สัปปายะวิธี: วิถีสูความสำเร็จ
จัดทำโดย : พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย (นิรันดร) ดร. วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร
แขวงสมเด็จเจาพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ
ISBN :
978-616-598-764-6
เดือน/ป พิมพ : ๑๔ เมษายน ๒๕๖๖ จำนวนพิมพ : ๒,๐๐๐ เลม (แจกเปนธรรมทาน)
จัดรูปเลมโดย : พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมจารย (นิรันดร) ดร. ผูตรวจทาน : รศ.ดร. มานพ นักการเรียน
รศ.ดร.สุวิญ รักสัตย
ผศ.ดร.ธานี สุวรรณประทีป
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ
พิมพที่ : หางหุนสวนจำกัด ประยูรสาสนไทย การพิมพ
๔๑/๑๓๒ หมู ๖ ถ.กำนันแมน บางขุนเทียน จอมทอง กรุงเทพมหานคร โทร/โทรสาร. ๐๒-๘๐๒-๐๓๗๙ มือถือ ๐๘๑-๕๖๖-๒๕๔๐
E-mail : doramon.1914@yahoo.com
สัปปายะวิธี วิถีสู่ความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา เป็นการส่งเสริมให้สิ่งแวดล้อมทั้งหลายในสถานที่ ปฏิบัติมีความเหมาะสม เอื้อหรือเกื้อกูลต่อการประพฤติ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ได้แก่ ๑) ส่งเสริมสถานที่ปฏิบัติให้มี ความสะอาด (ปัด กวาด เช็ด ถู) สงบ เว้นการสนทนา อาสนะสำหรับปฏิบัติธรรมจัดวางให้เกิดความสะดวกสบาย ๒) ส่งเสริมให้สถานที่พักอาศัย ห้องสอบอารมณ์ ห้องน้ำ โรง ทานอาหาร อยู่ใกล้บริเวณสถานที่ปฏิบัติ มีความสะดวก และ ให้มีความสะอาด มีโต๊ะทานอาหาร แยกชาย หญิง พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ๓) ส่งเสริมให้พระวิปัสสนาจารย์ และผู้ปฏิบัติรู้จักใช้คำพูดที่เหมาะสมในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา สุภาพ ๔) ส่งเสริมให้มีพระวิปัสสนาจารย์และ เจ้าหน้าที่ประจำสถานที่ ๕) ส่งเสริมให้อาหารมีความสะอาด ถูกสุขลักษณะ เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย ๖) ส่งเสริมสภาพบรรยากาศให้เหมาะสมแบบธรรมชาติ โดย ปลูกต้นไม้ให้รอบ ๆ บริเวณสถานที่ปฏิบัติธรรม ๗) ส่งเสริม ให้มีสถานที่รองรับในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถน้อยใหญ่ต่างๆ และส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติมีการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยให้สมดุล ซึ่งวิธีการที่เป็นสัปปายะเหล่านี้จะช่วย เสริมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้บรรลุความสำเร็จต่อไป
ผู้เขียนจึงได้รวบรวมข้อมูลไว้ในหนังสือเล่มนี้เพื่อเป็น แนวทางในการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมให้เกิดสัปปายะอย่าง ยิ่ง เพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียนการสอนรายวิชากรรมฐาน เพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ตามหลักสูตรของรายวิชาและ ตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษาแก่กระบวนการเรียนการ สอนรายวิชากรรมฐาน และที่สำคัญเพื่อเป็นประโยชน์แก่ ความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมของผู้สนใจใฝ่ปฏิบัติ ทั้งนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใดที่ปรากฏในเนื้อหาหนังสือเล่มนี้ ขอผู้รู้ช่วยแนะนำ เพื่อการปรับปรุงในโอกาสต่อไป
อนึ่ง ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของเนื้อหาที่อ้างถึงและ เจ้าภาพทุกๆ ท่านผู้ได้เสียสละปัจจัยร่วมในการจัดพิมพ์ใน ครั้งนี้ การได้มีโอกาสร่วมเผยแผ่ธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า การให้ธรรมเป็นทาน เป็นการชนะการให้ทั้งปวง อาตมาภาพ จึงขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยจงมาปกป้อง คุ้มครองรักษาให้ท่านปราศจากโรคาพยาธิ มีสติปัญญา มั่นคง ดำรงตนอยู่ด้วยสัมมาทิฏฐิ แม้ดำริกิจการงานใดๆ ขอให้สำเร็จดังมโนปณิธานที่ได้ตั้งไว้ดีแล้วทุกประการ เทอญ
ด้วยไมตรีธรรม
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ดร.
(นิรันดร์ ศิริรัตน์)
วันที่ ๑๓ เมษายนของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ การเตรียมตัวเข้าสู่ภาวะสูงวัยตามแนวพุทธคือการมีสัมมาสติ หมายถึงการคอยระลึกถึงอยู่เนืองๆ ในการดำเนินชีวิตหรือ การประพฤติปฏิบัติโดยมีสติกำกับอยู่เสมอด้วยความไม่ ประมาท อัปปมาทธรรมเป็นหลักความรู้สึกรับผิดชอบตาม แนวพระพุทธศาสนา แม้แต่ปัจฉิมวาจา คือพระดำรัสครั้ง สุดท้ายของพระพุทธเจ้าเมื่อจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็ เป็นพระดำรัสในเรื่องอัปปมาทธรรมดังนี้
“สิ่งทั้งหลายที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ย่อมมีความเสื่อมสิ้น ไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย จงยังประโยชน์ที่มุ่งหมายให้สำเร็จ
ด้วยความไม่ประมาท”๑
การมีสัมมาสติ เป็นผลให้เกิดความเข้าใจกระบวนการ ของชีวิต โดยมีความตระหนักว่า ร่างกายย่อมเสื่อมลงเมื่อ เวลาผ่านไป การไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตทั้งทางกาย และใจ อันประกอบด้วยการรักษาสุขภาพโดยไม่เสพติดสิ่งที่มี โทษต่อร่างกาย เลือกอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานแต่ พอดี ควบคุมน้ำหนัก ตรวจเช็คร่างกายสม่ำเสมอทำให้เป็นผู้
๑ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๓๑/๑๘๕.
สูงวัยที่มีสุขภาพดี (healthy) ทางใจมีการยอมรับความ เปลี่ยนแปลงทั้งหลาย ไม่ประมาทในชีวิต ขณะที่ยังหนุ่มสาว มีความสามารถในการหาทรัพย์สมบัติ ต้องเก็บสะสมไว้ใช้ จ่ายยามจำเป็นเมื่อถึงวัยชรา เมื่อไม่สามารถประกอบอาชีพ ได้เช่นเดิม เพราะการมีทรัพย์สมบัติจัดเตรียมสำรองไว้ยามสูง วัยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพฤฒิพลัง เป็นการตัดปัญหา ภาระพึ่งพิงของผู้สูงวัย(social dependency) และเป็น หลักประกันที่มั่นคง (security) ช่วยให้ผู้สูงวัยรู้สึกมีคุณค่าใน การมีส่วนร่วมในสังคม (participation) ดังพุทธพจน์ที่ว่า
“เมื่อยังหนุ่มสาว พรหมจรรย์ก็ไม่บำเพ็ญ ทรัพย์ก็ไม่หา เอาไว้ (ครั้นแก่เฒ่าลง) ก็ต้องนั่งซบเซาเหมือนนกกะเรียนแก่ จับหงอยอยู่กับเปือกตมที่ไร้ปลา.”
“เมื่อยังหนุ่มสาว พรหมจรรย์ก็ไม่บำเพ็ญ ทรัพย์ก็ไม่ หาเอาไว้ (ครั้นแก่เฒ่าลง) ก็ได้แต่นอนทอดถอนถึงความหลัง เหมือนดังลูกศรที่เขายิงเสร็จไปแล้ว (หมดพิษสง).”๒
การปฏิบัติตัวในภาวะสูงวัย การเข้าสู่ภาวะสูงวัยอย่างมี สุขภาพจิตดี ทำให้การดำเนินชีวิตมีความทุกข์น้อยลง การ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และการทำสมาธิ เป็นทางเลือกที่ เหมาะสมอย่างยิ่ง จากประโยชน์ที่พึงได้ ดังต่อไปนี้๓
๒ ขุ.ธุ (ไทย) ๒๕/๑๕๖/๘๐.
๓ จำลอง ดิษยวณิช, จิตวิทยาของความดับทุกข์, หน้า ๒๐๐-๒๐๕
๑) เป็นการฝึกจิต ทำให้จิตสงบและมั่นคง เพื่อให้เกิด ส ติและสัมปชัญ ญ ะที่ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดความสุขกับตนเอง ครอบครัว สังคม และสิ่งแวดล้อม
๒) เป็นผลดีในด้านการเสริมสร้างสุขภาพกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ อาจนำมาประยุกต์ใช้ในการบำบัด โรคภัยไข้เจ็บบางอย่างได้ มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ศึกษา ความสัมพันธ์ของการฝึกสมาธิกับการเปลี่ยนแปลงทาง สรีรวิทยา และยังพบว่าร่างกายมีการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ตื่นตัวและมีสุข
๓) ผู้ที่ฝึกเป็นประจำ ติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน มักรายงานว่ามีจิตใจ และศีลธรรมดีขึ้น การกระทำที่บั่นทอน สุขภาพหลายอย่างลดลง เช่นการสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า และ การใช้ยาในทางที่ผิด ความคิดสร้างสรรค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ความเครียดและความกังวลลดลง นอกจากนั้นยังเกิด เมตตาจิตอยากบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น
๔) การฝึกวิปัสสนาสมาธิช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล ผู้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนา บุคคลิกภาพให้ดีและมั่นคง มีความเชื่อมั่นในการทำงานต่างๆ มีความสามารถทางด้านสังคมดีขึ้น มีไมตรีจิตต่อผู้อื่น มอง โลกในแง่ดี เป็นการช่วยป้องกันและขจัดปัญหาสังคมได้
๕) การฝึกวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ จะนำไปสู่การเกิดปัญญา ที่ช่วยให้เห็นความจริงของชีวิตว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา หาสาระแก่นสารที่ แท้จริงไม่ได้ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นเพราะมีความไม่ เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวตน ช่วยให้เข้าถึงความ ปล่อยวาง และความดับทุกข์ในระดับหนึ่งหรือโดยสิ้นเชิงได้
การรู้แจ้งถึงสิ่งหนึ่งอย่างถ่องแท้ ทำให้เข้าใจสรรพสิ่ง ทั้งหมดในโลกซึ่งล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และ รวมสมบูรณ์เป็นหนึ่งในตัวเอง ปัญหาของคนไทยทุกวันนี้ ล้วนเกิดจากการพยายามแยกตัวเองออกจากความเกี่ยวโยง กับธรรมชาติ โดยใช้เหตุผลทางตรรกวิทยาและ กฎเกณฑ์ ต่างๆ ในสังคม ได้แก่ตำแหน่งหน้าที่ แยกบุคคลเป็นเขา เป็น เรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอิทธิพลจากอารยธรรมตะวันตก ขึ้นมา เป็นศาสตร์แห่งการดำเนินชีวิต ก่อให้เกิดความขัดแย้งและ ความคับข้องใจ เพราะไปทำลายความเป็นปัจเจกชนของคน เกิดการหลงผิด ยึดอัตตาเป็นศูนย์กลางในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทำให้ห่างจากพุทธธรรมมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ เริ่มรู้แจ้งถึงความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งว่าดำรงอยู่ในกันและ กัน แปรเปลี่ยนเกื้อหนุน เสริมสร้างประกอบกันและกัน แม้แต่ก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง เมื่อผ่านช่วงเวลาหนึ่งอาจจะ ป่นกลายเป็นดินจากดินอาจแปรเปลี่ยนกลายเป็นพืชหรือ
สัตว์ จากพืชหรือสัตว์อาจกลายเป็นมนุษย์ จากมนุษย์ก็ เป ลี่ ยนเป็ น ดิ น ต่ อ ไป เมื่ อ นั้ น เร าอ าจเป็ น ผู้ รู้ ผู้ ตื่ น ผู้เบิกบานกันได้ ๔
กล่าวกันว่าชีวิตที่เกิดมา จิตตอนเป็นทารกคือจิตที่ บริสุทธิ์ที่สุด เพราะรับรู้สิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริงปราศจากการ แบ่งแยก จนกระทั่งโตขึ้นมา ถูกอบรมให้รู้ และแยกแยะ สิ่งต่างๆ จนมีการยึดติดอยู่ในขันธ์ของรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เกิดความอยากได้อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น สิ่งนั้นของเราสิ่งนี้ของเขา พอกพูนจากกิเลส เป็นตัณหาด้วยความคุ้นเคยและพร้อมจะยึดติด มองข้าม ความเป็นจริงว่าขันธ์ห้าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา การพิจารณาให้เกิดความเข้าใจตามสภาวะที่เป็นจริงนี้ เรียกว่าวิปัสสนา กล่าวได้ว่า “เพราะเห็นด้วยปัญญา อาสวะ ทั้งหลายก็หมดสิ้นไป” จิตเข้มแข็งเกิดพลังปหานกิเลสที่ทำให้ ใจเศร้าหมอง ผู้สูงวัยไทยจึงมีสุขภาพจิตที่ดี พร้อมจะ ขับเคลื่อนกำลังแห่งสติในสังคมไทยให้ก้าวเข้าไปสู่สังคมผู้สูง วัยโดยสมบูรณ์ต่อไป
หนังสือเล่มนี้จึงจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการ ส่งเสริมสัปปายะสำหรับผู้สูงวัย เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาต่อไป
๔ วัลลภ ปิยะมโนธรรม, เทคนิคการรักษาโรคประสาทด้วนตนเอง, พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร: เยียร์บุ๊คพับลิชเชอร์,๒๕๓๑), หน้า ๗๒-๗๓.
เรื่อง หน้า
คำนำ ก
คำปรารภ ข
พ.ศ. ๒๕๕๒ รับใบประกาศนียบัตรพร้อมเสาอโศก จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมยุวพุทธิกสมาคม กรุงเทพฯ เนื่องใน การเป็นบุคคลทำคุณประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา
สัปปายะวิธี : วิถีสู่ความสำเร็จ
การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุ ความสำเร็จสูงสุดตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง สำเร็จในการ ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์สะอาดหมดจด สามารถดับความทุกข์ได้ ทั้งกายและใจ ได้รับการพัฒนาปัญญาให้เพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งเกิด ปัญญาเห็นแจ้งในโลกุตตรธรรม ๙ และอริยสัจ ๔ ขั้นสูงสุด หมายถึง การบรรลุวิชชาและวิมุตติ สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ๔ จำพวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์ โดยปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา เจริญสมถะและวิปัสสนา ตามหลักการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้เห็นไตรลักษณ์ตามความเป็น จริง จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ละสังโยชน์และ อนุสัย๑ ได้ตามกำลังของมรรค สามารถบรรลุมรรคผลนิพพาน
สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาได้๒ นั่นเอง
๑ พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (ประเสริฐ มนฺตเสวี),วิปัสสนาภาวนาที่ไม่ ถูกเขียนไว้ในพระไตรปิฎก, (กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, ๒๕๕๗), หน้า ๓๕๑.
๒ พระมหาวรรณวัฒน์ ชุติปญฺโญ (ปัสคำ), “ศึกษาเรื่องศึกษาโยนิโสมนสิการ เพื่อการบรรลุธรรมในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท”, ปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย:มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), บทคัดย่อ.
ความสำเร็จดังกล่าวนั้นจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีการส่งเสริม การปฏิบัติในสัปปายะด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดการสนับสนุน เอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติวิปัสสนา เรียกว่า สัปปายะวิธี
สัปปายะวิธี หมายถึง วิธีการตามหลักสัปปายะ ๗ ประการ เพื่อให้การปฏิบัติวิปัสสนาเป็นไปอย่างราบรื่น สะดวก และเหมาะสม
สัปปายะ หมายถึง สภาพที่เกื้อหนุน หรือเหมาะกัน ช่วยให้ เป็นอยู่ หรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ผลดี อันประกอบด้วย บรรยากาศ อาหาร ที่อยู่อาศัย บุคคลรอบข้าง อิริยาบถ ปัจจัย ๔ และการสนทนา ซึ่งเกื้อหนุนต่อการปฏิบัติวิปัสสนา มี ๗ ประการ คือ ๑) อาวาสสัปปายะ หมายถึง ที่อยู่เหมาะสม สงบ พื้นที่สะอาด
สะอ้าน ไม่พลุกพล่าน
๒) โคจรสัปปายะ หมายถึง สถานที่ซึ่งเอื้อต่อการปฏิบัติ เหมาะสม สะดวก สบาย
๓) ภัสสสัปปายะ หมายถึง การพูดคุยเหมาะสม สนทนาแต่ เรื่องดีๆ สร้างประโยชน์ให้ตัวเอง เช่น การสนทนาในการถามตอบ สอบอารมณ์
๔) ปุคคลสัปปายะ หมายถึง บุคคลเหมาะสม มีผู้รู้ ครูบา อาจารย์พระวิปัสสนาจารย์ และกัลยาณมิตร คอยชี้แนะชักนำไป ในทางที่ถูกที่ควร
๕) โภชนสัปปายะ หมายถึง อาหารที่เหมาะกัน เช่น ถูกกับ ร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพ ฉันไม่ยาก
สัปปายะวิธี : วิถีสู่ความสำเร็จ ๓
๖) อุตุสัปปายะ หมายถึง ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่ เหมาะกัน เช่น สดชื่น ร่มรื่น ร่มเย็น ไม่ร้อน ไม่หนาวเกินไป เป็นต้น
๗) อิริยาปถสัปปายะ หมายถึงอิริยาบถที่เหมาะกัน เช่นบาง คนถูกกับจงกรม บางคน ถูกกับนั่ง ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวที่พอดี จัดการพื้นที่ให้ยืน นั่ง เดิน ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่อึดอัด
แนวทางการส่งเสริมความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาตามหลักสัปปายะวิธี
๑. สัปปายะด้านสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนาควรให้มีความสะอาด ๒. สัปปายะด้านสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนาควรให้มีความสงบ ๓. สัปปายะด้านสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนาควรให้มีความสะดวก
๔. สัปปายะด้านสถานที่โจรซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ วิปัสสนาควรให้อยู่ใกล้ๆ อาคารปฏิบัติธรรม
๕. สัปปายะด้านคำพูดควรให้พระวิปัสสนาจารย์ในสำนัก ปฏิบัติธรรมใช้แต่คำสุภาษิต พูดเฉพาะเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนา
๖. สัปปายะด้านคำพูดควรให้ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาทุกท่านใช้คำ สุภาพในการสื่อสารพูดคุย
๗. สัปปายะด้านบุคคลควรให้สำนักปฏิบัติธรรมมีสัตตบุรุษคือ พระวิปัสสนาจารย์ประจำสำนัก
๘. สัปปายะด้านอาหารควรให้มีอาหารสำหรับผู้ปฏิบัติซึ่งมี ความสะอาด ถูกสุขลักษณะ อนามัย
๙. สัปปายะด้านอาหารควรให้ความรู้ผู้ปฏิบัติได้รู้จักความ พอดีในการรับประทานอาหาร
๑๐. สัปปายะด้านสภาพอากาศควรให้มีความเหมาะสมแบบ ธรรมชาติ โดยการปลูกต้นไม้ให้รอบ ๆ บริเวณสถานที่ปฏิบัติธรรม
๑๑. สัปปายะด้านสภาพอากาศควรให้สถานที่ปฏิบัติมีอุณหภูมิ ที่พอดีกับหลักการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่สามารถอยู่แบบสบาย มีความเหมาะสมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้
๑๒. สัปปายะด้านอิริยาบถควรให้สถานที่ปฏิบัติธรรมมีสถานที่ รองรับในการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถน้อยใหญ่ต่าง ๆ ให้สมควร และ ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติมีการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถให้สมดุล
แนวทางการส่งเสริมความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนาที่จะ ทำให้ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาบรรลุธรรมหรือประสบผลสำเร็จมรรค ผล พระนิพพานเปลี่ยนสภาวะของปุถุชนเป็นอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่ง และละกิเลสได้ตามกำลังของมรรค เป็นพระอริยบุคคลระดับต่ำสุด ก็เป็นผู้ปิดประตูอบายไม่ต้องตกนรก และระดับสูงสุดเป็นการไม่ ต้องเกิดเวียนตายเวียนเกิดอีกต่อไป คือ พระนิพพาน เป็น จุดมุ่งหมายสำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาทุกๆ ท่าน จึงมีความ จำเป็นที่จะต้องมีวิธีการส่งเสริมความสำเร็จในระดับต่างๆ ด้วยวีธี การที่เหมาะสม สะดวกสบาย เกื้อหนุนต่อการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา เพื่อส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติได้ใช้เป็นอุบายวิธีในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา นำพาตนไปสู่จุดหมายในทุกระดับได้
สัปปายะด้านสถานที่ปฏิบัติธรรม
พระพุทธเจ้าตรัสเบื้องต้นของการเจริญสติแก่ภิกษุโดยให้หาที่ สงบ สงัด ปลีกวิเวกจากสิ่งต่างๆ ดังปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก หลายแห่งดังนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้“เราควรหลีกออกจากหมู่ไป อยู่ผู้เดียวเธอใช้สอยเสนาสนะอันสงัดคือป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าทึบ ที่กลางแจ้ง ลอมฟาง ที่สงัด มีเสียงน้อย มีเสียง อึกทึกน้อยไม่มีคนสัญจรไปมา ไม่มีคนพลุกพล่านเหมาะเป็นที่หลีก เร้น เธอไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี หรือไปสู่เรือนว่างก็ดี”๓
ประการต่อมา พระองค์ให้เจริญสติด้วยการทำติตให้ตั้งมั่น มั่นคง ไม่หวั่นไหว ดังปรกฏข้อความว่า“ภิกษุนั้นอาศัยเสนาสนะที่ สงัด...นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติมั่นมุ่งเฉพาะกัมมัฏฐาน”๔
ถัดจากนั้น พระองค์ให้ใช้จิตที่มีความสงบนั้นยกขึ้นสู่ วิปัสสนาปัญญา ดังปรากฏข้อความว่า “ภิกษุทั้งหลาย มีสมัยที่จิต ตั้งมั่นอยู่ภายในสงบนิ่งอยู่มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้นตั้งมั่นอยู่ สมาธิ นั้นเป็นธรรมสงบประณีตได้ความสงบระงับถึงภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุด ขึ้นไม่มีการข่ม ห้ามกิเลสด้วยธรรมเครื่องปรุงแต่งและภิกษุนั้นจะ น้อมจิตไปเพื่อทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง
๓ อง.นวก. (ไทย) ๒๓/๔๐/๕๒๑.
๔ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๕๐๘/๓๘๕.
ด้วยปัญญาอันยิ่งใดๆ เมื่อมีเหตุแห่งสติเธอย่อมบรรลุความเป็นผู้ เหมาะสมที่จะประจักษ์ชัดในธรรมนั้นๆ”๕ ดังนั้น เสนาสนะอันสงัด จึงนับได้ว่าเป็นสถานที่เพื่อหลีกเร้นอยู่ เพื่อความสุข เพื่อเพ่งพินิจ และเพื่อเห็นแจ้ง กล่าวคือ เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาให้เกิด กระบวนการพัฒนาสติสมาธิ ปัญญาได้นั่นเอง
เนื้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงสถานที่ซึ่งมี ความสงบ เหมาะสมกับการประพฤติปฏิบัติวิปัสสนา เพื่อให้เกิด ความสงบทางร่ายกายและจิตใจ เพื่อเข้าสู่โมกขธรรม สิ่งที่กล่าวนี้ได้ กล่าวถึงลักษณะเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา เพราะ สถานที่ไม่อึกทึก ผู้คนไม่พลุกพล่านจอแจ เพราะต้องอาศัย เสนาสนะอันสงบเหล่านี้จึงจะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เป็น สถานที่เหมาะสมเกื้อกูลสำหรับเป็นที่หลีกเร้นในการปฏิบัติวิปัสสนา ดังนั้น จึงควรมีการส่งเสริมให้สถานที่มีความสงบ มิให้เกิดมีเสียงดัง รบกวนผู้ปฏิบัติวิปัสสนา เพราะมีผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติ วิปัสสนาจนถึงขั้นบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ดังเรื่องของสามเณร บัณฑิตปฏิบัติธรรม๖ มีรายละเอียดดังนี้
รูปภาพที่ ๑ ศูนย์ปฎิบัติธรรม ตาณัง เลณัง เฉลิมราช 60ปี ภาพออนไลน์จาก https://th.foursquare.com
๕ องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๑๐๒/๓๔๓.
๖ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๓๓๕ - ๓๓๘.
ครั้งนั้น ที่ประทับนั่งของท้าวสักกะ แสดงอาการร้อนด้วยเดช แห่งคุณของสามเณรนั้น ท้าวเธอใคร่ครวญว่า "จักมีเหตุอะไรกัน หนอ?" ทรงดำริได้ว่า "บัณฑิตสามเณรถวายบาตรและจีวรแก่พระ อุปัชฌาย์แล้วกลับ ด้วยตั้งใจว่า ‘จักทำสมณธรรม’ แม้เราก็ควรไป ในที่นั้น" ดังนี้แล้วตรัสเรียกท้าวมหาราชทั้ง ๔ มา ตรัสว่า "พวกท่าน จงไปไล่นกที่บินจอแจอยู่ในป่าใกล้วิหารให้หนีไป แล้วยึดอารักขาไว้ โดยรอบ", ตรัสกะจันทเทพบุตรว่า "ท่านจงฉุดรั้งมณฑลพระจันทร์ ไว้", ตรัสกะสุริยเทพบุตรว่า "ท่านจงฉุดรั้งมณฑลพระอาทิตย์ไว้" ดังนี้แล้ว ...แม้พระศาสดา ในวันนั้น เสวยแต่เช้าทีเดียว เสด็จไป วิหารทรงใคร่ครวญว่า "บัณฑิตสามเณรให้บาตรและจีวรแก่พระ อุปัชฌาย์แล้ว กลับไป ด้วยตั้งใจว่า ‘จักทำสมณธรรม’, กิจแห่ง บรรพชิตของเธอ จักสำเร็จหรือไม่?" ทรงทราบว่า สามเณรบรรลุผล ๓ อย่างแล้ว จึงทรงพิจารณาว่า "อุปนิสัยแห่งพระอรหัตจะมี หรือไม่ มี?" ทรงเห็นว่า "มี" แล้วทรงใคร่ครวญว่า "เธอจักอาจเพื่อบรรลุพระ อรหัตก่อนภัตทีเดียว หรือจักไม่อาจ?" ได้ทรงทราบว่า "จักอาจ."
พระองค์เองได้เสด็จไปประทับยืนยึดอารักขาอยู่ในวิหารแม้ เสียงแห่งใบไม้แก่ ก็มิได้มี จิตของสามเณรได้มีอารมณ์เป็นหนึ่ง เธอ พิจารณาอัตภาพแล้ว บรรลุผล ๓ อย่าง ในระหว่างภัตนั้นเอง...
การที่พระองค์ประทับยืนหน้าซุ้มประตูทางเข้า เนื่องจากว่า พระองค์ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า "สารีบุตรถือภัตเพื่อสามเณรรีบ มา เธอจะพึงทำอันตรายแก่สามเณรนั้นก็ได้, เราจักนั่งถือเอา อารักขาที่ซุ้มประตู, ทีนั้นจักถามปัญหา ๔ ข้อกะเธอ เมื่อเธอแก้อยู่ สามเณรจักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา" ดังนี้แล้ว จึง เสด็จไปจากวิหารนั้น ประทับยืนอยู่ที่ซุ้มประตู ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกะพระเถระผู้มาถึงแล้ว...เมื่อพระเถระแก้ปัญหาทั้ง ๔ ข้อเหล่านี้ อย่างนั้นแล้ว สามเณรก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา…
...พระศาสดาตรัสว่า "อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญ ทำสมณธรรม จันทเทพบุตรฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้, สุริยเทพบุตร ฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้งไว้, ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถืออารักขาทั้ง ๔ ทิศ ในป่าใกล้วิหาร, ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารักขาที่สายยู, ถึงเรา ผู้มีความขวนขวายน้อยด้วยนึกเสียว่า ‘เป็นพระพุทธเจ้า’ ก็ไม่ได้ เพื่อจะนั่งอยู่ได้ ยังได้ไปยึดอารักขาเพื่อบุตรของเรา ที่ซุ้มประตู
จากข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความ สงบในสถานที่ปฏิบัติผลมีต่อความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนาเป็น
อย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า๗ “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” แปลว่า สุข อื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ดังนั้น จึงควรส่งเสริมสถานที่ให้มีความสงบ ด้วยการปิดวาจา งดพูดคุย เว้นการสนทนา โดยติดป้ายประกาศ
๗ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๒๕/๔๒, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๐๒/๙๕.
บอกกล่าว หรือแนะนำในเบื้องต้นก่อนเข้ารับการปฏิบัติ การปิด วาจา คือ การหยุดพูด การไม่พูด การไม่สนทนา เป็นต้น เพราะการ พูดคุย สนทนาระหว่างผู้ปฏิบัติด้วยกันเองจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ จิตฟุ้งซ่านในขณะปฏิบัติวิปัสสนาได้ เพราะจิตคิดถึงเรื่องราวที่ได้ยิน ได้ฟังมา๘ นอกจากนั้น ยังเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติอื่น ๆ อีกด้วย
ดังที่พระองค์ตรัสว่า ฌานมีเสียงเป็นปฏิปักษ์๙ เพราะความสำเร็จใน
การปฏิบัติวิปัสสนาจนถึงขั้นบรรลุธรรมได้นั้นจักต้องอาศัยความ สงบ หามีเสียงพูดคุยหรือสนทนากัน จะทำให้จิตของผู้ปฏิบัติธรรม ท่านอื่นไม่สงบหรือฟุ้งออกนอกกายใจทันที เพื่อออกไปรับรู้เสียงที่ ได้ยินนั้นเป็นอัตโนมัติ
สรุปว่า สถานที่ซึ่งมีความสงบ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีการ พูดคุยกันเสียงดัง เป็นต้น จะช่วยให้การปฏิบัติวิปัสสนาไปสู่ ความสำเร็จได้ เพราะสถานที่ที่มีลักษณะดังกล่าวจะสามารถทำให้ การพัฒนาจิตไปสู่ความสงบได้ง่าย จึงจำเป็นต้องมีการส่งเสริมให้ สถานที่มีความสงบ สะอาด และเป็นระเบียบต่อไป
๘ ดูรายละเอียดใน พระโสภณอัครมหาเถระ, วิปัสสนนัย เล่ม ๑, หน้า ๑๘๒.
๙ องฺ.ทสก. (บาลี) ๒๔/๗๒/๑๔๔. องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๗๒/๑๕๙.
วิธีการส่งเสริมสัปปายะด้านสถานที่
ก. ส่งเสริมให้สถานที่มีความสงบ คือ ปิดวาจา งดพูดคุย เว้น การสนทนา โดยติดป้ายประกาศ บอกกล่าว หรือแนะนำใน เบื้องต้นก่อนเข้ารับการปฏิบัติวิปัสสนา การปิดวาจา คือ การหยุด พูด การไม่พูด การไม่สนทนา เป็นต้น เนื่องจากการพูดคุย สนทนา ระหว่างผู้ปฏิบัติด้วยกันเองจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ในขณะปฏิบัติวิปัสสนาได้ เพราะจิตคิดถึงเรื่องราวที่ได้ยิน ได้ฟังมา นอกจากนั้น ยังเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติอื่น ๆ อีกด้วย เพราะ ความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนาจนถึงขั้นบรรลุธรรมได้นั้นจักต้อง อาศัยความสงบ หากมีเสียงพูดคุยหรือสนทนากัน จะทำให้จิตของ ผู้ปฏิบัติธรรมไม่สงบหรือฟุ้งออกนอกกายใจทันที เพื่อออกไปรับรู้ เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นอัตโนมัติ
รูปภาพที่ ๒ แสดงภาพการส่งเสริมสัปปายะด้านสถานที่ให้มีความสงบ
ข. ส่งเสริมความสะอาด คือ การทำความสะอาด (ปัด กวาด เช็ด ถู) เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ สถานที่ปฏิบัติวิปัสสนาให้มี ความสะอาดอยู่เสมอ เพื่อเกื้อกูลแก่การปฏิบัติผู้ปฏิบัติควรมีส่วน ร่วมในการทำสถานปฏิบัติธรรมให้เกิดความสะอาด สว่าง สงบ โดย
ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดบริเวณภายในสถานที่ปฏิบัติ วิปัสสนา สถานที่เดินจงกรม สถานที่นั่งสมาธิของตน ในทุกๆ วัน โดยเช็ดถูทำความสะอาดพื้นและตามซอกมุมต่างๆ เพื่อป้องกันการ ฟุ้ งกระจายของฝุ่น รวมทั้ งทางเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมหรือ ผู้รับผิดชอบควรจัดให้มีช่างมาล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ แผ่นกรองอากาศและมุ้งลวด ให้สะอาดอยู่เสมอ พร้อมซักทำความสะอาดผ้าม่านด้วยประมาณ ๑ ครั้งต่อสัปดาห์ ใน เวลาพัก ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นการรบกวนผู้ปฏิบัติมากจนเกินไป
รูปภาพที่ ๓ แสดงภาพความสะอาดของศาลา ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมตานังเลณัง ภาพออนไลน์จาก https://www.pinterest.com/pin/278238083207056091
ค. ส่งเสริมการจัดวางอาสนะที่นั่งสำหรับปฏิบัติธรรมควรจัด วางให้เป็นระบบเพื่อความสะดวกปลอดภัยและคงไว้ซึ่งคุณภาพ ประสิทธิภาพในการปฏิบัติวิปัสสนาโดยกำหนดขั้นตอนไว้ ๓ ขั้นตอนประกอบด้วย
๑. กำหนดสิ่งของที่จำเป็นในขณะปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาว่า สิ่งใดที่ไม่จำเป็นไม่ควรติดตัวมา เช่น กระเป๋า ขวดน้ำ หนังสือ
โทรศัพท์ เป็นต้น เพื่อมิให้เกิดความกังวลในขณะปฏิบัติ และเพื่อ ความสะดวกในการเดินจงกรม นั่งสมาธิ และการปฏิบัติวิปัสสนา
๒. แบ่งเขตให้ชัดเจนสำหรับการเดินจงกรมด้วยการจัดทำ ล็อคโดยใช้ผ้าสก็อตเทปสีทำเป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้าง ประมาณ ๒ เมตร ยาว ๕ เมตร เพื่อความสะดวกในการเดินจงกรม จักได้ไปไม่เดินชนกัน
๓. จัดวางอาสนะให้เป็นระบบมีระเบียบ เป็นแถวเป็นแนว
รูปภาพที่ ๔ แสดงภาพการแบ่งช่องและจัดวางอาสนะ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมตานังเลณัง ภาพจาก https://www.blockdit.com/posts/5cb9d6ce7003650ff587f1d3
สรุปความว่า การส่งเสริมสัปปายะด้านสถานที่ให้เกื้อกูล ต่อการปฏิบัติวิปัสสนาจนประสบความสำเร็จได้ ต้องประกอบด้วย การส่งเสริมให้สถานที่มีความสงบ มีความสะอาดและมีความสะดวก เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลการปฏิบัติให้เกิดการพัฒนาจิตต่อไป
สัปปายะด้านสถานที่โคจร
สถานที่ปฏิบัติแห่งนั้นต้องมีทางโคจรหรือทางเดิน ถนน หนทางไปมาได้สะดวก ไม่ใกล้นัก ไม่ไกลนัก หนทางในการ บิณฑบาตไม่ลำบากนัก เหมาะแก่การจาริก ในคัมภีร์สุทธิมรรค อธิบายไว้ว่า “หมู่บ้านหรือท้องถิ่นสำหรับไปบิณฑบาตแห่งใด มีอยู่ ในที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นักในระยะประมาณโกสะกึ่งประมาณ ๑ ชั่ว คันธนู หรือ ๒ กิโลเมตร เป็นเสนาสนะอยู่ทางทิศใต้ เป็นที่มีภิกขา
สมบูรณ์หาง่ายหมู่บ้านนั้นนับเป็นสัปปายะ”๑๐ มีเส้นทางที่พอใช้เดิน ได้ไม่เสี่ยงอันตราย ไม่ลำบากมากเกินไป พ้นจากแสงอาทิตย์ขึ้นส่อง หน้าในเวลาไปหรือกลับจากบิณฑบาต และภิกษุรู้จักเส้นทางนั้นดี
พอที่จะเดินไปและเดินกลับได้ในเวลาพอสมควร๑๑ และหมายรวมถึง ถิ่นที่อาศัยมีทางสำหรับเดินจงกรมควรมีทางเดินจงกรมที่เหมาะสม แก่การปฏิบัติวิปัสสนา มีปรากฏในพระไตรปิฎกหลายพระสูตร คือ โพธิราชกุมารสูตร๑๒ สังคารวสูตร๑๓ มหาสัจจกสูตร๑๔ พระพุทธองค์
๑๐ พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๒๒๑.
๑๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๒๑.
๑๒ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๒๙/๓๙๘. ๑๓ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๗๗/๖๔๐. ๑๔ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๗๓/๔๐๙.
ตรัสแก่อัคคิเวสสนะ และปาสราสิสูตร๑๕ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคตรัส แก่ภิกษุทั้งหลาย ความว่า. . .เรานั้นแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ขณะที่แสวงหาทางอันประเสริฐคือความสงบซึ่งไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า
เมื่อเที่ยวจาริกไปในแคว้นมคธโดยลำดับ ได้ไปถึงตำบลอุรุเวลาเสนา นิคม ได้เห็นภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ มีราวป่าน่าเพลิดเพลินใจ มี แม่น้ำไหลรินไม่ขาดสาย มีท่าน้ำสะอาดดีน่ารื่นรมย์ มีโคจรคามอยู่ โดยรอบ เราจึงคิดว่า‘ภูมิประเทศเป็นที่น่ารื่นรมย์ มีราวป่าน่า เพลิดเพลินใจ มีแม่น้ำไหลรินไม่ขาดสาย มีท่าน้ำสะอาดดีน่ารื่นรมย์ มีโคจรคามอยู่โดยรอบเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรของกุลบุตรผู้ ปรารถนาจะบำเพ็ญเพียร’ เราจึงนั่ง ณ ที่นั้นด้วยคิดว่า ‘ที่นี้เหมาะ แก่การบำเพ็ญเพียร’
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็ อาวาสประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย อาวาสใน ศาสนานี้ เป็นสถานที่ไม่ไกลนัก ไม่ใกลนัก ไปมาสะดวกกลางวันไม่ พลุกพล่านกลางคืนไม่มีเสียงอึกทึก ปราศจากสัมผัสแห่งเหลือบยุง ลมแดด และสัตว์เลื้อยคลาน ก็แลเมื่อภิกษุพำนักอยู่ในสำนักนั้น จีวรบิณฑบาตเสนาสนะและคิลานปัจจยเภสัชบริขาร ย่อมเกิดขึ้น โดยไม่ฝืดเคืองเลย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ เป็นพหุสูต ย่อม อยู่ในอาวาสนั้นภิกษุเข้าไปหาพระเถระเหล่านั้นตามกาลอันควร ได้
๑๕ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๗๙/๓๐๓-๓๐๔.
สอบถาม ข้ออรรถข้อธรรม ท่านเหล่านั้นย่อมจะเปิดข้อที่ยังไม่ได้ เปิด ทำให้แจ่มแจ้งข้อที่ยังมิได้ทำให้แจ่มแจ้ง และบรรเทาความ สงสัยในธรรมทั้งหลาย อันน่าจะสงสัยได้หลายๆ อย่าง ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย อาวาสประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นอย่างนี้แล”๑๖
วัดในพระพุทธศาสนาจึงได้มีการพัฒนามาแต่ครั้งโบราณกาล จากพื้นที่ที่เป็นป่าปรับเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยที่สงบสงัด และได้ เพิ่มเติมสิ่งก่อสร้างที่จำเป็นและเอื้อต่อการปฏิบัติประพฤ ติ พรหมจรรย์ของพระภิกษุสงฆ์ซึ่งต่อมาได้มีพุทธศาสนิกชนผู้มีจิต ศรัทธา ได้สร้างถาวรวัตถุขึ้นภายในวัดโดยการมุ่งประโยชน์ใช้สอย ทางศาสนาเป็นหลัก และถือว่าการสร้างสิ่งเหล่านี้เป็นการบำเพ็ญ บุญตามวิธีการทางพระพุทธศาสนาด้วยคุณสมบัติของสถานที่ของ วัดว่า วัดใดประกอบดวยองค์ ๕ มีความเป็นสถานที่ไม่ไกลนัก ไม่ ใกล้นักจากที่โคจร เป็นต้น วัดนี้ชื่อว่าเป็นสำนักเหมาะสมแกการ ปฏิบัติธรรมประพฤติพรหมจรรย์ ท่านมหาเศรษฐีจึงได้ให้สร้าง วิหารหลายหลัง ตกแต่งบริเวณต่าง ๆ สร้างซุ้มประตูสร้างศาลา หอ ฉัน โรงไฟ กัปปิยกุฏีเวจกุฏี สถานที่จงกรม โรงจงกรม บ่อน้ำ ศาลา บ่อน้ำ เรือนไฟศาลา สระโบกขรณี และมณฑปแก่ภิกษุสงฆ์๑๗
๑๖ วิสุทธิ. (บาลี) ๑/๑๕๕.
๑๗ สถาบันบันลือธรรม, ๗๕ อุบากสกพุทธสาวก ในสมัยพุทธกาล , (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพธรรมสภา, ๒๕๕๑), หน้า ๙๐-๙๓.
จากข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นความเป็นสัปปายะด้าน สถานที่โคจร เพื่อการปฏิบัติวิปัสสนาได้สะดวก จึงควรส่งเสริมสัป ปายะด้านสถานที่ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติวิปัสสนาให้อยู่ ใกล้ มีความสะดวกทั้งห้องน้ำ โรงทานอาหาร ห้องพักผ่อน สถานที่ เหล่านี้ล้วนมีความสำคัญต่อการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาทั้งสิ้น จึง จำเป็นต้องอยู่ใกล้กับสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนาให้มากที่สุด ไม่ไกล จนเกินไป เพราะถ้าไกลจนเกินไปจะส่งผลให้จิตใจของผู้ปฏิบัติ ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ที่ได้รับเข้ามาในระหว่างการเดินทางไปยัง สถานที่จำเป็นนั้น ๆ
รูปภาพที่ ๕ แสดงภาพการส่งเสริมด้านสถานที่โคจร ศูนย์ปฏิบัติธรรมตานังเลณัง ภาพจากออนไลน์ https://www.facebook.com
วิธีการส่งเสริมสัปปายะด้านสถานที่โคจร
ก. ควรส่งเสริมให้สถานที่ปฏิบัติธรรมนั้นมีเสนาสนะ อาคาร สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ให้สมควรแก่การเดินทางที่เรียกโคจรสัปปายะ ได้แก่ ในบริเวณรอบ ๆ มีอาคารสำนักงานมีศาลาปฏิบัติธรรม ห้อง ปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ ใช้ในการปฏิบัติธรรม สามารถบรรจุผู้ปฏิบัติ ธรรมได้จำนวนมาก เป็นศาลาหลังยาว ภายในตกแต่งด้วยผ้าม่าน ติดตั้งพัดลมหรือแอร์
ข. รอบนอกบริเวณมีกุฏิที่พักสำหรับพระภิกษุสงฆ์แยกเป็น สัดส่วน อาคารที่พักผู้ปฏิบัติธรรม แยกห้องเป็นสัดเป็นส่วน มี ห้องน้ำ ห้องสุขาอยู่ในห้องและอาคารศาลาปฏิบัติธรรม แบ่ง ออกเป็นสัดส่วนเป็น เพศชาย เพศหญิง และสร้างห้องสุขาไว้ตามจุด ต่างๆ กระจายกันอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ให้เหมาะสม สะดวกต่อการใช้
ค. สถานที่โรงทานอาหารก็ไม่ควรไกลเกินไป ภายในมีความ สะอาด จัดภาชนะต่าง ๆ วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความ สะดวกในการหยิบใช้ โต๊ะนั่งทานอาหารแยกแยะผู้ปฏิบัติชาย หญิง พระภิกษุ สามเณร และที่นั่งแต่ละที่ให้กว้างพอสมควรเพื่อเกิดความ สบายในการกำหนดสติ และส่งเสริมให้มีความสงบภายในโรงทาน
สรุปความว่า การส่งเสริมสถานที่โคจรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การปฏิบัติวิปัสสนาให้สะดวกจะสามารถทำให้การปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนามีความสำเร็จได้ จักต้องส่งเสริมให้มีสถานที่หรือแหล่งที่หา อาหารที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปบิณฑบาตได้สะดวก รวมถึงการส่งเสริม ให้มี ห้องน้ำ โรงทาน ห้องพัก ห้องสอบอารมณ์ ได้มีความสะดวก ต่อการเป็นอยู่ ต่อการประพฤติปฏิบัติ จึงถือได้ว่าสถานที่นั้นมี โคจรสัปปายะที่เกื้อกูลต่อการปฏิบัติธรรม และมีผลช่วยส่งเสริมให้ การปฏิบัติมีความสะดวก มีความเจริญก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จได้
สัปปายะด้านคำพูด
คำพูดที่เหมาะสมเกื้อกูลมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา ผู้ปฏิบัติจะสามารถพัฒนาการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาไปทางที่ถูกที่ควรหรือปฏิบัติผิดทาง ล้วนอยู่ที่คำพูดของผู้ที่ ทำหน้าที่แนะนำการปฏิบัติวิปัสสนา ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นพระวิปัสสนา จารย์จึงควรพูดเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติวิปัสสนาเท่านั้น ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ถึงลักษณะของภิกษุผู้ใส่ใจใฝ่ ในการปฏิบัติวิปัสสนาว่า “เราจักพูดเรื่องเห็นปานนี้ คือเรื่องความ มักน้อย เรื่องความสันโดษ เรื่องความสงัด เรื่องความไม่คลุกคลีกัน เรื่องการปรารภความเพียร เรื่องศีลเรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่อง วิมุตติ เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ ซึ่งเป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นสัปปายะแก่ความเป็นไปแห่งจิต เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดย ส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อ ตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน”๑๘
จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่าผู้ที่ทำหน้าที่แนะนำการ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้นจะต้องพูดแต่เรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ และเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเท่านั้น ถ้อยคำที่ พูดออกไปเป็นส่วนสำคัญที่พระพุทธเจ้าเน้นให้สำรวมให้ดี โดยมี หลักการที่พระองค์ทรงวางไว ๕ ประการ เพื่อเป็นต้นแบบที่ดี คือ
๑๘ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๘๙/๒๒๗.
หลักธรรมเทสกธรรม ๕ หมายถึง ธรรมของนักเทศน์หรือองค์แห่ง ธรรมกถึก ธรรมที่ผู้แสดงหรือสั่งสอนคนอื่นควรตั้งไว้ในใจ ดังนี้
องค์แห่งธรรมกถึก๑๙
๑) อนุปุพฺพิกถํ กล่าวความไปตามลำดับ คือ แสดงหลักธรรม
หรือเนื้อหาวิชาตามลำดับความยากง่ายลุ่มลึก มีเหตุผลสัมพันธ์ ต่อเนื่องกันไปโดยลำดับ
๒) ปริยายทสฺสาวี ชี้แจง ยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ คือ
ชี้แจงให้เข้าใจชัดในแต่ละแง่ แต่ละประเด็น โดยอธิบายขยายความ ยักเยื้องไปต่างๆ ตามแนวเหตุผล
๓) อนุทยตํ ปฏิจฺจ แสดงธรรมด้วยอาศัยเมตตา คือ สอนเขา
ด้วยจิตเมตตา มุ่งจะให้เป็นประโยชน์แก่เขา
๔) น อามิสนตฺโร ไม่แสดงธรรมด้วยเห็นแก่อามิส คือ สอน เขามิใช่เพราะมุ่งที่ตนจะได้ ลาภ หรือผลประโยชน์ตอบแทน
๕) อตฺตาน
ปร
อนุปหจฺจ แสดงธรรมไม่กระทบตน
และผู้อื่น คือ สอนตามหลักตามเนื้อหา มุ่งแสดงธรรม แสดงธรรมไม่ ยกตน ไม่เสียดสีข่มขี่
๑๙ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาตร์ฉบับประมวล ศัพท์, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๔๒), หน้า ๑๙๒.
จากข้อความดังกล่าว ผู้แนะนำการปฏิบัติวิปัสสนาควรพูดไป ตามลำดับแห่งธรรม ยกเหตุผลมาอธิบายให้ชัดเจน พูดด้วยความ เมตตา ไม่ปรารถนาอามิสสินจ้าง และสิ่งสำคัญไม่พูดกระทบตนและ ผู้อื่น ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าในฐานะเป็นต้นแบบในลักษณะการพูด พุทธดำรัสที่ทรงเปล่งแสดงธรรมให้คำแนะนำประโยชน์สูงสุดแก่ สรรพสัตว์ เช่นว่า “พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใดอันเกษม เพื่อ บรรลุพระนิพาน เพื่อทำที่สุดทุกข์ พระวาจาสูงสุดแห่งวาจาทั้งปวง วิธีการตรัสพระวาจาของพระพุทธองค์จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ สรรพสัตว์ ทรงยึดหลักการตรัสพระวาจา ๖ ประการคือ
๑) คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
๒) คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ถึงเป็นที่รักที่ ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
๓) คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบ ใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
๔) คำที่พูดจริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ถึงเป็นที่รักที่ ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
๕) คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ ของผู้อื่น - เลือกเวลา ตรัสที่เหมาะสม
๖) คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของ ผู้อื่น - เลือกเวลา ตรัสที่เหมาะสม
จากข้อความดังกล่าว จะเห็นได้ว่าแม้ในการตรัสพระวาจาของ พระองค์ก็ทรงใช้ภาษาสุภาพ นุ่มนวล ไม่หยาบคาย ชวนให้สบายใจ สละสลวย เข้าใจอย่างที่รู้จักกันว่า พระพุทธองค์ทรงมีพระดำรัส ไพเราะ รู้จักตรัสถ้อยคำที่งดงามมีพระวาจา สุภาพ สละสลวย ไม่มี โทษ ทำให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความได้ชัดแจ้ง กัลยาณมิตรจึงต้องกล่าว วาจาที่เป็นไป เพื่อความสมัครสมาน กลมเกลียว ประกอบด้วย ประโยชน์ กล่าวคำที่เป็นสุภาษิตประกอบด้วยธรรม ซึ่งเป็นคำพูด สูงสุด ไม่พึงกล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม พึงกล่าวคำเป็นที่รัก ไม่พึงกล่าว คำไม่เป็นที่รัก พึง กล่าวคำสัตย์ ไม่พึงกล่าวคำเหลาะแหละ๒๐
นอกจากนั้น พระพุทธองค์ยังมีความชำนาญในการตรัสถาม
และตอบคำถามต่างๆ หรือทรงมีทักษะและเทคนิคที่เหมาะสมกับ ผู้เข้ามาสอบถาม ทั้งการปริปุจฉา การถาม - การตอบ ธัมมสากัจฉา การสนทนาธรรม การแสดงธรรม เป็นต้น ทรงใช้ ๔ วิธี คือ ๑) วิภัชชวยากรณ์ ปัญหาที่ควรแยกตอบ ๒) ปฏิปุจฉาวยากรณ์ ปัญหาที่ควรตอบโดยย้อนถาม ๓) เอกังสวยากรณ์ ปัญหาที่ควรตอบ โดยนัยเดียว ๔) ฐปนียวยากรณ์ ปัญหาที่ควรงดตอบ” ซึ่งมี รายละเอียดดังต่อไปนี้
๒๐ มหามกุฏราชวิทยาลัย, มังคลัตถทีปนี ภาค ๑, (นครปฐม:โรงพิมพ์มหามกุฏ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๒๔๔.
ก. การใช้คำถามเพื่อทรงใช้ในการแสดงธรรมเพื่อ ประโยชน์ในการบรรลุคุณธรรมให้ยิ่งขึ้นไป กล่าวในอรรถกถา มหา เวทัลลสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์๒๑ คือ
(๑) อทิฏฐโชตนาปุจฉา ถามเพื่อรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ เช่น ทรง ตรัสถามได้ตรัสถามสิงคาลกะ คหบดีบุตรผู้ไหว้ทิศทั้ง ๔ ดังนี้ว่า ดังนี้ ว่า “คหบดีบุตรเธอลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศ เบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ เพราะเหตุไร”๒๒
(๒) ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา ถามเพื่อสนทนาสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
เช่น พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “อัคคิเวสสนะ ท่านเข้าใจความข้อ นั้นว่าอย่างไร ข้อที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า ‘รูปเป็นอัตตาของเรา ท่านมี อำนาจในรูปนั้นว่า‘รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้ เลยหรือ”๒๓
(๓) วิมติจเฉทนาปุจฉา ถามเพื่อขจัดความสงสัย
ปัญหาบางอย่างซับซ้อน กำกวน ยากที่ผู้ฟังจะเข้าใจได้ง่าย เพื่อเป็น ประโยชน์ต่อผู้ฟัง พระองค์จึงทรงตรัสถามเพื่อขจัดความสงสัย เช่น
๒๑ ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๔๔๙/๒๔๒-๒๔๓.
๒๒ ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๑๗๓/๑๙๔, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๒๔๓/๑๙๙.
๒๓ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๓๙๘/๔๒๙, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๕๘/๓๙๔.
บุคคลใดกำลังกำหนดรู้กายสังขาร บุคคลนั้นก็กำลังกำหนด รู้วจี สังขารใช่ไหม๒๔
(๔) อนุมติปุจฉา ถามเพื่อขอความเห็น เช่น ในอนัตต
ลักขณสูตร๒๕ พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย เข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง” ภิกษุทั้งหลายทูล ตอบว่า “ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า”
(๕) กเถตุกามยตาปุจฉา ถามเอง-ตอบเอง เช่น “ภิกษุ ทั้งหลายสติปัฏฐาน ๔ ประการนี้ ๔ ประการอะไรบ้าง” แล้วทรง อธิบายสติปัฏฐาน ๔ ประการจนจบ (คำถามแบบที่ (๔) และ (๕) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้มากในการแสดงธรรม)
พระวิปัสสนาจารย์ผู้แนะนำการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาจึงควร มีทักษะการพูดด้วยการตั้งคำถามตามพุทธวิธี โดยมีหลักการถาม เพื่อรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ ถามเพื่อสนทนาสิ่งที่รู้อยู่แล้ว ถามเพื่อขจัดความ สงสัย ถามเพื่อขอความเห็น บางครั้งต้องมีทักษะในการเปิดประเด็น ในการสอน คือถามเองตอบเองเพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมเกิดความรู้ความ เข้าใจในสิ่งที่จะสอนต่อไปด้วย
๒๔ อภิ.ย. (บาลี) ๓๘/๑๒๒๐/๔๓๓, อภิ.ย. (ไทย) ๓๘/๑๕๙/๕๒๘.
๒๕ สํ.ข. (บาลี) ๑๗/๑๒๘/๘๓, สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๕๙/๙๕.
ข. การตอบคำถามของพระพุทธเจ้าแยกไว้ ๔ ประเภท คือ (๑) วิภัชชวยากรณ์ ปัญหาที่ควรแยกตอบ คือ การ
ตอบปัญหาด้วยวิธีวิเคราะห์หลักธรรมอย่างละเอียดจะนำไปตอบ ปัญหาโดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่จำต้องวิเคราะห์แยกแยะ ประเด็น เหตุการณ์ เช่น คำถามว่า อะไร คือผลของการกระทำด้วย กาย วาจา ใจ การตอบปัญหาเช่นนี้ เราจะตอบว่า สุข ทุกข์ หรือ อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แต่ต้องวิเคราะห์ก่อนว่า การทำ ด้วยกาย วาจา ใจนั้นเป็นการกระทำอย่างไร ดีหรือชั่ว เป็นต้น
(๒) ปฏิปุจฉาวยากรณ์ ปัญหาที่ควรตอบ โดยย้อนถาม
คือ วิธีตอบปัญหาด้วยการย้อนคำถาม เพื่อให้ผู้ถามได้พิจารณา ปัญหานั้นด้วยตนเอง เช่น ครั้งหนึ่ง๒๖ พระอภัยราชกุมารทรงถาม พระพุทธเจ้าถึงการตอบคำถามว่า พระองค์เตรียมการตอบหรือตอบ ได้ทันที พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสถามย้อนกลับไปว่า “ราชกุมาร ถ้า เช่นนั้น ในข้อนี้ ตถาคตจักถามพระองค์บ้าง ข้อนี้พระองค์เห็นควร อย่างไร พระองค์พึงตอบอย่างนั้น พระองค์ทรงเข้าพระทัยความข้อ นั้นว่าอย่างไร พระองค์เป็นผู้ชำนาญในองค์ประกอบน้อยใหญ่ของ - รถมิใช่หรือ” เป็นต้น
(๓) เอกังสวยากรณ์ ปัญหาที่ควรตอบโดยนัยเดียว คือ
วิธีการตอบปัญหาโดยตรง กล่าวคือ เป็นวิธีที่ตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง
๒๖ ม.ม. (บาลี) ๑๓/๙๕/๙๒, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๗/๘๘.
คือ การตอบรับหรือตอบปฏิเสธอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ในอนัตต ลักขณสูตร คำถามว่า “รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ตอบว่า ไม่เที่ยง สิ่งที่ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุข ตอบว่า เป็นทุกข์ เมื่อสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอัตตาหรืออนัตตา ตอบว่า เป็นอนัตตา” เป็นต้น
(๔) ฐปนียวยากรณ์ ปัญหาที่ควรงดตอบ คือ วิธีการ
ตอบปัญหาด้วยการวางคำถามไปเสียข้างหนึ่ง หมายถึง การไม่ตอบ คำถาม เพราะคำถามและคำตอบไม่เป็นประโยชน์ต่อการดับทุกข์ หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหยั่งรู้มีประสบการณ์ได้ด้วยตนเอง แม้จะ ตอบไปผู้ถามก็ไม่อาจพิสูจน์ด้วยคำพูดได้ เช่นถามว่า ชีวะกับสรีระ เป็นสิ่งเดียวกันใช่หรือไม่ หรือคำถาม ๑๐ ประการ ที่เรียกว่า “อัพยากตะ” ซึ่งเป็นคำถามที่พระองค์ไม่ทรงพยากรณ์ เช่น โลก เที่ยงหรือ ไม่เที่ยง เป็นต้น๒๗
จากข้อความดังกล่าวพระวิปัสสนาจารย์จะต้องรู้จักใช้คำตอบ ด้วยเทคนิควิธีการที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของผู้เรียน เพื่อให้ประสบความสัมฤทธิ์ผลในการสอน ทำให้ผู้เรียนได้รู้จริงเห็น จริง โดยการใช้เทคนิคในการตอบคำถามดังกล่าวที่หลายวิธี ดังนี้
๑ ) การยกอุท าห ร ณ์ และการเล่านิ ท านประกอบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสใช้อุทาหรณ์และนิทานประกอบการสอน
๒๗ ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๑๒/๒๐๔, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑, องฺ.จตุกก. (บาลี) ๒๑/๔๒/๕๑-๕๒, องฺ.จตุกก. (ไทย) ๒๑/๔๒/๗๐-๗๑.
มากมายเพียงใด จะเห็นได้จากการที่ในคัมภีร์ต่างๆ มีอุทาหรณ์และ นิทานปรากฏอยู่ทั่วไป เฉพาะคัมภีร์ชาดกอย่างเดียวก็มีนิทานถึง ๕๔๗ เรื่อง การยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย และการเล่านิทาน ประกอบ ช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ช่วยให้จำแม่นยำ เห็นจริง และเกิดความเพลิดเพลิน ทำให้การเรียนการสอนมีรส ยิ่งขึ้น เช่น เมื่อพระองค์ทรงจะอธิบายให้เห็นว่า การสำรวมอินทรีย์ ๖ ง่ายกว่าการรักษา จึงทรงยกนิทานชาดกเรื่อง เตลปัตตชาดกมา ประกอบ ว่าด้วยเรื่องการรักษาการสำรวมอินทรีย์ มีเรื่องย่อดังนี้ นางยักษิณีตามกินพระโพธิสัตว์ แต่ไม่อาจสามารถกินได้ เพราะ ยักษ์จะกินได้แต่คนไม่สำรวมอินทรีย์เท่านั้น พวกที่ติดตามมากับ พระองค์ถูกนางยักษิณีกินทั้งหมด เพราะขาดการสำรวมระวัง หรือไม่รักษาอินทรีย์นั่นเอง๒๘ ดังนี้
๒) การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา การอุปมาจะช่วยทำให้ เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก ปรากฏความหมายเด่นชัดออกมา และเข้าใจ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะมักใช้ในการอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมเปรียบให้ เห็นชัดด้วยสิ่งที่เป็นรูปธรรม หรือแม้เปรียบเรื่องที่เป็นรูปธรรมด้วย ข้ออุปมาแบบรูปธรรม ก็ช่วยให้มีความหนักแน่นในเนื้อหาที่สื่อ ออกไปได้ดียิ่งขึ้น เช่น พระพุทธองค์ทรงเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ให้ สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ โดยทรงอุปมา
๒๘ ดูรายละเอียดใน ขุ.ชา.อ. (ไทย) ๓/๓๕๗ – ๓๖๖.
เหมือนการใช้เชือกผูกสัตว์ทั้ง ๖ ชนิดให้อยู่กับเสาหลักแทนการฝึก จิตของตนให้มีสติมากขึ้นในการรู้เท่าทันการออกไปรับอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ๒๙ เป็นต้น
๓) การเล่นภาษา เล่นคำ ข้อนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึง
ทักษะ ความสามารถของพระพุทธเจ้าที่มีรอบไปทุกด้าน เมื่อผู้ใด ทูลถามมาเป็นคำร้อยกรอง พระองค์ก็ทรงตรัสตอบเป็นคำร้อยกรอง ไปทันที ทำนองกลอนสด บางทีเขาทูลถามหรือกล่าวข้อความโดยใช้ คำที่มีความหมายไปในทางไม่ดีงาม พระองค์ก็ตรัสตอบไปด้วย คำพูดเดียวกันนั้นเอง แต่เป็นการพูดในความหมายที่ต่างออกไปเป็น ฝ่ายดีงาม ดังเช่น สมัยหนึ่ง พราหมณ์ภารทวาชโคตรโกรธ ไม่พอใจ จึงเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้กล่าวกับพระผู้มีพระ ภาคด้วยคาถาว่า
บุคคลกำจัดอะไรได้จึงอยู่เป็นสุข กำจัดอะไรได้จึงไม่เศร้าโศก ข้าแต่พระโคดม
พระองค์ทรงพอพระทัยการกำจัดธรรมอย่างหนึ่ง คืออะไร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลกำจัดความโกรธได้จึงอยู่เป็นสุข กำจัดความโกรธได้จึงไม่เศร้าโศก พราหมณ์ พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญการกำจัดความโกรธ
๒๙ สํ.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๔๖/๒๔๕, สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔/๒๖๒.
ซึ่งมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน
เพราะบุคคลกำจัดความโกรธนั้นได้แล้ว จึงไม่เศร้าโศก๓๐
๔) การรู้จักจังหวะและโอกาส พระพุทธองค์รู้จักใช้จังหวะ และโอกาสให้เป็นประโยชน์ เมื่อไม่ถึงจังหวะ ไม่เป็นโอกาส จักไม่ ตรัสแสดงธรรม เช่น พระภิกษุสงฆ์ยังไม่พร้อม ยังไม่เกิดปริปากะ แห่งญาณหรืออินทรีย์ พระองค์ก็ยังไม่ทรงแสดงธรรม ทรงอดทน ด้วยการมีสติตื่นตัวอยู่เสมอ รอเมื่อถึงจังหวะหรือมีโอกาส จึงทรง แสดงธรรม เช่น พระพาหิยะทารุจีริยะต้องรอจังหวะและโอกาส ก่อนถึง ๓ ครั้ง พระพาหิยะทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้ มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดแสดง ธรรมที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ข้าพระองค์ ตลอดกาลนานเถิด พระพุทธเจ้าข้า”เมื่อพาหิยะทารุจีริยะกราบทูล อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพาหิยะทารุจีริยะดังนี้ว่า “พาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควร” ถึงครั้งที่ ๓ จึงโปรดแสดงธรรม๓๑
๕) การตำหนิและการชม การตำหนิ เพื่อเป็นการลงโทษให้ เกิดความสำนึกหรือเกิดสติฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่ตนกระทำอยู่นั้น เป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ ไม่เป็นไปเพื่อ
๘๓.
๓๐ สํ.ส. (บาลี) ๑๕/๖๒๘-๖๒๙/๒๓๖, สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๗/๒๖๔.
๓๑ ดูรายละเอียดใน ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๖๒๘-๖๒๙/๒๓๖, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๔๙/
ความคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์ จะทรงใช้การตำหนิเพื่อเตือนสติของพระสาวก เช่น พระวักกลิ ติดตามชมรูปพระวรกายของพระองค์ จนไม่มีเวลาในการประพฤติ ปฏิบัติธรรม พระองค์จึงทรงตำหนิทำให้พระวักกลิหลีกไปด้วยความ
เสียใจ๓๒ ส่วนการชม เพื่อเป็นการให้กำลังใจของผู้ทำความดีนั้นๆ แต่มิได้ทรงยกย่องจนบุคคลนั้นสามารถนำไปข่มคนอื่นได้ ทรงชม
เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติตาม เช่น ทรง ชมพระสารีบุตร ว่า “เราไม่เห็นบุคคลอื่นแม้คนเดียวที่เผยแผ่โดย ชอบซึ่งธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่ตถาคตประกาศไว้แล้วเหมือนสารี บุตรนี้ สารีบุตรย่อมเผยแผ่โดยชอบซึ่งธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่ ตถาคตประกาศไว้แล้ว เป็นต้น
จากข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นการตรัสพระวาจาสอนของ พระพุทธเจ้า ทั้งการถาม - การตอบ ธัมมสากัจฉา การสนทนาธรรม การแสดงธรรม เป็นต้น รวมทั้งเทคนิคการตรัสพระวาจาในการสอน ด้วยวิธีการต่างๆ คือ การตรัสยกอุทาหรณ์หรือนิทานประกอบ การ ตรัสเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมาอุปไมย การเล่นภาษาเล่นคำหรือการ ให้ความหมายใหม่ การรู้จักจังหวะและโอกาสในการพูด วิธีการตรัส สอนดังกล่าวถือว่าเข้าใจง่าย ลุ่มลึก ทำให้ผู้เรียนสามารถนำ หลักธรรมไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
๓๒ ดูรายละเอียดใน องฺ.เอกก. (ไทย) ๑/๑/๓๙๑.
รูปภาพที่ ๗ แสดงภาพการส่งเสริมสัปปายะด้านคำพูด
วิธีการส่งเสริมสัปปายะด้านคำพูด
ก. ส่งเสริมให้พระวิปัสสนาจารย์รู้จักใช้คำพูดที่เหมาะสมใน การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา หมายถึง เป็นผู้ฉลาดในการใช้คำพูด” มีวาจางาม เจรจาถ้อยคำไพเราะอันประกอบด้วยวาจาชาวเมืองที่ สละสลวย ไม่หยาบคาย ให้รู้ความหมายได้ ทั้งชี้แจงให้เพื่อน พรหมจารีเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจ หาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง” ต้องรู้จักพูดให้ได้ผล พูดเป็น รู้จักชี้แจง ให้เข้าใจ รู้ว่าเมื่อใดควรพูดอะไร เมื่อไรควรให้ คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือน และเป็นที่ปรึกษาให้ บอก วิธีแก้ไขให้ บอกสิ่งที่ควรทำก่อน-หลัง ส่งเสริมบอกวิธีที่ดีให้ ทำให้ได้หลัก คุณธรรมเพิ่มมากขึ้น โดยการส่งเสริมให้พระวิปัสสนาจารย์รู้จักพูด คือ ต้องรู้จักฉลาดในการใช้คำพูดในการสอน พูดจูงใจให้อยากไป ปฏิบัติ พูดให้เข้าใจในเนื้อหาที่จะเรียนรู้ได้ง่าย รู้จักแนะนำ ให้คำปรึกษาวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาที่ถูกต้องได้ โดยยึดหลักการตรัส
พระวาจาของพระพุทธเจ้ามาเป็นแบบอย่างในการพูด คือ คำพูดที่ จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น จึงควรพูด และมีทักษะการถามตามพุทธวิธี โดยมีหลักการถามเพื่อรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ ถามเพื่อสนทนาสิ่งที่รู้อยู่แล้ว ถามเพื่อขจัดความสงสัย ถามเพื่อขอ ความเห็น บางครั้งต้องมีทักษะในการเปิดประเด็นในการสอน คือ ถามเองตอบเองเพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมเกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ จะสอนต่อไป
ข. หากผู้ปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องพูดในระหว่างการปฏิบัติ ควร พูดให้น้อย ส่งเสริมให้พูดคุยแต่ถ้อยคำที่เหมาะสม สุภาพ เป็นคำพูด ที่ส่งเสริมในทางปฏิบัติ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสย้ำถึงหลักการพูดในสิ่ง ที่ควรพูด ๑๐ ประการ ดังนี้
๑) พูดถ้อยคำที่ทำใหมีความปรารถนาน้อย
๒) พูดถ้อยคำที่ชักนำใหสันโดษยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได ๓) พูดถ้อยคำที่ทำให้สงบกายสงบใจ
๔) พูดถ้อยคำที่ชักนำมิให้ติดอยู่กับหมู่คณะจนลืมตน เพราะ จะเป็นเหตุให้สะสมกิเลส
๕) พูดถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารถนาความเพียร ๖) พูดถ้อยคำที่ชักนำใหตั้งอยูในศีล
๗) พูดถ้อยคำที่ชักนำให้ใจเป็นสมาธิ ๘) พูดถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา
๙) พูดถ้อยคำที่ชักนำใหหลุดพ้นจากกิเลส
๑๐) พูดถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดความรู้เห็นอย่างแจ้งชัด ในการ ที่จะทำตนให้หลุดพ้นจากกิเลส
สรุปความว่า การส่งเสริมในด้านคำพูด ควรส่งเสริมให้รู้จักพูด คำที่เป็นประโยชน์ สุภาพ ไพเราะ และเอื้อเฟื้อหรือสนับสนุนให้ การปฏิบัติวิปัสสนาสามารถพัฒนาก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป หมายถึง การส่งเสริมให้พระวิปัสสนาจารย์รู้จักใช้คำพูดที่เหมาะสมในการ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เป็นผู้ฉลาดในการใช้คำพูด มีวาจางาม เจรจาถ้อยคำไพเราะอันประกอบด้วยวาจาชาวเมืองที่สละสลวย ไม่ หยาบคาย ให้รู้ความหมายได้ ทั้งชี้แจงให้ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบ ชโลมใจให้สดชื่นร่าเริง ต้องรู้จักพูดให้ได้ผล พูดเป็น รู้จักชี้แจงให้ เข้าใจ รู้ว่าเมื่อใดควรพูดอะไร เมื่อไรควรให้คำแนะนำว่ากล่าว ตักเตือน และเป็นที่ปรึกษาให้ บอก วิธีแก้ไขให้บอกสิ่งที่ควรทำก่อน
- หลัง ส่งเสริมบอกวิธีที่ดีให้
สัปปายะด้านบุคคล
สัปปายะด้านบุคคล คือ ในสำนักมีพระวิปัสสนาจารย์หรือครู บาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถในการแนะนำการปฏิบัติ วิปัสสนาให้ผู้ปฏิบัติได้เกิดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการปฏิบัติ วิปัสสนาได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นกัลยามิตร เพราะ
กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์๓๓ กล่าววาจาไพเราะ มีความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นที่ศรัทธาของพุทธศาสนิกชน รวมถึง บุคคลที่อยู่ในสถานที่ปฏิบัติธรรม จะช่วยส่งเสริมในการปฏิบัติซึ่งกัน
และกันได้ ทั้งในด้านความเป็นอยู่และการปฏิบัติ ทำให้เกิดความตั้ง มั่นแห่งจิต การปฏิบัติธรรมมีความเจริญก้าวหน้าได้ สัปปายะด้าน บุคคล มีพระวิปัสสนาจารย์เป็นต้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ผู้ ปฏิบัติวิปัสสนาได้ฟังคำแนะนำจนเกิดความเห็นที่ถูกต้องใน กระบวนการปฏิบัติวิปัสสนาได้ ดังปรากฏข้อความในมหาเวทัลล สูตร๓๔ ความว่า
“ท่านผู้มีอายุ ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิมี ๒ ประการ
คือ ๑) ปรโตโฆสะ (การได้สดับจากบุคคลอื่น) ๒) โยนิโส มนสิการ (การมนสิการโดยแยบคาย) ปัจจัยให้ เกิด สัมมาทิฏฐิมี ๒ ประการนี้แล” สัมมาทิฏฐิ ๑ ซึ่งมีเจโตวิมุตติ
๓๓ สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๗/๑๕๒.
๓๔ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๒/๔๙๒.
เป็นผลและมีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ มีปัญญาวิมุตติเป็น ผลและมีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์ เพราะมีองค์ธรรม เท่าไรสนับสนุน สัมมาทิฏฐิซึ่งมีเจโตวิมุตติเป็นผลและมีเจโต วิมุตติเป็นผลานิสงส์ มีปัญญาวิมุตติเป็นผลและมีปัญญา วิมุตติเป็นผลานิสงส์ เพราะมีองค์ธรรม ๕ ประการสนับสนุน คือ ๑) มีศีล สนับสนุน ๒) มีสุตะ สนับสนุน ๓) มีสากัจฉา สนับสนุน ๔) มีสมถะ สนับสนุน ๕) มีวิปัสสนาสนับสนุน สัมมาทิฏฐิ ซึ่งมีเจโตวิมุตติเป็นผลและมีปัญญาวิมุตติเป็น ผลานิสงส์ มีปัญญาวิมุตติเป็นผลและมีปัญญาวิมุตติเป็น ผลานิสงส์ เพราะมีองค์ธรรม ๕ ประการนี้แลสนับสนุน
จากข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการมีบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ เช่น พระวิปัสสนาจารย์ จะช่วยแนะนำให้ผู้ปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนาเกิดสัมมาทิฏฐิให้ประสบความสำเร็จในการบรรลุ ธรรมได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังเกิดมีธรรมสนับสนุนหรือส่งเสริมเพื่อให้เกิด ความสำเร็จในเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติได้
รูปภาพที่ ๙ คณะพระวิปัสสนาจารย์ตานังเลนัง ภาพออนไลน์จาก http://www.namjaidham.net
พระอรรถกถาจารย์กล่าวถึง สุตะ ในที่นี้ว่า หมายถึง การฟังธรรมที่เป็นสัปปายะ มีความหมายเท่ากับปรโตโฆสะ๓๕ มีการ สอบถาม มีการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนามาสนับสนุนด้วย ซึ่งการ ฟังธรรมที่เป็นสัปปายะจะเกิดมีขึ้นได้ก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตรที่เป็น ผู้แสดงธรรมให้ฟัง ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวถึงความสำคัญของการ แสวงหากัลยาณมิตรไว้ว่า “ผู้เจริญกัมมัฏฐานไม่ว่าจะเป็นทางสมถะ หรือวิปัสสนา ควรมีอาจารย์เป็นผู้แนะนำชี้ทางผิดและทางถูกให้ เพราะอาจารย์ก็นับเป็นจำนวน ๑ ใน ๓ ที่ผู้ปฏิบัติธรรมบุคคลจะละ มิได้”๓๖ ดังนั้น จึงควรมีการส่งเสริมสัปปายะด้านบุคคล ดังนี้
วิธีการส่งเสริมสัปปายะด้านบุคคล
ก. ส่งเสริมให้มีพระวิปัสสนาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ แนะนำการปฏิบัติแก่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาได้ ซึ่งเป็นบุคคลที่ สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่จะทำให้ผู้ ปฏิบัติธรรมเกิดความศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มีคุณสมบัติ ดังนี้
๑) มีศีลบริสุทธิ์ ประพฤติกาย วาจา ใจ ให้สะอาด ๒) สำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง ๖
๓๕ ม.มู.อ. (ไทย) ๒/๔๕๒/๒๕๔.
๓๖ สิ่งที่โยคีบุคคลจะละมิได้ คือ ๑) อยู่ในสำนักอาจารย์ผู้สามารถ ๒) รักษา อินทรีย์ให้สมบูรณ์ ๓) ผูกจิตไว้ในอารมณ์กัมมัฏฐาน” ดูรายละเอียดใน สํ.ม. (บาลี) ๑๙/๓๗๓/๑๓๐, วิสุทฺธิ. (บาลี) ๑/๒๐.
๓) พิจารณาการเสพใช้ปัจจัย ๔ ต่างๆ ด้วยศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา
๔) มีความรู้ในด้านการปฏิบัติวิปัสสนา คือ ความรู้ในด้าน ขอบเขต กระบวนการและหลักการของการที่จะนำมาใช้ในการสอน วิปัสสนากรรมฐาน พร้อมทั้งเข้าใจในกระบวนพฤติกรรมต่างๆ ของ ผู้ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างดี
๕) รู้วิธีการและกลวิธีปฏิบัติต่างๆ ที่จะนำเข้าสู่เป้าหมายที่ ต้องการ
๖) รู้ความแตกต่างระหว่างบุคคล
๗) รู้ปัจจัยต่างๆ ที่เป็นอุปสรรค หรือที่ส่งเสริมเพิ่มพูน ผลสำเร็จของการเรียนรู้
๘) รู้ประวัติพื้นเพเดิม และประสบการณ์ในอดีตของผู้ปฏิบัติ ธรรมรู้เท่าทัน และเข้าใจพฤติกรรมต่างๆ มองเห็นสาเหตุแห่งปัญหา นั้น และพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือแก้ไขได้ทันที
๙) รู้ชัดเข้าใจแจ่มแจ้งและแน่ใจว่าผลสัมฤทธิ์ที่เป็นจุดหมาย นั้น คืออะไร เป็นอย่างไร และตนเองสามารถกระทำผลสัมฤทธิ์นั้น ให้เกิดขึ้นได้จริงด้วย
ข.พระวิปัสสนาจารย์ที่มีความรู้ในหลักการปฏิบัติวิปัสสนา อย่างแตกฉาน เข้าใจแจ่มแจ้งในความหมายของถ้อยคำหรือข้อ ธรรม ต่างๆ ดังนี้
สัปปายะวิธี : วิถีสู่ความสำเร็จ ๔๑
๑) สามารถอธิบายแยกแยะออกไปโดยพิสดาร เมื่อมองเห็น ผลต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นก็สามารถสืบสาวกลับไปหาสาเหตุได้ มีไหว พริบและเข้าใจใช้คำพูดชี้แจงให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นตามได้
๒) สามารถการตรวจสอบผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของ ผู้ปฏิบัติธรรมด้วย โดยเฉพาะการตรวจสอบอินทรีย์ทั้ง ๕ ของ ผู้ปฏิบัติธรรมเพราะเมื่ออินทรีย์เป็นไปสม่ำเสมอกันดี ญาณหรือ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น และก้าวหน้าขึ้นไปสู่ความสำเร็จตามลำดับ
พระวิปัสสนาจารย์ที่เป็นสัปปายะซึ่งมีความรู้และความ ชำนาญในการตรวจสอบและปรับแต่งอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติธรรมให้ สม่ำเสมอ ไม่ให้อย่างใดอย่างหนึ่งขาดตกบกพร่องหรือมากเกินไป เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสติปัญญาของผู้ปฏิบัติธรรมอันจะ นำไปสู่ความสำเร็จผลต่อไป
สรุปความว่า การส่งเสริมความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาด้านบุคคล จะต้องมีพระวิปัสสนาจารย์ที่เป็นบุคคลสัปปายะ คือเป็นกัลยาณมิตรซึ่งมีความรู้ความสามารถคอยให้คำชี้แนะ แนะนำ บอกทางในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาได้อย่างถูกต้อง ที่จะ ทำให้ผู้ปฏิบัติมีความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนาได้
สัปปายะด้านอาหาร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า“สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺ ติกา” สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร๓๗ ทั้งมนุษย์และสัตว์ ทั้งหลายจำเป็นต้องกินอาหาร เพราะอาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ของชีวิต ถ้าขาดอาหารก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ สังคมใดที่ ประชาชนอดอยากเดือดร้อนในเรื่องอาหาร สังคมนั้นจะหาความสุข หรือศีลธรรมได้ยากพระพุทธศาสนาได้กล่าวว่า อาหาร เมื่อเข้าสู่ ร่างกายแล้ว ย่อมทำหน้าที่ของตน ๓ ประการคือ บรรเทาความหิว เก่า ป้องกันความหิวใหม่ ทำให้ร่างกายมีกำลังสามารถประกอบ กิจการงานตามหน้าที่ของตนได้ อีกทั้งทำให้ร่างกายเจริญเติบโตด้วย นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังตรัสว่า “มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้แล้ว ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า อายุก็ยืน”๓๘ และพระสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า อาหารเป็นที่ตั้งอยู่แห่ง สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว มีความหมายว่า สัตว์ที่เกิดมาแล้ว อาศัย อาหารที่เป็นคำๆ นี้อยู่ และเป็นเครื่องอนุเคราะห์สัมภเวสี คือ สัตว์ ผู้แสวงหาที่เกิด หมายความว่ายังไม่ได้เกิดเป็นตัวเป็นตนเหมือน อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ แม้สัตว์เหล่านั้นก็ต้องอาศัยอาหารที่เป็น คำๆ เหมือนกัน เรื่องนี้จะเห็นได้จากการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย คือ
๓๗ องฺ.ทสก. (บาลี) ๒๔/๒๗/๕๑, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๒๗/๖๑.
๓๘ สํ.ส. (บาลี) ๑๕/๑๒๔/๑๔๕, สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๓๖๕/๑๑๙.
การนำอาหารไปถวายแด่พระสงฆ์ แล้วอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้ ที่ล่วงลับไปแล้ว หากผู้ล่วงลับไปแล้วยังคงไม่ได้ไปเกิดเป็นอื่น ยังคง เป็นสัมภเวสีอยู่และอยู่ในฐานะที่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศลได้ สิ่ง นี้เป็นคติทางพระพุทธศาสนาที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ อาหารถูกเปรียบว่าเหมือนแม่นมที่คอยเลี้ยงดูเด็กทารกก็ว่าได้ นอกจากนี้อาหารยังมีผลต่อการบรรลุธรรมหรือไม่บรรลุธรรมด้วย ดังเรื่องในอัญญตรอุปาสกวัตถุ อรรถกถา๓๙ ดังนี้ อุบาสกตั้งใจจะฟัง ธรรมในสำนักของพระศาสดา แต่ถูกความหิว บีบคั้นไม่อาจจะบรรลุธรรมได้ พระศาสดาจึง
ทรงให้บริโภคอาหาร เมื่อหมดความหิวแล้ว จิตมีอารมณ์เดียว พระศาสดาจึงทรงแสดง ธรรมเทศนาจนอุบาสกผู้นี้ได้บรรลุโสดาปัตติผล
ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายธรรมบท กล่าวถึงเรื่องภิกษุ รูปใดรูปหนึ่ง๔๐ ได้อาหารเป็นที่สบายจึงบรรลุธรรมว่า ภิกษุ ๖๐ รูป ทูลลาพระศาสดาไปบำเพ็ญเพียรที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง อุบาสิกาซึ่งเป็น มารดาเจ้าของหมู่บ้านนั้นปราวณาจะบำรุงตลอด ๓ เดือน ภิกษุจึง อาศัยหมู่บ้านนั้นเป็นสถานที่ทำความเพียร อุบาสิกาสอบถามถึงการ ทำสมณธรรม ภิกษุจึงบอกอาการ ๓๒ อุบาสิกาบำเพ็ญสมณธรรม
๓๙ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๑๖๑/๓๗๓.
๔๐ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๕/๓๙๔.
จนบรรลุมรรค ๓ ผล ๓ ได้ปฏิสัมภิทา ๔ และโลกิยอภิญญา นาง ตรวจดูภิกษุ พบว่า อาหารไม่เป็นที่สบายจึงจัดทำอาหารให้เป็นที่ ชอบใจ ภิกษุเหล่านั้นได้อาหารเป็นที่สบาย ไม่นานก็บรรลุอรหันต์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก กิงฉันทชาดก๔๑ กล่าวถึงเรื่องอธิษฐานจิตได้อาหารที่ชอบจึงสำเร็จฌานไว้ว่า ในอดีต กาล ดาบสตนหนึ่งมีความต้องการบริโภคมะม่วงสุก เทวดาจึงได้พา ไปที่สวนมะม่วง ได้พบกับเวมานิกเปรตตนหนึ่ง... เปรตตนนี้จึงอาสา ที่จะบำรุงพระดาบสด้วยมะม่วงสุก เมื่อพระดาบสได้บริโภคแล้ว ได้ กระทำบริกรรม ยังฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้นแก่ตน
จากข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าอาหารสัปปายะยังเป็น ปัจจัยหนึ่งที่ค้ำจุน อุดหนุน ส่งเสริมให้บรรลุธรรมได้ หากร่างกายไม่ มีอาหารหล่อเลี้ยงหรือรับอาหารไม่เพียงพอ หรือไม่พอเหมาะพอดี กับร่างกาย ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมหรือไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรม ให้บริบูรณ์ได้ ดังมีตัวอย่างที่สำคัญคือ พระพุทธองค์เมื่อครั้งที่ทรง บำเพ็ญทุกกรกิริยาในวาระที่ ๓ ที่ทรงอดพระกระยาหารทรมาน พระวรกาย ก็ไม่สามารถตรัสรู้ธรรมได้ ต่อเมื่อพระพุทธองค์ได้เสวย พระกระยาหารตามปกติในทางสายกลางและเป็นพระกระยาหาร ที่สัปปายะ ก็ทรงสามารถบรรลุอุปาทิเสสนิพพาน คือ การดับไป แห่งกิเลสทั้งปวงได้
๔๑ ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑-๖/๕๓๘.
วิธีการส่งเสริมสัปปายะด้านอาหาร
ก. ส่งเสริมให้อาหารเป็นสัปปายะต่อการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา คือ
๑. อาหารต้องมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อสุขภาพร่างกาย ทำ ให้ร่างกายเป็นปกติสุข
๒. อาหารต้องเป็นอาหารธรรมชาติ ซึ่งหาได้ตามท้อง ถิ่นที่อาศัยอยู่และตามฤดูกาล
๓. รสชาดของอาหารต้องไม่ซ้ำซาก และรสไม่จัดมาก มีความ สดใหม่ ไม่ค้างไว้นาน
๔. อาหารต้องครบถ้วนทั้งปริมาณและคุณค่า บริโภคใน ปริมาณพอเหมาะ
๕. อาหารต้องมีความสดใหม่ ไม่ควรค้างคืน ๖. อาหารสัปปายะต้องย่อยง่าย
รูปภาพที่ ๑๑ แสดงภาพอาหารสัปปายะ
ในทางการแพทย์ทางเลือกตามศาสตร์ทางการแพทย์แผนจีน กล่าวถึงเทคนิคการกินอาหารเพื่อสุขภาพข้อหนึ่งว่า การกินข้าวต้ม โจ๊ก ทำให้อายุยืน ข้าวต้มและโจ๊กเหมาะเป็นอาหารมือเช้าหรือ สำหรับผู้ที่มีระบบย่อยและการดูดซึมไม่ดี โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือ เด็ก หรือผู้ที่กำลังฟื้นฟูสภาพร่างกาย แต่ผู้ที่มีร่างกายปกติก็ให้ผลดี เช่นกัน สอดคล้องกับในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งพระผู้มีพระภาค ตรัสกับพราหมณ์ผู้นั่ง ณ ที่สมควรว่า “พราหมณ์ ข้าวต้มมีอานิสงส์ ๑๐ ประการ คือ (๑) ให้อายุ (๒) ให้วรรณะ (๓) ให้สุขะ (๔) ให้พละ (๕) ให้ปฏิภาณ (๖) บรรเทาความหิว (๗) ระงับความกระหาย (๘) ให้ลมเดินคล่อง (๙) ชำระลำไส้ (๑๐) เผาอาหารที่ยังไม่ย่อยให้ย่อย (ช่วยย่อยอาหาร)” ข้าวต้มเรียกว่าข้าวยาคุหรือข้าวยาคู
รูปภาพที่ ๑๒ แสดงภาพอาหารสัปปายะ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมตานังเลณัง ภาพออนไลน์จาก https://www.pptvhd36.com/news
ข.ส่งเสริมให้อาหารที่สัปปายะต้องมีโอชะที่เหมาะสมต่อ ร่างกายของแต่ละบุคคล เพราะร่างกายบางคนเหมาะที่จะกิน เนื้ อสัตว์ หากกินพืชอย่างเดียวก็อาจจะป่วยไข้ได้ง่าย ใน ขณะเดียวกัน ร่างกายบางคนก็เหมาะกับการกินพืชมากกว่าจึงจะมี
สุขภาพแข็งแรง ต้องพิจารณาให้เหมาะเป็นรายๆ ไป หากมองใน ด้านของการปฏิบัติบำเพ็ญเพียรทางจิต การกินมังสวิรัติก็ไม่ได้มีผล ให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้นแต่อย่างไร และการกินเนื้อสัตว์ก็ไม่ได้เป็น อุปสรรคขวางกั้นการบรรลุธรรมด้วย สำหรับการฉันเนื้อสัตว์ของ พระภิกษุมีข้อแม้ในการฉันว่า ต้องเป็นเนื้อที่ตนไม่เห็น เนื้อที่ตน ไม่ได้ยิน และเนื้อที่ตนไม่สงสัย จึงจะสัปปายะ นอกจากนี้ยังมีเนื้อที่ ห้ามโดยกำเนิดอีก ๑๐ อย่าง คือ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อ สุนัข เนื้องู เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อเสือดาว และเนื้อหมี ซึ่งจัดว่าเป็นอาหารที่ไม่สัปปายะในทางพุทธศาสนาหรือ แม้แต่คฤหัสถ์ทั่วๆไป นอกจากเนื้อต้องห้ามดังกล่าวแล้ว ยังมีข้อ ห้ามฉันเนื้อดิบและเลือดสดอีกด้วย เพราะไม่ถูกสุขอนามัย มีเชื้อ โรค พยาธิ และย่อยยาก เป็นอาหารไม่สัปปายะ
ค. ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติมีความรู้หลักในการรับประทานอาหาร ด้วย คือการปฏิบัติต่ออาหารอย่างสัปปายะ พระพุทธศาสนามีหลัก โภชเนมัตตัญญุตา คือ การรู้จักประมาณในการบริโภคอาหารให้ได้ ทั้งปริมาณและคุณค่า เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายทำกิจให้ผาสุก ไม่ใช่ เพื่อเล่นเพื่อมัวเมา ไม่ใช่เพื่อประดับประดาเพื่อตกแต่ง แต่เพื่อให้ ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อให้กายนี้เป็นได้ เพื่อกำจัดความเบียดเบียน อันเป็นความลำบากทางกาย และเพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ และ พึงหลีกเลี่ยงการเกิดความยินดีในการบริโภคอาหาร โดยเปรียบ เหมือนการบริโภคเนื้อบุตร
ในโภชนวรรคที่ ๕ สิกขาบทที่ ๗ ที่ว่า ห้ามภิกษุฉันอาหารใน เวลาวิกาล (ตั้งแต่เที่ยงไปจนรุ่งอรุณ) การฉันอาหารสองมื้อต่อวัน เป็นการบริโภคอาหารที่สัปปายะสำหรับพระภิกษุ นอกจากเป็นการ ขัดเกลากิเลสในเรื่องอาหารแล้วยังดีต่อสุขภาพร่างกายด้วย แม้หลัก โภชนาการปัจจุบันยังมีคำแนะนำให้บริโภคอาหารมื้อเย็นให้น้อย ที่สุด ร่างกายจะได้ไม่สะสมอาหารทำให้อ้วน เกิดโรค เพราะ กลางคืนร่างกายไม่ต้องการใช้พลังงานมากนัก
ภาพที่ ๑๓ แสดงภาพการห้ามฉันในเวลาวิกาลของพระภิกษุตามพระวินัย
https://www.3pidok.com/index.php?url=news_view&id=53&cat=A
หากผู้ปฏิบัติมีการบริโภคอาหารมากเกินไป ก็จะยังผลให้เกิด ถีนมิทธะความง่วงเหงาซึมเซา หดหู่ เซื่องซึม อันเป็นนิวรณธรรม ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม คือ ทำให้จิตเซื่องซึม เกิด ความง่วงเหงา หาวนอนได้ง่าย อันเป็นอุปสรรคต่อการประกอบ กิจการงานและการพัฒนาจิต แต่ถ้าบุคคลรู้จักประมาณในการ บริโภคอาหารให้สมส่วน มีความเป็นสัปปายะทั้งปริมาณและคุณค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องปริมาณอาหาร พระสารีบุตรได้แนะนำไว้ว่า “ภิกษุ เมื่อฉันอาหารสดก็ตาม แห้งก็ตาม ไม่พึงฉันให้อิ่มเกินไป ไม่
พึงฉันให้น้อยเกินไป พึงฉันแต่พอประมาณ พึงมีสติอยู่ พึงเลิกฉัน ก่อนอิ่ม ๔-๕ คำ แล้วดื่มน้ำ เท่านี้ก็เพียงพอเพื่ออยู่ผาสุก”๔๒ คือ จะ ไม่เกิดถีนมิทธนิวรณ์ อันเป็นอุปสรรคขวางกั้นการพัฒนาจิต มีจิต มุ่งมั่นเป็นสมาธิจดจ่ออยู่กับการงาน ด้วยความขยันหมั่นเพียร
สรุปความว่า การส่งเสริมความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนาด้านอาหารนั้น เพราะการบริโภคอาหารนับเป็นสิ่งที่มีความ จำเป็นต่อผู้ปฏิบัติ เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต ถ้าได้รับ อาหารที่ไม่ถูกกับร่างกายก็อาจจะส่งผลให้เป็นโทษได้ ดังนั้น ควร ส่งเสริมให้มีโภชนะสัปปายะ คือ อาหารที่ถูกใจพอใจ ถูกกับร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในระหว่างการปฏิบัติ เมื่อผู้ปฏิบัติได้รับอาหารหรือเครื่องบริโภคโภชนะที่เป็นสัปปายะ แล้ว ก็ย่อมจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีกำลังกายและกำลังใจที่ดี การปฏิบัติ ธรรมก็จะได้ผลดีตามสมควรแก่การปฏิบัติด้วย
๔๒ ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๙๘๒-๙๘๓/๕๐๐.
สัปปายะด้านสภาพภูมิอากาศ
ในด้านอุตุสัปปายะ สถานที่นั้นควรมีอุตุสัปปายะที่เกื้อกูลต่อ การปฏิบัติธรรม คือ เมื่อผู้ปฏิบัติได้อยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ อากาศที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไปไม่หนาวเกินไป ไม่มีมลพิษทาง อากาศ ไม่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ภายในบริเวณสถานที่ควร มีพื้นที่ที่เป็นป่าไม้ จึงจะทำให้มีความร่มรื่นจากร่มเงาของต้นไม้น้อย ใหญ่ เมื่อผู้ปฏิบัติได้อยู่ในสภาวะธรรมชาติ มีอุณหภูมิอากาศที่ เหมาะสม ก็จะทำให้มีจิตใจแจ่มใสมั่นคง ส่งผลให้การปฏิบัติธรรมมี ความเจริญก้าวหน้าทั้งทางกายและทางใจตามสมควรแก่การปฏิบัติ ได้ แม้ในสถานที่เหล่านี้ก็ยังมีที่มีความแตกต่างกันในด้านบรรยากาศ การปฏิบัติวิปัสสนา เพราะจริตนิสัยของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนชอบบรรยากาศที่โล่ง ที่ไม่มีอะไรปิดกั้น บางคนชอบที่ในถ้ำ ที่มีที่ปิดกั้น แล้วแต่จริตนิสัย เมื่อเวลาไปบำเพ็ญ ก็ต้องใช้ปัญญา วิเคราะห์ดูว่า สถานที่ที่ไปปฏิบัตินั้นมีบรรยากาศเป็นอย่างไร เวลา ภาวนาเป็นอย่างไร จิตเจริญรุ่งเรืองมากน้อยเพียงไร มีความสงบ มากน้อยเพียงไร มีความแยบคาย มีความฉลาด รู้ทันกิเลสตัณหา มากน้อยเพียงไร ถ้าเป็นสถานที่นั้นทำให้ได้รับประโยชน์ สถานที่นั้น ก็ถือว่ามีบรรยากาศที่เหมาะกับเรา แต่ถ้าไปอยู่แล้ว รู้สึกอึดอัดใจ บำเพ็ญภาวนาไม่ไปไหนเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นที่อย่างนั้นบรรยากาศก็ ไม่เหมาะกับเราจึงต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ว่า บรรยากาศเป็นสัปปา ยะหรือไม่ บางคนไปอยู่ในถ้ำ ก็มีความรู้สึกว่าอากาศหนัก แต่ถ้า
ออกไปอยู่ตามหน้าผา ก็รู้สึกว่าโล่งสบายดี นี่ก็สุดแล้วแต่จริตของแต่ ละคน จะต้องรู้จักพิจารณา นี่ก็คือความหมายของอุตุสัปปายะ
นอกจากนั้น บางกาลเวลาสภาพบรรยากาศในสำนักปฏิบัติ ธรรมอาจอยู่ในเขตร้อนหรือหนาวเกินไป ดังนั้น ภายในอาคารศาลา ปฏิบัติธรรมควรติดตั้งพัดลมไว้หลายเครื่องช่วยปรับอากาศได้ในยาม ที่มีสภาพอากาศ หรือควรมีเครื่องปรับอากาศให้เกิดความพอดีตาม หลักการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่สามารถอยู่แบบสบายมีความ เหมาะสมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ โดยไม่อึดอัด ไม่กังวลกับ บรรยากาศที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ทำให้ไม่เป็นสัปปายะในการปฏิบัติ หาก ได้รับการส่งเสริมในด้านบรรยากาศที่เหมาะสมคือประมาณ ๒๕ องศา จักทำให้การปฏิบัติวิปัสสนาพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไปได้
จากข้อความดังกล่าว จึงควรมีการส่งเสริมสัปปายะด้าน บรรยากาศในสถานที่ปฏิบัติให้มีความเหมาะสมแบบธรรมชาติ โดย การปลูกต้นไม้ให้รอบ ๆ บริเวณสถานที่ปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดมี บรรยากาศที่ร่มรื่นจากร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นานาพันธ์ที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ ในยามฤดูฝน ควรมีหลังคากันฝนตามบริเวณ ทางเดินเพื่อกันแดดกันฝนกันหนาวกันร้อนเวลาเดินไปโรงทาน หรือ สถานที่อื่น ๆ เพื่อมีอุณหภูมิให้อยู่ในความเหมาะสมต่อไป
๕๔ สัปปายะวิธี : วิถีสู่ความสำเร็จ
วิธีการส่งเสริมสัปปายะด้านสภาพภูมิอากาศ
ก. ส่งเสริมให้บริเวณสถานที่ปฏิบัติธรรมมีความเหมาะสม
แบบธรรมชาติ โดยการปลูกต้นไม้ให้รอบ ๆ เพื่อให้เกิดมีบรรยากาศ ที่ร่มรื่นจากร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นานาพันธ์ที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ ในยามฤดูฝน ควรมีหลังคาตามบริเวณทางเดินเพื่อกัน แดดกันฝนกันหนาวกันร้อนเวลาเดินไปโรงทาน หรือสถานที่อื่น ๆ เพื่อการส่งอารมณ์กับพระวิปัสสนาจารย์ เป็นต้น
ข. ส่งเสริมสภาพอากาศ บางกาลเวลาสภาพบรรยากาศใน สำนักปฏิบัติธรรมอาจอยู่ในเขตร้อนหรือหนาวเกินไป ดังนั้น ภายใน อาคารศาลาปฏิบัติธรรมควรติดตั้งพัดลมไว้หลายเครื่องช่วยปรับ อากาศได้ในยามที่มีสภาพอากาศ หรือควรมีเครื่องปรับอากาศให้ เกิดความพอดีตามหลักการดำเนินชีวิตของมนุษย์ที่สามารถอยู่แบบ สบายมีความเหมาะสมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ โดยไม่อึดอัด ไม่กังวลกับบรรยากาศที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ทำให้ไม่เป็นสัปปายะในการ ปฏิบัติ หากได้รับการส่งเสริมในด้านบรรยากาศที่เหมาะสมคือ ประมาณ ๒๕ องศา ตลอดช่วงเวลาของการปฏิบัติ จักทำให้การ ปฏิบัติวิปัสสนาพัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไปได้
ภาพที่ ๑๔ แสดงภาพบรรยากาศ ศูนย์ปฏิบัติธรรมตานัง เลนัง https://www.facebook.com
ภาพที่ ๑๕ แสดงภาพบรรยากาศที่สัปปายะ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ภาพออนไลน์จาก http://www.dhammamolee.org
สรุป สัปปายะด้านสภาพบรรยากาศโดยรอบสถานที่ปฏิบัติ วิปัสสนามีความสำคัญที่มีส่วนทำให้การปฏิบัติวิปัสสนาของผู้ปฏิบัติ ได้เกิดความพัฒนาก้าวหน้ายิ่งข้นไปสู่ความสำเร็จได้ จึงควรส่งเสริม ให้มีสภาพอากาศที่เหมาะสมเกื้อกูลต่อการปฏิบัติ กล่าวคือต้องมี ความร่มรื่น เย็นสบาย ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป มีอุณหภูมิ เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตหรือการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา โดยจะ ใช้รูปแบบตามแบบธรรมชาติคือการปลูกต้นไม้ หรือจะใช้อุปกรณ์ ปรับอากาศช่วยบ้างก็ได้ตามความเหมาะสม
สัปปายะด้านอิริยาบถ
ด้านอิริยาปถสัปปายะ ควรส่งเสริมให้มีรูปแบบแนวทางการ ปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตรในพระไตรปิฎกเป็นหลัก โดยมี หลักปฏิบัติในการกำหนดอิริยาบถต่าง ๆ ให้มีความสอดคล้อง สมดุลกัน เช่น ในอิริยาบถใหญ่ ๔ คือ การยืน การเดิน การนั่งการ นอน มีการกำหนดเวลาในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถไปตามความ เหมาะสม หรือพระวิปัสสนาจารย์ วิทยากร จะเห็นสมควร เมื่อ ปรับเปลี่ยนเป็นอิริยาบถย่อยต่าง ๆ เช่น การกิน การดื่มการลุก การ คู้ การเหยียด การก้ม การเงย เป็นต้น ก็ต้องใช้สติกำหนดตามรู้ทัน ในอิริยาบถต่าง ๆ นี้ ตลอดทุกอิริยาบถในขณะที่ปฏิบัติ ในด้าน อิริยาบถสัปปายะนี้ ผู้ปฏิบัติอาจจะปฏิบัติไปตามจริตของตัวเอง หรือปฏิบัติในอิริยาบถที่ถูกกับจริตของตัวเอง แต่ทั้งนี้ก็อยู่ในการกับ ดูแลของพระวิปัสสนาจารย์ หรือวิทยากรที่เห็นว่ามีความสมควรมี ความความเหมาะสมมากน้อยอย่างไรเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากปฏิบัติในอิริยาบถนั่งอย่างเดียว อาจจะทำ ให้เกิดความง่วงนอนได้ เช่น พระมหาโมคคัลลานะ ขณะที่ได้ กระทำสมณธรรมอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตะ แคว้นมคธ ท่านมีร่างกาย อ่อนล้า เพราะเพียรตลอด ๗ วัน จึงนั่งโงกง่วงอยู่ท้ายที่จงกรม พระผู้มีพระภาคทรงทราบด้วยทิพยจักษุ แล้วได้เสด็จไปโปรดตรัส อุบายแก้ง่วง แก่ท่าน คือ ...ให้เดินจงกรมไปมา พร้อมควบคุมใจให้
อยู่ภายในตัว และถ้ายังละไม่ได้นอนแบบสีหไสยาสน์(นอนตะแคง ขวา)โดยมีสติสัมปชัญญะ โดยตั้งใจว่าเมื่อรู้สึกตัวจะลุกขึ้นทันที ด้วย คิดว่าจะไม่แสวงหาความสุขจากการนอน การเอน และการหลับ
ด้านการกำหนดในอิริยาบถที่เหมาะสมในระหว่างอบรม เท่าที่ สังเกตการณ์ผู้เข้าเรียนเห็นว่าการนั่งสมาธิโดยเริ่มจาก ๓๐ นาที สำหรับผู้เริ่มต้นก็อาจยังไม่คุ้นชิน ทำให้เกิดความอึดอัดไม่สบายกาย ส่งผลต่อสภาวะจิตที่ไม่นิ่ง ประกอบกับในขณะที่ให้เดินจงกรมใน พื้นที่ที่คับแคบ ก็ทำให้เกิดความหงุดหงิดเพราะกังวลที่จะต้อง ระมัดระวังการเดินชนผู้เรียนท่านอื่น หรือเดินจงกรมเพียงอย่าง เดียว จะทำให้เกิดความเพียรมากจนเกินไป จนทำให้จิตของผู้ปฏิบัติ ฟุ้งซ่าน เช่น พระโสณโกฬิวังสะ หากร่างกายไม่ได้รับการบริหารที่ ถูกต้องอาจนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังพุทธพจน์ว่า “...ความ เจ็บป่วยอันเกิดจากการบริหารไม่สม่ำเสมอ ความเจ็บป่วยอันเกิด จากความเพียรมากเกินกำลัง...เธอจงพิจารณาเห็นโดยความเป็น โทษในกายนี้ ด้วยประการดังนี้” ดังนั้น การประกอบความเพียรใน การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาต้องมีความสมดุลแห่งอินทรีย์ มิใช่คิด อยากทำความเพียร ก็สักแต่ว่าระดมใช้กำลังกายเอาแรงเข้าทุ่ม ซึ่ง อาจกลายเป็นการทรมานตนเอง ทำให้เกิดผลเสียได้มาก การใช้ ความเพียรในการปฏิบัติวิปัสสนาต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือทาง สายกลาง ถ้าเคร่งตึงจนเกินไปก็ทำให้ใจฟุ้งซ่านหาสำเร็จกิจไม่ แต่ ถ้าหย่อนเกินไปก็เกียจคร้านง่วงนอน ด้วยเหตุนี้จึงควรปรับอินทรีย์
คือ วิริยะกับสมาธิให้เสมอกัน เพราะว่าหากวิริยะมากสมาธิอ่อน ผู้ปฏิบัติจะฟุ้งซ่าน แต่หากสมาธิมากความเพียรอ่อนผู้ปฏิบัติจะ เกียจคร้าน ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ความเพียรที่ปรารภอย่าง ยิ่งย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ย่อม เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ฉะนั้น เธอจงตั้งความเพียรให้พอดี จงปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน จงถือเอานิมิต ในความเสมอกันนั้น”๔๓
จากข้อความดังกล่าว ทำให้เห็นว่าการส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติ วิปัสสนาได้บริหารอิริยาบถที่สมดุลกันมีความสำคัญในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนามาก ซึ่งผู้ปฏิบัติควรมีการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถให้ เกิดความสมดุลกันระหว่างอิริยาบถต่างๆ ดังพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
มาเถิด ภิกษุ เธอจงเป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่น อย่างต่อเนื่อง คือ เธอจงชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมทั้งหลาย ที่เป็นเครื่องขัดขวาง ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน จง ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมทั้งหลายที่เป็นเครื่องขัดขวาง ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรีดุจ ราชสีห์ โดยข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสัมปชัญญะ กำหนดใจพร้อมจะลุกขึ้น ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี จงลุก ขึ้นชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมทั้งหลายที่เป็นเครื่องขัดขวาง ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี
๔๓ วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๔๔/๘
“ภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอีกประการหนึ่ง คือ ภิกษุเมื่อ เดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเดินอยู่ เมื่อยืนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่ายืนอยู่ เมื่อนั่งอยู่ ย่อมรู้ชัดว่านั่งอยู่ เมื่อนอนอยู่ ก็ย่อมรู้ชัดว่านอน อยู่ หรือว่า ภิกษุตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดอยู่ ก็ย่อมรู้ชัด ด้วยอาการอย่างนั้น”
“ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุ ทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ ทำความรู้สึกตัวในการแลดู การเหลียวดู ทำความรู้สึกตัวในการคู้เข้า การเหยียดออก
ทำความรู้สึกตัวในการครองสังฆาฏิ บาตร และจีวร ทำความรู้สึกตัวในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การนอน
การตื่น การพูด การนิ่ง
ด้วยวิธีนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายภายใน อยู่ ฯลฯ ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อย่างนี้แล”
จากข้อความดังกล่าวสัปปายะด้านอิริยาบถควรมีสถานที่ให้ผู้ ปฏิบัติได้ปรับเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ ให้เกิดความสมดุลกัน ด้วยการ จัดสถานที่รองรับในการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถน้อยใหญ่ คือ มีศาลา ปฏิบัติธรรมหลังใหญ่ มีพื้นที่ลานธรรมที่มีป่าไม้ธรรมชาติกว้างขวาง
รวมถึงทางเดินจงกรมหรือทางโคจรไปมาบริเวณภายในสำนักให้ สะดวก มีบริเวณพื้นที่สำหรับผู้ปฏิบัติได้ปรับเปลี่ยนอิริยาบถน้อย ใหญ่เพื่อให้เข้ากับความชอบหรือจริตของผู้ปฏิบัติบางคนได้ โดยมี ลานดินเป็นพื้นที่โล่ง มีพื้นที่ที่เป็นป่าไม่ให้ร่มเงาให้ความร่มรื่นเพื่อ ใช้เป็นสถานที่สำหรับการเดินจงกลม เป็นการได้ขยับขยาย ปรับเปลี่ยนอิริยาบถของผู้ปฏิบัติธรรม เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่ เข้ามาอบรมปฏิบัติธรรมได้ขยับขยายปรับเปลี่ยนอิริยาบถได้ถูกใจ พอใจ และเข้ากับจริตของ ผู้ปฏิบัติแต่ละคนได้ เช่น บางคนชอบ เดินจงกรม บางคนชอบนั่ง บางคนชอบยืน ตลอดจนมีการ เคลื่อนไหวที่พอดีพอเหมาะแก่การปฏิบัติของตนแตกต่างกัน ทำให้ รู้สึกสบาย ไม่เครียด ก็จะเกิดความสบายกายสบายใจ เป็น ประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติการปฏิบัติธรรมจะเจริญก้าวหน้าไปสู่ ความสำเร็จในการปฏิบัติได้ ดังนั้นจึงถือได้ว่าการส่งเสริมให้มีอิริย บถที่สมดุลมีความเกื้อกูลต่อการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักการทาง พระพุทธศาสนา
ภาพที่ ๑๖ แสดงภาพสถานที่รองรับการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมตานัง เลนัง ภาพออนไลน์จาก https://www.facebook.com
วิธีการส่งเสริมสัปปายะด้านอิริยาบถ
ก. ส่งเสริมให้สถานที่ปฏิบัติธรรมนั้นมีสถานที่รองรับในการ ปรับเปลี่ยนอิริยาบถน้อยใหญ่ต่าง ๆ คือ ศาลาปฏิบัติธรรมหลังใหญ่ พื้นที่ลานธรรมที่มีป่าไม้ธรรมชาติกว้างขวาง รวมถึงทางเดินจงกรม หรือทางโคจรไปมาบริเวณภายในสำนักให้สะดวก มีบริเวณพื้นที่ สำหรับผู้ปฏิบัติได้ปรับเปลี่ยนอิริยาบถน้อยใหญ่เพื่อให้เข้ากับ ความชอบหรือจริตของผู้ปฏิบัติบางคนได้ โดยมีลานดินเป็นพื้นที่โล่ง มีพื้นที่ที่เป็นป่าไม่ให้ร่มเงาให้ความร่มรื่นเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับ การเดินจงกลม เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่เข้ามาอบรมปฏิบัติธรรมได้ขยับ ขยายปรับเปลี่ยนอิริยาบถได้ถูกใจ พอใจ และเข้ากับจริตของผู้ ปฏิบัติแต่ละคนได้ เช่น บางคนชอบเดินจงกรม บางคนชอบนั่ง บาง คนชอบยืน ตลอดจนมีการเคลื่อนไหวที่พอดีพอเหมาะแก่การปฏิบัติ ของตนแตกต่างกัน ทำให้รู้สึกสบาย ไม่เครียด เมื่อปฏิบัติได้ถูกจึงจะ ได้ผลดี เมื่อผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติถูกกับอิริยาบถคืออาการหรือการ เคลื่อนไหวในกิริยาท่าทางที่ปฏิบัติ แล้วถูกใจ พอใจ มีความ เคลื่อนไหวที่พอดีก็จะเกิดความสบายกายสบายใจ เป็นประโยชน์ต่อ การปฏิบัติธรรมให้เจริญก้าวหน้าตามสมควรแก่การปฏิบัติได้ ดังนั้น จึงถือได้ว่ามีอิริยบถสัปปายะที่มีความเกื้อกูลต่อการปฏิบัติธรรมตาม หลักการทางพระพุทธศาสนา
ข. ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติมีการกำหนดอิริยาบถใหญ่อิริยาย่อย ให้สมดุล เพื่อให้เกิดอิริยาปถสัปปายะตามหลักมหาสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางในพระไตรปิฎกเป็นหลัก กล่าวคือ ในอิริยาบถใหญ่ ๔ คือ การยืน เดิน นั่ง นอน เช่น การนั่ง ครั้งละ ๑๐ นาที หรือ ๑๕ นาที การเดิน ครั้งละ ๑๐ นาทีหรือ ๑๕ นาทีและจะกำหนดเพิ่ม เวลาขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมต่อผู้ปฏิบัติ และตามความเห็นของพระวิปัสสนาจารย์หรือวิทยากรผู้อบรมที่ ดูแลนำพาปฏิบัติ พร้อมทั้งการกำหนดอิริยาบถย่อยต่าง ๆ เช่น การเหลียว การเห็น การลุก การนั่ง การคู้เหยียด ก้ม เงย ดื่ม กิน เพื่อส่งเสริมให้มีการให้ความสำคัญในการผลัดเปลี่ยนและการ กำหนดรู้ในอิริยาบถนั้นๆ เป็นต้น
สรุป การส่งเสริมสัปปายะด้านอิริยาบถ ควรส่งเสริมให้ให้ สถานที่ปฏิบัติธรรมนั้นมีสถานที่รองรับในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ น้อยใหญ่ต่าง ๆ และส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติมีการกำหนดผลัดเปลี่ยน อิริยาบถใหญ่อิริยาย่อยให้สมดุลอยู่เสมอ
สรุป สัปปายะวิธี คือ วิธีการส่งเสริมความสำเร็จในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา หมายถึง การส่งเสริมให้สิ่งแวดล้อมทั้งหลายใน สถานที่ปฏิบัติมีความเหมาะสม เอื้อเฟื้อหรือเกื้อกูลต่อการประพฤติ และปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ทั้งที่พักอาศัย สภาพอากาศ ใกล้แหล่ง อาหารและยามีความสะดวกสบาย แวดล้อมด้วยผู้ทรงธรรมและทรง ภูมิปัญญาด้วยคำพูดที่สัปปายะ เพื่อเอื้อหรือเกื้อหนุนต่อการ ประพฤติและการเจริญภาวนาให้ได้ผลดีได้รับผลอย่างเต็มที่ จน บรรลุคุณงามความดีหรือเข้าถึงมรรคผลนิพพานตามหลัก พ ระ พุ ท ธศ าสน า โด ย ค วาม เป็ น ไป ที่ ไม่ ย ากลำบากนั ก พระพุทธศาสนาจะมุ่งเน้นด้านการพัฒนาจิตใจและปัญญา ซึ่งเป็น คุณ ลักษณะหรือปัจจัยภายใน ส่วนปัจจัยภายนอกเป็นการ เสริมสร้างสิ่งที่เกื้อหนุนให้การปฏิบัติเป็นไปโดยสะดวก หลักธรรมนี้ เรียกว่า หลักสัปปายะวิธี อันจะเป็นแนวทางในการส่งเสริม สิ่งแวดล้อม ได้แก่ ๑) การส่งเสริมให้สถานที่อยู่ที่พัก และที่อาศัยมี ความเหมาะสมแก่การปฏิบัติ ๒) การส่งเสริมให้สถานที่รับประทาน อาหาร มีอยู่ในที่ไม่ไกลนัก ไปมาสะดวก ๓) ส่งเสริมให้มีการพูดคุย หรือสนทนาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมในระหว่างการปฏิบัติ มีการ สำรวมวาจา พูดให้น้อย ปฏิบัติให้มาก ไม่กล่าววาจาอันไม่เป็น ประโยชน์ กล่าวแต่วาจาที่เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติวิปัสสนา เช่น กถาวัตถุ ๑๐ ประการ เป็นต้น แม้ว่าวาจาที่เป็นประโยชน์ก็ควรพูด พอประมาณ ๔) ส่งเสริมให้มีบุคคลที่สมควรเข้าไปสนทนาปราศรัย
คือ ครูบาอาจารย์ พระวิปัสสนาจารย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นผู้ตั้งอยู่ใน หลักธรรมวินัยมีความรู้ความสามารถ มีอาจาระงดงาม ๕) ส่งเสริม ให้จัดมีอาหารและเครื่องบริโภคที่ถูกใจพอใจ ถูกกับร่างกาย เกื้อกูล ต่อสุขภาพ ฉันไม่ยากเป็นที่สมควรแก่การบริโภค ๖) ส่งเสริมให้ สภาพบรรยากาศเป็นธรรมชาติ เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติ เช่น ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป ๗) ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติมีการ เคลื่อนไหวในกิริยาท่าทางที่ปฏิบัติแล้วถูกใจ มีการเคลื่อนไหวที่พอดี สมควร มีอิริยาบถที่ปฏิบัติแล้วเกิดความสบายกายสบายใจ ได้รับ ผลดีโดยไม่มีนิวรณ์เกิดขึ้น โดยจัดให้มีสถานที่รองรับในการ ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นต้น ดังพรรณนามาฉะนี้
ภาพที่ ๑๗ แสดงภาพการส่งเสริมสัปปายะ ๗
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ อภิปุญฺโ ), การส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสัปปายะวิธี, สารนิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, หน้า ๗๖.
สรุปองค์ความรู้ที่ได้
ผู้เขียนได้ทำการศึกษาการส่งเสริมความสำเร็จในการ ปฏิบัติวิปัสสนาด้วยสัปปายะวิธี โดยเฉพาะการส่งเสริมหลักสัปปา ยะ ๗ ให้มีความเกื้อกูลต่อการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา และได้ทำการ วิเคราะห์สังเคราะห์วิธีการส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาตาม ห ลักการและวิธีการของสัปปายะดังกล่าวข้างต้น ได้สรุป กระบวนการส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเป็นองค์ความรู้ ใหม่๔๔ ได้เป็นโมเดลดังภาพแผนภูมิ ดังนี้
แผนภูมิ แสดงภาพโมเดลวิธีการส่งเสริมสัปปายะ ๗
๔๔ พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ อภิปุญฺโญ), การส่งเสริม ความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสัปปายะวิธี, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎี
บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, หน้า ๑๖๓, ๒๕๖๒.
อ้างอิง
ก. ภาษาไทย ๑. ข้อมูลปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับ มหาจุฬาเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๕.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๙.
มหามกุฏราชวิทยาลัย.อรรถกถา บาลี / แปล ชุด ๙๑ เล่ม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๒๕.
๒. ข้อมูลทุติยภูมิ ๒.๑ หนังสือ
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (ประเสริฐ มนฺตเสวี). วิปัสสนาภาวนาที่ไม่ถูกเขียนไว้ในพระไตรปิฎก. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ประยูรสาส์นไทยการพิมพ์. ๒๕๕๗.
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท์. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม. ๒๕๔๒
พระพุทธโฆสเถระ. วิสุทธิมรรค. แปลโดย สมเด็จพระพุฒา จารย์ (อาจ อาสภมหาเถร). กรุงเทพมหานคร: บริษัทประยูรพริ้น ติ้ง จำกัด. ๒๕๓๖.
พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) รจนา, วิปัสสนานัย เล่ม ๑, พระพรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ. ๙, M.A., Ph.D.) ตรวจ ชำระ. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๘.
มหามกุฏราชวิทยาลัย. มังคลัตถทีปนี ภาค ๑. นครปฐม: โรง พิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๕๒.
สถาบันบันลือธรรม. ๗๕ อุบากสกพุทธสาวก ในสมัย พุทธกาล. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพธรรมสภา” ๒๕๕๑.
๒.๒ วิทยานิพนธ์
พระมหาวรรณวัฒน์ ชุติปญฺโญ (ปัสคำ). “ศึกษาเรื่องศึกษา โยนิโสมนสิการเพื่อการบรรลุธรรมในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท”. ปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย:มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๗.
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ อภิปุญฺโญ). การส่งเสริมความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสัปปายะ วิธี. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย:มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๖๒.
ภาคผนวก
ประวัติผู้เขียน
๑. ตำแหน่ง อาจารย์ วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
สังกัด วิทยาลัยสงฆ์บาฬีศึกษาพุทธโฆส
๒. ประวัติการศึกษา
๓. คำสั่งแต่งตั้งบุคลากรมหาวิทยาลัย
คำสั่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ ๑๓๔๓/ ๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓ มีผลตั้งแต่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
๔. ภาระงานในความรับผิดชอบ (ภายใน ๓ ปีย้อนหลัง) ๔.๑ ประสบการณ์ในการสอนปริญญาตรี
๔.๒ ประสบการณ์ในการสอนปริญญาโท
๔.๓ ประสบการณ์ในการสอนปริญญาเอก
๕. งานวิจัย บทความวิชาการ และหนังสือ ๕.๑ งานวิจัย
นามานุกรมวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา (๒๕๖๕)
MCU RS 800765064
๕.๒ บทความวิชาการ
พระมหาโกมล กมฺโล รศ.ดร., พระภาวนาพิศาลเมธี (ประเสริฐ มนฺตเสวี), พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ ศิริรัตน์) ดร., พระประเทือง ขนฺติโก, สังวาลย์ เสริมแก้ว และ ผศ.ดร.ชำนาญ เกิดแก้ว (๒๕๖๔) นามานุกรมวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา, วารสาร ศิลปะการจัดการ. ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ มกราคม – กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖.
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ ศิริรัตน์) ดร., พระ ประเทือง ขนฺติโก, สังวาลย์ เสริมแก้วและ นรารัตน์ สงวนทรัพย์ ดร, (๒๕๖๕) การพัฒนาวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อสู่ผลสัมฤทธิ์, วารสาร มจร. บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์. ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือน มกราคม-มิถุนายน
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ ศิริรัตน์) ดร., สังวาลย์ เสริมแก้ว และ พระมหาวิโรจน์ คุตฺตวีโร ผศ.ดร, (๒๕๖๔)
แนวคิดคำสอนเรื่องกามตามหลักพระพุทธศาสนาเถรวาท, วารสาร ศิลปะการจัดการ. ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๓ กันยายน – ธันวาคม ๒๕๖๔.
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ดร. อัตตกิลมถานุโยค: แนวคิดการปฏิบัติธรรมที่ทำให้ตนลำบาก. วารสาร มจร.บาฬีศึกษา พุทธโฆสปริทรรศน์ ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือน มกราคม-มิถุนายน, หน้า 13-26.
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ดร. ฝึกสติ ๑๐ วินาที ชีวิตดี ขึ้นแน่ (บทวิจารณ์). วารสาร มจร. บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์ ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๒ ประจำเดือน กรกฎาคม-ธันวาคม , หน้า 116-221.
Phrakrupaladsampipaddhanadhammajan, Human development according Buddhism ( processding) . The International onference Asian values in the process of integration and development , p 15. 2019. (Viet Nam)
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ดร. กรรมและการสิ้นกรรมตาม หลักพระพุทธศาสนา (processding). รายงานการประชุม วิชาการระดับนานาชาติ ครั้งที่ ๓. มจร. บาฬีศึกษาพุทธ โฆสปริทรรศน์ นครปฐม, ๒๕๖๓, หน้า ๕๕๖.
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ดร. อัตตกิลมถานุโยค : แนวคิดการ ปฏิบัติธรรมที่ทำให้ตนลำบาก. วารสาร บาฬีศึกษาพุทธ โฆสปริทรรศน์. ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือน มกราคม- มิถุนายน , ๒๕๖๓, หน้า ๑๓.
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ดร. ฝึกสติ ๑๐ วินาที ชีวิตดีขึ้นแน่ (บทวิจารณ์). วารสารบาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์. ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๒ ประจำเดือน กรกฎาคม-ธันวาคม, ๒๕๖๓, หน้า ๑๑๖.
พระครูปลัด สัม พิ พัฒ นธรรมาจารย์. การพัฒนาสุขภาวะใน พระพุทธศาสนา. วารสารพุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๒ ประจำเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม, ๒๕๖๒, หน้า ๗๔.
พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์. รูปแบบสมรรถนะพระวิปัสสนา จารย์. วารสารบัณฑิตศึกษาปริทรรศน์. ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๓ ประจำเดือน กันยายน – ธันวาคม, ๒๕๖๑, หน้า ๑๓๖.
พระครูปลัดสัมพิพัฒ นธรรมาจารย์. มนุษย์สัมพัน ธ์ตามหลัก กัลยาณมิตร. วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์, ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๒ ประจำเดือน กรกฎาคม – ธันวาคม, ๒๕๖๑.
๕.๓ หนังสือ
แนวทางการปฏิบัติธรรม. จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, สำนักพิมพ์ ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์. ๒๕๖๐. ๓๕๕ หน้า. ISBN 978-616-440- 324-6
สติปัฏฐานภาวนา. จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม. สำนักพิมพ์ ประยูร สาส์นไทย การพิมพ์. ๒๕๖๓. ๒๑๒ หน้า. ISBN 978-616-485-758-2
มรรควิธีเพื่อการสิ้นกรรม, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, สำนักพิมพ์ ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์. ๒๕๖๓. ๒๑๒ หน้า. ISBN 978-616-568- 061-5
คู่มือพระวิปัสสนาจารย์, จำนวน ๑,๕๐๐ เล่ม, สำนักพิมพ์ ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์. ๒๕๖๔. ๖๗ หน้า. ISBN 978-616-577- 662-6
พละ ๕ เพื่อการบรรลุธรรม, จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม, สำนักพิมพ์
ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์. ๒๕๖๔. ๕๖ หน้า. ISBN 978-616-577- 665-3
กตัญญูกตเวทิตาธรรม. จำนวน ๑,๕๐๐ เล่ม, สำนักพิมพ์ ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์. ๒๕๖๔. ๖๒ หน้า. ISBN 978-616-577- 665-1
วันมาฆบูชา. จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม. สำนักพิมพ์ ประยูรสาส์น ไทย การพิมพ์. ๒๕๖๔. ๖๔ หน้า. ISBN 978-616-588-928-5
ปฏิบัติธรรม สำคัญที่สุด. จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม. สำนักพิมพ์ ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์. ๒๕๖๕. ๕๓ หน้า. ISBN 978-616-594- 293-5
๙๐ สัปปายะวิธี: วิถีสู่ความสำเร็จ
สัปปายะวิธี: วิถีสู่ความสำเร็จ ๙๑
๙๒ สัปปายะวิธี: วิถีสู่ความสำเร็จ
สัปปายะวิธี: วิถีสู่ความสำเร็จ ๙๓
๙๔ สัปปายะวิธี: วิถีสู่ความสำเร็จ
สัปปายะวิธี: วิถีสู่ความสำเร็จ ๙๕
๙๖ สัปปายะวิธี: วิถีสู่ความสำเร็จ
อานิสงส์แจกหนังสือธรรมะเป็นธรรมทาน
อนึ่ง บุคคลใดให้ทำการฟังธรรม อานิสงส์เป็นอันมากก็ย่อมมีแก่บุคคลนั้น
แท้. ธรรมทานนั่นแหละที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นให้เป็นไปแล้ว แม้ด้วยอำนาจอนุโมทนา โดยที่สุดด้วยพระคาถา ๔ บาท ประเสริฐที่สุดกว่าทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วย บิณฑบาต อันประณีตแล้วถวายแก่บริษัทเห็นปานนั้นนั่นแหละบ้าง
กว่าเภสัชทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยเนยใสและน้ำมันเป็นต้น แล้ว
ถวายบ้าง
กว่าเสนาสนทานที่ทายกให้สร้างวิหารเช่นกับมหาวิหาร และปราสาทเช่น
กับโลหปราสาทตั้งหลายแสน แล้วถวายบ้าง
กว่าการบริจาคที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้นปรารภวิหารทั้งหลาย แล้วทำ
บ้าง.
เพราะเหตุไร? เพราะว่า ชนทั้งหลายเมื่อจะทำบุญเห็นปานนั้น ต่อฟังธรรม
แล้วเท่านั้นจึงทำได้ ไม่ได้ฟังก็หาทำได้ไม่. ก็ถ้าว่าสัตว์เหล่านี้ไม่พึงฟังธรรมไซร้ เขาก็ไม่ พึงถวายข้าวยาคูประมาณกระบวยหนึ่งบ้าง ภัตประมาณทัพพีหนึ่งบ้าง เพราะเหตุนี้ ธรรมทานนั่นแหละจึงประเสริฐที่สุดกว่าทานทุกชนิด.
เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า
“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง” สักกเทวราชวัตถุ ตัณหาวรรค ขุททกนิกาย ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕
“อกฺขรา เอกํ เอกญฺจ พุทฺธรูปํ สมํ สิยา”
สร้างอักขรธรรมหนึ่งอักษร เท่ากับสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์”
ผู้สนใจร่วมพิมพ์หนังสือแจกเป็นธรรมทาน (พิมพ์แจกทุกปี) สามารถติดต่อขอบริจาคสมทบทุนได้ที่ : ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกบ้านแขก ชื่อบัญชี พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ อภิปุญฺโญ) เลขที่บัญชี 016-0-23016-0 (Promptpay) โทร. 084-049-6254 สามารถตรวจสอบการโอนได้ที่ Facebook : พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ดร.