วมกันในขณะนั้น ชื่อว่าปัจจเวกขณญาณ๑๔๐

อรรถกถา สัทธัมมปกาสินี อธิบายว่า ปัญญาเป็นเครื่องเห็น เพ่ง รู้ในธรรมคือมรรคและผล กับทั้ง ในธรรมคือสัจจะ ๔ ที่เกิดขึ้นในมรรคขณะและผลขณะ คือมาพร้อมแล้ว ถึงพร้อมแล้วประชุมกันในกาลนั้น ด้วยสามารถแห่งการได้เฉพาะและด้วยสามารถแห่งการแทงตลอด๑๔๑

พระพรหมโมลี อธิบายว่า ปัจจเวกขณญาณ หรือญาณที่ต้องให้พิจารณาอีกทีหนึ่งนี้ มีการกำหนด หรือพิจารณา ๕ ประการ คือ

๑) มัคคปัจจเวกขณญาณ ได้แก่พิจารณามรรคที่ตนได้บรรลุด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นสัมมาปฏิบัติ กล่าวคือปฏิบัติอย่างถูกต้องถ่องแท้

๒) ผลปัจจเวกขณญาณ ได้แก่พิจารณาผลที่ตนได้บรรลุ ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็น สัมมาปฏิบัติ กล่าวคือปฏิบัติอย่างถูกต้องถ่องแท้

๓) นิพพานปัจจเวกขณญาณ ได้แก่พิจารณาพระนิพพานอมตธรรมที่ตนได้เห็นแล้วโดยความ เป็นอารมณ์ ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นสัมมาปฏิบัติ กล่าวคือปฏิบัติอย่างถูกต้องถ่องแท้

๔) ปหีนกิเลสปัจจเวกขณญาณ ได้แก่การพิจารณากิเลสที่ละแล้วประหารแล้วด้วยการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานเป็นสัมมาปฏิบัติ กล่าวคือปฏิบัติอย่างถูกต้องถ่องแท้

๕) อวสิฏฐกิเลสปัจจเวกขณญาณ ได้แก่การพิจารณากิเลสที่ยังเหลือติดอยู่ในขันธสันดาน ซึ่งตน ยังละไม่ได้ คือกองกิเลสที่จาต้องประหารด้วยมรรคญาณเบื้องต้น ๓ ชนิด มีทุติยมรรคเป็นต้น โดยนัยว่า “กิเลสเหล่านี้ยังมีอยู่ในขันธสันดานแห่งเรา”

ในการพิจารณาทั้ง ๕ ประการนี้ ผู้ปฏิบัติบางท่านอาจจะพิจารณาได้ทั้งหมด บางท่านอาจจะ พิจารณาได้เพียง ๓ ประการแรกเท่านั้น๑๔๒

วิปัสสนาญาณสุดท้ายคือปัจจเวกขณญาณนี้ เมื่อว่าตามสภาวะก็ได้แก่ การพิจารณามรรคผล นิพพานที่ตนได้บรรลุถึงเมื่อสักครู่นี้ ด้วยความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น เพราะว่าตนไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นมาก่อน และแล้วในระยะนี้ หากว่าโยคีบุคคลผู้นั้น จะต้องตั้งสติมั่นกาหนดในบทกรรมฐานอีกต่อไป แล้วสภาวะแห่งพระวิปัสสนาญาณ ก็จะตกพรวดลงมาถึงญาณเบื้องต่าคือ‘อุทยัพพยญาณ’ (ญาณที่ ๔) อีกใน

๑๔๐ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๖๕/๗๖., ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๖๕/๑๐๖.

๑๔๑ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๖๘/๗/๑/-/๕๐.

๑๔๒ พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, หน้า ๓๑๕.

ทันทีทันใด ทั้งนี้ก็เพราะว่าโยคีบุคคลได้อุสาหะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมา จนบรรลุถึงพระวิปัสสนาญาณ สูงสุดยอดแห่ง ‘ปฐมมรรค แล้ว และไม่มีพระวิปัสสนาญาณอื่นที่จะสูงกว่าอีก สภาวญาณจึงตกมาสู่จุดเริ่มต้น ใหม่ เพื่อที่จะเดินทางไปสู่ ‘ทุติยมรรค’ ต่อไปถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีต้นทาง พอไปถึงสถานีปลายทางแล้วต้องหยุด เพราะไม่มีทางที่จะต่อไปอีกแล้ว แต่เมื่อมีความประสงค์ใคร่จะเดินทาง เป็นเที่ยวที่สอง ก็ต้องกลับมาตั้งต้นใหม่ที่สถานีต้นทางฉะนั้น

ลักษณะปัจจเวกขณญาณ

ปัจจเวกขณญาณ ได้แก่ การพิจารณากิเลสที่ละ ที่เหลืออยู่ มีอยู่ ๕ ประการ คือ ๑. พิจารณามรรคว่า เรามาแล้วโดยมรรคนี้

• ๒. พิจารณาผลว่า อานิสงส์นี้เราได้แล้ว

• ๓. พิจารณากิเลสที่ละแล้วว่า กิเลสเหล่านี้เราละได้แล้ว

• ๔. พิจารณากิเลสที่เหลืออยู่ว่า กิเลสเหล่านี้ของเรายังเหลืออยู่

• ๕. พิจารณานิพพานว่า ธรรมวิเศษนี้ เราแทงตลอดแล้วโดยมีนิพพานเป็นอารมณ์ สรุปความว่า การที่ผู้ปฏิบัติกำหนดพอง ยุบ อยู่นั้น เวลาจะเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน มีอาการเป็น

๓ อย่างคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังที่แสดงมาแล้วนั้น ส่วนปัจจเวกขณะนี้ ได้แก่ อาการที่กำหนดไปๆ เมื่อ ดับวูบลงไปแล้ว ขาดความรู้สึกไปหมดสิ้น ครั้นรู้สึกตัวขึ้นมาจะพิจารณาว่า เอ๊ะนี่เราเป็นอะไรไป แล้วรีบ กำหนดพอง ยุบ ต่อไปอีก พอง ยุบจะรู้สึกว่าปรากฏชัดเจนกว่าปกติ การพิจารณาว่า เอ๊ะนี่เราเป็นอะไรไป เป็น ปัจจเวกขณญาณ ผลสมาบัติ คือการเข้าไปชมผลของมรรคที่ตนได้ผ่านมาแล้วนั้น อธิฐานให้จิตดับสงบเงียบ โดยไม่รู้สึกตัวเลย ประมาณ ๕ นาที จนถึง ๒๕ ชั่วโมง หรือ ๗ วัน ๗ คืนก็ได้ แล้วแต่กำลังแห่งสมาธิ ถ้าสมาธิดี ก็อยู่ได้นาน

สรุปความ อาการที่พอง ยุบ ปรากฏเร็ว เป็น อนิจจัง พอง ยุบ ปรากฏแน่นๆ อึดอัดใจ เป็น ทุกขัง พองยุบแผ่วเบา หรือสม่ำเสมอเป็น อนัตตา

รู้ว่าดับไปตอนพอง หรือตอนยุบ ตอนนั่งหรือ ตอนถูก เป็นอนุโลมญาณ การขาดความรู้สึกครั้งแรก เป็นโคตรภูญาณ หลังจากขาดความรู้สึกนั้นไป ทรงอยู่ ๑ ขณะ เป็น มรรคญาณ หลังจากนั้นไปทรงอยู่ ๒-๓ ขณะ เป็นผลญาณ

พอรู้สึกตัวขึ้นมา พิจารณาว่า เอ๊ะเราเป็นอะไรไป ง่วงนอนหรืออย่างไร เป็น ปัจจเวกขณญาณ

เมื่อว่าโดยสภาวะแล้ว คือ เวลากำหนดพองยุบอยู่นั้น จะมีอาการไว หรือแผ่วเบา หรืออึดอัด แล้วก็ ดับวูบลงไปประมาณ ๒-๓ วินาทีเท่านั้น ดีดมือยังช้ากว่า

ญาณที่ ๑๒-๑๓-๑๔-๑๕-๑๖ เกิดติดต่อกันเลย ไม่มีอะไรคั่นระหว่าง ผู้ปฏิบัติจะรู้เพียงญาณที่ ๑๒ กับ ๑๖ เท่านั้น นั่นคือ จะรู้ว่าขณะดับนั้น ดับไปตอนพองหรือตอนยุบ ซึ่งเป็นญาณที่ ๑๒ ญาณที่ ๑๓-๑๔-๑๕ จะไม่รู้สึกเลย เพราะดับเงียบไปหมดแล้ว พอรู้ตัวขึ้นมาพิจารณาว่า เอ๊ะเราเป็นอะไรไปก็เป็นญาณที่ ๑๖

หลักการตรวจสอบผลของการปฏิบัติวิปัสสนาจนบรรลุพระนิพพานโดยผ่านญาณ ๑๖ เทียบกับ วิสุทธิ ๗๑๔๓มาตามลำดับดังกล่าว แสดงให้ทราบว่าผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความรู้ทั้ง ๑๖ ประการผ่านครั้งแรกเป็น พระโสดาบัน ได้ถึงจุดหมายอันยิ่งใหญ่ในชีวิต ได้สมบัติอันเป็นอมฤต แม้สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ สมบัติท้าว สักกะ สมบัติท้าวมหาพรหม เทียบโสดาบันไม่ได้๑๔๔ จากนั้น ความรู้ของผู้ปฏิบัติธรรมจะเริ่มต้นที่อุทยัพพย ญาณ เพราะคุณภาพของญาณมีความละเอียดประณีตสามารถกำจัดกิเลสได้มากขึ้น ในวิสุทธิมรรคอรรถกถาว่า โสดาปัตติมรรคประหาร สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส, อปายคมนียกามราคะ๑๔๕และ อปายคมนีย ปฏิฆะ สกทาคามิมรรคประหารกามราคะและปฏิฆะที่ไม่เป็นอปายคมนียะ๑๔๖ อนาคามิมรรคประหารกาม ราคะ และปฏิฆะที่ไม่เป็นอปายคมนียะ๑๔๗อรหัตตมรรคประหารอุทธัมภาคียะสังโยชน์ ๑๔๘สังโยชน์ ๑๐ ประการ ในจิตสันดานขาดสิ้นไป หลุดพ้นจากกิเลสทุกชนิด ไม่มีเชื้อเหลือให้เกิด แก่ เจ็บ ตายในภพใดๆ เลย การบรรลุตั้งแต่โสดาปัตติผลขึ้นไป เป็นโลกุตตรสมบัติ ไม่ต้องไปสู่อบายภูมิ ต่างจากมนุษย์ เทวดา และทิพย สมบัติเป็นโลกียสมบัติ ย่อมเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ไม่พ้นจากสังสารทุกข์ได้เลย แต่สำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาตามสติปัฏฐาน ๔ จะเป็นวิธีเข้าถึงอริยสัจจธรรมในทางพระพุทธศาสนาที่บริบูรณ์อย่างแท้จริง ๑๔๙ ความรู้เหล่านี้จึงเป็นหลักตรวจสอบผลของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

๑๔๓ วิปสฺสนา กมฺมฏฺ าเน ปน สีลวิสุทฺธิ จิตฺตวิสุทฺธิ าณทสฺสนวิสุทฺธิ เจติ สตฺตวิเธน วิสุทฺธิสงฺคโห

๑๔๔ ปฐพยา เอกรชฺเชน สคฺคสฺส คมเนน วา สพฺพ โลกาธิปฺปจฺเจน โสตาปตฺติผลํ วรํ.

๑๔๕ อปายคมนียกามราคะ คือ กามอารมณ์ทั้ง ๕ มากระทบทวารทั้ง ๕ แล้วมีความยินดีพอใจเป็นอย่างมากจน สามารถจะล่วงอกุศลกรรมบถได้เช่นความพอใจในรูปารมณ์ที่มากระทบสามารถให้กระทำกาเมสุมิจฉาจารได้เป็นต้นพระ โสดาบันบุคคลละได้ (อปายคมนียปฏิฆะก็เช่นกัน)

๑๔๖ กามราคะที่ไม่เป็นอปายคมนียะชนิดที่เป็นโอฬาริกอย่างหยาบเป็นความพอใจในกามอารมณ์ทั้ง ๕แต่ความ พอใจนั้นไม่รุนแรงเป็นความพอใจที่ปรากฏอยู่แต่ในใจพอประมาณพระสกทาคามีบุคคลละได้ (ปฏิฆะที่ไม่เป็นอปายคมนีย ปฏิฆะเป็นโอฬาริกก็เช่นกัน)

๑๔๗ กามราคะที่ไม่เป็นอปายคมนียะชนิดที่เป็นสุขุมได้แก่กามอารมณ์ ๕ เมื่อมากระทบทางทวารทั้ง ๕แล้วไม่อาจ ยังให้เกิดความยินดีติดอยู่ในอารมณ์นั้นๆได้เช่นรูปารมณ์ที่มากระทบจักขุทวารแม้รูปารมณ์นั้นจะมีความสวยงามสักเพียงไรก็ไม่ สามารถทำให้เกิดความกำหนัดยินดีติดอยู่ในอารมณ์นั้นๆได้พระอนาคามีบุคคลละได้เด็ดขาด ( ปฏิฆะที่ไม่เป็นอปายคมนีย ปฏิฆะเป็นสุขุมก็เช่นกัน)

๑๔๘ สํโยชเน สุตาว สกฺกายทิฏฺิ วิจิกิจฺฉา สีลพฺพตปรามาโส อปายคมนียา จ กามราคปฏิฆาติ เอเต ปญฺจธมฺมา

ป ม าณวชฺฌาเสสา กามราคปฏิฆา โอฬาริกา ทุติย าณวชฺฌา สุขุมา ตติย าณวชฺฌา รูปราคา ทโยปญฺจปิจตุตฺถ าณวชฺฌา เอวฯ

๑๔๙ สํ.มหา.(ไทย) ๑๙/๑๑๐๐/๖๑๑.

วิปัสสนาญาณ ๓ ระดับ

อนึ่ง วิปัสสนาญาณแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ

• ๑. ญาณระดับสูง หมายถึง ภังคญาณเป็นต้นไป ขณิกสมาธิที่ประกอบด้วยญาณนี้เป็นสมาธิแก่กล้า ดังข้อความในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค๑๕๐ ว่า วยลกฺขณูปฏฺฐาเนกตฺต ความตั้งมั่นที่ปรากฏโดย ลักษณะดับไป และข้อความในคัมภีร์วิสุทธิมรรค๑๕๑ ที่แสดงเรื่องภังคญาณ

• ๒. ญาณระดับกลาง หมายถึง อุทยัพพยญาณ ขณิกสมาธิที่ประกอบด้วยญาณนี้เป็นสมาธิปาน กลาง ดังคัมภีร์วิสุทธิมรรค๑๕๒ กล่าวถึงญาณนี้ว่า ตรุณวิปสฺสนา วิปัสสนาญาณที่ยังไม่แก่กล้า และกล่าวถึงผู้ถึงพร้อมด้วยญาณนี้ว่าอารทฺธวิปสฺสก ผู้ปรารภวิปัสสนา ทั้งสอดคล้องกับพระ บาลี๑๕๓ ที่กล่าวถึงองค์คุณของนักปฏิบัติ ปธานิยงฺค ๕ ประการในข้อสุดท้ายว่า เป็นผู้ตามเห็น ความเกิดขึ้นและดับไปความจริงแล้วญาณนี้เป็นวิปัสสนาญาณขั้นแรกในญาณที่แก่กล้าบริบูรณ์

• ๓. ญาณระดับต่ำ หมายถึง นามรูปริจเฉทญาณ และปัจจยปริคคหญาณขณิกสมาธิที่ประกอบด้วย ญาณนี้เป็นสมาธิขั้นต่ำ อย่างไรก็ตาม นิวรณ์ ๕ ย่อมไม่เกิดขึ้นในขณะที่กำหนดรู้สภาวธรรม ในขณะนั้นวิปัสสนาจิตจะหมดจดปราศจากนิวรณ์ ญาณทั้งสองนี้จึงเกิดขึ้นหยั่งเห็นสภาวลักษณะ คือ ลักษณะเฉพาะของรูปนามได้ แม้ขณิกสมาธิในญาณระดับนี้ก็มีกำลังเทียบเท่ากับอุปจาร สมาธิเช่นกัน มิฉะนั้น แล้วก็ไม่อาจหยั่งเห็นรูปนามตามความเป็นจริง สมาธินี้จึงจัดเป็นจิตตวิ สุทธิซึ่งเกื้อกูลแก่ญาณทั้งสองนั้น ดังข้อความว่า

“สภาพที่ไม่ชัดส่ายในวิปัสสนา จิตที่ประกอบด้วยนามรูปปริจเฉทญาณ และ ปัจจยปริคคหญาณ นั้น ชื่อว่า อธิจิตตสิกขา”๑๕๔

“ในบรรดาวิปัสสนาญาณมีนามรูปปริจเฉทฉาณเป็นต้น การละโทษนั้นๆ ย่อมมีด้วยวิปัสสนาญาณ นั้นๆ เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเหมือนการขจัดความมืดด้วยแสงประทีป กล่าวคือ การละสักกาย ทิฏฐิด้วยการ กำหนดรูปนาม การละทิฏฐิที่เห็นว่าไม่มีเหตุหรือเห็นว่ามีเหตุที่ไม่สมควรด้วย การกำหนดรู้ปัจจัย ฯลฯ การละ ความยึดมั่นอารมณ์ที่เป็นสังขารธรรมด้วยโคตรภู ทั้งหมดนี้ชื่อว่า ตทังคปหาน การละด้วยเหตุคือวิปัสสนา นั้นๆ”๑๕๕

เมื่อขณิกสมาธิแก่กล้ามากขึ้น ความตั้งมั่นแห่งจิตเหมือนฌาน ในสมถภาวนาย่อมเกิดขึ้น แม้ อารมณ์ที่เป็นรูปนามจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพที่ปรากฏชัด ความตั้งมั่นก็คงอยู่อย่างนั้น ลำดับจิตที่เกิด

๑๕๐ ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๑๕๘/๑๗๙.

๑๕๑ วิสุทฺธิ (ไทย) ๒/๓๑๗.

๑๕๒ วิสุทฺธิ. (ไทย) ๒/๓๐๔.

๑๕๓ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๔๔/๓๒๘.

๑๕๔ ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๔๑/๔๘.

๑๕๕ อภิ.อ. (ไทย) ๑/๔๑๐,ม.อ.๑ /๒๔, สํ.อ. (ไทย) ๒ /๒๗๘.

ก่อนและลำดับจิตที่เกิดในภายหลังมีกำลังทัดเทียมกัน สมาธิดังกล่าวต่างจากฌานในสมถภาวนาคือฌานใน สมถภาวนารับรู้อารมณ์บัญญัติอย่างเดียว ไม่ปรากฏความเป็นรูปนาม ทั้งปราศจากสภาวะของพระไตรลักษณ์ แต่สมาธิของวิปัสสนารับรู้อารมณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงได้บ้าง ทั้งปรากฏความเป็นรูปนาม เมื่อญาณแก่กล้า ขึ้นก็จะหยั่งเห็นพระไตรลักษณ์ที่รู้เห็นความเกิดดับเป็นต้น ดังข้อความในคัมภีร์มหาฏีกาว่า

“คำว่า ขณิกจิตฺเตกคฺคตา (ความตั้งมั่นแห่งจิตชั่วขณะ) มีความหมายว่า สมาธิที่ตั้งอยู่ชั่วขณะ โดย แท้จริงแล้ว สมาธินั้นดำเนินไปในอารมณ์ด้วยอาการเดียวอย่างต่อเนื่อง ไม่ถูกนิวรณ์ที่เป็นปฏิปักษ์กันครอบงำ ย่อมตั้งจิตไว้มั่นเหมือนฌานสมาธิที่หยั่งลงแล้ว”๑๕๖

ข้อความข้างต้น เป็นคำอธิบายที่พระฎีกาจารย์สนับสนุนข้อความในคัมภีร์อรรถกถาของมหาสติปัฏ ฐานสูตรที่กล่าวว่า วิปัสสนาจิตตั้งมั่นได้ด้วยขณิกสมาธิในการเจริญอานาปานะว่า จิตฺตํ สมาทหโต ผู้ตั้งจิตไว้ มั่น๑๕๗ โดยชี้ให้เห็นว่า นอกจากสมาธิที่เป็นอุปจาระและอัปปนาแล้ว แม้วิปัสสนาขณิกสมาธิก็สามารถตั้งจิต ไว้มั่นได้เช่นกัน

คำว่า อารมฺมเณ นิรนฺตรํ เอกากาเรน ปวตฺตมาโน ดำเนินไปในอารมณ์ด้วยอาการเดียวอย่าง ต่อเนื่อง แสดงว่า เมื่อขณิกสมาธิมีกำลังเทียบเท่าอุปจารสมาธิ นิวรณ์ ๕ นั้นย่อมไม่เกิดขึ้น การกำหนดย่อม ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

คำว่า ปฏิปกฺเขน อนภิภูโต อปฺปิโต วิย จิตฺตํ นิจฺจลํ ฐเปติ ไม่ถูกนิวรณ์ที่เป็นปฏิปักษ์กัน ครอบงำ ย่อมตั้งจิตไว้มั่นเหมือนฌานสมาธิที่หยั่งลงแล้ว หมายความว่า ขณิกสมาธิที่เกิดพร้อมกับอุทยัพพย ญาณและภังคญาณเป็นต้นไป มีกำลังมากกว่าขณิกสมาธิในญาณต้นๆ โดยมีกำลังเทียบเท่าอัปปนาสมาธิ ใน สมถภาวนา ขณิกสมาธิ นี้ไม่ถูกนิวรณ์รบกวน และสามารถให้จิตตั้งมั่นเหมืออัปปนาสมาธิ

สรุปความว่า วิปัสสนายานิกไม่เจริญอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิ แต่เริ่มเจริญวิปัสสนาโดย กำหนดรู้สภาวธรรมที่เป็นรูปนามได้ทันที่ ต่อมาวิปัสสนาญาณย่อมเกิดขึ้น เมื่อวิปัสสนาญาณแก่กล้าขึ้นตั้งแต่ อุทยัพพยญาณเป็นต้นไปแล้ว สมาธิก็ตั้งมั่นกว่าเดิม

ข้อความที่แสดงถึงสมถปุพพังคมนัยและวิปัสสนาปุพพังคมนัย ซึ่งพบในคัมภีร์อรรถกถาดังที่กล่าว มานี้ สอดคล้องกับข้อความในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคว่า

“ ชื่อว่าวิปัสสนา เพราะเป็นสภาพหยั่งเห็นรูปว่าไม่เที่ยง เพราะเป็นสภาพหยั่งเห็นรูปว่าเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน การละอารมณ์ภายนอก ความมีอารมณ์เดียวแห่งจิต ความไม่ซัดส่ายของธรรม คือจิตและเจตสิก ที่เกิดในวิปัสสนาจิตนั้น ชื่อว่า สมาธิ โดยประการดังนี้ เจริญสมถะโดยมีวิปัสสนานำหน้า”

๑๕๖ วิสุทฺธิ.ฎี. (ไทย) ๑/๔๐๙.

๑๕๗ วิสุทฺธิ. (ไทย) ๑/๓๑๔.

นอกจากสมถปุพพังคมนัยและวิปัสสนาปุพพังคมนัยแล้ว ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ยังกล่าวถึง ยุคนัทธนัย คือ นัยประกอบกันเป็นคู่ และธัมมุทธัจจปหานนัย คือ นัยละความฟุ้งซ่านในสภาวธรรมนัยทั้งสอง นี้นับเข้าในสมถปุพพังคมนัยและวิปัสสนาปุพพังคนนัยเช่นกัน ในคัมภีร์อรรถกถาจึงแสดงไว้เพียงสองนัยเท่านั้น

ยุคนัทธนัย แปลว่า นัยประกอบกันเป็นคู่ หมายความว่า นักปฏิบัติผู้บรรลุญานได้เจริญสมถะและ วิปัสสนาควบคู่กันไปตามลำดับฌาน โดยเข้าปฐมฌานแล้วเจริญวิปัสสนากำหนดรู้ฌานจิต หลังจากนั้นจึงเข้า ทุติยฌานแล้วกำหนดรู้ฌานจิตอีก เขาเข้าฌานตามลำดับพร้อมกับเจริญวิปัสสนาเมื่อออกจากฌานนั้นๆ จนกระทั่งบรรลุมรรค นัยนี้นับเข้าในสมถปุพพังคมนัย เพราะเจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะเป็นเบื้องหน้า

ธัมมุทธัจจปหานนัย แปลตามศัพท์ว่า “นัยละความฟุ้งซ่านในสภาวธรรม” หมายความว่า เมื่อ วิปัสสนูปกิเลสคือโอภาส (แสงสว่าง) เป็นต้นเกิดขึ้นในขณะบรรลุอุทยัพพยญาณแก่สมถยานิกหรือวิปัสสนายา นิก ขณะนั้นนักปฏิบัติอาจสำคัญผิดว่าโอภาสเป็นต้นนั้นเป็นคุณธรรมพิเศษคือมรรคผล และสำคัญว่าตนนั้นได้ บรรลุมรรคผลแล้ว ความสำคัญเช่นนี้เป็นความฟุ้งซ่านในสภาวธรรม เมื่อเกิดความฟุ้งซ่านอย่างนี้ รูปนามที่เคย ปรากฏชัดก็จะไม่ชัดเจน การกำหนดรู้ย่อมขาดช่วงไม่ต่อเนื่อง ในขณะนั้นนักปฏิบัติไม่ควรใส่ใจต่อโอภาส เป็นต้น แต่ควรกำหนดรู้รูปนามตามเดิม เมื่อกำหนดดังนี้ ความฟุ้งซ่านในสภาวธรรมจะอันตรานธานไป รูป นามย่อมปรากฏชัดเจนเหมือนก่อน การกำหนดรู้จะตั้งมั่นอยู่ในรูปนามที่เป็นอารมณ์ภายในเท่านั้น จากนั้น วิปัสสนาญาณย่อมแก่กล้าตามลำดับจนกระทั่งบรรลุมรรคญาณ นัยดังกล่าวนี้นับเข้าในสมถปุพพังคมนัย และ วิปัสสนาปุพพังคมนัยทั้งสองอย่าง เพราะเนื่องด้วยสมถยานิกและวิปัสสนายานิกพระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวถึง ภาวนานัยไว้สองประการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ วิปัสสนายานิกจึงไม่จำเป็นต้องเจริญสมถภาวนาเพื่อให้เกิดจิตตวิ สุทธิ แต่ควรเจริญวิปัสสนาได้ทันที และขณิกสมาธิที่เกิดขึ้นเมื่อวิปัสสนาญาณแก่กล้าก็เป็นจิตตวิสุทธิของ บุคคลนั้น

สรุปท้ายบท

วิปัสสนาญาณ หมายถึงญาณในวิปัสสนา หรือญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา หรือญาณที่จัดเป็น วิปัสสนา ได้แก่ความรู้ที่ทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง ทำให้จิตหลุดพ้นจาก กิเลส เป็นปัญญารู้แจ้งทางธรรมขั้นสูงอันมีส่วนสำคัญต่อการพ้นทุกข์ ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์สอนการ ปฏิบัติให้บรรลุวิปัสสนาญาณโดยตรัสถึงการปฏิบัติและตรัสถึงตัวสภาวะญาณที่เกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์ดังข้อความ ว่า “ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกได้” ในคำเหล่านี้ไม่พบว่ามีการสอนโดยใช้คำบริกรรมแต่อย่างใด เน้นสอนให้ผู้ฟังเข้าใจหลักการ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ และผลจากการปฏิบัติที่เป็นตัวญาณปัญญา อธิบายสภาวะว่าคือความรู้แจ้งในขันธ์และ ความเบื่อหน่ายในขันธ์เช่น ยถาภูตญาณทัสสนะ วิราคะ นิพพิทา

วิปัสสนาญาณ อันเป็นผลมาจากการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือ ความรู้แจ้ง เห็นแจ้งในธรรมชาติที่ แท้จริง ปรมัตถธรรมของกาย และ ใจ หรือรูปและนาม ที่มีอยู่ในลักษณะของความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และการไม่ อยู่ในอานาจของใคร “วิปัสสนาญาณเป็นความรู้ระดับสุดยอดของปัญญามนุษย์และเป็นผลสำเร็จที่สำคัญของ มนุษย์ เมื่อความรู้แจ้ง เห็นจริงเหล่านี้พอกพูนมากขึ้น ๆ จนทำให้ความรู้สึกนึกคิด ทัศนะที่มีต่อโลกของผู้ ปฏิบัติเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดสามารถทำลายกิเลส คือ ความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง คงเหลือแต่บรมสุขที่ถาวรนั่นแล

คำถามท้ายบท

• ๑. จงอธิบายความหมายของวิปัสสนาญาณคืออะไร ? ๒. วิปัสสนาญาณมีความสำคัญอย่างไร ?

• ๓. ธรรมอันเป็นปัจจัยให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณเป็นอย่างไร ? ๔. จงอธิบายกระบวนการของวิปัสสนาญาณ ๑๖?

• ๕. วิปัสสนาญาณแบ่งเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจ ?

เอกสารอ้างอิง

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี. ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ, ๒๕๐๐.กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.

. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.

ฐิตวณฺโณ ภิกขุ, วิปัสสนาภาวนา, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (นครปฐม: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), นวองคุลี, วิปัสสนาญาณ, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เม็ดทราย, ๒๕๔๖

พระชนกาภิวงศ์ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ, เชมเย สยาดอ, (มณฑาทิพย์ คุณวัฒนา แปล), วิปัสสนาญาณ ก้าวหน้าอย่างไร, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์บุญศิริการพิมพ์, ๒๕๔๙

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.๙), ปิดประตูอบาย ทางไปสู่นิพพาน, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษร พิทยา, ๒๕๓๕

, วิปัสสนากรรมฐาน, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทประยูรวงศ์พริ้นติ้ง จำกัด,

๒๕๕๔

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓๕, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ผลิธัมม์, ๒๕๕๕),

พระพรหมโมลี (วิลาศ าณวโร), วิปัสสนาทีปนี, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์ดอกหญ้า ๒๕๔๕ พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนาทีปนีฎีกา, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ

วิทยาลัย, ๒๕๓๒

พระโสภณมหาเถร อัครมหาบัณฑิต (มหาสีสยาดอ), (จำรูญ ธรรมดา แปล), หลักการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน, (กรุงเทพมหานคร: ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๖

เศวตร เปี่ยมพงศ์สานต์, พุทธวิปัสสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สหธรรมิก, ๒๕๕๕), อุบาสิกาแนบ มหานีรานนท์, แนะแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร: ห.จ.ก.ทิพย์

วิสุทธิ์, ๒๕๕๗),

อู ชะนะกาภิวังสะ พระกัมมัฏฐานาจาริยะ, ธรรมบรรยายเกี่ยวกับธรรมปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท สหธรรมิก จากัด, ๒๕๓๗