บทที่ 08

การสอบอารมณ์กรรมฐาน

บทที่ ๘

การส่งและสอบอารมณ์

เมื่อได้ศึกษาบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ

อธิบายความหมายของการส่งและการสอบอารมณ์ได้

อธิบายความสำคัญของการส่งอารมณ์ได้

วิเคราะห์การสอบอารมณ์ตามหลักวิปัสสนาญาณได้

อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะญาณกับการสอบอารมณ์ได้

ขอบข่ายเนื้อหา

ความหมายของการส่งและการสอบอารมณ์

ความสำคัญของการส่งและการสอบอารมณ์

แนวคิดทฤษฎีการส่งอารมณ์

การสอบอารมณ์ตามหลักวิปัสสนาญาณ

๘.๑ ความนำ

การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญมีปรากฏในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เมื่อสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ การเรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระพุทธเจ้าได้ มีการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างแพร่หลาย และถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดโดยผู้ได้มาปฏิบัติก็ได้รับผลการปฏิบัติรวดเร็ว โดยที่มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ที่คอยชี้แนะในสมัยหนึ่ง มีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งเมื่อรับกัมมัฏฐาน จำกนั้นก็กราบทูลลาพระพุทธเจ้า เข้าสู่ป่าเพื่อพากเพียรพยายามทำกัมมัฏฐานจนสำเร็จได้ฌาน พระภิกษุเหล่านั้นสำคัญผิดว่าตนได้บรรลุอรหัตผลสำเร็จแล้ว จึงคิดกลับมากราบทูลตัวเองว่าได้บรรลุวิเศษ พระพุทธเจ้าทรงทราบโดยพระญาณ วาระจิตของพระภิกษุเหล่านั้นที่คิดจะมารายงานคุณวิเศษ จึงให้พระภิกษุนั้นกลับไปสู่ป่าช้าในการประพฤติธรรมก่อน เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกลับไปพบกับซากศพที่เน่าทิ้งเกิดความกาหนัดก็จึงมารู้ตัวเองว่าตนยังมีกิเลส เพราะเห็นซากศพนั้น พระพุทธเจ้าตรัสพระคำถานี้มีปรากฏในขุททฺกนิกาย ธรรมบทว่า กระดูกนี้เหล่านี้มีสีเหมือนสีนกพิราบ ถูกเขาทิ้งไว้เกลื่อนกลาดเหมือนน้าเต้าที่ร่วง เกลื่อนกลาดในสารทกาล ความยินดีอะไรเล่า จะจัดเพราะเห็นกระดูกเหล่านั้น ข้อความในพระคาถานี้ ได้ช่วยให้เห็นถึงความจริงในเรื่อง การทำความยินดีในกามแม้เพียงเล็กน้อย ด้วยอำนาจราคะให้เกิดขึ้น ไม่ควรทำ และได้ระบุบถึงสาเหตุสำคัญของอำนาจของสมาธิ ที่ได้ข่มกิเลสไว้ได้เพียงชั่วคราว ทำให้เกิดได้เข้าใจผิดคิดว่าได้บรรลุธรรม

พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักการฝึกจิตไว้อย่างเป็นระบบ ซึ่งหลักฐานความจริงในเรื่องนี้มีปรากฏใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ถึงวิธีการปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๔ ในเนื้อหาอธิบายโดยเริ่มตั้งแต่กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการฝึกจิตที่เป็นไปทางกาย มีกายเป็นฐาน การฝึกเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การฝึกจิต เพื่อให้รู้เท่าและเข้าใจเกี่ยวกับเวทนา มีเวทนาเป็นฐานในอารมณ์ สำหรับการฝึกจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การฝึกจิตที่ศึกษาจิต ตามรู้อารมณ์ของจิตทั้งภายในและภายนอก และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การฝึกจิตที่มีธรรมเป็นอารมณ์ เป็นการศึกษาและการปฏิบัติตามลำดับความละเอียดของอารมณ์ ธรรมทุกหมวดจะมีความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน เป็นความสำคัญในการปฏิบัติธรรม เพื่อความดับทุกข์นั้นเอง

ในเรื่องของการสอบอารมณ์ เป็นการสอบถามถึงในสภาวธรรมที่เกี่ยวกับรูปนามที่เกิดขึ้นเป็นการรายงานตามสภาวะที่เกิดขึ้นจริง อยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ๔ โดยมีพระวิปัสสนาจารย์และเป็นผู้สอบถามสภาวธรรมในอิริยาบถต่างๆ จากหนังสือวิปัสสนานิยมของธนิต อยู่โพธิ์ กล่าวถึงในการเรียนกัมมัฏฐานในสำนักต่างๆ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว พระมหาสาวกรูปใดยังมีชนมายุอยู่ การเรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระมหาสาวกองค์นั้นเป็นการสมควร เมื่อพระมหาสาวกนั้นไม่มีอยู่แล้ว ก็เรียนในสำนักของพระอรหันตขีณาสพ องค์ที่ได้ฌานจตุกกนัยหรือฌานปัญจกนัย ด้วยพระกัมมัฏฐานบทที่ตนประสงค์จะเรียนแล้วเจริญวิปัสสนาต่อไป ซึ่งมีฌานเป็นบาทฐานจนได้บรรลุ ถ้าบุคคลใดได้กับพระอรหันตขีณาสพ นับว่าเป็นบุญ แต่ถ้าหาไม่ได้ ก็ไปเรียนในสำนักของท่านผู้ทรงคุณสมบัติจากพระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ปุถุชนผู้ได้ฌาน หรือเรียนกับท่านผู้ทรงจำปิฎกทั้งสาม ท่านผู้ทรงจำปิฎกสอง ท่านผู้ทรงจำปิฎกหนึ่ง หากหาท่านผู้ทรงจำปิฎกไม่ได้ ก็หาท่านผู้ใดมีความชำนาญแม้เพียงสังคีติอันเดียวพร้อมทั้งอรรถกถาก็เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของท่าน เพราะบุคคลผู้มีลักษณะอย่างนี้ชื่อว่า เป็นอาจารย์ผู้ยึดถือมติของอาจารย์ ไม่ใช่ผู้ถือมติของตนเองเป็นใหญ่ ด้วยประสบการณ์ของเจ้าสำนัก คุณสมบัติผู้สอน ความเชี่ยวชาญ ตลอดจนมีรูปแบบและเทคนิคในการสอน การถ่ายทอดความรู้ การมีครูอาจารย์ของการสอบอารมณ์ของพระวิปัสสนาจารย์มีความสำคัญต่อการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง

การได้มีครูอาจารย์ที่มีความรู้มีความสามารถในการให้คำแนะนาเกี่ยวกับข้อปฏิบัติที่ถูกและผิด การสอบอารมณ์ในแต่ละครั้งต้องอาศัยพระวิปัสสนาจารย์ที่มีภูมิธรรมมีประสบการณ์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นผู้ที่ปรึกษาคอยชี้แนะนำแนวทำงที่ถูกต้องในปัจจุบันมีสำนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสนใจมากเพิ่มขึ้นของพุทธศาสนิกชนชาวไทย และชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และสามารถเลือกสำนักปฏิบัติต่างๆ ที่ตนเห็นว่าเหมาะสมกับจริตของตน บางครั้งผู้ปฏิบัติที่มีศรัทธาจริตมากก็มักยึดติดกับคำสอนของเกจิอาจารย์มากเกินไป การปฏิบัติก็ไม่มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นต่อไป

๘.๒ ความหมายการส่งและสอบอารมณ์

การส่งอารมณ์ หมายถึง การนำเอาประสบการณ์อันเกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ มาเล่าแก่ผู้มีหน้าที่รับฟัง (พระวิปัสสนาจารย์) เพื่อให้คำแนะนำที่ดีและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมตรงตามสภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ

การสอบอารมณ์ หมายถึง การที่บุคคลได้รับการแต่งตั้งจำกคณะกรรมการและพระสงฆ์ (พระวิปัสสนาจารย์) ว่ามีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่สอบอารมณ์ ให้คำแนะนำวินิจฉัยประเมินผลเพื่อเพิ่มหรือลดลำดับขั้นของการปฏิบัติให้ถูกต้องและตรงกับสภาวธรรมที่แท้จริงของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้อธิบายความหมาย ในการสอบอารมณ์ในปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน การสอบอารมณ์ หมายถึง สอบถามประสบการณ์ทำงจิตของผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานว่าก้าวหน้าไปถึงขั้นใดแล้ว

ผู้ส่งอารมณ์ คือ นักปฏิบัติผู้ปฏิบัติธรรมภายใต้การดูแลของวิปัสสนาจารย์

ผู้สอบอารมณ์ คือ วิปัสสนาจารย์ผู้แนะนำวิธีปฏิบัติวิปัสสนา ตอบข้อสงสัย และแก้ไขการปฏิบัติให้ถูกต้อง

พจนานุกรมไทย ฉบับทันสมัยและสมบูรณ์ ได้ให้ความหมายของการสอบอารมณ์ว่า การสอบถามประสบการณ์ทางจิตของผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานว่าก้าวหน้าไปถึงขั้นใด

พระครูวิมลธรรมรังสี และคณะ การสอบอารมณ์วิปัสสนา หมายถึง การกำหนดการวัดโดยผู้ปฏิบัติเป็นผู้ประเมินตนเองตามอาการของความรู้สึก ตามสภาวะที่เป็นจริงของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔

คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้อธิบายถึงความหมาย ในการสอบอารมณ์ของวิปัสสนาจารย์ การนำเอาประสบการณ์ ผล หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ปฏิบัติกำลังฝึกปฏิบัติกรรมฐาน มาบอกเล่าแก่พระวิปัสสนาจารย์เพื่อตรวจสอบสภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ สามารถช่วยให้คำแนะนำ วินิจฉัย ประเมินผลในการปฏิบัติ การให้คำแนะนาเพื่อให้ปฏิบัติถูกต้อง และตรงกับสภาวธรรมที่เกิดขึ้น พระวิปัสสนาจารย์จะเป็นผู้ที่คอยแก้ไขข้อผิดพลาดให้และให้คำแนะนาขั้นตอนต่อไป เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน

ธนิต อยู่โพธิ์ ได้ให้ความหมายไว้ คือ การบอกเล่าให้ท่านวิปัสสนาจารย์ได้ทราบถึงมีปรากฏการณ์หรือสภาวะอย่างใดเกิดขึ้นในตัวผู้ปฏิบัติ ท่านจะกรุณาแนะนาว่าอย่างใดถูกอย่างใดผิด ทั้งจะช่วยปรับอินทรีย์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับอารมณ์ให้ผู้ปฏิบัติทราบว่าควรทำอย่างไรต่อไปและอบรมสั่งสอนในทางที่ถูกต้องว่าอารมณ์ใดควรกำหนด อารมณ์ใดไม่ควรกำหนด

ในความหมายของการสอบอารมณ์เชิงวิชาการ กล่าวโดยภาพรวมได้ว่า เป็นการตรวจไล่เลียง เพื่อตรวจสอบสภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ สามารถช่วยให้คำแนะนำ วินิจฉัย ประเมินผลในการปฏิบัติ การให้คำแนะนำเพื่อให้ปฏิบัติถูกต้องและตรงกับสภาวธรรมที่เกิดขึ้นแก้ไขข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำขั้นตอนต่อไป

สรุปความว่า การสอบอารมณ์ หมายถึง การบอกเล่าถึงประสบการณ์ของการปฏิบัติในแต่ละวันให้พระวิปัสสนาจารย์ทราบ สอบอารมณ์ในสภาวธรรมที่เกิดขึ้นแล้วมีลักษณะอย่างไร มีการสอบอารมณ์ในความเข้าใจที่เกี่ยวกับรูปและนามเพื่อตรวจสอบสภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ สามารถช่วยให้คำแนะนำ วินิจฉัย ประเมินผลในการปฏิบัติ การให้คำแนะนำเพื่อให้ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อให้การปฏิบัติมีความคืบหน้าต่อไป

๘.๓ ความสำคัญของการสอบอารมณ์

การสอบอารมณ์นั้นมีความสำคัญประการหนึ่งในการปฏิบัติธรรม คือ การสอบอารมณ์ตามปกติการสอบอารมณ์จะมีทุกวันเริ่มตั้งแต่วันที่ ๓ ของการปฏิบัติไปถึงจนวันสุดท้าย การสอบอารมณ์คือการบอกเล่าประสบการณ์ของการปฏิบัติในแต่ละวันให้พระวิปัสสนาจารย์ทราบ ถ้าท่านปฏิบัติผิดก็จะแนะนาใหม่ หากเห็นว่าทำได้ถูกต้องแล้วก็จะให้ปฏิบัติต่อไป แล้วก็กลับมารายงานให้ท่านฟังในวันต่อไป ในการปฏิบัติ แนวทางการรายงานการปฏิบัติในเวลาสอบอารมณ์ การสอบอารมณ์มีลักษณะสอบเดี่ยว โดยเรียกถามสอบอารมณ์ที่ละคน โดยเรียกชื่อที่ของแต่ละคน ในแต่ละวัน ตามช่วงเวลา เวลาที่เข้าปฏิบัติ ประเด็นที่สอบมีอยู่ว่าระยะการเข้าปฏิบัติธรรม การกำหนดเดินจงกรมระยะที่เท่าไร เดินกับนั่งใช้เวลาอย่างไร มีการสลับกันหรือไม่ อาการพองยุบเป็นอย่างไร เป็นอันเดียวกันหรือคนละอัน สอบถึงสภาวะที่เกิดอาการขนลุกแสงสว่าง เมื่อผู้ผ่านการปฏิบัติตอบสภาวะตามความเป็นจริงพระวิปัสสนาจารย์ก็จะเพิ่มความละเอียดของการปฏิบัติให้มากขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละบุคคล ประเด็นหลักใหญ่ๆ การสอบอามรมณ์อิริยาบถใหญ่ทั้ง ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน การกำหนดเป็นอย่างไร กำหนดได้ทันหรือไม่เริ่มการกำหนดตั้งแต่ตื่นนอน ถึงก่อนหลับได้กำหนดทันหรือไม่ มีการสอบอารมณ์ในลักษณะก่อนเข้ามาปฏิบัติมีความรู้สึกอย่างไร มีศรัทธามากขึ้นหลังจำกการปฏิบัติหรือไม่ มีการสอบอารมณ์ในลักษณะถามความเข้าใจ เกี่ยวกับรูปและนาม พระปริยัติ ถือว่าเป็นเครื่องชี้ทางปฏิบัติ ส่วนในหลักการสอบอารมณ์ไว้ว่า เรื่องของการฝึกอบรมจิตใจให้ดาเนินไปตามแนวของพระธรรมที่สุขุมประณีตและถูกต้องด้วยดี หากได้รับคำแนะนาฝึกหัดในสำนักของพระวิปัสสนาจารย์ที่ดีผู้ที่มีความรู้ความชำนาญโดยเฉพาะ และอยู่ในความดูแลของท่านช่วยให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเป้าหมายได้ถูกต้องและรวดเร็วแน่นอน พระวิปัสสนาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบอารมณ์ ในเวลาสอบอารมณ์ของศิษย์ ท่านจะชี้ให้เห็นพระไตรลักษณ์แทรกไว้ตามลำดับญาณที่เหมาะสม เพราะพระไตรลักษณ์เป็นหลักสำคัญในการกำหนดรู้เห็นรูปนาม อารมณ์ใด นิมิตใด ท่านจะชี้แจงให้ทราบ

นอกจากนี้หนังสือวิปัสสนานิยมยังได้อธิบายถึงองค์คุณของพระวิปัสสนาจารย์ที่ประกอบด้วย เป็นพระภิกษุอยู่ในเถรภูมิ คือ มีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป เป็นผู้ที่มีความรู้ในการปฏิบัติกัมมัฏฐานดีและผ่านญาณมาโดยสมบูรณ์ ควรมีความรู้ในด้านปริยัติ มีอินทรียสังวร สามารถเทศนาเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติกัมมัฏฐานให้ศิษย์มีความรู้มีความเข้าใจได้

การสอบอารมณ์กัมมัฏฐานเป็นเรื่องละเอียดสุขุมเป็นเรื่องของการฝึกอบรมจิตใจให้ดาเนินไปตามแนวของพระธรรมที่สุขุมประณีตและถูกต้องด้วยดี หากได้รับคำแนะนาฝึกหัดในสำนักของพระวิปัสสนาจารย์ที่ดี ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญโดยจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเป้าหมายได้ถูกต้องและรวดเร็วแน่นอน ในการตรวจสอบอารมณ์ ท่านจะให้เห็นพระไตรลักษณ์แทรกไว้ตามลำดับญาณที่เหมาะสม เพราะพระไตรลักษณ์เป็นหลักสำคัญในการกำหนดรู้ สามารถเทศนาเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติกัมมัฏฐานให้ศิษย์มีความรู้มีความเข้าใจได้

๘.๔ รูปแบบการสอบอารมณ์

รูปแบบการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในสายพอง ยุบ มีศูนย์กลางอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ คณะ ๕ การสอนกัมมัฏฐานสายนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ โดยเริ่มต้นมีพระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ปธ. ๙) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ซึ่งถือว่าเป็นพระวิปัสสจารย์องค์แรกของไทย และมีบทบาทต่อแนวการปฏิบัติในสายนี้ แนวการปฏิบัติของกัมมัฏฐานแบบพอง ยุบ การจัดตั้งสำนักในช่วงแรกนั้นสำนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมีพระอุโบสถเป็นสถานที่ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ซึ่งได้รับความสนใจและมีพระภิกษุสงฆ์ตลอดจนคฤหัสถ์ได้เข้ามาปฏิบัติกันเป็นจำนวนมาก ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้รับรองการจัดตั้งเป็นกองการวิปัสสนาธุระขึ้นในคณะสงฆ์ของไทยอย่างเป็นทำงการ และขยายออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในระบบ “หนอ” เป็นแนวคิดในการสอนของพระธรรมธีราชมหามุนี เป็นระบบกัมมัฏฐานที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คำว่า “หนอ” เป็นภาษาไทย เป็นคำแปลมาจากภาษาบาลีว่า“วต” ปรากฏในพระไตรปิกฎ “อญญาสิ วต โภ โกณฑญโญ อญญาสิ วต โภ โกณฑญโญโกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ” ลำดับนั้น โกณฑัญญะ เห็นซึ่งโลกุตตรธรรม เป็นการอธิบายตามรูปศัพท์โดยพยัญชนะเท่านั้น เพื่อประโยชน์ในการกำจัดความสงสัยในการนิยมยึดในอักษร คำว่า “หนอ” เป็นการเพิ่มขณิกสมาธิ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเห็นรูปนามเห็นพระไตรลักษณ์ เมื่อสมาธิมีกำลังแรงขึ้นก็เป็นเหตุให้เกิดปัญญาได้ง่าย ส่วนอาการ พอง-ยุบเป็นอาการกำหนดอาการของวาโย ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาภูตรูป ซึ่งอยู่ในหมวดธาตุมนสิการปัพพะ อาการพองยุบ เป็นอุบายวิธีที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานรู้ได้ชัดเจนกว่าอารมณ์อื่น ๆ มีการเกิดขึ้นต่อเนื่องกันตลอดเวลา เป็นปัจจัยให้สมาธิเกิดขึ้นได้ง่าย และมีธาตุต่าง ๆ เป็นอารมณ์กรรมฐาน ที่ปรากฏในขณะกำหนด พองหนอ ยุบหนอ ในการกำหนดในใจว่า “พองหนอ-ยุบหนอ” ที่บริเวณท้อง คือการสังเกตธาตุลม (วาโยธาตุ) ที่มีสภาวะลักษณะ คือ การเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน เป็นแนวปฎิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่สอดคล้องกับหลักคำสอนในมหาสติปัฏฐานสูตร ที่ว่าด้วยการมีสติตามดูกาย (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ในข้อกำหนดเกี่ยวกับ การพิจารณากาย โดยความเป็นธาตุ ๔ (ธาตุมนสิการปัพพะ) อาการพอง-อาการยุบ คือรูปที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสของธาตุลมนี้ เรียกว่า วาโยโผฏฐัพพะรูป เป็นรูปปรมัตถ์ที่มีลักษณะของวาโยธาตุชัดเจน คือ การเคลื่อนไหว การตามรู้สภาวะพองยุบของท้องที่สอนกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั้น จัดเป็นธาตุกัมมัฏฐาน เพราะสภาวะพองยุบเป็นลักษณะตึงหย่อนของลมในท้องนอกลำไส้ที่เรียกว่า กุจฉิสยวาโย ความจริงลมหายใจที่สูดเข้าไปในปอด มิได้เคลื่อนไหวในท้อง ดังที่เข้าใจกันโดยทั่วไป การหายใจนั้นเป็นกระบวนการที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อกะบังลม ทรวงอก และกระดูกซี่โครง กะบังลมกั้นอยู่ระหว่างช่องอกและช่องท้อง โดยอยู่ด้านล่างของปอด ตามปกติเมื่อเราหายใจเข้า กะบังลมจะหดตัว กดอวัยวะในช่องท้อง ส่งผลให้ลมในท้องพองออกมา และเมื่อหายใจออก กะบังลมจะยืดขึ้นส่งผลให้ลมในท้องยุบลงพร้อมกันดันลมออกจากปอด ดังนั้น สภาวะพองยุบจึงเป็นลมในท้องที่มีอยู่เดิม และเป็นอารมณ์กัมมัฏฐานอย่างหนึ่งตามหลักกายานุปัสสนา

วัตถุประสงค์สำคัญของการกำหนด “พองหนอ-ยุบหนอ” จึงเป็นการสังเกตวาโยโผฎฐัพพะรูป ด้วยโยนิโสมนสิการ อันประกอบด้วยอาตาปี หรือ วิริยะ (ความเพียร) สติ (ความระลึกได้) สมาธิ (ความตั้งมั่นแห่งจิต) และสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวทั่วพร้อม) มีหลักฐานหรือยืนยันว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร เมื่อพลังของปัจจัยดังกล่าวแก่กล้าพอเพียงแล้ว ผู้ปฎิบัติจะเห็นความไม่เที่ยงความทุกข์ และความไม่ใช่ตัวตนของรูปธรรมและนามธรรม มีสัมมาทิฏฐิและวิชชาญาณเกิดขึ้นจนสามารถบรรลุถึงมรรคผล นิพพานได้ในที่สุด

๑) ลักษณะของการสอบอารมณ์แนวทางสายพอง-ยุบ

พระคันธสาราภิวงศ์ ท่านได้อธิบายไว้ว่า ลักษณะการสอบอารมณ์ และการส่งอารมณ์ซึ่งเป็นกระบวนการส่วนในการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ในส่วนของการสอบอารมณ์นี้ เป็นการสอบถามถึงในสภาวะธรรมที่เกี่ยวกับรูปนามที่เกิดขึ้น เป็นการรายงานตามสภาวะที่เกิดขึ้นจริง อยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ๔ โดยมีพระวิปัสสนาจารย์ และเป็นผู้สอบถามสภาวธรรม ในอิริยาบถต่างๆ การมีครูอาจารย์ที่มีความรู้มีความสามารถในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับข้อปฏิบัติที่ถูกและผิด โดยมีวิธีการวัดผลความก้าวหน้าจากการปฏิบัติในวิธีสอบอารมณ์ และการสอบอารมณ์ในแต่ละครั้ง

ในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานก็คือ การกำหนดรูปนามเป็นอารมณ์ ก็การกำหนดรูปนาม อันเป็นอารมณ์ของกัมมัฏฐานการตามรู้สภาวะพองยุบของท้องที่สอนกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั้น จัดเป็นธาตุกัมมัฏฐาน เพราะสภาวะพองยุบเป็นลักษณะตึงหย่อนของลมในท้องนอกลาไส้ที่เรียกว่า กุจฉิสยวาโย ความจริงลมหายใจที่สูดเข้าไปในปอด มิได้เคลื่อนไหวในท้อง ดังที่เข้าใจกันโดยทั่วไป การหายใจนั้นเป็นกระบวนการที่เกิดจำกการทำงานของกล้ามเนื้อกะบังลม ทรวงอกและกระดูกซี่โครง กะบังลมกั้นอยู่ระหว่างช่องอกและช่องท้อง โดยอยู่ด้านล่างของปอด ตามปกติเมื่อเราหายใจเข้า กะบังลมจะหดตัว กดอวัยวะในช่องท้อง ส่งผลให้ลมในท้องพองออกมา และเมื่อหายใจออก กะบังลมจะยืดขึ้น ส่งผลให้ลมในท้องยุบลงพร้อมกันดันลมออกจากปอดดังนั้น สภาวะพองยุบ จึงเป็นลมในท้องที่มีอยู่เดิม และเป็นอารมณ์กัมมัฏฐานอย่างหนึ่งตามหลักกายานุปัสสนา การกำหนดรูป ถ้ากำหนดรูปหยาบ ก็ไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อยที่สุด ฉะนั้นท่านจึงสอนให้กำหนดรูปที่ละเอียด รูปที่ละเอียดก็ได้แก่รูปที่ลมหายใจถูกต้อง คือลมหายใจเข้าออกไปถูกที่ไหนก็ให้กำหนดที่นั่น ที่นี้สถานที่ ๆ ลมหายใจของเราถูกต้องอยู่เสมอนั้นมีอยู่ ๒ ที่ คือ ที่จมูก ๑ ที่บริเวณท้อง ๑ บรรดาที่ทั้ง ๒ นั้นปรากฏว่า สาหรับที่จมูกจะกำหนดได้ชัดเจนก็เพียงแต่ในระยะเริ่มแรกเท่านั้น เมื่อลมละเอียดลงก็ปรากฏไม่ชัดเจน ส่วนที่บริเวณท้องที่มีอาการพอง-ยุบนั้นกำหนดได้ชัดเจน ในเรื่องนี้รูปที่ลมถูกต้องที่บริเวณท้อง คืออาการพองขึ้นและยุบลง จึงเหมาะอย่างยิ่งแก่ การตั้งสติกำหนด ซึ่งต้องอาศัยการกำหนดรูปนามเป็นสำคัญ

๒) การกำหนดอาการพอง-อาการยุบ (การกำหนดรูปนาม)

ในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้นจะต้องอาศัยบัญญัติเป็นเบื้องแรกก่อน ถ้าไม่อาศัยอารมณ์บัญญัติแล้ว ก็จะเข้าถึงอารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ไม่ได้เลย ในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานแบบพองยุบนั้น เมื่อแรกปฏิบัติใหม่ๆ ก็มากด้วยอารมณ์บัญญัติ แต่เมื่อกำหนดไปเรื่อยๆ วิปัสสนาปัญญาแก่กล้าแล้วรูปร่างสัณฐานของท้องก็หายไป ธาตุลมมีอยู่ ๖ ชนิด คือ ๑) ลมพัดขึ้นเบื้องบน ๒) ลมพัดลงเบื้องต่า ๓) ลมในท้อง ๔) ลมในลาไส้ ๕) ลมหายใจเข้าออก ๖) ลมสุดท้ายที่พัดผันไปทั่วร่างกายนี้เป็นลมที่เรียกว่า “จิตตชวาโยธาตุ” ซึ่งเป็นต้นเหตุของพองยุบ เพราะเมื่อหายใจเข้า กระบังลมหดตัว กดอวัยวะในช่องท้องส่งผลให้มาในท้องพองออก เมื่อหายใจออกกระบังลมยืดตัว ส่งผลให้ลมในท้องยุบตัว ต้นลมออกจำกปอดนั้นเอง

การกำหนดรู้ในอาการท้องพอง-ยุบ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะพอง-ยุบนี้เป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริง และการกำหนดพองหนอ ยุบหนอ ครั้งหนึ่งต้องประกอบด้วยความเพียรความรู้สึกตัวและความระลึกรู้ให้รู้เท่าทันปัจจุบัน และเป็นการปฎิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะจิตที่คอยระมัดระวังในอาการพอง อาการยุบ เป็นศีล จิตที่แนบแน่นอยู่กับ การพอง การยุบ เป็นสมาธิ จิตที่เข้าไปรู้ว่า พองหรือยุบ เป็นปัญญา เมื่อจะแยกให้ละเอียดลงไปยิ่งกว่านั้น ขณะภาวนา “พอง-ยุบ”ก็เป็นได้ ทั้งสมถะและวิปัสสนา เพราะในขณะภาวนา พอง-ยุบ อยู่นั้น มรรค ๘ ก็มีอยู่ คือ

สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ

สัมมาสังกัปโป ดำริชอบ ๒ ข้อนี้ เป็นปัญญา : เป็นวิปัสสนา

สัมมาวาจา วาจาชอบ

สัมมากัมมันโต การงานชอบ ๓ ข้อนี้ เป็นศีล : เป็นสมถะ

สัมมาอาชีโว เป็นอยู่ชอบ

สัมมาวายาโม เพียรชอบ

สัมมาสติ ระลึกชอบ ๓ ข้อนี้ เป็นสมาธิ : เป็นสมถะ

สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ

จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่ากระบวนการสอบอารมณ์กัมมัฏฐานสามารถกล่าวสรุปได้ว่า การกำหนดพอง-ยุบ จัดเป็นองค์ภาวนาในวิปัสสนาภาวนาได้จริง และการเจริญสติปัฏฐานนี้ เป็นวิธีปฏิบัติที่นิยมกันมาก และยกย่องนับถือกันอย่างสูง ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนา ผู้ปฎิบัติอาจเจริญสมถะจนได้ฌานก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานไปจนถึงที่สุดก็ได้ โดยอาศัยสมาธิเพียงขั้นต้นๆ เท่าที่จำเป็นมาประกอบ แล้วเจริญวิปัสสนาเป็นตัวนำตามแนวสติปัฏฐานนี้ไปจนถึงที่สุดก็ได้

ประเด็นสำคัญของรูปแบบการสอบอารมณ์ พระวิปัสสนาจารย์จะสอบถามถึงการกำหนด คือ การกำหนดรูปนามเป็นอารมณ์ ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนา ผู้ปฎิบัติอาจเจริญสมถะจนได้ฌานก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานไปจนถึงที่สุดก็ได้ หรือจะอาศัยสมาธิเพียงขั้นต้นๆ แล้วเจริญวิปัสสนา ด้วยโยนิโสมนสิการ ที่ครอบคลุมในหลัก ศีล สมาธิ ปัญญาเพราะจิตที่คอยระมัดระวังในอาการพอง อาการยุบ ทำให้เกิดศีล จิตที่แนบแน่นอยู่กับ การพองการยุบ ทำให้เกิดเป็นสมาธิ จิตที่เข้าไปรู้ว่า พองหรือยุบ ทำให้เกิดเป็นปัญญา

๓) การสอบถามสภาวธรรมที่ปรากฏ

ในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นการเจริญสติตามการกำหนดรู้สภาวธรรมที่ปรากฏในขณะปัจจุบันจนเห็นอาการเกิดดับของสภาวธรรมนั้น การปฏิบัติในรูปแบบพองยุบ เป็นการเจริญวิปัสสนา ซึ่งมีสภาวธรรมเกิดดับที่ปรากฏในระหว่างการปฏิบัติ พระวิปัสสนาจารย์จะตรวจสอบ จากหนังสือคู่มือวิปัสสนาได้อธิบายถึงสภาวะธรรมต่างๆ ที่ปรากฏว่า สภาวธรรมที่จะเกิดขึ้นภายในกายภายในจิตของผู้ปฏิบัติ มีลักษณะของสภาวะที่ปรากฏมีความชัดเจนอย่างไรผู้ปฏิบัติจะประสบพบเห็นด้วยตนเอง นาไปส่งอารมณ์แก่พระวิปัสสนาจารย์ นอกจากนี้ธนิต อยู่โพธิ์ จากหนังสือวิปัสสนานิยามได้อธิบายว่า เป็นการสอบอารมณ์สภาวะของรูปนามโดยสติที่ตั้งอยู่ในฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ที่เห็นเป็นลักษณะของหลักไตรลักษณ์ สอบถามถึงผู้ปฏิบัติแต่ละคนมีสภาวะอะไรเกิดขึ้นบ้าง ที่เกิดจากทวารทั้ง ๖ คือ อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ มีการกำหนดได้ทันหรือไม่ ความสัมพันธ์ในการสอบอารมณ์กับระหว่างการปฏิบัติมีความเกี่ยวเนื่องกัน คือ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติคือการกำหนดรูปนามให้เท่าทันปัจจุบัน แล้วจึงส่งอารมณ์ ต่อจากนั้นหน้าที่ของพระวิปัสสนาจารย์ คือการแก้ไขตรวจสอบ โดยการสอบอารมณ์ และในหน้าที่ของวิปัสสนาญาณ คือ สภาวะของรูปนาม สภาวะของสามัญลักษณะ ๓ และสภาวะของอริยสัจ ๔ ผู้ปฏิบัติทำหน้าที่ของตนได้ถูกต้องสมบูรณ์ไม่รั่วไหลแล้ว วิปัสสนาจารย์ก็ย่อมทำหน้าที่ได้แม่นยารวดเร็ว และจากนั้นวิปัสสนาญาณก็ย่อมเกิดขึ้นให้เห็นได้โดยสภาวะของแต่ละญาณโดยลำดับ การปฏิบัติก็จะก้าวหน้าจนบรรลุผลได้ในที่สุด

จากแนวคิดในเรื่องของสภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับการสอบอารมณ์ว่า ในการสอบอารมณ์ของกำหนดรู้อาการเกิดดับของรูปนามสังขาร เข้าใจในสภาวธรรมนั้นตามความเป็นจริงเห็นในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีสติจดจ่ออย่างต่อเนื่องตามรู้เท่าทันอาการต่าง ๆ ที่กาลังเกิดขึ้นอยู่ในกายกับจิตตามความเป็นจริง และสอบถามถึงการมีองค์ธรรมที่สนับสนุน คือ ศรัทธา วิริยะ สติสมาธิ และปัญญา

ก. การสอบอารมณ์จากการนั่งสมาธิ ท่านสอบอารมณ์ตามอาการรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นมีสติ ตามรู้อารมณ์ใดมีเกิดขึ้นบ้างให้เล่ามา เช่น พอง กำหนดตามดูอาการพอง จนพองสุดกำหนดอย่างไร พระธรรมธีรราชมหามุนี ท่านจะเน้นในเรื่องการมีสติ การกำหนดทันปัจจุบันอารมณ์ในการนั่งมีสภาวธรรมอย่างไรให้ กำหนดรูปนามในช่วงระยะแรกๆ การกำหนดอาการต่างๆ มีตัวเบา ตัวโยก ตัวหาย ตัวลอย โดยเป็นการเน้นให้มีสติอยู่กับรูปนาม และสอบถามอาการเห็นพระไตรลักษณ์ที่เกิดขึ้นของทุกสภาวธรรมนั้นๆ

วิธีการสอบอารมณ์ในการนั่งกำหนด (การนั่งสมาธิ)

• ๑. สอบถามถึงความตั้งใจ ให้มีสติเสียงดังฟังชัด ทุกถ้อยคำไม่เยิ่นเย้น

• ๒. สอบถามถึงประสบการณ์ที่นั่งผ่านมา นั่งกำหนดกี่ระยะเวลา กี่นาที (อันดับแรก)

• ๓. สอบถามอารมณ์หลังอาการพองหนอ-ยุบหนอ ว่ามีลักษณะหรือรู้อาการเคลื่อนไหวอย่างไร

• ๔. สอบถามความจิตใจจดจ่ออยู่ที่อาการพอง-ยุบ อย่างต่อเนื่องหรือไม่ (มากหรือน้อย)

• ๕. สอบถามการกำหนดได้สะดวกดีและทันปัจจุบันหรือไม่

• ๖. สอบถามกำหนดพอง-ยุบ รู้อาการโดยตลอดหรือไม่ คำบริกรรม (นึกในใจ) จิต สติเป็นไปพร้อมกันหรือไม่

• ๗. สอบถามมีอารมณ์ (สภาวธรรม) อื่นแทรกเข้ามาชัดเจนกว่าอารมณ์หลักควรจะกำหนดหรือไม่ อย่างไร

• ๘. สอบถามถึงการที่จิตจดจ่อกับอาการพอง-ยุบ คิดถึง อดีต อนาคต กำหนดรู้หรือไม่ ถ้ากำหนดๆ อย่างไร

• ๙. สอบถามอาการมีเวทนา (ความเสวยอารมณ์) สุข ทุกข์ เจ็บปวด เมื่อย คัน ชา เกิดขึ้นชัดเจน กำหนดรู้อย่างไร

• ๑๐. สอบถามบางครั้งความชอบใจ ปลื้มใจ ยินดีพอใจไม่ชอบ เกลียด โกรธ ฟุ้งซ่าน รำคาญหงุดหงิด ง่วงซึม ท้อแท้ เบื่อหน่าย เศร้า เหงา วิตกกังวล ลังเล สงสัย เมื่อความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ปรากฏขึ้นในความรู้สึก ผู้ปฎิบัติต้องกำหนดรู้ กำหนด แล้วจางหายไป ดับไปหรือไม่

• ๑๑. สอบถามถึงขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่งตึงเคลื่อนไหว เมื่อปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้น ผู้ปฎิบัติกำหนดรู้แล้วมีอะไรเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไปบ้าง

• ๑๒. สอบถามสภาวะนั่งแล้วน้ำลายไหล คอแห้ง เห็นแสงสี เห็นรูปภาพ ตัวเบา ตัวอ่อนตัวโยกโครง เอนเอียง ตัวสั่น ฯลฯ ปรากฏการณ์เช่นนี้ ผู้ปฎิบัติควรกำหนดรู้หรือไม่อย่างไร (เล่าให้พระวิปัสสนาจารย์ฟัง)

• ๑๓. สอบถามถึงสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติอื่นๆ

นอกจากที่กล่าวมาในการนั่งกัมมัฏฐาน สอบถามการรับรู้ในอารมณ์ที่เกิดขึ้นของอาการพอง ยุบ มีความชัดเจนหรือไม่ สภาวะการพอง ยุบ มีสภาวธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นหรือไม่ ความตึง ความหย่อน ท่านจะถามตามลำดับ ในแต่ละบัลลังก์ ระยะของการนั่งสมาธิ มีสภาวธรรมใดเกิดขึ้นช่วงไหน ตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนท้ายๆ บัลลังก์ มีทุกขเวทนาเกิดขึ้นไหม ความเจ็บความปวด ความเมื่อย เมื่อมีเวทนาเกิดขึ้นแล้ว มีความแรง ลดลง หรือหายไป อย่างไรบ้างมีความชัดเจนแค่ไหน สังเกตว่าเคลื่อนที่ไปสู่ที่อื่นแล้วเป็นอย่างไร มีการกำหนดตามรู้ดูอาการขณะกำหนดกำหนดแล้วหายไปหรือไม่

ข. สอบอารมณ์ผลของการเดินจงกรม สอบอารมณ์จากการเดินจงกรม สอบถามระยะการเดินจงกรม การใช้เวลานานเดิน ระยะของการเดิน มีการสลับกับการนั่งสมาธิ, กำหนดสติการเดินจงกรมอย่างไร มีคำบริกรรมหรือไม่ ตรงกับสภาวะที่เกิดขึ้นหรือไม่, ขณะเดินจงกรม มีความคิดอื่นแทรกหรือไม่ จิตส่งออกนอกหรือไม่ กำหนดอย่างไร, สติมีความแนบแน่นกับอิริยาบถและต่อเนื่องกันหรือไม่, ขณะเดินจงกรมตรงกับสภาวธรรมปัจจุบันหรือไม่, การเดินกลับกลับมาในแต่ละรอบกำหนด การเดินได้ถูกต้องหรือไม่, สอบถามอาการพิเศษจากการเดินจงกรม พบอะไรบ้าง, การตามกำหนดในแต่ละขณะๆ การเคลื่อน เมื่อกำหนดแล้วเป็นอย่างไร ขณะเดินจิตมีความรู้สึกอย่างไร มีความสุข หรือมีความทุกข์ขณะเดินอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม

วิธีการสอบอารมณ์ในการเดินจงกรม

• ๑. สอบถามถึงการเดินจงกรม เดินกี่ระยะ เวลากี่นาที

• ๒. สอบถามกับจิตใจจดจ่อกับคำบริกรรม (นึกในใจ) และเป็นไปพร้อมกัน ทันปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร

• ๓. สอบถามขณะเดินจงกรมถ้าเกิดมีสภาวธรรมอื่น ที่ชัดเจนมากกว่าการเดินแทรกเข้ามา ผู้ปฎิบัติกำหนดอย่างไร

• ๔. สอบถามจิตอยู่กับอารมณ์ภายใน (การเดิน) หรืออารมณ์ภายนอก (เช่น เห็น ได้ยิน คิด ฯลฯ) มากกว่า

• ๕. สอบถามถึงเมื่อเดินจงกรม มีสภาวธรรมแทรกเข้ามาเล่าถึงการกำหนดรู้อารมณ์นั้นๆ อย่างไร

การสอบอารมณ์จากการเดินจงกรม พระวิปัสสนาจารย์จะถามให้ได้ความจริงโดยละเอียดมีสภาวะธรรมอะไรเกิดขึ้น การเดินในระยะต้นๆ กำหนดด้วยสติอย่างไร กำหนดการเดินได้ทันปัจจุบันทันหรือไม่ การที่เท้ายกและที่ย่างมักจะคลาดเคลื่อน หรือสั่นไม่หยุดขณะกำหนด และในขณะเดินอยู่เหมือนมีความรู้สึกว่ามันดับวูบลงไป แต่ในขณะที่กำหนดเหยียบหนอนั้น จะช่วยให้พบกับปัจจุบันธรรม ขณะที่เท้ากระทบกับพื้นทันใด ความรู้สึกไปพร้อมกับที่เท้าเหยียบ เพราะความหมดไปวูบไป ดับไป สลายไปของรูปนามที่กำหนดอยู่ชั่วขณะนั้นเอง

ค.การกำหนดต้นจิต พระวิปัสสนาจารย์จะสอบอารมณ์ถึงการกำหนดที่จิต พระสมภาร สมภาโร ได้อธิบายไว้ว่า การกำหนดที่ต้นจิตเป็นการกำหนดรู้นามที่เป็นใหญ่ในกองสังขารซึ่งทำหน้าที่สั่งการ ควบคุมพฤติกรรมทั้งหมดของรูป เพื่อให้โยคีบุคคลรู้เท่าทันจิตที่ต้องการเปลี่ยนในอิริยาบถหนึ่งไปสู่อีกอิริยาบถหนึ่ง ใจน้อมว่าต้องการขึ้นมาก่อน เช่น จิตอยากจะคู้ก็กำหนด“อยากจะคู้หนอๆๆ” เป็นต้น กำหนด ๓ ครั้ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากกำหนดครั้งหรือสองครั้งก็น้อยเกินไป หากกำหนดเกิน ๓ ครั้ง ก็อาจมากเกินไปทำให้ “อยาก” ในที่นี้ท่านมิได้สื่อความหมายที่เป็นตัณหา แต่เป็นความต้องการที่ประกอบด้วยกุศล เป็นความพอใจที่บำเพ็ญภาวนากุศลในการปฏิบัติธรรม ท่านได้อธิบายเพิ่มเติม ผู้ปฏิบัติจะเริ่มฝึกการกำหนดต้นจิต เมื่อสมาธิเริ่มแก่กล้า เห็นรูปนาม เริ่มปรากฏชัด กล่าวคือ สามารถแยกรูปแยกนามได้ว่ารูปเป็นอย่างหนึ่ง นามเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อจิตของโยคี มีความว่องไวสามารถกำหนดต้นจิตได้ พระครูภาวนาวิสุทธิคุณอธิบายว่า ในวิธีสอบอารมณ์ของครูอาจารย์จะถามในการสอบอารมณ์ในการกำหนดที่ต้นจิต มีการกำหนดเป็นอย่างไร เช่น ยืนหนอ ๕ ครั้ง ตั้งสติไว้ที่ไหน นี่วิธีสอบอารมณ์จิตปักไปตรงไหนรับอารมณ์ได้ไวหรือช้า นี่วิธีสอบอารมณ์ต้องถามอย่างนี้

ง. สอบอารมณ์จากในอิริยาบถย่อย ได้กำหนดอิริยาบถย่อยหรือไม่, ได้กำหนดอิริยาบถย่อยนั้นๆ หรือไม่, กำหนดอิริยาบถย่อยอะไรได้บ้าง ให้รายงาน, เมื่อกำหนดแล้วรู้สึกในอาการเป็นอย่างไร, อิริยาบถย่อย มีตั้งแต่เดินแล้ว กำหนดในอิริยาบถย่อยอื่นประกอบได้หรือไม่, อิริยาบถนั่งได้กำหนดอิริยาบถท่าที่ลงนั่งหรือไม่, อิริยาบถยืน ได้กำหนดจากท่านั่งเปลี่ยนไปเป็นท่ายืน ได้กำหนดหรือไม่, อิริยาบถนอน ได้กำหนดอิริยาบถอื่นประกอบด้วยหรือไม่ เช่น การลงนอนการหยิบหมอน การหยิบผ้าห่ม ขยับเท้า การอาบน้ำ อิริยาบถย่อยของการจะอาบน้ำ ตั้งแต่การเปลี่ยนเสื้อผ้า การเปิดก๊อกน้า การตักน้ำ การถูตัว ได้กำหนดครบถ้วนหรือไม่, ปัญหาที่พบระหว่างการกำหนดอิริยาบถย่อยอะไรบ้าง

วิธีการสอบอารมณ์ในอิริยาบถย่อย

• ๑. สอบถามในความตั้งใจ เล่าถึงอาการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ กำหนดได้หรือไม่ได้

• ๒. สอบถามในอิริยาบถ การเหลียวดู การคู้เข้าเหยียดออก

• ๓. สอบถามใน การใช้สังฆาฏิ บาตร และจีวร

• ๔. สอบถามในด้าน การกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม

• ๕. สอบถามในด้าน การยืน การตื่นนอน การพูด การนั่งอยู่ ฯลฯ

พระวิปัสสนาจารย์จะสอบอารมณ์ถามถึงการกำหนดได้ หากการกำหนดยังคลาดเคลื่อนอยู่ก็เพิ่มการกำหนดขึ้น เพราะการสอบอารมณ์ในอิริยาบถย่อยนั้นมีความสำคัญมากเพราะการกำหนดในอิริยาบถย่อยได้มากเท่าไร การปฏิบัติของโยคีก็จะดีตามมาด้วยเช่นกัน การสอบอารมณ์จากการกำหนดในอิริยาบถย่อย ในการกำหนดในแต่ระยะที่เคลื่อนไหวในแต่ละอิริยาบถย่อยได้ไหม และสามารถรับรู้อาการลักษณะรับรู้อย่างไรบ้าง มีความหนัก ความเบา ความตึง ความหย่อนอย่างไร และเริ่มมีการกำหนดได้ถึงอาการกำหนดตั้งแต่การตื่นนอน มีการกำหนดอย่างไร ขณะที่ตื่นกำหนดอย่างไร การกำหนดรู้แต่ขณะอย่างไร ในขณะเข้าห้องน้ำ การอาบน้ำแปรงฟัน พยายามกำหนดหรือไม่ขณะรับประทานอาหาร กำหนดได้ละเอียดหรือไม่ มีสภาวะใดอะไรเกิดขึ้นบ้าง

จ) การแก้ไขและปรับสภาวธรรม ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล พระอริยสาวกทั้งหลาย โดยมีพระพุทธเจ้าทรงคอยชี้แนะว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรเว้น อธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย อธิบายเรื่องที่ลึกให้เป็นเรื่องตื้น เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย แม้ถึงอย่างนั้นก็ตามยังปรากฏว่าเคยมีกรณีปัญหาการปรับสมดุลอินทรีย์เกิดขึ้น การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ยังคงสืบทอดเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน อีกทั้งจำนวนสำนักปฏิบัติธรรมที่สอนวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานก็มีมาก แต่ยังขาดความเข้าใจวิธีการปรับความสมดุลของอินทรีย์ที่ถูกต้องและชัดเจนอย่างเพียงพอ ซึ่งได้แบ่งวิธีการของเทคนิคไว้ดังนี้ คือ ก) การปลูกอินทรีย์ ข) การเพิ่มพูนอินทรีย์ ค) การรักษาอินทรีย์ ง) การประครองของอินทรีย์

ก) การปลูกอินทรีย์ ในการสอบอารมณ์พระวิปัสสนาจารย์ จะมีการปลูกอินทรีย์ให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมมีแต่อินทรีย์และพละให้ตื่นขึ้น และเพาะอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ เหล่านี้ ให้เข้มแข็งสม่ำเสมอ และนำออกมาใช้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สามารถต่อต้านฝ่ายปรปักษ์ได้ ให้อินทรีย์และพละทั้ง ๕ เกิดความเข้มแข็ง และมีการปรับปรุงให้ได้สัดส่วนสมดุลกัน ถ้าไม่เพาะและพัฒนาให้เข้มแข็งไว้ จะถูกศัตรูฝ่ายตรงข้ามครอบงำทำร้ายทำให้เป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้ปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติอยู่ก็ ไม่บรรลุถึงเป้าหมาย ศัตรูหรืออกุศลธรรมฝ่ายตรงข้ามของอินทรีย์และพละได้

การปลูกอินทรีย์ เป็นการปรับสมดุลแห่งอินทรีย์ ๕ ประการ ถ้าหากอินทรีย์ที่มีความแรงกล้าเกินไป หรือยังมีอินทรีย์ยังอ่อนเกินไป อินทรีย์จะเสียในการทำหน้าที่ของตน หากศรัทธาแรงไปวิริยะก็ทำหน้าที่ยกจิตไม่ได้ สติก็ไม่สามารถดูแลจิต สมาธิก็ไม่สามารถทำจิตให้แน่วแน่ปัญญาก็ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริง การปลูกศรัทธาด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาสภาวะแห่งธรรม เมื่อเจริญพร้อมถึงที่องค์มรรคทั้งหมดร่วมกันทำหน้าที่ให้เกิดญาณในขั้นสูงสุด

ข) การเพิ่มพูนอินทรีย์ การเพิ่มพูนกำลังของอินทรีย์ ในทางพระพุทธศาสนา เป็นตัวสนับสนุน ในการปฏิบัติเริ่มต้นนั้น เน้นการฝึกให้มีสตินทรีย์เพื่อคอยควบคุมจิต ควบคุมความรู้สึกพัฒนาสู่อินทรีย์ขั้นสูง อินทรีย์มีความสมบูรณ์แล้ว สามารถเห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน และหมดความยึดมั่นถือมั่นไปตามลำดับ การปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน มีชื่อเรียกว่า “อินทรียสมัตตปฏิปาทนา”

การเพิ่มพูนอินทรีย์เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ พระวิปัสสนาจารย์ก็จะให้คำแนะนำ เพื่อสามารถพัฒนาการเพิ่มพูนอินทรีย์ให้เข้มแข็งแก่กล้า ต้องทำด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ในขั้นตอนนี้ พระวิปัสสนาจารย์จะส่งเสริมแนะนำอบรมเป็นระยะๆ เมื่อผู้เข้าปฏิบัติได้ปฏิบัติมาในระยะหนึ่งแล้ว ในขณะสอบอารมณ์ พระวิปัสสนาจารย์จะเป็นการให้คำแนะนำช่วยให้ปฏิบัติตรงเป้าหมายได้เร็วขึ้นด้วย

ค) การรักษาอินทรีย์ การรักษาอินทรีย์ให้มีความสมบูรณ์นั้น กระบวนการของอินทรีย์ ๕ คือ การรักษาศรัทธาทำให้เกิดความเพียร ความเพียรช่วยให้สติมั่นคง เมื่อรักษาสติมั่นคงแล้วกำหนดอารมณ์ได้สมาธิ เมื่อมีรักษาสมาธิดีแล้วจะเกิดปัญญามีความเข้าใจมองเห็นถึงโทษของอวิชชา ตัณหาที่เป็นเหตุแห่งสังสารวัฏ ในการรักษาอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้สมบูรณ์พร้อม เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์ ในความสำคัญนี้ พระวิปัสสนาจารย์จึงต้องทำหน้าที่คอยให้คำแนะนำในการปรับสมดุลอินทรีย์แก่โยคีผู้ปฏิบัติ และการปฏิบัติที่มีปรับสมดุลอินทรีย์ไม่สม่ำเสมอกันย่อมมีผลดังนี้

• ๑. รักษาศรัทธาให้ตั้งมั่น ปัญญาไม่หย่อน โมหะย่อมไม่ครอบงำ

• ๒. รักษาให้มีความเพียร สมาธิไม่หย่อน จิตย่อมไม่ฟุ้งซ่าน

• ๓. รักษาให้มีสมาธิไม่หวั่นไหว วิริยะไม่หย่อน ถีนมิทธะย่อมไม่ครอบงำ

• ๔. รักษาให้มีปัญญารู้แจ้ง ศรัทธาไม่หย่อน จิตย่อมไม่ฟุ้งซ่าน

• ๕. รักษาสติให้ต่อเนื่อง จดจ่อไม่ย่อหย่อน สติมีความว่องไวเท่าทันปัจจุบัน

สรุปว่าในการสอบอารมณ์ จะสอบถามถึงสภาวอารมณ์ที่ปรากฏเกิดขึ้นในกรอบของสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งหลักการและวิธีการ ในความมีศรัทธา มีจิตที่มั่นใจแน่วแน่ เชื่อมั่นใน วิริยะ มีการรักษาความต่อเนื่องไม่หวั่นไหวในจิต สตินั้นแนบชิดสังขารธรรม สภาวะความระลึกรู้อย่างใกล้ชิด และตามดูจิตในจิต ธรรมในธรรม ระลึกรู้ในนามรูปที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไป เท่าทันปัจจุบัน สมาธิที่ตั้งมั่น เฝ้าตามดูพอง-ยุบ ที่กำลังดำเนินไปในสภาวธรรมรูปฌานและภาวะที่ก่อนจะเข้าสู่รูปฌาน ปัญญา คือปัญญาที่แกร่งกล้าจะอาศัยอินทรีย์ที่สมดุลเสมอกัน ปัญญินทรีย์ เป็นภาวะตระหนักรู้สภาวธรรมสู่ในอริยสัจ ๔

ง) การประครองสติของอินทรีย์ สติที่มีกาลังแก่กล้าเป็นการดีในที่ทุกสถาน เพราะสติจะคุ้มครองรักษาจิตมิให้ตกไปในอุทธัจจะ เพราะศรัทธา วิริยะ และปัญญาเป็นฝ่ายของอุทธัจจะและสติจะคุ้มครองรักษาจิต ให้ตกไปในโกสัชชะ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายของโกสัชชะ พระผู้มีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สติจึงเป็นที่พึ่งประสงค์ในที่ทุกสถาน มีประโยชน์ในที่ทั้งปวงเพราะว่าจิตมีสติเป็นที่พึ่งและสติมีความระมัดระวังอารักขาเป็นประโยชน์เฉพาะหน้า ปราศจากสติเสียแล้ว การประคองจิตหรือข่มจิตไว้ก็ไม่ได้

สติเป็นหลักธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนาคือเป็นยอดแห่งธรรม เพราะคำสอนทั้งปวงรวมอยู่ที่ความไม่ประมาท มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า อัปปมาท นั่นคือการมีสติ สติมีบทบาทอย่างมากในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ การมีชีวิตอยู่อย่างไม่ขาดสติ หรือการใช้สติอยู่เสมอในการครองชีวิต สติเป็นตัวการทำให้ระมัดระวังตัว ป้องกันไม่ให้พลาดตกไปในทางชั่วหรือเสื่อม โดยเฉพาะยิ่งในการปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏสติยิ่งมีบทบาทเป็นอย่างมาก

ปัจจัยที่ได้กล่าวมาแล้วมีส่วนสำคัญในการสอบอารมณ์พระวิปัสสนาจารย์ ทั้งหมดกระบวนการแก้ไขและปรับสภาวธรรม พระวิปัสสนาจารย์ไทยทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเริ่มต้นด้วยการปลูกอินทรีย์ที่มีความแรงกล้าเกินไปหรือยังมีอินทรีย์ยังอ่อนเกินไป เป็นการปรับสมดุลขั้นต่อมา การเพิ่มกำลังอินทรีย์ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่พระวิปัสสนาจารย์จะให้คำแนะนำเพื่อการเพิ่มพูนอินทรีย์ให้เข้มแข็งแก่กล้าด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ในขั้นตอนนี้จะส่งเสริมแนะนำ อบรม เป็นระยะ ๆ ในระดับการรักษาอินทรีย์ให้มีความสมบูรณ์ ส่วนในการประครองสติของอินทรีย์ ถือว่า สติ เป็นหลักธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนาคือเป็นยอดแห่งธรรมเพราะคำสอนทั้งปวงรวมอยู่ที่ความไม่ประมาท เห็นได้ว่าในการสอบอารมณ์แต่ละขั้นตอนมีความละเอียด เป็นความชำนาญของพระวิปัสสนาจารย์ จะเป็นผู้ที่คอยสอบถามอารมณ์ที่เกิดขึ้นและให้คำแนะนำแต่ละขั้นตอน เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน

จ) ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น เมื่อผู้ปฎิบัติเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้ประสบพบมาจริงๆ ในขณะปฏิบัติในแต่ละวัน พระวิปัสสนาจารย์ที่จะให้คำแนะนำและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ในการสอบถามสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้น สติกำหนดรู้อาการพอง อาการยุบของท้องนั้น สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดจริง ๆ พองกับยุบนั้นต่างกันอย่างไร อันไหนสั้นอันไหนยาว อันไหนปรากฏชัด อันไหนปรากฏไม่ชัด เป็นอันเดียวกันหรือไม่หรือคนละอันกัน ในแนวทางปฏิบัติเป็นอารมณ์ที่เรียกว่าอารมณ์ปรมัตถ์ เป็นอารมณ์ที่รับความรู้สึก รับรู้อาการของรูปและนาม ปรมัตถ์สภาวะมีความสุขุมละเอียด ลึกซึ้งที่สุด ผู้ที่มีสติกำหนดรูปนามแยก ส่วนออกจากกันด้วยเหตุผลการสอบถามเพื่อให้เกิดปัญญารู้ตามความเป็นจริงว่า มีแต่รูปนามเท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวเราเขา หากสอบถามในขั้นนี้ เป็นการกำจัด มิจฉาทิฏฐิ มีทิฏฐิสุทธิ คือ มีปัญญารู้จักรูป รู้จักนาม แยกรูป แยกนามได้ นอกจากนี้ในหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๒ ได้อธิบายถึง การเกิดขึ้นของรูปและนามเป็นการสอบสภาวะของรูปกับนาม คือ รู้ปัจจุบัน คือ รู้ตั้งแต่ต้นพอง กลางพอง สุดพอง ยุบหนอ รู้ตั้งแต่ต้นยุบ กลางยุบ สุดยุบ รู้รูป คือ รู้ว่าพองกับยุบเป็นคนละอันกัน พองเป็นรูป ยุบเป็นรูป รู้เป็นนาม ก็มีเพียง ๒ เท่านั้น คือ รูป-นาม การกำหนดพองหนอ ยุบหนอ เอาใจกำหนด พองกับยุบเป็นอันเดียวหรือคนละอัน พองกับยุบอันไหนสั้นอันไหนยาว ยุบหนึ่งครั้งมีกี่ระยะ พองครั้งหนึ่งมีกี่ระยะ ใจที่กำหนดว่าพองหนอ ยุบหนอเป็นใจเดียวกันหรือคนละใจ การกำหนดอย่างนี้เพื่อให้เกิดสติ เกิดปัญญา

สรุปรูปแบบการปฏิบัติกัมมัฏฐานในสายพอง ยุบ มีศูนย์กลางอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ โดยเริ่มต้นมี หลวงพ่อโชดก ญาณสิทฺธิ ปธ.๙ ถือได้ว่าท่านเป็นพระวิปัสสจารย์องค์แรกของไทย โดยมีหลักการสอบอารมณ์ ซึ่งอยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ๔ จึงมีความสำคัญมากโดยการสังเกตอาการท้องพอง-ยุบ การกำหนดรู้ในอาการท้องพอง-ยุบ ถือได้ว่ารูปแบบการสอบอารมณ์ครอบคลุมมีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนา เป็นที่นับถือกันอย่างสูง เพราะจิตที่คอยระมัดระวังในอาการพอง อาการยุบ ทำให้เกิดศีล จิตที่แนบแน่นอยู่กับ การพอง การยุบ ทำให้เกิดเป็นสมาธิ จิตที่เข้าไปรู้ว่า พองหรือยุบ ทำให้เกิดเป็นปัญญามีเนื้อหาในการสอบอารมณ์ คือสอบอารมณ์ในการกำหนดรูปนาม สภาวะที่เกิดขึ้น การกำหนดต้นจิตผลของการนั่งสมาธิ การเดินจงกรม ผลของการอริยาถบย่อย

ลักษณะในการสอบอารมณ์ พระวิปัสสนาจารย์สอบถามในการกำหนดรู้อาการพองอาการยุบ การถามการกำหนดรูปนาม ที่เป็นอารมณ์ที่เรียกว่า อารมณ์ปรมัตถ์ เพื่อให้เกิดสติเกิดปัญญา ที่เห็นเป็นลักษณะไตรลักษณ์ที่ขึ้นภายในกายภายในจิตของผู้ปฏิบัติ นาไปส่งอารมณ์แก่พระวิปัสสนาจารย์ เนื้อหาจะอยู่ในกรอบทั้ง ๔ ด้าน กาย เวทนา จิต ธรรมการสอบอารมณ์จำกการนั่งสมาธิ มีสภาวธรรมใดเกิด การเดินจงกรมเป็นอย่างไร การสอบอารมณ์ในอิริยาบถย่อยมีความสำคัญมาก เพราะการกำหนดในอิริยาบถย่อยได้ละเอียดมากน้อย มีสติจดจ่ออย่างต่อเนื่องตามรู้เท่าทันอาการต่างๆ ที่กาลังเกิดขึ้นอยู่ในกายกับจิตตามความเป็นจริง นอกนี้ยังสอบถามถึงการมีองค์ธรรมที่สนับสนุนในการปฏิบัติด้วย คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ในการเจริญสติปัฏฐานได้อีกด้วย

๘.๕ เทคนิคการสอบอารมณ์ในพระพุทธศาสนา

ภายหลังจากที่พระโมคคัลลานะได้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ได้ทูลลาพระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ณ หมู่บ้านกัลลวาละ ขณะที่บำเพ็ญสมณธรรมอยู่นั้น ท่านเกิดง่วงเหงาหาวนอนอย่างหนักจนไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้ถูกถีนมิทธเข้าครอบงำยังผลให้ขาดสติ ในปัจจุบันขณะ ในขณะที่ท่านได้บำเพ็ญสมณธรรม ท่านได้นั่งโงกง่วงจนไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ พระพุทธเจ้าทรงทราบอยู่ตลอดเวลา จึงเสด็จมาสอนท่านให้ท่านให้หาทางแก้ง่วงด้วยวิธีต่างๆ พระโมคคัลลานะได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนทันทีพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องธาตุกัมมัฏฐาน โดยทรงแนะเพิ่มเติมให้กำหนดพิจารณากาย แยกเป็นส่วนๆ ให้พิจารณาเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำไฟ ลม ให้เห็นถึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวของเราพระโมคคัลลนะเจริญสมถะสลับกับวิปัสสนากัมมัฏฐานไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน และในที่สุดพระโมคคัลลนะได้บรรลุอรหัตผลในเวลานั้น

๑) เหตุที่มาของการปรับอินทรีย์

พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ชี้แนะแนวทางอย่างมีเหตุผลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ส่วนจะสำเร็จผลหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของผู้บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้มีความสามารถในการหยั่งรู้ความยิ่งหย่อนแห่งอินทรีย์ของสาวกทั้งหลาย พระองค์สามารถตรวจอุปนิสัยของผู้ถูกสอนก่อน แล้วจึงแสดงธรรมที่เหมาะสมแก่อุปนิสัย ทำให้เป็นพระสาวกที่ได้เป็นผู้มีอินทรีย์ที่แก่กล้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ในเทคนิคในการสอบอารมณ์ของพระพุทธเจ้า เป็นเทคนิคที่ทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติได้ตรงตามเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้นเป็นพุทธอุบายแก้ง่วง ดังที่ปรากฏในจปลายมานสูตร สัตตกนิบาต ว่าด้วยอุบายแก้ความง่วง พระมหาโมคคัลลานะ มีพระนามเดิมว่า โกลิตะ หลังจากที่ โกลิตะและอุปติสสะ ได้จากสำนักของปริพาชกมาแล้วก็ได้มุ่งตรงไปยังพระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ เพื่อทูลขออุปสมบทให้ตามใจปรารถนา หลังจากท่านอุปสมบทได้ ๗ วัน ก็ได้ไปบำเพ็ญสมณธรรม อยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ท่านได้ถูกถีนมิทธะครอบงำนั่งโงกง่วงอยู่ ไม่สามารถจะเข้าถึงธรรมที่ควรบรรลุได้

ในจปลายมานสูตร ว่าด้วยอุบายแก้ความง่วง ในอังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาตที่พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงเสด็จไปสอนอุบายแก้ง่วง ๗ อย่าง คือสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เภสกฬามิคทายวัน เขตกรุงสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคะ สมัยนั้นแล พระมหาโมคคัลลานะ กำลังนั่งง่วงอยู่ที่หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังนั่งง่วงอยู่ใกล้หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ แล้วได้ทรงหายไปจากป่าเภสกลามิคทายวัน เขตกรุงสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคะ ไปปรากฏต่อหน้าท่านพระมหาโมคคัลลานะ ใกล้หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ เหมือนบุรุษมีกาลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้า

...........พระผู้มีพระภาคตรัสว่า........

• ๑. ควรนึกถึงเรื่องที่เคยฟังมาให้มาก

• ๒.ควรตรึกถึงธรรม ตามที่เคยศึกษา (ใช้ความคิดในเรื่องนั้น อย่างสนใจ)

• ๓. ควรสาธยายธรรม (สวดมนต์ ทองบ่น สาธยาย)

• ๔. ควรลุกขึ้นยืน เอาน้ำลูบหน้า เหลียวดูทิศ แหงนดูดวงดาวบนท้องฟ้า

• ๕. ใส่ใจอาโลกสัญญา (นึกถึงแสงสว่าง) ตั้งความสำคัญว่า กลางวันไว้ในจิต ให้เหมือนกันทั้งกลางวัน กลางคืน มีใจเปิดเผยฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำให้จิตอันมีแสงสว่างให้เกิด

• ๖. ควรเดินจงกรม กลับไปกลับมา โดยสารวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก

• ๗. ควรนอนตะแคงขวา มีสติสัมปชัญญะ กำหนดเวลาที่จะลุกขึ้นไว้ในใจพอตื่นแล้วก็รีบลุกขึ้นมาด้วยความตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบสุขในการเอนหลัง เราจักไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ

จากพุทธดำรัสข้างต้นนี้ ย่อมเป็นข้อยืนยันถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงใช้พุทธอุบายวิธีแก้ง่วงด้วย การเริ่มต้นด้วย การชี้แจงเป็นลำดับขั้นตอนเพื่อแก้อาการความง่วงที่เกิดขึ้น และให้เห็นตามยินดีปฏิบัติด้วยความกระตือรือร้นมีเทคนิคต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งใกล้ตัวมองเห็นได้ง่ายเพื่อเลือกใช้ข้อใดข้อหนึ่ง หากยังไม่หายง่วงก็ให้ใช้ในข้ออื่นๆ ต่อไป ถ้าปฏิบัติครบถัวนแล้ว ยังไม่หายง่วงก็ให้นอนแต่ต้องกำหนดในการตื่นขึ้น ให้ลุกขึ้นทันที ครั้นประทานอุบายวิธีการระงับความง่วงนี้ได้แล้ว และได้ตรัสให้โอวาทอีก ๓ ข้อ พระพุทธเจ้าทรงให้พระมหาโมคคัลลานะ ให้นำไปปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น สิ้นแห่งตัณหามีความสำเร็จถึงที่สุด

• ๑. เราจักไม่ถือตัวเข้าไปสู่ตระกูล พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาว่า เราจักไม่ชูง่วง(ถือตัว) เข้าไปสู่ตระกูล เพราะโดยปกติ ตระกูลส่วนมากย่อมมีกรณียกิจหลายอย่าง เป็นเหตุให้มนุษย์ไม่ใส่ใจถึงภิกษุมาสู่ตระกูล ถ้าภิกษุชูงวงไปสู่ตระกูลประสบเข้า ย่อมจะคิดว่า ใครหนอมายุยงตระกูลให้แตกจากเราไป เดี๋ยวนี้ทำไม คนเหล่านี้มีการอิดหนาระอาใจเรา เพราะไม่ได้อะไรเธอจะเป็นผู้เก้อเขิน เมื่อเก้อเขินย่อมคิดฟุ้งซ่านเมื่อใจคิดฟุ้งซ่าน ย่อมไม่สำารวม เมื่อไม่สารวมจิตย่อมห่างไกลจากสมาธิออกไป

• ๒. เราจักไม่พูดคำซึ่งเป็นเหตุให้เถียงกัน พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้พิจารณาอีกว่าเราไม่พูดคำซึ่งเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะเมื่อมีคำพูดซึ่งเป็นเหตุให้เถียงกันก็จำต้องมีการพูดมากเมื่อใจคิดฟุ้งซ่าน ย่อมไม่สำรวม เมื่อไม่สำรวม จิตย่อมห่างไกลจากสมาธิออกไป

• ๓. เราจักคลุกคลีด้วยเสนาะที่เหมาะสมแก่สมณวิสัย พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณาอีกต่อไปว่า ตถาคตหาสรรเสริญความคลุกคลีโดยประการทั้งปวงไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยหมู่ชนทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ส่วนเสนาสนะแห่งใดเงียบเสียง ไม่อื้ออึง ปราศจากการสัญจรของหมู่ชน ควรเป็นที่กระทำกิจของผู้ต้องการความสงัด ควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ ตถาคตสรรเสริญความคลุกคลีด้วยเสนาสนะเห็นปานนั้น

ในเทคนิคต่อมาที่พระพุทธเจ้าทรงใช้หลักการ ๓ ข้อ คือ การพิจารณาในบุคคลนั้นต้องไม่มีความถือตัว พูดแต่ในสิ่งเป็นไปเพื่อความสามัคคีเป็นประโยชน์ และการอยู่คนเดียวในที่สงัดนั้นควรดูตามวาระโอกาสที่เหมาะสม และรวมทั้งให้พิจารณามองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ในเวลาไม่นานนัก ก็จะแปรสภาพไปเป็น ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในที่สุด

สาระสำคัญที่ได้จากพระสูตรนี้คือ เทคนิคในการสอบอารมณ์ของพระพุทธเจ้าทรงแนะนาการเลือกใช้ข้อใดข้อหนึ่ง หากยังไม่หายง่วงก็ให้ใช้ในข้ออื่นๆ ต่อไป และทรงใช้เทคนิคในการปฏิบัติอีก ๓ ข้อที่สำคัญ การไม่ถือตัว พูดแต่คำที่เป็นไปเพื่อความสามัคคี การอยู่ลาพังผู้เดียวนั้นหาโอกาสตามความเหมาะสม จากนั้นทรงแนะให้พิจารณากายนี้เป็นเพียงธาตุ ๔ ซึ่งแต่ละส่วนนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา นอกจำกนี้พระมหาโมคคัลลานะได้เจริญสมถกัมมัฏฐานสลับกับวิปัสสนากัมมัฏฐานไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน และในที่สุดได้บรรลุอรหัตผล

จากข้อในพระสูตรข้างต้นเป็นการยืนยันเรื่องที่มาของเทคนิคการสอบอารมณ์ที่ปรากฏในพระพุทธศาสนา ค้นคว้าจำกจปลายมานสูตร ว่าด้วยอุบายแก้ความง่วง ทำให้เป็นพระสาวกที่ได้เป็นผู้มีอินทรีย์ที่แก่กล้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ในปัจจุบันพระวิปัสสนาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญท่านจะเพิ่มเทคนิคให้กับผู้ปฏิบัติให้ตามความเห็นความเหมาะสม เมื่อมีการฝึกฝนอบรมอินทรีย์ทั้ง ๕ มีความสำคัญจะทำให้ปฏิบัติธรรมก้าวหน้าและถึงจุดหมายปลายทำงสูงสุดในพระพุทธศาสนา

๒) ความสำคัญของอินทรีย์ ๕

หลักฐานในพระไตรปิฏก เป็นเครื่องยืนยันในความสำคัญของอินทรีย์ ๕ เป็นกระบวนการและวิธีการวัดความก้าวหน้าของอินทรีย์ที่มีสภาพเป็นใหญ่ความเป็นใหญ่ของตนแต่ละหน้าที่ เป็นทางแห่งความหลุดพ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาเปิดเผยสั่งสอนเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย เพื่อเข้าสู่เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาหลักฐานในพระไตรปิฏกหลายแห่ง ให้ความสำคัญของอินทรีย์ ๕ ซึ่งได้แบ่ง ๔ ประเภทไว้ ดังนี้คือ ๕ เพื่อละสังโยชน์ เพื่อถอนอนุสัย เพื่อกำหนดอัทธานะ เพื่อความสิ้นอาสวะ

• ๑. อินทรีย์ ๕ เพื่อละสังโยชน์ มีปรากฏในสัญโญชนสูต ร สังยุตตนิกายโพธิปักขิยวรรค ว่าด้วยการเจริญอินทรีย์ ๕ เพื่อละสังโยชน์พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อละสังโยชน์ อินทรีย์ ๕ เป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อละสังโยชน์”

• ๒. อินทรีย์ ๕ เพื่อถอนอนุสัย มีปรากฏใน อนุสยสูตร สังยุตตนิกาย โพธิปักขิยวรรค ว่าด้วยการเจริญอินทรีย์ ๕ เพื่อถอนอนุสัยตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อถอนอนุสัย อินทรีย์ ๕ เป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อถอนอนุสัย”

• ๓. อินทรีย์ ๕ เพื่อกำหนดอัทธานะ มีปรากฏใน ปริญญาสูตร สังยุตตนิกายโพธิปักขิยวรรค ว่าด้วยการเจริญอินทรีย์ ๕ เพื่อกำหนดรู้อัทธานะตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกำหนดรู้อัทธานะ (ทางไกล) อินทรีย์ ๕ เป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้แลอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกำหนดรู้อัทธานะ”

• ๔. อินทรีย์ ๕ เพื่อความสิ้นอาสวะ มีปรากฏใน อาสวักขยสูตร สังยุตตนิกายโพธิปักขิยวรรค ว่าด้วยการเจริญอินทรีย์ ๕ เพื่อความสิ้นอาสวะตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕เหล่านี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ อินทรีย์ ๕ เป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้แล อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อละสังโยชน์ เพื่อถอนอนุสัย เพื่อกำหนดรู้อัทธานะเพื่อความสิ้นอาสวะ อินทรีย์ ๕ เป็นไฉน? คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์๕ เหล่านี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อละสังโยชน์ เพื่อถอนอนุสัย เพื่อกำหนดรู้อัทธานะ เพื่อความสิ้นอาสวะ”

จากพระสูตรหลายแห่งในพระไตรปิฏกที่ได้ยกเอามานำเสนอนั้น เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของอินทรีย์ ๕ ประการ เพื่อละสังโยชน์ เพื่อถอนอนุสัย เพื่อกำหนดอัทธานะ และเพื่อความสิ้นอาสวะ เป็นมีวิธีการวัดความก้าวหน้าของอินทรีย์ที่มีสภาพเป็นใหญ่ความเป็นใหญ่ของตนแต่ละหน้าที่ เป็นทำงแห่งความหลุดพ้นจำกการปรุงแต่งทั้งปวงเพื่อเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา

๓) ระดับความสมบูรณ์ของอินทรีย์ ๕

สำหรับในทางพระพุทธศาสนามุ่งกล่าวถึงระดับความสมบูรณ์ของอินทรีย์ ๕ประการ ในการเจริญกัมมัฎฐาน เมื่อเป็นผู้มีอินทรีย์สมบูรณ์เต็มที่แล้ว ก็คือความเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา มีปรากฏใน สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ได้กล่าวถึงบุคคลที่มีการปรับอินทรีย์ที่ได้สมดุลแล้วนั้น คือ พระอรหันต์ เพราะมีอินทรีย์ ๕ ประการนี้ครบถ้วนบริบูรณ์ นอกจากนี้พระพุทธเจ้ารับรองถึงอานิสงส์แห่งการปรับอินทรีย์ที่เกิดจากการปรับอินทรีย์ ๕ ได้อย่างสมดุล นั้นมีประโยชน์สูงสุดต่อผู้ปฏิบัติในการปฏิบัติกรรมฐาน ก่อให้เกิดสมาธิรุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บรรลุคุณธรรมอื่นๆ ติดตามมาอีกมากมาย ได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ที่บุคคลเจริญ ทำให้มากแล้ว พึงหวังผลานิสงส์ ๗ ประการ ดังนี้ คือ

• ๑. จะได้บรรลุอรหัตตผลทันทีในปัจจุบัน

• ๒. ถ้าไม่ได้บรรลุอรหัตตผลในปัจจุบัน จะได้บรรลุในเวลาใกล้ตาย

• ๓. ถ้าในปัจจุบันและเวลาใกล้ตายยังไม่ได้บรรลุ ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี

• ๔. ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี

• ๕. ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี

• ๖. ...ก็จะได้เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี

• ๗. .ก็จะได้เป็นพระอนาคามี ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการสิ้น

ภิกษุทั้งหลาย เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ที่บุคคลเจริญ ทำให้มากแล้ว พึงหวังผลานิสงส์ ๗ประการนี้”

ข้อสรุปที่ชัดเจนของความสมบูรณ์ในอินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือเมื่ออินทรีย์ ๕ ประการนี้เต็มที่บริบูรณ์ดีแล้ว มีความเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุดใน ๔ ชั้น เริ่มตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ซึ่งมีความแตกต่างกันในระดับความสมบูรณ์ของอินทรีย์ การที่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลผู้ผ่านการอบรมบ่มอินทรีย์ที่ได้สมดุลครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

จากการศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้พบว่า ประเด็นที่เป็นข้อสรุปถึงความสำคัญของอินทรีย์ ๕ เป็นการแสดงให้เห็นถึงทางแห่งความหลุดพ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง ความสัมพันธ์ของอินทรีย์ ๕ เป็นการอบรมพละให้เพิ่มพูนจนบรรลุนิพพานได้โดยกำจัดกิเลสได้ เป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าของอินทรีย์ ส่วนในระดับความสมบูรณ์ของอินทรีย์ ๕ เมื่อบุคคลผู้เจริญอินทรีย์ ๕ การที่ได้สำเร็จผ่านการอบรมบ่มอินทรีย์ที่ได้สมดุลครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้วได้เป็นพระอรหันต์ คือเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา

๔) กรณีตัวอย่างเทคนิคการสอบอารมณ์ในปรับอินทรีย์

หลักสำคัญในการเข้าถึงกรใช้เทคนิคการสอบอารมณ์ในการปรับอินทรีย์ ในระดับต่างๆ กันมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏกหลายแห่ง และเทคนิคนี้คือ การปรับให้เสมอกัน ให้สมดุลกันย่อมได้รับผลในการปฏิบัติและถึงจุดหมายปลายทางได้รับประโยชน์สูงสุดในพระพุทธศาสนา มีความสำคัญในการปฏิบัติกรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง การปรับอินทรีย์เพื่อให้เกิดความสมดุลการปรับอินทรีย์ ๕ ให้เสมอกัน กรณีศึกษาตัวอย่างของผู้ที่ได้รับในการปรับอินทรีย์ในแต่ละด้าน คือ ๑) ศรัทธา ๒) วิริยะ ๓) สมาธิ ๔) ปัญญา ไว้ดังนี้

(๑) ผู้มีศรัทธามาก คือ พระวักกลิเถระ เมื่อบวชแล้วก็เฝ้าติดตามพระพุทธเจ้า ด้วยศรัทธาตลอดมา และคอยรับใช้ใกล้ชิด เพราะด้วยจิตของพระวักกลิจึงติดหลงในพุทธสรีระอยู่อย่างนั้นเพื่อจะได้เฝ้าดูพระองค์จนพระพุทธเจ้าต้องคอยตักเตือนอยู่บ่อยๆ ว่า “วักกลิ เธออย่างมาดูร่างกายอันเน่าเปื่อยของเราอยู่เลย หาประโยชน์อะไรมิได้ วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเป็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม”

พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำห้ามปรามพระวักกลิสักเท่าใดก็ตาม ท่านก็ยังคงเฝ้าติดตามอยู่ตลอดเวลาหาเชื่อฟังไม่ จนในวันหนึ่งพระผู้มีพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นเวลาอันสมควรแล้วที่จะได้บรรลุธรรม จึงทำทีขับไล่พระวักกลิให้ออกไปให้พ้นอย่ามาเฝ้าดูพระองค์อีก จึงตรัสเรียกให้พระวักกลิเข้ามาเฝ้าและขับไล่เธอออกไปเสียจากสำนัก พระวักกลิเมื่อได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้วไม่ทันจะตั้งสติได้ คิดอะไรไม่ออก จึงเกิดความน้อยใจและเสียใจเป็นอย่างมาก คิดว่าพระบรมศาสดาคงจะไม่เมตตาทักทายปราศรัยกับเราอีกแล้ว เราก็คงจะไม่ได้เห็นพระวรกายรูปโฉมของพระพุทธเจ้าอีกแล้ว เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม จึงออกจากพระเวฬุวันมหาวิหาร เพื่อกระโดดเขาหวังให้ตายลงไป ในขณะที่ท่านกำลังโดดเขานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงปรากฏกายให้พระวักกลิเห็นพร้อมทั้งเหยียดพระกรให้พระวักกลิจับและตรัสปลอบใจว่า “มาเถิดวักกลิ เธออย่าได้กลัวเลย เธอจงแลดูตถาคต เราจักยกเธอเหมือนดังควาญช้างยกช้างขึ้นจากเปือกตม มาเถิดวักกลิ เธออย่าได้กลัวเลย เธอจงแลดูตถาคต เราจักยกเธอผู้เปรียบดังพระจันทร์อันราหูจับแล้วนั้นขึ้นเอง” พระวักกลิ เมื่อได้เห็นพระพุทธเจ้าอีกครั้ง ด้วยความรักที่มีต่อพระองค์และเมื่อได้รับการปลอบใจด้วยถ้อยคำอันหวานก็หายน้อยใจและเกิดความปีติใจขึ้นมาแทนที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงธรรมสอนให้ท่านพิจารณาว่า ภิกษุผู้มากด้วยความปราโมทย์เลื่อมใสในพุทธศาสนา พึงบรรลุสันตบทอันเป็นธรรมเข้าไปสงบระงับสังขาร เป็นสุข ท่านวักกลิได้พิจารณาด้วยความเลื่อมไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอันสงบแห่งสังขารอันเป็นสุข ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุอรหัตตผลณ ที่เชิงผานั่นเอง

พิจารณาในการปรับอินทรีย์ ด้านศรัทธา

• ๑. ผู้ที่ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักย่อมได้รับทุกข์โทมนัสเป็นอันมากจนสามารถทำร้ายตัวเองได้ แม้ว่าความตายจะเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุดในชีวิตก็ตาม แต่เพราะความทุกข์ที่เกิดจากความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักนั้น พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจถึงความรู้สึกอันนี้เป็นอย่างดี จึงทรงใช้วิธีนี้กับพระวักกลิ เพื่อทำให้พระวักกลิรู้สึกเสียใจที่ต้องพลัดพรากจากพระองค์อันเป็นที่รักที่สุดในชีวิต เมื่อเห็นท่านเสียใจจนคิดฆ่าตัวตาย พระองค์ก็ทรงเข้าไปปลอบโยน ทำให้พระวักกลิเกิดความปราโมทย์ใจ ยินดีเป็นที่สุด ความปีติใจ นั่นเองเป็นอุบายที่ช่วยให้พระวักกลิได้บรรลุธรรม

• ๒. พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนว่า “ความรักคือความทุกข์” เพราะถ้ารักย่อมต้องกลัวสูญเสียความรัก จึงต้องดิ้นรนในการรักษาของรักนั้น อันนี้เป็นทุกข์มากเป็นที่สุดเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักนั้น ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ภิกษุทั้งหลายให้พิจารณาอยู่เนื่องๆ ว่า“เรามีความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นธรรมดา”

จากกรณีตัวอย่างได้ข้อสรุปตามแนวคิดของพระอรรถกถาจารย์ที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือพระธัมมปทัฎฐกถาแปล กล่าวได้ว่า พระวักกลิเป็นผู้มีศรัทธาอย่างแรงกล้า อาศัยศรัทธาเป็นสื่อนาพระวักกลิได้บรรลุดวงตาเห็นธรรมก็เพราะท่านปรับความสมดุลแห่งศรัทธาคือยอมลดตัวศรัทธาลงให้เสมอกับปัญญา คือการพิจารณาในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนจนได้บรรลุธรรมอันสูงสุดในที่สุด จนสามารถได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และทรงยกย่องให้เป็นผู้เลิศในทำงศรัทธาวิมุตติคือ ผู้หลุดพ้นจากกิเลสด้วยศรัทธา

(๒) ผู้มีวิริยะมาก คือ พระโสณะ ในครั้งสมัยพุทธกาล บุตรของเศรษฐีสุขุมาลชาติท่านหนึ่ง ชื่อโสณโกฬิรสะ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก จากนั้นเมื่อได้บวชท่านปลีกวิเวกไปบาเพ็ญสมณธรรม ท่านพระโสณะปรารถความเพียรหนักเกินไปโดยเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกและเปลี่ยนมาใช้วิธีลานจงกรม เข่าและฝ่ามือก็แตกเป็นแผลอีก เลือดไหลเป็นทางการบาเพ็ญเพียรมากขนาดนี้ท่านก็ไม่ได้รับการบรรลุผลใดๆ จนคิดท้อใจอยากจะสึก ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงทราบวาระจิตของพระโสณะ จึงทรงไปปรากฏพระองค์ที่ป่าสีตะวัน พระโสณะได้ถวายอภิวาท พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระโสณะ ดังนี้ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า

“โสณะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร เมื่อครั้งที่เธออยู่ครองเรือนนั้น เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดีดพิณมิใช่หรือ”

ท่านพระโสณะทูลรับว่า “อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “โสณะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร เวลาสายพิณของเธอตึงเกินไป พิณของเธอมีเสียงใช้การได้หรือ”

ท่านพระโสณะกราบทูลว่า “ใช้การไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “โสณะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร เวลาสายพิณของเธอหย่อนเกินไป พิณของเธอมีเสียงใช้การได้หรือ”

ท่านพระโสณะกราบทูลว่า “ใช้การไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “โสณะ เธอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างไร เวลาสายพิณของเธอไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป ขึงอยู่ในระดับที่พอเหมาะ พิณของเธอมีเสียงใช้การได้หรือ”

ท่านพระโสณะทูลรับว่า “ใช้การได้ พระพุทธเจ้าข้า”...........................

ครั้นต่อมา ท่านพระโสณะได้ตั้งความเพียรให้พอดี ปรับอินทรีย์ให้เสมอกันและถือเอานิมิตในความเสมอกันนั้น ได้หลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียรอุทิศกายและใจอยู่ไม่นานนัก ก็ได้ทำให้แจ้งประโยชน์ยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ที่เหล่ากุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบันแท้รู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้วทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป” ท่านพระโสณะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

ครั้นเมื่อได้บวชแล้วได้ปลีกตัวไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าสีตะวัน พระโสณะท่านมีความมุ่งมั่นในการเดินจงกรมอย่างหนักจนกระทั้งฝ่าเท้าอันเคยอ่อนนุ่มแตก เลือดไหล ได้รับทุกขเวทนาถึงขั้นเดินไม่ได้ ท่านไม่ยอมย่อท้อ เปลี่ยนมาใช้วิธีคลานเข่า จนเข่าและมืออันเคยอ่อนนุ่มทั้งสองข้างแตกเช่นเดียวกับฝ่าเท้า แต่กลับไม่สามารถบรรลุธรรมได้มรรคผลอันใดเพิ่มขึ้นเลยจึงเกิดความท้อแท้

พระพุทธเจ้าทรงให้แนวทางการปฏิบัติ โดยเปรียบเทียบกับพิณ ๓ สายว่า สายพิณที่ขึงตึงเกินไปและสายที่หย่อนเกินไป จะมีเสียงที่ไพเราะต้อง ขึงให้ได้ระดับพอดี เวลาดีดพิณจะมีเสียงที่ไพเราะ เมื่อพระโสณโกฬิวิสะได้รับการแนะนาแนวทำงการปฏิบัติจากพระพุทธเจ้าแล้ว ปรับความเพียรในการปฏิบัติบำเพ็ญสมณธรรมโดยปฏิบัติทางสายกลาง ในเวลาไม่นานพระโสณะโกฬิวิสะในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหันต์

(๓) ผู้มีสมาธิมาก คือ โมคคัลลานะ มีพระนามเดิมว่า โกลิตะ มีพระนามเดิมว่า โกลิตะหลังจากที่ โกลิตะและอุปติสสะ ได้จากสำนักของปริพาชกมาแล้วก็ได้มุ่งตรงไปยังพระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ เพื่อทูลขออุปสมบทให้ตามใจปรารถนา หลังจากท่านอุปสมบทได้ ๗ วัน ก็ได้ไปบำเพ็ญสมณธรรม อยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ท่านได้ถูกถีนมิทธะครอบงำนั่งโงกง่วงอยู่ ไม่สามารถจะเข้าถึงธรรมที่ควรบรรลุได้ พระพุทธองค์ได้ทรงทราบจึงเสด็จไปสอนอุบายแก้ง่วง ๗ อย่างคือ

• ๑. ควรนึกถึงเรื่องที่เคยฟังมาให้มาก

• ๒.ควรตรึกถึงธรรม ตามที่เคยศึกษา (ใช้ความคิดในเรื่องนั้น อย่างสนใจ)

• ๓. ควรสาธยายธรรม (สวดมนต์ ทองบ่น สาธยาย)

• ๔. ควรลุกขึ้นยืน เอาน้ำลูบหน้า เหลียวดูทิศ แหงนดูดวงดาวบนท้องฟ้า

• ๕. ใส่ใจอาโลกสัญญา (นึกถึงแสงสว่าง) ตั้งความสำคัญว่า กลางวันไว้ในจิต ให้เหมือนกันทั้งกลางวัน กลางคืน มีใจเปิดเผยฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำให้จิตอันมีแสงสว่างให้เกิด

• ๖. ควรเดินจงกรม กลับไปกลับมา โดยสำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก

• ๗. ควรนอนตะแคงขวา มีสติสัมปชัญญะ กำหนดเวลาที่จะลุกขึ้นไว้ในใจพอตื่นแล้ว ก็รีบลุกขึ้นมาด้วยความตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบสุขในการเอนหลัง เราจักไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ

พระโมคคัลลานะได้ปฏิบัติตามที่พระเจ้าทรงได้ทรงแนะนำอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะแล้วก็ทรงสอนเรื่องธาตุกัมมัฏฐาน โดยทรงแนะนำให้กำหนดพิจารณากายนั้นแยกออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นให้โอวาทต่อไป มีใจความว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ซึ่งแต่ละส่วนนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา โมคคัลลานะ ได้เจริญสมถกัมมัฏฐานสลับกับวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนกระทั่งได้สำเร็จพระอรหัตตผลในที่สุด

พิจารณาในการปรับอินทรีย์ ด้านสมาธิ

• ๑. ความง่วงเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติธรรม ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติธรรมควรจำวิธีการแก้ง่วงนี้ไว้ให้ดี เมื่อเกิดอาการง่วงเกิดขึ้นพยายามแก้ไขด้วยวิธีการต่างๆ เป็นไปตามลาดับ

• ๒. พระโมคคัลลานะ เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก เนื่องจากท่านได้การเจริญสมถะกัมมัฏฐานมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะอาโลกสิณ คือ การนึกถึงแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา อันเป็นวิธีแก้ง่วงอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนาแก่ท่าน ท่านจึงได้รับอานิสงส์ ต่อมาภายหลังจึงเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน

พุทธดำรัสข้างต้นนั้น มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่ช่วยทำให้พระโมคคัลลานะเข้าถึงเป้าหมายแห่งสำเร็จได้ เพราะมีพระพุทธเจ้าทรงดูแลแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยพุทธอุบายวิธี หลายอย่างให้กับพระโมคคัลลานะ ซึ่งท่านเป็นผู้มีสมาธิมากไป เพราะท่านนั่งเจริญภาวนาเกิดอาการหลับตลอดเวลา จนในที่สุดพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้อินทรีย์มีความสมดุลกัน โดยพระองค์ทรงหาวิธีแก้ง่วงให้ท่านด้วยในที่สุด ท่านก็ได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา

(๔) ผู้มีปัญญมาก คือ พระสารีบุตร ท่านเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกท่านกาเนิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลมีฐานะทางการเงินมั่นคงระดับมหาเศรษฐี ด้านการศึกษา สำเร็จการศึกษาถึง ๑๘ ศาสตร์ เป็นชีวิตที่พร่ำพร้อมไปด้วยความสุขอาศัยบารมีที่สั่งสมมาในอดีตบวกกับความเป็นผู้ใฝ่รู้ในปัจจุบันเป็นเหตุให้ต้องแสวง หาทางพ้นจากทุกข์ พระสารีบุตรเถระได้เป็นบรรลุโสดาบัน และได้บวชในพระพุทธศาสนา มีปรากฏใน ทีฆนขสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เพราะจากได้ฟังธรรมของพระอัสสชิ ตั้งแต่นั้นมาท่านนับถือพระอัสสชิว่าเป็นอาจารย์ของท่าน ทำการเคารพกราบไหว้เสมอ ที่ท่านถามพระอัสชิว่าครูของท่านสอนอย่างไร พระอัสชิตอบว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น และความดับของธรรมเหล่านั้นด้วย พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้ แค่ฟังคำพูดไม่กี่คำ ท่านบรรลุธรรมในขั้นต้นแล้ว

วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับอยู่ในถ้ำนั้นกับท่าน พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดทีฆนขะปริพาชก พระสารีบุตรนั่งถวายงานพัดอยู่เบื้องพระปฤษฏางค์ พระสารีบุตรได้ฟังธรรมและพิจารณาไปตามเนื้อความของพระธรรมเทศนานั้นตลอดเวลา ครั้นจบพระธรรมเทศนาท่านก็ได้บรรลุอรหัตตผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนทีฆนขะปริพาชกหลานของท่านได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบัน เนื้อความโดยย่อของ พระธรรมเทศนาแสดงโทษของความถือมั่นอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงต่อไปด้วยอุบายวิธีที่เป็นเหตุให้ไม่ถือมั่นว่า อัคคิเวสสนะ กาย คือ รูปประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ คือดิน น้า ไฟ ลม เกิดจากบิดามารดา เติบโตมาเพราะข้าวสุกและขนมสด ต้องคอยอบรมกันกลิ่นเหม็น และต้องขัดสีอยู่เป็นนิตย์ มีอันต้องแตกดับไปเป็นธรรมดา จึงควรที่จะพิจารณาให้เห็นว่า เป็นของไม่เที่ยง ทนได้ยาก เป็นของถูกเสียดแทง เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศรเป็นของชารุดทรุดโทรม ว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

อัคคิเวสสนะ เวทนา (ความรู้สึก) มี ๓ อย่างคือ สุข ทุกข์ และอุเบกขา(ไม่สุขไม่ทุกข์) เวทนา ๓ อย่างนี้เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน คราวใดบุคคลเสวยสุขเวทนา คือ รู้สึกเป็นสุข คราวนั้นก็ไม่เสวยทุกขเวทนา และอุเบกขาเวทนา คราวใดบุคคลเสวยทุกขเวทนา คือ รู้สึกเป็นทุกข์ คราวนั้นก็ไม่เสวยสุขเวทนา และอุเบกขาเวทนา คราวใดบุคคลเสวยอุเบกขาเวทนา คือ ไม่รู้สึกสุขไม่รู้สึกทุกข์คราวนั้นก็ไม่เสวยสุขเวทนาและทุกขเวทนา แต่เวทนาทั้ง ๓ นี้เป็นอย่างเดียวกัน ตรงที่ว่าไม่เที่ยงมีปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปและเสื่อมไปเป็นธรรมดา

จากเนื้อหาพระสูตรข้างต้นนี้ชี้ให้ถึงการสอบอารมณ์ โดยพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกผู้เลิศด้านปัญญาที่มีอยู่ก่อนแล้ว พระสารีบุตรนับว่าเป็นผู้มีปัญญาอันเลิศ แต่กลับบรรลุธรรมช้าซึ่งก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนฉลาด ที่มีความสามารถสูง มักเป็นคนเชื่ออะไรยาก ท่านตั้งความปรารถนาไว้ในอดีตชาติ คือ ท่านมีความปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งถือว่าเป็นเลิศกว่าสาวกทั้งปวง จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านบรรลุธรรมช้า ในการบรรลุธรรมของพระสารีบุตรนั้น ท่านฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแก่คนอื่น คือ ทีฆนขปริพาชก ในเรื่องการพิจารณาอสุภกัมมัฏฐานเป็นลักษณะการดูอย่างมีปัญญา แม้ว่าซากศพจะเป็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัว แต่ถ้าผู้ดูดูอย่างมีปัญญาก็สามารถนาให้จิตหลุดพ้นจนสามารถบรรลุธรรมได้

สรุป การบำเพ็ญความเพียรนั้น หากว่าเคร่งมากจนเกินไปก็หาได้รับความสำเร็จกิจไม่ แต่ถ้าหย่อนเกินไปก็ไม่ดี ด้วยเหตุนี้จึงควรปรับอินทรีย์คือมี ๕ ประการ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ในการฝึกอบรมกัมมัฏฐานนั้น การปฏิบัติที่ถูกต้องจะช่วยพัฒนาศรัทธาให้เข้มแข็ง มั่นคง มีความพากเพียรอย่างแรงกล้า มีสมาธิหยั่งลึกมีสติรู้รอบเป็นผลให้ปัญญาสูงขึ้นตามลำดับ สามารถหยั่งรู้ความเป็นจริงสูงสุด จนสามารถกำจัดอวิชชาให้หมดสิ้นได้

จากกรณีตัวอย่างสรุปกล่าวได้ว่า พระวักกลิได้บรรลุดวงตาเห็นธรรมก็เพราะท่านปรับความสมดุลแห่งศรัทธาคือยอมลดตัวศรัทธาลง จนสามารถได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และทรงยกย่องให้เป็นผู้เลิศในทำงศรัทธาวิมุตติ พระโสณะพระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบกับพิณ ๓ สาย ในเวลาไม่นานพระโสณะโกฬิวิสะ ในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหันต์ พระโมคคัลลานะเป็นผู้มีสมาธิมากไปพระพุทธเจ้าทรงแนะนำพุทธวิธีแก้ง่วง ในที่สุดบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระสารีบุตรเป็นผู้เลิศด้านปัญญา เมื่อได้ฟังธรรมและพิจำรณาไปตามเนื้อความของพระธรรมเทศนานั้น ในปัญญาที่มีอยู่ก่อนแล้วทรงอุบายวิธีไม่ทรงสอนโดยตรง ทรงใช้อุบายทำให้พระสารีบุตรบรรลุธรรมในที่สุดได้ ในการปรับอินทรีย์ คือ วิริยะให้เสมอกับสมาธิให้เสมอกันส่วนการปรับศรัทธากับปัญญาให้เสมอกัน หลักธรรมที่มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาในการปฏิบัติที่ถูกต้องจะช่วยพัฒนาศรัทธาให้เข้มแข็ง มั่นคง มีความพากเพียรอย่างแรงกล้า มีสมาธิหยั่งลึก มีสติรู้รอบเป็นผลให้ปัญญาสูงขึ้นตามลำดับ สามารถหยั่งรู้ความเป็นจริงสูงสุด จนสามารถกำจัดอวิชชาให้หมดสิ้นได้

๘.๖ เทคนิคการสอบอารมณ์โดยพระวิปัสสนาจารย์ไทย

การสอบอารมณ์ของพระวิปัสสนาจารย์ แนะนำวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องให้กับผู้ปฏิบัติในหลักการฝึกฝน อบรมอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้สมดุล และเสมอจะทำให้เกิดสภาวะญาณพระวิปัสสนาจารย์ จึงจะเพิ่มเทคนิคในขั้นสูงในลำดับขั้นต่อไป เพื่อให้มีความรู้ในธรรมที่เกิดขึ้นในการปรับอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นไป ในหลักการใช้เทคนิคการสอบอารมณ์โดยพระวิปัสสนาจารย์ โดยมีจุดมุ่งหมายของการสอบอารมณ์ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อความสอดคล้องกับหลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ๒) เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ๓) เพื่อแนวทางการแก้ไขการปฏิบัติให้ถูกต้อง

๑) เพื่อความสอดคล้องกับหลักการปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔

ในการสอบอารมณ์เป็นกระบวนการหนึ่งที่มีความสำคัญมาก มีความสอดคล้องตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่เป็นการสนับสนุนในปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ให้เกิดวามก้าวหน้า พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ท่านมีหลักการสอบอารมณ์ คือ สอบถามสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในหลักสติปัฏฐาน๔ เป็นการสอบอารมณ์ไปในฐานต่างๆ ที่มีอยู่ในกาย โดยเริ่มจากส่วนที่เห็นได้ง่ายที่สุด คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ท่านจะสอบอารมณ์ที่มีสภาวธรรมต่างๆ เกิดขึ้น ทำให้เห็นว่ากายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของหลักไตรลักษณ์ ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จะเห็นความจริงที่ว่าเวทนาเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่รูป มีเวทนาปรากฏจะไม่สามารถห้ามไม่ให้เกิดขึ้นได้ ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ จะห้ามไม่ให้ดับไม่ได้ การสอบอารมณ์นี้เป็นประโยชน์สามารถให้เห็นถึงกายและจิตถูกความทุกข์เบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา การสอบอารมณ์ ในจิตตานุปัสสนาสติปัฎฐานนั้น เพื่อให้เห็นถึงจิตนั้นเกิดดับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นการทำลายวิปัลลาสที่เห็นว่าจิตเที่ยงลงได้ และในการสอบอารมณ์ของธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการสอบอารมณ์ที่สามารถเห็นได้ทั้งรูปและนาม กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฐาน เป็นการสอบอารมณ์ในการเจริญสติในปัฏฐานใดปัฏฐานหนึ่งแล้ว จิตของผู้ปฏิบัติเข้าถึงอย่าง ไม่มีขีดจำกัดด้วยกาลังของมหาสติ จะรู้รูปก็เข้าใจในรูป จะรู้นามก็เข้าใจในนาม ในการสอบอารมณ์พระวิปัสสนาจารย์ทำหน้าที่เพียงสอบถามถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงของอารมณ์เหล่านั้น

พระอาจารย์ ดร. ภัทนทันตะ อาสภมหาเถระในความสัมพันธ์ระหว่างการสอบอารมณ์กับการวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ถือว่า การสอบอารมณ์เป็นการนาเอาประสบการณ์ผล หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจำกการฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐาน มาบอกเล่าแก่พระวิปัสสนาจารย์ เพื่อให้คำแนะนา วินิจฉัย ประเมินผลในการปฏิบัติ การให้คำแนะนาเพื่อให้ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ส่วนการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น เป็นวิธีการฝึกการควบคุมจิตเพื่อให้เกิดปัญญา เป็นกระบวนการฝึกจิต โดยมุ่งที่ให้เห็นตามความเป็นจริง ส่วนในสติปัฏฐานสูตร มีหลักการคือ การพิจารณากายในกาย, การพิจารณาเวทนาในเวทนา, การพิจารณาจิตในจิต และการพิจารณาธรรมในธรรม

จากพระวิปัสสนาจารย์สองท่าน กับกระบวนการสอบอารมณ์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นการสอบถามถึงของสภาวะที่ปรากฏเกิดนั้น เป็นการสอบความเข้าใจในกรอบหลักสติปัฏฐาน ๔ และในฐานต่างๆ มีสภาวะต่างๆ กัน ในการสอบอย่างเป็นลำดับตามขั้นตอน มีความรู้มีความเข้าใจ สามารถชี้แจ้งแนะนำให้ได้ถูกต้อง ล้วนต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ในการปฏิบัติอย่างแท้จริงช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถบรรลุเป้าหมาย เป็นวิธีการฝึกการควบคุมจิตให้เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย เพื่อให้เกิดปัญญา

๒) เพื่อสำรวจความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

การสอบอารมณ์เป็นการสนับสนุน เพื่อสร้างปัญญา เพื่อความก้าวหน้าเข้าใจหลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน รู้จักเป็นผู้ฝึกฝนตนเองทั้งทำงกายและจิตใจ ให้เกิดความสงบให้มีความรู้เพื่อนำไปปฏิบัติต่อได้ และเมื่อมีความรู้ดีแล้วก็สามารถดับทุกข์ได้ในที่สุด ซึ่งในการสอบอารมณ์ของพระวิปัสสนาจารย์ เพื่อตรวจสอบสภาวธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้นมีผลเป็นอย่างไร ในการสอบอารมณ์ของท่านนั้น เพื่อตรวจดูสติที่กำกับควบคุมดูแลทั้งหมดในฐาน ๔ แห่ง ประเด็นสำคัญของการสอบอารมณ์ความสัมพันธ์ระหว่างการสอบอารมณ์พระวิปัสสนาจารย์กับการเจริญสติปัฏฐาน ๔ คือการสอบอารมณ์ในด้านกาย ตั้งสติกำหนดพิจารณากายการเคลื่อนไหวของกาย, การสอบอารมณ์ในด้านเวทนา ตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนา การรู้สึกสุขทุกข์ต่างๆ การสอบอารมณ์ในด้านจิต ตั้งสติกำหนดพิจารณาจิตภาวะที่เป็นไปต่างๆ การสอบอารมณ์ในด้านธรรม ตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรมความคิดไตร่ตรอง โดยเริ่มการสอบอารมณ์ในสติปัฏฐานนั้น การที่สติเข้าไปตั้งอยู่ คือ มีสติกำกับการใช้สติให้เกิดผลคือ การเจริญสติปัฏฐานนี้ ถือว่าเป็นการสอบอารมณ์กัมมัฏฐาน ที่มีพร้อมทั้งสมถะกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ในตัวพร้อมสมบูรณ์ โดยการรายงานสภาวะที่เคยเกิดขึ้นในการปฏิบัติที่ผ่านมาแล้วท่านจึงจะรู้ปัญหาและแนะนำวิธีแก้ไขได้ การสอบอารมณ์นี้เหมือนกับการรดน้ำต้นไม้ ทำให้เรามั่นใจว่าปฏิบัติถูกทางและเกิดกาลังใจในการปฏิบัติแนวทางรายงานการปฏิบัติในเวลาสอบอารมณ์ การสอบอารมณ์กับการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น ควรได้รับคำแนะนำฝึกหัดในสำนักของพระวิปัสสนาจารย์ที่ดีมีความรู้ความชำนาญโดยเฉพาะ และอยู่ในการควบคุม จะช่วยให้การปฏิบัติบรรลุเป้าหมายได้ถูกต้อง จึงถือว่าเป็นเครื่องตามรักษาที่สำคัญยิ่งนัก การสอบอารมณ์ของพระวิปัสสนาจารย์ในฐานทั้ง ๔ ฐาน เป็นเพื่อทราบความก้าวหน้าในสภาวะแต่ละฐานที่เกิดขึ้น การสอบอารมณ์มีความสัมพันธ์กับสติปัฏฐานทั้ง ๔ มีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด เป็นการสอบถามสภาวะธรรมที่มีลำดับขันตอน เพราะเนื่องมาจากการปฏิบัติที่ถูกต้องก็จะทำให้ผลของการสอบอารมณ์นั้นมีความแม่นยำอีกด้วย

สรุปว่า หลักการการสอบอารมณ์นั้น เป็นสำรวจความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมในฐานทั้ง ๔ แห่ง ในสภาวะแต่ละฐานที่เกิดขึ้น เป็นรายงานตามสภาวะที่มีปรากฏจริงๆ ในช่วงนั้นที่ผ่านมาแล้ว แนะนาวิธีแก้ไข ในการสอบอารมณ์มีความสัมพันธ์กับสติปัฏฐานทั้ง ๔ มีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด เป็นการสอบถามสภาวธรรมที่มีลำดับขั้นตอน ทำให้ผลของการสอบอารมณ์นั้นมีความถูกต้องสมบูรณ์

๓) เพื่อปรับและแก้ไขการปฏิบัติให้ถูกต้อง

สาระที่สำคัญของการสอบอารมณ์นั้น ถือว่าเป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดผลดีในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้คำชี้แนะแก้ไขให้เหมาะสมในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช การปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้นย่อมมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นเสมอ เมื่อผู้ปฏิบัติ ประสบกับปัญหาความสงสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง พระวิปัสสนาจารย์คอยแนะนาแนวทางที่ถูกต้องสามารถขจัดจุดอ่อน ในตนเองได้มากเท่าใด ก็มีความพร้อมในการเจริญมรรคขึ้นได้มากเท่านั้น หากผู้นำทางคือกัลยามิตรหรือครูบาอาจารย์ โดยมีอุปกรณ์ที่จำเป็นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เตรียมความพร้อมกายเตรียมใจให้พร้อม สามารถประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม คือ สามารถพ้นทุกข์ ได้มากกว่าคนที่ลงมือปฏิบัติไปตามยถากรรม การบอกเล่าให้ท่านวิปัสสนาจารย์ได้ทราบว่ามีสภาวะอย่างใดเกิดขึ้นในตัวผู้ปฏิบัติ ท่านจะกรุณาแนะนำ อย่างใดถูกอย่างใดผิด ช่วยไม่หลงทางและเสียเวลาอยู่กับการปฏิบัติที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากทางแห่งอริยมรรคสามารถบรรลุภูมิธรรมชั้นที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

พระอาจารย์ทองมั่น สุทฺธจิตฺโต วิปัสสนาจารย์จะเป็นผู้ที่จะสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดให้ และให้คำแนะนำขั้นตอนต่อไป เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติ การสอบถามถึงกำลังของสติและปัญญาที่มีต่อการรับรู้ในสภาวธรรมที่เกิดขึ้นให้คำแนะนาขั้นตอนต่อไป เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในการสื่อความหมายที่ได้ผลระหว่างพระวิปัสสนาจารย์กับโยคีมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งมาก จะช่วยในการนำทาง ช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรส่งอารมณ์อย่างรวบรัดและตรงประเด็นที่จุดสำคัญ เมื่อได้รับคำแนะนำให้เอาใจใส่ฟังอย่างรอบครอบ และหากมีข้อสงสัยควรรายงานสิ่งที่ประสบมา

คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อธิบายว่า เป็นเรื่องละเอียดสุขุมเป็นเรื่องของการฝึกอบรมจิตใจให้ดำเนินไปในแนวทางของพระธรรมที่สุขุมประณีตและต้องถูกต้องด้วยหากได้รับคำแนะนำจากฝึกหัดในสำนักของพระวิปัสสนาจารย์ที่มีความรู้ความชานาญโดยเฉพาะเพื่อให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเป้าหมายได้ถูกต้องและรวดเร็ว

จากแนวทางในการแก้ไขการสภาวธรรมให้ถูกต้องจากพระวิปัสสนาจารย์ทั้ง ๓ ท่าน ช่วยให้การปฏิบัติกับการสอบอารมณ์นั้นอยู่ในทิศทางเดียวกัน และเป็นช่วยไม่หลงทางและเสียเวลาอยู่กับการปฏิบัติที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากทางแห่งอริยมรรค เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฉะนั้นในการสอบอารมณ์จึงมีสัมพันธ์กับภาคการปฏิบัติเช่นเดียวกันส่วนในแนวทางการแก้ไขสภาวธรรมต่างๆ ตามที่ขึ้น จะได้รับคำแนะนำจากการอบรมในสำนักของพระวิปัสสนาจารย์ที่ดี และมีความรู้ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเป้าหมายได้ถูกต้องและรวดเร็วจากการศึกษาเทคนิคการสอบอารมณ์ของพระวิปัสสนาจารย์ทั้ง ๓ ประการนี้ เทคนิคการสอบอารมณ์มีจุดมุ่งหมายหลักในการสอบอารมณ์ เป็นกระบวนการหนึ่งเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติ มีความความสอดคล้องกับหลักคำสอนในปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ มีการสำรวจผลเพื่อวัดถึงความก้าวหน้าในการปฏิบัติ การสอบอารมณ์กับการปฏิบัตินั้นเป็นกระบวนการหนึ่งที่มีความละเอียด ในการส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ให้ได้รับความรู้เห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้นาไปสู่ปัญญา แก้ไขในสิ่งผิด เพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง โดยมีการรายงานสภาวธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น ในระหว่างการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานที่เรียกว่า การส่งอารมณ์ และการสอบอารมณ์ การสอบอารมณ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเป้าหมายได้ถูกต้องและรวดเร็ว เป็นการสนับสนุนเกื้อกูลต่อการนาไปปฏิบัติต่อไป

๘.๖ กระบวนการปรับแต่งอินทรีย์

เทคนิคในการปรับอินทรีย์ ในการสอบอารมณ์ของพระวิปัสสนาจารย์ เป็นการปรับอินทรีย์ต่างๆ ให้มีความสมบูรณ์สม่ำเสมอกันจะทำให้ปฏิบัติธรรมก้าวหน้าและถึงจุดหมายปลายทางได้รับประโยชน์สูงสุดในพระพุทธศาสนา มีความสำคัญในการปฏิบัติกรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง การปรับอินทรีย์เพื่อให้เกิดความสมดุลการปรับอินทรีย์ ๕ ให้เสมอกัน หลักการที่สำคัญคือ ๑) เทคนิคในการปรับอินทรีย์คู่สมดุล ๒) วิธีการปรับแต่งอินทรีย์โดยนำเสนอในรายละเอียดดังนี้

๑) ศรัทธาเสมอกันกับปัญญา

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค พระพุทธโฆษาจารย์ กล่าวถึงความสำคัญของการปรับอินทรีย์ทั้งหลายให้เสมอกัน โดยได้แสดงว่า อินทรีย์คือศรัทธามีกาลังมาก อินทรีย์ ๔ ที่เหลือจะมีกาลังน้อยกล่าวคือ อินทรีย์คือวิริยะย่อมไม่สามารถเพื่อทำหน้าที่คือการประคอง อินทรีย์คือสติย่อมไม่สามารถเพื่อทำหน้าที่คือการปรากฏ อินทรีย์คือสมาธิย่อมไม่สามารถเพื่อทำหน้าที่คือความไม่ฟุ้งซ่าน อินทรีย์คือปัญญาย่อมไม่สามารถทำหน้าที่คือการเห็นแจ้ง เพราะฉะนั้น ต้องลดสัทธินทรีย์นั้นลงด้วยการพิจารณาถึงสภาวธรรม คือภาวะที่เป็นจริงของสัทธินทรีย์นั้น และได้แสดงว่าเมื่ออินทรีย์แต่ละประการมีกำลังมากพึงทราบว่า อินทรีย์นอกจากนี้ไม่สม่ำเสมอกัน ซึ่งในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค การแสดงอกุศลธรรมฝ่ายตรงข้ามที่อินทรีย์ ๕ จะกำจัดเป็นคู่ๆ จะยกมากล่าวไว้พร้อมทั้งหน้าที่หรือกิจของอินทรีย์เหล่านั้น โดยมีศรัทธาเป็นใหญ่ในหน้าที่น้อมใจดิ่งหรือมุ่งไปเด็ดเดี่ยว กำจัดอกุศลคือความไม่เชื่อถือ วิริยะเป็นใหญ่ในหน้าที่ประคองหรือคอยยกจิตไว้ กำจัดอกุศลคือความเกียจคร้าน สติ เป็นใหญ่ในหน้าที่คอยคุ้มหรือดูแลจิต กาจัดอกุศลคือความประมาท สมาธิ เป็นใหญ่ในหน้าที่ทำจิตไม่ให้ซ่านส่าย กำจัดอกุศลคืออุทธัจจะ ปัญญาเป็นใหญ่ในหน้าที่ดูเห็นตามสภาวะ กำจัดอกุศลคืออวิชชา

การทำศรัทธากับปัญญาให้สมดุลกัน คือ ถ้าอินทรีย์ คือ สัทธาของผู้นั้นมีกาลังมาก วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะมีกาลังอ่อนเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะมีความบกพร่อง คือ วิริยินทรีย์ ไม่สามารถทำหน้าที่ประคองไว้ได้ สตินทรีย์ไม่สามารถทำหน้าที่อุปถัมภ์ไว้ได้ สมาธินทรีย์ ไม่สามารถทำหน้าที่ไม่ฟุ้งซ่านได้ ปัญญินทรีย์ ไม่สามารถทำหน้าที่เห็นได้เพราะเหตุนั้น โดยอุบายวิธี ๒ อย่างคือ โดยพิจำรณาสภาวธรรม และใส่ใจโดยวิธีใดหนึ่งเช่น สัทธินทรีย์เกิดมีกำลังมาก เมื่อนั้นพึงลดสัทธินทรีย์ลง

พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต) ได้แสดงทำศรัทธากับปัญญาให้สมดุลกัน คือศรัทธา คือ ความเชื่อ ความที่จิตใจพุ่งแล่นไปหาและคล้อยไปตาม เข้าคู่กับปัญญา ถ้าศรัทธาแรงไปก็เชื่อง่าย เชื่อดิ่งไป จนงมงาย ถ้าเอาแต่ปัญญา ก็จะคิดมาก สงสัยเกินเหตุหรือด่วนปฏิเสธ ฟุ้งไปเรื่อยไม่จับอะไรลงลึก จึงปรับศรัทธากับ ปัญญาให้สม่ำเสมอสมดุลกัน

สัทธากับปัญญาต้องให้เท่ากัน คือ บางคนมีแต่ศรัทธาอย่างเดียวไม่มีปัญญา ก็เป็นเหตุให้งมงาย เชื่อเรื่องงมงายอย่างไม่มีเหตุผล หรือถ้ามีแต่ปัญญาอย่างเดียว ขาดศรัทธา จะทำให้ฟุ้งซ่าน ไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่าย ๆ เพราะปัญญามากว่าศรัทธาทำให้จิตไม่สงบ เนื่องจากคิดฟุ้งซ่านอยู่ด้วยอำนาจปัญญาที่มีมากเกินไป สัทธากับปัญญาต้องให้เท่ากัน คือ ศรัทธาอย่างเดียวไม่มีปัญญา ก็เป็นเหตุให้งมงาย ไม่มีเหตุผล ถ้ามีแต่ปัญญาอย่างเดียว ขาดศรัทธาจะทำให้คิดฟุ้งซ่าน ไม่ยอมเชื่อถืออะไรง่าย ๆ เพราะปัญญามากว่าศรัทธา ทำให้จิตไม่สงบ เนื่องจากมัวแต่คิดฟุ้งซ่านอยู่ ด้วยอำนาจปัญญาที่มีมากเกินไป

ทำศรัทธากับปัญญาให้สมดุลกัน คือ ความเชื่อ แต่ขาดปัญญาเขาเรียกว่างมงาย ขาดเหตุผล ขาดปัญญา แต่ถ้าปัญญามากไป ไม่มีศรัทธา ก็ฟุ้งซ่าน

วิจัยธรรมมากเกินไป ไม่ศรัทธาไปหมด ปฏิบัติไปมันก็ฟุ้งซ่านความเชื่อไม่มี ไม่มีความสมดุล ต้องมีศรัทธามีปัญญาสมดุลกันคือ เชื่อด้วยมีปัญญาด้วย ปราศจากศรัทธาก็มักเป็นคนที่ตรึกตรองมากเกินไป ส่งผลให้ไม่เชื่อถือสิ่งใด เพราะฉะนั้น ศรัทธากับปัญญาจึงต้องควบคู่สมดุลกัน

สาระเกี่ยวกับการปรับศรัทธากับปัญญาที่เสนอมาทั้งหมดนี้ เห็นได้ว่า ในหลักวิธีการปรับศรัทธาเสมอกันกับปัญญา พระวิปัสสนาจารย์ทุกท่านมีความเห็นโดยความสอดคล้องกันทั้งหมด คือต้องทำให้ศรัทธากับปัญญาให้ได้สมดุลกัน เพราะศรัทธาที่ประกอบกับปัญญาจะสามารถดำเนินไปในทางที่ถูกต้องได้ ความเข้าใจทั้งสองอย่างต้องสมดุลกัน ถ้ามีปัญญามากโดยปราศจากศรัทธาก็มักเป็นคนที่ตรึกตรองมากเกินไป ส่งผลให้ไม่เชื่อถือสิ่งใด เพราะฉะนั้น ศรัทธากับปัญญาจึงต้องควบคู่สมดุลกัน

๒) สมาธิเสมอกันกับวีริยะ

ผู้มีสมาธิมาก แต่มีวีริยะน้อย ความเกียจคร้านย่อมครอบงำ เพราะสมาธิเป็นฝักฝ่ายของความเกียจคร้าน ผู้มีวีริยะมากแต่มีสมาธิน้อย อุทธัจจะความฟุ้งซ่านครอบงำ เพราะวิริยะเป็นฝักฝ่ายของอุทธัจจะแต่สมาธิที่ประกอบเข้ากับวิริยะแล้วย่อมไม่ได้เพื่อตกไปในความเกียจคร้าน วิริยะที่ประกอบเข้ากับสมาธิแล้ว ก็ไม่ได้เพื่อตกไปในอุทธัจจะ เพราะฉะนั้นจึงจำต้องวิริยะกับสมาธิทั้งสองนั้นให้สม่ำเสมอกัน เพราะจะสำเร็จอัปปนาสมาธิได้ ด้วยวีริยะสมาธิทั้งสองสม่ำเสมอกัน

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้กล่าวไว้ในเรื่องนี้คือ วิริยะกับสมาธิต้องสมดุลกัน ถ้าสมาธิกล้า วิริยะอ่อนก็จะทำให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำได้ ถ้าวิริยะแรงสมาธิอ่อนก็จะเกิดความฟุ้งซ่านครอบงำได้ ถ้าทำให้วิริยะกับสมาธิเข้ากันได้ก็จะไม่เกิดความฟุ้งซ่านทำให้สมาธิตั้งมั่นได้ ดังนั้น ต้องปรับให้วิริยะกับสมาธิเสมอกันเพื่อความสำเร็จเข้าสู่อัปปนาสมาธิได้พระวิปัสสนาจารย์ท่านได้แสดงไว้โดยสอดคล้องกันและอธิบายเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสมาธิกับวิริยะเสมอกันคือ

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙) ได้กล่าวว่า ความเพียรกับสมาธิให้สมดุลกัน ไว้ว่า โกสัชชะ คือ ความเกียจคร้านย่อมครอบงำบุคคลที่มีสมาธิกล้ามีความเพียรอ่อนเพราะสมาธิเป็นไปในฝ่ายแห่งความเกียจคร้าน อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่านย่อมครอบงำบุคคลผู้มีความเพียรกล้า เพราะความเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งอุทธัจจะ ส่วนสมาธิกับวิริยะย่อมไม่ตกไปในอุทธัจจะ เพราฉะนั้นนักปฏิบัติจึงต้องทำสัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิ ให้สม่ำเสมอกันเพราะว่าอินทรีย์ ๕ เสมอกัน อัปปนาย่อมเกิดได้

พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) ได้กล่าวว่า ความเพียรกับสมาธิจะต้องปรับให้เท่ากัน คือ ความเพียร (วิริยะ) ถ้าหนักไป มากไป ก็จะทำให้ร่างกายปวดเมื่อย เพราะความเพียรมากไป ส่วนสมาธินั้น ถ้าทำน้อยไป จิตก็จะไม่สงบ ถ้าทำมากไปก็เกิดง่วงได้ง่าย ในเมื่อสมาธิมากเมื่อเกิดความง่วงขึ้นแล้ว จิตไม่ถูกยกขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐานเพราะสมาธิมีมาก แต่ความเพียรมีน้อยไป จิตไม่ถูกยกขึ้นสู่อารมณ์ด้วยอำนาจความเพียร คนที่ทำสมาธิมากไป จิตจึงมักตกลงสู่ภวังค์ หรือจะหลับเสียแล้ว คือหลับในขณะนิ่งสมาธิต้องปรับให้เท่ากัน

พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมร สี) ได้กล่าวว่า ความเพียรกับสมาธิให้สมดุลกัน คือถ้าเพียรมากแต่ขาดสมาธิมันไปเคร่งเครียด บางทีเครียดหมดมันไม่มีสมาธิ บางทีก็ลาบากกายเปล่า มันก็ไปทำงทุกข์กายลาบากกาย แต่ถ้าหากสมาธิมาก ความเพียรน้อยกว่า มันก็ไม่เห็นสภาวะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐานน้อย ที่จะให้เกิดความรู้เห็น เห็นสภาวะของความเกิดดับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เห็นมันดิ่งลงไป บางทีเราปฏิบัติไปนี่สมาธิมันมาก มันก็คอยจะนิ่ง ๆ ดิ่งลงไปเฉย ๆ ไม่รับรู้อะไร เราต้องสร้างความเพียรให้ทัน คือเพียรระลึกเพียรพยายามที่จะให้มันเกิดการรู้เท่าทันขึ้น มันมีความสมดุลขึ้น ถ้าหากว่าบุคคลได้มีอินทรีย์ที่สมดุลกัน การปฏิบัติก็จะได้รับผลขึ้นที่ปฏิบัติอยู่ไม่ค่อยมีความสมดุลกัน ก็ต้องอาศัยการพิจารณาสังเกตให้มันสม่าเสมอ

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวว่า ความเพียรกับสมาธิให้สมดุลกัน คือวิริยะ คือ ความเพียร เข้าคู่กับ สมาธิ คือ ความสงบจิตใจที่แน่วแน่อยู่ที่ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถูกอารมณ์ต่างๆ รบกวน ถ้าวิริยะแรงไปก็จะเครียดและฟุ้งซ่าน แต่สมาธิก็จะสงบสบาย ชวนให้ติดในความสุขจนกลายเป็นเกียจคร้าน จึงให้เสริมสร้างวิริยะและสมาธิอย่างสม่ำเสมอสมดุลกัน เพื่อจะได้ประคับประคองกันไปและเป็นเครื่องอุดหนุนกัน -

ให้ก้าวหน้าไปในทางการปฏิบัติ

จากหลักการที่พระวิปัสสนาจารย์ ท่านที่ได้นำเสนอมา อาจกล่าวได้ว่า ในวิธีการปรับสมาธิกับวิริยะให้เสมอกัน ถ้าความเพียรมากไปเป็นเหตุให้สมาธิมีน้อยบังเกิดความฟุ้งซ่านได้ สมาธิก็ไม่เกิดการตั้งมั่น ถ้าสมาธิมากเกินไปทำให้เกิดความเพียรมีน้อยทำให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำเป็นเหตุให้เกิดความง่วงได้ง่าย ดังนั้นต้องทำให้วิริยะกับสมาธิให้สมดุลกัน เพราะความเพียรกับสมาธิที่ได้สมดุลทำให้เกิดสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิสามารถประสบความสำเร็จในการปฏิบัติได้

๓) สติเป็นกำลังของอินทรีย์ทั้ง ๔

สตินั้นมีกาลังมากในอินทรีย์ ๕ ทุกประการยิ่งดี เพราะสติย่อมรักษากุศลจิตให้พ้นจำกการตกไปในอุทธัจจะ ด้วยอำนาจแห่งศรัทธา วิริยะและปัญญาอันเป็นฝักฝ่ายแห่งอุทธัจจะและรักษากุศลจิตให้พ้นจากการตกไปในความเกียจคร้านด้วยสมาธิอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้น สติจึงจำปรารถนาในอินทรีย์ ๕ ทุกประการ สติมีกาลังมากในกิจทุกอย่าง เพราะเหตุไร ? เพราะจิตมีสติเป็นเครื่องเตือนให้ระลึก และสติมีการอารักขาเป็นอาการปรากฏ การยกจิตและการข่มจิต เว้นจากสติแล้วหาเป็นไปได้ไม่ ซึ่งได้รับการอธิบายไว้ในหนังสือคัมภีร์วิสุทธิมรรค จากข้อความที่แสดงโดยนัยนี้มีนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้โดยสอดคล้องกันและอธิบายเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสติที่เป็นตัวประสานธรรมทั้ง ๕ ในการปรับสมดุลอินทรีย์ไว้ดังนี้

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙) ได้กล่าวว่า สติ ที่เป็นการปรับอินทรีย์ ไว้ว่า สตินั้นต้องการให้มีกำลังกล้าในที่ทุกสถาน ในกาลทุก เพราะว่าสติย่อมรักษาจิตไม่ให้ตกไปสู่อุทธัจจะด้วยอำนาจสัทธา วิริยะ ปัญญา ซึ่งเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งอุทธัจจะ และรักษาจิตไม่ให้ไปสู่โกสัชชะ เหตุนั้นสติจึงจำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะว่า จิตมีสติเป็นที่พึ่ง เป็นที่ระลึก ส่วนสติทำหน้าที่ตามรักษาและอุปถัมภ์บำรุงจิตถ้าเว้นสติเสียแล้ว ไม่มีผู้ยกย่องจิตและข่มจิต

พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) ได้กล่าวว่า สติ ที่เป็นการปรับอินทรีย์ ไว้ว่า สตินั้นเป็นธรรมตัวกลาง ซึ่งต้องใช้ช่วยเหลือในการทำทุกอย่างให้สมดุลกันสติมากก็ยิ่งดี ถ้ามีน้อยไม่ดีคือ เมื่อปรับ ๒ คู่ให้เสมอกันแล้ว สติที่เป็นตัวกลางที่คอยควบคุมก็จะคอยช่วยเหลืออยู่ทุกขณะตัวสตินี้เปรียบเหมือนพลังหรือถ่านไฟ ถ้ามีพลังน้อยเครื่องรับวิทยุก็ไม่อาจจะดังหรือดังไม่ชัด ถ้าไฟมีพลังมากเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น ฉะนั้นต้องฝึกบ่อยๆ ให้มีกำลังอยู่เสมอ เพราฉะนั้น อินทรีย์ทั้งห้าประการดังกล่าวมานี้ จะต้องปรับให้เสมอกัน ให้สมดุลกัน อย่าให้ -

ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยิ่งหย่อนกว่ากันถ้าปรับให้สมดุลกันแล้ว ก็ย่อมได้รับผลในการปฏิบัติอย่างแน่นอน

พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมร สี) ได้กล่าวว่า สติ ที่เป็นการปรับอินทรีย์ ไว้ว่าสติก็เป็นตัวกลางตัวประสานได้ทุกธรรมคือเข้าได้ทุกที่

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวว่า สติ ที่เป็นการปรับอินทรีย์ ไว้ว่าสติ นั้นเป็นตัวคุมตัวเตือน ต้องใช้ในทุกกรณี เช่นเป็นเหมือนยามที่คอยบอกว่า เวลานี้ศรัทธาจะแรงไปแล้วปัญญาจะหย่อนไปแล้ว เวลานี้ควรเร่งวิริยะขึ้นมา เพราะทำท่าจะติดในสุขจากสมาธิ

สาระสำคัญของสติ พระวิปัสสนาจารย์ ท่านได้อธิบายถึงความสำคัญของสติเป็นยอดแห่งธรรมมีส่วนช่วยให้การปฏิบัติมีความก้าวหน้า ซึ่งพระวิปัสสนาจารย์จะเน้นสติเป็นอย่างมากสติที่มีกำลังแก่กล้าเป็นการดี เพราะสติจะคุ้มครองรักษาจิตมิให้ตกไปในอุทธัจจะ และสติจะคุ้มครองรักษาจิตไม่ให้ตกไปในโกสัชชะ เพราะสมาธิเป็นฝ่ายของโกสัชชะ สตินั้นมีประโยชน์ในที่ทั้งปวง เพราะว่าจิตมีสติเป็นที่พึ่ง และสติมีความระมัดระวังอารักขาเฉพาะหน้า มีสติเป็นการประคองจิตไว้

เทคนิคในการปรับอินทรีย์คู่สมดุลถือว่าเป็นปัจจัยให้การปฏิบัติกัมมัฏฐาน มีความก้าวหน้า พระวิปัสสนาจารย์จะใช้เป็นเทคนิคในการสอบอารมณ์ด้วยการปรับอินทรีย์เป็นเรื่องที่สำคัญกล่าวคือ การปรับอินทรีย์ให้สมดุล คือ เป็นการปรับอินทรีย์เสมอกันเป็นคู่ๆ คือปรับศรัทธาให้เสมอกับปัญญา และปรับปัญญาให้เสมอกับศรัทธา ปรับวิริยะให้เสมอกับสมาธิและปรับสมาธิให้เสมอกับวิริยะ ส่วนสตินั้นยิ่งมีเท่าไรก็ยิ่งดีไม่มีคำว่าเกินเป็นตัวกลางประสานได้ทุกธรรม เมื่อมีการฝึกฝนอบรมอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้สมดุลสม่ำเสมอจะทำให้ปฏิบัติธรรมก้าวหน้าและถึงจุดหมายปลายทำงได้

บทบาทพระวิปัสสนาจารย์กับการสอบอารมณ์

สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์เป็นสถาบันเก่าแก่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยพระเถรานุเถระที่มีบทบาทในการบริหารคณะสงฆ์ยุคนั้น คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจอาสภเถร) ทั้งนี้โดยนี้พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระท่านได้นาแบบอย่างแนวคิดและวิธีการปฎิบัติกัมมัฏฐาน พอง-ยุบ ของท่านมหาสีสะยาดอ จากสำนักปฏิบัติธรรมในประเทศพม่า มาเผยแผ่อบรมในประเทศไทย งานเผยแผ่เป็นไปอย่างกว้างขวาง และรวดเร็วพระวิปัสสนาจารย์เป็นเหมือนผู้ที่กัลยาณมิตรที่คอยให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือในเรื่องการปฏิบัติ ในขณะที่มีการสอบอารมณ์พระวิปัสสนาจารย์ อาจให้คำแนะนาช่วยในการให้โยคีผู้ที่เป็นลูกศิษย์ ผู้วิจัยจึงได้แบ่งองค์ประกอบสำคัญของการเป็นพระวิปัสสนาจารย์ไว้ ๓ ประการ คือ ก) บทบาทหน้าที่พระวิปัสสนาจารย์ ข) คุณสมบัติของพระวิปัสสนาจารย์ ค) ประโยชน์ของการสอบอารมณ์

ก) บทบาทหน้าที่พระวิปัสสนาจารย์

ในการเลือกพระวิปัสสนาจารย์ ผู้ที่ให้กรรมฐาน พระอาจารย์ผู้ให้กรรมฐานต้องมีคุณสมบัติ คือ ท่านใดก็ตามที่ให้กรรมฐานทั้ง ๒ อย่างคือ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานท่านผู้นั้น ชื่อว่า ผู้สามารถให้กรรมฐาน ผู้ประสงค์จะเจริญกรรมฐานพึงเข้าหาท่านผู้สามารถให้กรรมฐานได้ หรือมิตรดารงตนอยู่ในฝ่ายดีมีจิตมุ่งในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติประจำตน พระวิปัสสนาจารย์ที่ดีควรเป็นผู้มีความแตกฉาน ความเชี่ยวชาญ หรือชานาญ ในทำงพระพุทธศาสนาเรียกว่า ปฏิสัมภิทามีกล่าวไว้ใน วาทีสูตร อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ประกอบหลัก ๔ ประการ ดังนี้

๑) อัตถปฏิสัมภิทา มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แจ่มแจ้ง ถูกต้อง ในเนื้อหาสาระของวิชาที่สอน

๒) ธัมมปฏิสัมภิทา มีความเข้าใจ แจ่มแจ้ง แตกฉาน ในหัวข้อวิชา สามารถยกหัวข้อแล้วอธิบายความได้โดยพิสดาร

๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา มีความเชี่ยวชาญ ในการใช้ภาษาเป็นสื่อในการสอนที่ทำให้นักเรียนนักศึกษาเข้าใจได้ง่าย สามารถบรรยายเป็นเหตุเป็นผล เป็นลำดับต่อเนื่องกัน ไม่พูดวกวนไม่พูดสับสน

๔) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปฏิภาณไหวพริบฉับไว สามารถเข้าใจ และคิดหาเหตุผลได้อย่างเหมาะสม ฉับไว ทั้งสามารถแก้ปัญหา และโต้ตอบปัญหาได้อย่างถูกต้อง และทันทีทันใด

จากหลักการพิจารณาบทบาทของพระวิปัสสนาจารย์ ถือว่ามีสำคัญต่อการสอบอารมณ์กัมมัฏฐานเป็นอย่างมาก ต้องมีความแจ่มแจ้งในเนื้อหาเป็นผู้มีความแตกฉาน ความเชี่ยวชาญ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถูกต้อง ในเนื้อหาสาระสามารถบรรยายเป็นเหตุเป็นผล เป็นลำดับ มีปฏิภาณไหวพริบฉับไว สามารถเข้าใจ และคิดหาเหตุผลได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้ผู้ปฎิบัติไม่หลงทำงและเสียเวลาอยู่กับการปฏิบัติผิดพลาดคลาดเคลื่อนจำกทำงแห่งมรรค

ข) คุณสมบัติของพระวิปัสสนาจารย์

ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ การเรียนเอาพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระองค์เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด แต่เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว ในบรรดาพระมหาสาวก ๘๐ รูป ส่วนรูปใดยังมีชนมายุอยู่ การเรียนเอาพระกัมมัฏฐานในสำนักของพระมหาสาวกองค์นั้นย่อมเป็นการสมควรเมื่อพระมหาสาวกนั้นไม่มีอยู่แล้ว ก็พึงเรียนเอาในสำนักของพระอรหันตขีณาสพองค์ที่ได้ฌานจตุกกนัยหรือฌานปัญจกนัย ด้วยพระกัมมัฏฐานบทที่ตนประสงค์จะเรียนเอา แล้วเจริญวิปัสสนาซึ่งมีฌานเป็นบาทฐานจนได้บรรลุซึ่งความสิ้นสุดแห่งอาสวะกิเลส ถ้าโยคีบุคคลได้พระอรหันตขีณาสพ นับว่าเป็นบุญ แต่ถ้าหาไม่ได้พึงเรียนเอาในสำนักของท่านผู้ทรงคุณสมบัติเหล่านี้ โดยจากก่อนมาหลัง คือ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ปุถุชนผู้ได้ฌาน ท่านผู้ทรงจำปิฎกทั้งสาม ท่านผู้ทรงจำปิฎกสอง ท่านผู้ทรงจำปิฎกหนึ่ง แม้เมื่อท่านผู้ทรงจำปิฎกหนึ่งก็ไม่มี ท่านผู้ใดมีความชานาญแม้เพียงสังคีติอันเดียวพร้อมทั้งอรรถกถา และเป็นผู้มีความละอายด้วยพึงเรียนกัมมัฏฐาน ในสำนักของท่านผู้นั้น เพราะบุคคลผู้มีลักษณะอย่างนี้ชื่อว่า เป็นผู้รักษาประเพณี เป็นอาจารย์ผู้ยึดถือมติของอาจารย์ ไม่ใช่ผู้ถือมติของตนเองเป็นใหญ่ จึงสรุปตามตามแนวคิดจากหนังสือวิปัสสนานิยมของธนิต อยู่โพธิ์

พระวิปัสสนาจารย์เป็นเหมือนกับผู้ที่กัลยาณมิตรที่คอยให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือในเรื่องการปฏิบัติ ในขณะที่มีการสอบอารมณ์พระวิปัสสนาจารย์ อาจให้คำแนะนาช่วยในการให้โยคีผู้ที่เป็นลูกศิษย์ นอกจากนี้คุณสมบัติของครูที่เป็นมิตรแท้ของศิษย์ ในทางพระพุทธศาสนา ได้แสดงคุณธรรมของครูผู้เป็นกัลยาณมิตรไว้ ๗ ประการ คือ

๑) ปิโย ประพฤติตัวน่ารัก คือ วางตัววางตน ให้เป็นผู้มีกิริยามารยาทอันเรียบร้อย เป็นผู้น่ารัก น่านับถือ มีใจเมตตากรุณา เอื้ออารีต่อนักเรียนนักศึกษาเป็นอย่างดี

๒) ครุ มีใจหนักแน่น ทำตนให้เป็นผู้มีใจหนักแน่น น่าเคารพ เป็นผู้ที่น่าไว้วางใจ เป็นที่พึ่งได้

๓) ภาวนีโย น่ายกย่อง เป็นผู้ที่น่ายกย่องในฐานะทรงคุณ คือ ความรู้ และภูมิปัญญาอย่างแท้จริง โดยฝึกฝน อบรม ศึกษาค้นคว้า และวิจัย เพิ่มเติมอยู่เสมอ

๔) วัตตา จ สอนเก่ง มีศิลปะ และเทคนิคในการสอน รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ และสามารถให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือนนักเรียนนักศึกษา ในทางที่ดีมีประโยชน์เป็นที่ปรึกษาที่ดี

๕) วจนักขโม อดทนต่อถ้อยคำ มีความอดทนต่อคำตำหนิ หรือคำล่วงเกินพร้อมที่จะรับฟังคำถาม หรือข้อสงสัยต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนวิจารณ์ คัดด้านโต้เถียงได้

๖) คัมภีรัญจะ กถัง กัตตา มีความสามารถอธิบายเรื่องที่ยาก และลึกซึ้งให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย ๆ โดยรู้จักใช้เทคนิคหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ช่วยสอนเพื่อสร้างความเข้าใจในเนื้อหาให้มากขึ้น

๗) โน จัฎฐาเน นิโยชเย ไม่สอนหรือแนะนำลูกศิษย์ในทางเสียหาย ไม่เกิดประโยชน์แต่จะสอนหรือชี้แนวทางที่เป็นประโยชน์ แต่จะสอนหรือชี้แนวทางที่เป็นประโยชน์ให้แก่ศิษย์

คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นพระวิปัสสนาจารย์ได้นั้น ลักษณะที่ดี คือ องค์ความรู้องค์ธรรม คุณสมบัติ เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของพระวิปัสสนาจารย์ที่ดีแห่งวงการวิปัสสนา ดังนั้นพระวิปัสสนาจารย์ที่ดีต้องเป็นทั้งภายในและภายนอก หมายถึง มีความรู้ในศาสตร์ที่จะสอนและศาสตร์อื่นๆ ที่จะนามาบูรณาการสอนได้ และมีคุณธรรมซึ่งบุคคลที่จะมาเป็นครูต้องมีกัลป์ยาณธรรมด้วย

คุณสมบัติของพระวิปัสสนาจารย์ จะต้องมีความเป็นกัลยาณมิตรที่คอยชี้ประโยชน์แก่ศิษย์ครูนับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการจัดการศึกษาทุกระดับ เนื่องจากครูจะเป็นผู้จุดประกายแห่งความรู้เป็นต้นแบบความคิด ฉุดรั้งสติของศิษย์ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง เป็นผู้สร้างดุลยภาพให้แก่ศิษย์ทั้งวิชาชีพ และวิชาชีวิตหรือวิชาเชิงจริยธรรม รูปแบบการสอนไม่ว่าจะเป็นแบบใดองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งของกระบวนการถ่ายทอดความรู้ คือ ครู ในอดีตทุก ๆ สังคมจะยกย่องให้เกียรติครู อาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างมาก และยึดเอาผู้สอนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ ทำให้ครูมีบทบาท และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในฐานะเป็นกัลยาณมิตร ผู้มีความปรารถนาดี และช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน สามารถที่จะนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ และความจริญก้าวหน้าได้อย่างจริงจัง ในพระพุทธศาสนาได้แสดงคุณสมบัติของครูที่ดีไว้ ดังนี้

ค) ประโยชน์ของการสอบอารมณ์

ในยุคปัจจุบันจะให้ได้พระวิปัสสนาจารย์ผู้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้วงนั้นรู้ได้ยากหากโยคีผู้ปฎิบัติเข้าใจว่า พระวิปัสสนาจารย์ยังไม่ได้บรรลุมรรคผล จะทำให้ขาดความเชื่อถือและมั่นใจในแนวทางปฏิบัติที่ท่านสอน หรือว่าถึงจะปฏิบัติตาม ก็อาจมิได้มุ่งปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรค ผลนิพพาน ผู้ปฎิบัติเจริญศรัทธาให้เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ฝึกสร้างสัมมาทิฏฐิ ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบแล้วรู้แจ้งเห็นจริงนั้นมีอยู่ เมื่อศรัทธามีกำลัง ก็จะทำให้การปฎิบัติประสบผลสำเร็จได้ในการสอบอารมณ์กัมมัฏฐานนี้ พระวิปัสสนาจารย์ต้องคอยสังเกตผู้ปฎิบัติให้ดี โดยอาศัยหลักดังนี้

• ๑. ผู้ปฎิบัตินั้นมีความพยายามหรือไม่

• ๒. จับอารมณ์ได้ตรงปัจจุบันหรือไม่

• ๓. การกำหนดรู้นั้น กำหนดได้ถูกต้องตามวิธีที่สอนไว้หรือไม่

• ๔. การกำหนดรู้อารมณ์ต่างๆ นั้น ขาดตกบกพร่องหรือไม่

• ๕. สติและสมาธิของผู้ปฎิบัติ ดีแค่ไหน

• ๖. วิปัสสนาญาณที่เป็นภาวนามัย เกิดอยู่แล้วหรือยังถ้าเกิดถึงญาณไหน

• ๗. คำพูดของผู้ปฎิบัตินั้น พูดด้วยภาวนามัยหรือไม่

ท่านอัคคมหาบัณฑิต ภัททันตโสภณเถระ มหาสีสยาดอ กล่าวประโยชน์ของการสอบอารมณ์ไว้ ดังนี้

• ๑. การใช้สติกำหนดรู้ของผู้ปฎิบัตินั้น ถ้าหากยังไม่ตรงต่อปัจจุบัน อาจารย์ผู้สอนจะได้ชี้แจงแนะนาให้กำหนดให้ถูกต้องตรงต่อปัจจุบัน

• ๒. เมื่อผู้ปฎิบัติใช้สติกำหนดรู้ไม่ทัน เนื่องจำกเคลื่อนไหวอิริยาบถเร็วเกินไป อาจารย์ก็จะได้แนะนาแก้ไขให้เคลื่อนไหวอิริยาบถได้พอเหมาะกับสติที่จะกำหนดได้ทัน

• ๓. ถ้าการกำหนดรู้ของผู้ปฎิบัติยังกระทำไปโดยไม่ถูกต้อง อาจารย์ผู้สอนก็จะได้แนะนาให้ทำโดยถูกต้อง

• ๔. เมื่อผู้ปฎิบัติขาดสติโดยพลั้งเผลอไป ไม่ได้กำหนดต่ออารมณ์นั้นๆ อาจารย์ผู้สอนก็จะแก้ไขให้สติของผู้ปฎิบัตินั้นดีขึ้น

• ๕. ถ้าวิริยะกับสมาธิและศรัทธากับปัญญาไม่เสมอกันอาจารย์ผู้สอนก็จะแก้ไขให้เสมอกั้น

• ๖. เมื่อการกำหนดรู้ในขั้นแรกของผู้ปฎิบัติกำหนดได้ดีแล้ว อาจารย์ผู้สอนก็จะได้แนะนาเพิ่มเติมให้ถี่ขึ้นอีก

จากข้อความข้างต้นกล่าวโดยสรุปชี้ให้เห็นว่า ถ้าโยคีผู้นั้นไม่ท้อถอย เลิกละการปฏิบัติเพียงนั้น และเพียรพยายามปฏิบัติต่อกันไปแล้วนาประสบการณ์นั้นไปส่งอารมณ์แก่พระวิปัสสนาจารย์ เพื่อพระวิปัสสนาจารย์ได้ตรวจสอบซักถาม และรับคำแนะนาไปปฏิบัติพัฒนาตนเองต่อไปให้สูงขึ้นโดยลำดับ

จากข้อสรุปทั้ง ๓ ประการ ในบทบาทพระวิปัสสนาจารย์กับการสอบอารมณ์พระวิปัสสนาจารย์เป็นเหมือนผู้ที่กัลยาณมิตรที่คอยให้กาลังใจ นอกจากนี้องค์ประกอบสำคัญของการเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ไว้ ๓ ประการ คือ มีบทบาทสำคัญต่อการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในขณะที่มีการสอบอารมณ์ พระวิปัสสนาจารย์ โดยทำหน้าที่ให้ความแจ่มแจ้งในเนื้อหามีความแตกฉานความเชี่ยวชาญ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถูกต้อง ส่วนประโยชน์ของการสอบอารมณ์ เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติที่สูงขึ้นและนาไปพัฒนาตนเองให้สูงต่อไป

สรุปท้ายบท

การสอบอารมณ์ที่ปรากฏในพระพุทธศาสนามีหลักฐานที่ยืนยันในเรื่องปรากฏใน อนัตตลักขณสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นความเป็นสภาวะของสรรพสิ่งที่ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์อย่างเป็นรูปธรรมและนามธรรมที่ใกล้ตัวที่สุดคือขันธ์ ๕ จึงเป็นที่มาของการสอบอารมณ์

การสอบอารมณ์ คือเป็นการบอกเล่าถึงประสบการณ์ของการปฏิบัติในแต่ละวันให้พระวิปัสสนาจารย์ทราบ สอบอารมณ์ในสภาวธรรมที่เกิดขึ้นแล้วมีลักษณะอย่างไร มีการสอบอารมณ์ในความเข้าใจที่เกี่ยวกับรูปและนาม เพื่อตรวจสอบสภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ สามารถช่วยให้คำแนะนา วินิจฉัย ประเมินผลในการปฏิบัติ การให้คำแนะนำเพื่อให้ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อให้การปฏิบัติมีความคืบหน้าต่อไป

รูปแบบของการสอบอารมณ์โดยพระวิปัสสนาจารย์ไทย รูปแบบการปฏิบัติกัมมัฏฐานในสายพอง ยุบ โดยมีเทคนิคการสอบอารมณ์ซึ่งอยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ๔ โดยการสังเกตอาการท้องพอง-ยุบ มีการสอบถามถึงการกำหนดรู้อาการพอง อาการยุบ การถามการกำหนดรูปนาม และการแยกส่วนออกจำกกัน ที่เป็นอารมณ์ที่เรียกว่า อารมณ์ปรมัตถ์ เพื่อให้เกิดสติ เกิดปัญญา ที่เห็นเป็นลักษณะไตรลักษณ์ที่ขึ้นภายในกายภายในจิตของผู้ปฏิบัติ โดยนำมาส่งอารมณ์สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น การสอบอารมณ์จำกการนั่งสมาธิ มีสภาวธรรมใดเกิดขึ้นช่วงไหน ตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนท้ายๆ ในการเดินจงกรมเป็นอย่างไร การสอบอารมณ์ในอิริยาบถย่อยมีความสำคัญมาก เพราะการกำหนดในอิริยาบถย่อยได้ละเอียดมากน้อย มีสติจดจ่ออย่างต่อเนื่องตามรู้เท่าทันอาการต่างๆ ที่กาลังเกิดขึ้นอยู่ในกายกับจิตตามความเป็นจริง นอกนี้ยังสอบถามถึงการมีองค์ธรรมที่สนับสนุนในการปฏิบัติด้วย คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาในการเจริญสติปัฏฐานได้อีกด้วย

การส่งอารมณ์ และการสอบอารมณ์ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติบรรลุเป้าหมายได้ถูกต้องและรวดเร็วเป็นการสนับสนุนเกื้อกูลนำไปปฏิบัติต่อไป เพื่อเป็นการวัดผลจากการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ หลักการใช้สติ และปัญญากำหนดรู้ในสภาวะธรรมทั้งหลายว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา จนเกิดปัญญา ในลำดับญาณตั้งแต่ญาณลำดับที่ ๑๔ จนถึงลำดับที่ ๑๖ จัดเป็นวิปัสสนาญาณอยู่ ในระดับ โลกุตตระ เพราะเป็นปัญหาที่รู้แจ้งในอริยสัจ หรือโสฬสญาณ สามารถเข้าถึงการบรรลุธรรมต่อไป

คำถามท้ายบท

• ๑. การส่งอารมณ์คืออะไร ?

• ๒. การสอบอารมณ์หมายถึงอะไร ?

• ๓. จงอธิบายกระบวนการสอบอารมณ์ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ?

• ๔. จงอธิบายเทคนิคการส่งสอบอารมณ์มาให้เข้าใจ ?

• ๕. จงวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะญาณกับการสอบอารมณ์?

เอกสารอ้างอิง

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี. ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ, ๒๕๐๐.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๕.

____________ . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๙.

เกษณี เฉลิมติระกูล. คู่มือวิปัสสนา. (กรุงเทพมหานคร: สหธรรมิก จำกัด. ๒๕๔๐

คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ธรรมะภาคปฏิบัติ เล่ม๑. (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๒.

____________ . ธรรมะภาคปฏิบัติ เล่ม ๑ . (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๒.

____________ . ธรรมะภาคปฏิบัติ เล่ม ๗. (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๒.

ดร. ภัททัตะ อาสภมหาเถระ. วิปัสสนาธุระ. (ชลบุรี: C100 Desing CO. ๒๕๓๖.

____________ . คู่มือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนววิปัสสนาวงศ์พระอรหันต์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. (เชียงใหม่: บริษัทกลางเวียงการพิมพ์ จำกัด. ๒๕๔๔.

____________ . ธัมมาจริยะอัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ ๑๐๐ ปี อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๖.

ธนิต อยู่โพธิ์. วิปัสสนานิยม. พิมพ์ครั้งที่ ๗. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๐.

____________ . วิปัสสนาภาวนาว่าด้วยวิธีทดสอบรู้ผลด้วยตนเอง. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๘.

นายไวยกรณ์ จงแจ่ม และคณะ. ประวัติพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ) และวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์บริษัท ธรรมมิก จำกัด. ๒๕๕๔.

พจนานุกรม ราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. (กรุงเทพมหานคร: นามีบุ๊คส์พับลิเคชั่น. ๒๕๔๒.

พจนานุกรมไทย ฉบับทันสมัยและสมบูรณ์. (กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์ดี จำกัด. ๒๕๕๓.

พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี). วิปัสสนาภูมิ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. (พระนครศรีอยุธยา: บริษัทบุญศิริการ พิมพ์ จำกัด. ๒๕๕๒.

พระคันธสาราภิวงศ์. ศึกษาวิธีเจริญด้วยภาษาง่ายๆ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. (จังหวัดลำปาง: ห้างหุ่นส่วนจำกัดไทยรายวันการพิมพ์. ๒๕๕๑.

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก าณสิทฺธิ ป.ธ.๙ ). โพธิปักขิยธรรม ๓ ๗ ประการ. (กรุงเทพมหานคร: พระนครการพิมพ์. ๒๕๓๔.

____________ . คู่มือการสอบอารมณ์กัมมัฏฐาน . (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๖.

____________ . วิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสังเขป. ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร: สำนักงานกลางกองการวิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์. ๒๕๔๘.

____________ . วิปัสสนากรรม ฐาน ภาค ๑. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อัมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊ป. ๒๕๔๒.

____________ . คู่มือการสอบอารมณ์กรรมฐาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๖.

____________ . คู่มือการสอบอารมณ์กรรมฐาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔.(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๖.

____________ . วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๒. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อัมรินทร์ พริ้นติ้งกรุ๊ป. ๒๕๔๒.

พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ). การพัฒนาจิต. กรุงเทพมหานคร: บริษัทสร้างสรรค์บุ๊คส์. ๒๕๔๙.

พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช. ประทีปส่องธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑๓. (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ธรรมดา. ๒๕๕๑.

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์พระพุทธศาสนาธรรมสภา. ๒๕๕๓.

พระพุทธโฆสเถระ. คัมภีร์วิสุทธิมรรค. แปลและเรียบเรียงโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร). (กรุงเทพมหานคร; บริษัทธนาเพรส จำกัด. ๒๕๔๘.

พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ. วิปัสสนาธุระ. (กรุงเทพมหานคร: C 100 Design Co. Ltd. ๒๕๓๖.

พระภาวนาวิสุทธิคุณ . คู่มือวิปัสสนาจารย์ สภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ. พิมพ์ครั้ง ๒ . (กรุงเทพมหานคร: หอรัตนชัยการพิมพ์. ๒๕๓๔.

____________ . เมื่อหลวงพ่อจรัญสอนกรรมฐาน. (กรุงเทพมหานคร: อุษาการพิมพ์. ๒๕๕๔.

พระสมภาร สมภาโร. พุทธศาสตร์ปริทัศน์. (กรุงเทพมหานคร: บริษัท จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกัด. ๒๕๔๘.

พระโสภณมหาเถร (มหาสีสยาดอ). วิปัสสนานัย เล่ม ๒. พระพรหมโมลี (สมศักดิ์อุปสโม ป.ธ.๙. M.A.. Ph.D.) ตรวจชำระ. พระคันธสาราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง. (นครปฐม: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซีเอไอ เซ็นเตอร์ จำกัด. ๒๕๕๐.

____________ . ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร. พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสสโม ป.ธ.๙.M.A.. Ph.D.) ตรวจชำระ. แปลโดยพระคันธสาราภิวงศ์. (กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัดประยูรสาส์นไทยการพิมพ์. ๒๕๕๔.

____________ . มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน. แปลโดย พระคันธสาราภิวงศ์. (กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไทยรายวันการพิมพ์. ๒๕๔๘.

____________ . วิปัสสนาชุนี. จำรูญ ธรรมดา แปล. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ ทิพย์วิสุทธิ์. ๒๕๔๐

พระอาจารย์ทองมั่น สุทฺธจิตฺโต. คู่มือการเจริญสติปัฏฐาน๔. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. (เชียงใหม่: ศูนย์ปฏิบัติธรรม ตาณัง เลณัง. ๒๕๕๒.

ภัททันตอาสภะมหาเถระ. การป ฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๔ .(กรุงเทพมหานคร: สำนักวิปัสสนามูลนิธิเวกอาศรม. ๒๕๔๑.

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย. พระธัมมปทัฎฐกถาแปล เล่ม ๒ ภาค ๓. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒.(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๓๑.

____________ . พระธัมมปทัฎฐกถาแปล เล่ม ๒ ภาค ๓. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๓๑.