สัมมสนญาณ ประสบการณ์ ความรู้ และวิธีคิดมีหลากหลายมากมาย บันทึกประสบการณ์ของลูกศิษย์อาจจะเหมือนสภาวะจิตในระดับสูงขึ้นไป วิธีของโยคีที่เปิดเผยอันเกี่ยวโยงกับประสบการณ์ ก็คล้ายกับระดับของ “สังขารุเปกขาญาณ” รูปแบบที่สงบเงียบอาจจะลุถึงระดับที่สูงขึ้นไป แต่ผู้ปฏิบัติควรจะแสดงออกมาเหมือนยังอยู่ในระดับต่ำ (มีความถ่อมตน)
บางครั้งโยคีอาจจะขึ้นถึงขั้นสูงและได้แจ้งให้พระวิปัสสนาจารย์ทราบ ต่อมาโยคีนั้นอาจจะไม่กลับไปถึงระดับนี้อีก ดังนี้เขาจึงต้องกลับไปอธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ในระดับที่ต่ำกว่า เพราะฉะนั้นบางทีมันก็เป็นเรื่องยาก ที่จะกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อตัดสินตามที่ได้ฟังจากการบอกของโยคี
ดังนั้น จงเก็บการตัดสินระดับความรู้ของโยคีไว้กับตัวท่านเองเถิดและถ้าเมื่อจำเป็นสำหรับผู้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่จะบอกใครเกี่ยวกับการเข้าถึงของลูกศิษย์ ก็จงพูดถึงความคิดเห็นของท่านเอง เฉพาะส่วนที่ท่านมั่นใจเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อย่าได้พูดเพียงความคิดเห็นของท่านจงเชื่อมโยงกับการบอกกล่าวของโยคี
ถ้าหากท่านไม่มั่นใจเมื่อจะตัดสินระดับของโยคีว่าอยู่ในระดับต่ำหรือระดับสูง ท่านพึงตัดสินใจเองได้ว่ายังอยู่ในระดับต่ำ
ผู้เป็นพระวิปัสสนาจารย์นั้นต้องรับผิดชอบสำหรับความผิดพลาด หรือความสำเร็จของผู้เป็นศิษย์ ดังนั้น ในการประเมินลูกศิษย์ของท่านอย่างรอบคอบและการใช้หนังสือเล่มนี้เป็นตัวช่วยที่จะชี้แนะศิษย์ของท่านในแนวทางนั้น ท่านก็สามารถนำศิษย์เหล่านั้นไปสู่หนทางแห่งพระนิพพานอันแท้จริงได้
ภัททันตะ โสภณเถระ พระอาจารย์ผู้ประพันธ์
“วิถีแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน”
พ.ศ.๒๔๙๐
อารัมมบท
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
“พระพุทธเจ้า ผู้หาที่เปรียบมิได้
ผู้ทรงสั่งสอนชนเหล่านั้นที่เป็นเวไนยสัตว์”
พระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งอันแท้จริงของพวกเรา เป็นผู้ตรัสรู้
ผู้ทรงศีล สมาธิ และปัญญา ได้สอนทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
คำสอนและการชี้แนะของพระองค์ เป็นสิ่งสูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งคำสอนทั้งหลายดังนั้น พระองค์จึงถือได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า อัปปฏิบุคคล (บุคคลไม่มีที่เปรียบ) ผู้ซึ่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
มหาชนเหล่านั้นที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลายสามารถบรรลุความเป็นอิสระได้ในการนั่งสมาธิครั้งเดียว เนื่องจากคำสอนนี้เป็นคำสอนที่แนะแนวทางไปสู่ความเป็นอิสระ พระองค์ถือได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหาที่เปรียบไม่ได้ ได้ทรงสอนเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
พระองค์สามารถสอนและชี้แนะเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อให้ประโยชน์สุขทั้งชาตินี้และชาติหน้าและให้ลุถึงพระนิพพานได้ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเป็นบรมครูที่แท้จริงและศักดิ์สิทธิ์ที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายควรถือเอาเป็นสรณะ
พวกเราจงนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าเพื่อแสดงความเคารพต่อพระองค์ที่ทรงเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) พระองค์ผู้หาที่เปรียบมิได้ทรงฝึกเวไนยสัตว์ พระพุทธเจ้าผู้สมควรแก่การยกย่องและเคารพในฐานะที่เป็นผู้ตรัสรู้ พระธรรมที่สอนโดยพระพุทธเจ้าเป็นมรรค ผล นิพพาน พระอริยสงฆ์ ผู้เป็นพระพุทธบุตรอันแท้จริง
ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยพระวิปัสสนาจารย์ในงานวิปัสสนาของพวกท่าน จึงได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นในแนวทางที่พระวิปัสสนาจารย์ จะสามารถแนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ได้โดยง่ายดายตามคำแนะนำของพระคุณท่านมหาสีสะยาดอว์ พระวิปัสสนาจารย์นามว่า พระอาจารย์ สะยา เคี่ยน และพระอาจารย์ สะยา แคเวท จึงได้รวบรวมเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้นชื่อว่า “บันทึกพระวิปัสสนาจารย์”
โยคี ๓ ประเภท
ประเภทที่ ๑
พวกเราได้สัมภาษณ์โยคี ๓ ประเภทมาด้วยกัน โยคีบางท่าน สามารถบอกประสบการณ์ในการปฏิบัติได้อย่างแจ่มแจ้ง อธิบายเป็นขั้นตอน ถึงสิ่งที่พวกเขาได้พบ กับโยคีเช่นนั้น พวกเราไม่จำเป็นเน้นถาม หรือให้คำถามนำแต่อย่างใด พวกเราต้องฟังสิ่งที่พวกเขาพูดเท่านั้น ให้คำแนะนำบ้างเมื่อจำเป็น ทำแนวคิดหรือวิถีคิดที่ผิดให้ถูกต้อง บางครั้งเมื่อโยคีหย่อนยานในการปฏิบัติ ควรให้การบรรยาย หรือการสนทนาบ้าง ตามความเหมาะสม หนังสือเล่มนี้ได้เขียนบันทึกของโยคีลักษณะนั้นไว้ด้วย
ประเภทที่ ๒
โยคีบางประเภทไม่สามารถบอกถึงวิธีที่พวกเขาบันทึกหรือ
สิ่งที่พวกเขาได้เห็นอย่างชัดเจนได้ สิ่งนี้อาจจะเป็น ดังนั้น เนื่องจากความอายของพวกเขา ในกรณีเช่นนั้น ควรจะมีคำถามนำ
เมื่อจำเป็น เมื่อมีการถามนำ บางทีโยคียอมรับว่า เขาจำได้หรือ
มิเช่นนั้นแล้ว โยคีก็จะยอมรับเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขา
เพื่อที่จะทดสอบว่าโยคีกำลังพูดประสบการณ์จริงหรือไม่ พวกเราได้ถามเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ไม่อาจพบได้ และยังได้ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขประสบการณ์ของโยคี หรือบางทีก็ได้พูดสิ่งผิดเสมือนหนึ่งว่าเป็นของถูก บางครั้งพวกเราก็ถาม คำถามที่โยคีสามารถรายงานได้ ๒ อย่าง พระวิปัสสนาจารย์ก็สามารถถามโยคีที่ซื่อสัตย์หรือคด เกี่ยวกับสิ่งที่สามารถตัดออกในการจดบันทึกประสบการณ์ของโยคี
ประเภทที่ ๓
โยคีบางประเภทไม่สามารถอธิบายได้ แต่เมื่อพระวิปัสสนาจารย์ถามคำถามนำ พวกเขาก็จะให้คำโยคีรายงานที่ได้เรียนรู้มาจากคนอื่น
คำถามนำ หรือคำพูดเป็นนัย ไม่ควรใช้พูดกับโยคีแบบนั้น พระวิปัสสนาจารย์ควรฟังการบอกเล่าของเขาแทน ถ้าหากมีจุดที่ท่านต้องการทราบจากเขา ก็ให้ถามคำถามที่โยคีรายงานได้สองแบบ หรือถามตัวอย่างเช่น “เมื่อท่านกำหนดอาการพอง ท่านรู้อะไรบ้าง? ท่านรู้ได้อย่างไร? ถามในทำนองนั้นที่โยคีไม่อาจคาดเดาสิ่งที่ท่านอยากทราบ แบบนั้นเท่านั้น ท่านจึงจะสามารถรู้ระดับของสมาธิ และความรู้ที่แท้จริงของโยคี วิธีนี้ให้หลักคิดทั่วไปในการสัมภาษณ์โยคีทั้ง ๓ ประเภท ในแต่ละระดับความรู้
นามรูปริจเฉทญาณ
(ปัญญาแยกนามและรูป)
สำหรับผู้เริ่มต้นที่ได้ปฏิบัติมาแล้วหนึ่งวันหรือสองวัน
ถาม ท่านปฏิบัติอย่างไร? กำหนดแล้วรู้สึกอย่างไร? โยคีที่มีความเพียรน้อยจะรายงานดังนี้
โยคีรายงาน กำหนด อาการพอง อาการยุบของท้อง ได้ง่าย ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ข้อสังเกต เป็นการรายงานที่มักง่ายเลยทีเดียว
ถาม ท่านกำหนดอย่างอื่นได้หรือไม่?
โยคีรายงาน กำหนดอย่างอื่นไม่ได้เพราะไม่มีอย่างอื่นที่ต้องกำหนด, บางคนอาจพูดว่า เมื่อคู้เข้า กำหนดการคู้เข้า เมื่อเหยียดออก ก็กำหนดการเหยียดออก สามารถกำหนดได้หมด
ข้อสังเกต โยคีรายงานอย่างเล่นๆ
ถาม ท่านสามารถกำหนดจิตที่ฟุ้งซ่านได้หรือไม่?
โยคีรายงาน จิตไม่ฟุ้งไปไหน มันหยุดนิ่งอยู่กับที่
ถาม ดีมาก ท่านสามารถบอกขั้นตอนที่ท่านยืน, นอน, ลุก,
คู้เข้า, เหยียดออก และอื่นๆ ได้หรือไม่
ข้อสังเกต โยคีอาจจะรายงานตรงๆ ไม่ได้ เพราะโยคีนั้น อาจจะไม่ได้เข้าใจกระบวนการของการปฏิบัติ หรือศรัทธา, เขายังไม่มีฉันทะและวิริยะ (ความเพียร) ที่มีกำลังพอ หรืออีกนัยหนึ่ง เพราะเขายังปฏิบัติไม่มากพอ
ข้อแก้ไข ให้บอกผู้ปฏิบัติว่าในการกำหนดทุกครั้ง ควรมีความพยายามที่แน่วแน่จนความเพียรมีกำลัง บอกให้เขาใส่ใจในการกำหนดให้มากขึ้น
ส่วนโยคีผู้ที่ปฏิบัติอย่างจริงจังก็จะรายงานคำถามที่ถามข้างต้นดังนี้?
โยคีรายงาน ขณะที่กำหนดอาการพอง อาการยุบ ตอนแรกก็ยาก ต้องกำหนดจนเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้เริ่มกำหนดได้ดีขึ้น
ถาม เมื่อกำหนดอาการพอง อาการยุบ ท่านบอกได้ไหมว่า การเกิดขึ้นของแต่ละอาการพอง และอาการยุบ เกิดควบคู่กับการกำหนดของท่านหรือไม่?
โยคีรายงาน ตอนนี้การกำหนดก็ดีขึ้น บางครั้งอาการพอง และ
อาการยุบ และการกำหนดก็พร้อมกันดี แต่บางทีก็ไม่พร้อมกัน ข้าพเจ้ากำหนดอาการพองในใจก่อน อาการพองที่เกิดขึ้นที่ท้องจริงๆ กำหนดอาการยุบ ก่อนยุบจริง หรือบางทีก็กำหนดอาการพองอาการยุบไม่ทัน บางทีก็กำหนดพองเป็นยุบ ยุบเป็นพองสลับกัน นั่นเป็นสิ่งที่ว่าทำไมบางครั้ง ตนจึงได้พูดว่าการกำหนดก็ทันและบางครั้งก็กำหนดไม่ทัน
คำแนะนำ ให้ใส่ใจกำหนดให้ทัน เพื่อจะให้การกำหนดและอาการได้เกิดทันกัน ในไม่ช้าท่านจะกำหนดได้ทันและพร้อมกันกับอาการ ทุกคนต้องพบกับความยากลำบากในการปฏิบัติเริ่มต้น โยคีบางคนอาจจะรายงานดังนี้ เมื่อไรก็ตามที่กำหนด จะได้พบเสมอว่าการกำหนดนั้นเพ่งตรงไปที่อารมณ์ (เป้าหมาย)
ถาม ขณะที่ท่านกำหนด อาการพอง อาการยุบ ใจของท่านล่องลอยไปที่อื่นหรือไม่?
โยคีรายงาน ขณะที่กำหนดเพ่งอยู่ ใจไม่ลอยไปไหน ใจอยู่นิ่งๆ
ข้อสังเกต ที่โยคีกล่าวแบบนี้ เป็นเพราะเขาไม่สามารถสังเกตใจที่ล่องลอยหรือฟุ้งซ่านได้
คำเตือนและคำแนะนำ พยายามตั้งใจกำหนดให้มาก ท่านจะได้รู้อาการพองและอาการยุบอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้ง
โยคีรายงาน จิตใจล่องลอย ในขณะกำหนดอาการพองอาการยุบ เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก็สังเกตเห็นได้ว่า จิตใจได้ล่องลอยไป ถึงแม้ว่าจะรู้ แต่ก็กำหนดได้บางครั้งเท่านั้น บางครั้งก็กำหนดไม่ได้ บางทีใจลอยก็หยุด หลังจากการกำหนด บางทีมันก็ไม่หยุด
คำแนะนำ หากท่านพยายามกำหนดอาการพองและอาการยุบ จิตใจท่านก็จะไม่ลอยไปกับความคิด ถึงแม้ว่าใจลอยไป ท่านก็สามารถรู้ได้อย่างรวดเร็ว อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากท่านพอใจกับความคิดเหล่านั้น จิตใจที่ล่องลอยก็จะไม่เลือนหายใจ แต่ถ้าหากท่านกำหนดอย่างมีสติ ความคิดฟุ้งซ่านก็จะหายไปได้ เมื่อความคิดเช่นนั้นปรากฏขึ้นอีก ก็อย่าได้พอใจกับความคิดเหล่านั้น แต่จงมีศรัทธาที่สมบูรณ์ในการกำหนดแทนจนกระทั่งความคิดเหล่านั้นที่จะหายไป
บางคนพูดดังนี้ ขณะที่กำหนดอาการพองและอาการยุบอย่างชัดเจนอยู่นั้น จิตใจไม่ล่องลอยไป แต่เมื่อจิตใจกำลังล่องลอยก็จะทำให้กำหนดอาการพองอาการยุบไม่ได้ (ความรู้แจ้ง)
ถาม เมื่อท่านกำหนดจิตใจที่ล่องลอยได้ และกลับไปยังอาการพองและอาการยุบ สามารถบอกได้ไหมว่า ท่านสามารถกำหนดได้และเท่าทันอาการพองอาการยุบหรือไม่
โยคีรายงาน บางทีก็ทัน บางทีก็ไม่ทัน บางทีไม่พบอาการพอง ต้องรอสักพัก จากนั้น จึงสามารถเห็นอาการพองเริ่มขึ้นและก็กำหนดได้เป็นปกติ
คำแนะนำ ไม่ต้องรออาการพอง ถ้าหากท่านพบอาการยุบก่อนให้
กำหนดว่า “ยุบหนอ” ถ้าหากท่านรอ ให้กำหนดว่า “รอหนอ” และกำหนดสิ่งที่ท่านสังเกตได้ก่อน บางคนอาจจะพูดว่า จิตใจลอยไปหลายที่เลย
คำแนะนำ ให้โยคีกำหนดใจที่ล่องลอยนั้นซ้ำๆ จนกว่าความคิดต่างๆ จะหายไป แล้วให้กลับไปยังอาการพองและอาการยุบ กำหนดอย่างจดจ่อต่อไป บางคนอาจจะพูดว่า ได้กำหนดความคิดอย่างต่อเนื่องอย่างเดียว จึงไม่สามารถกำหนดอาการพองอาการยุบได้
คำแนะนำ ให้โยคีกำหนดความคิดเพียงหนึ่งครั้งหรือสองครั้งจากนั้นให้กลับไปกำหนดอาการพองอาการยุบ ให้กำหนดแบบนั้นทุกครั้ง พร้อมให้สังเกตความคิดทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ต้องวิตกที่จะหาว่า ความคิดอื่นจะมา
ถ้าท่านเห็นพุทธนิมิต, วัด, บ้าน, มนุษย์ ให้กำหนดว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ” จนกว่าการเห็นนั้นจะหายไป ถ้าหากนิมิตเหล่านั้นหายไปแล้ว ให้กลับไปกำหนดที่อาการพองอาการยุบ และหากรู้อาการพองก่อนให้กำหนด “พองหนอ” ถ้าหากรู้อาการยุบก่อนให้กำหนดว่า “ยุบหนอ” ถ้าหากไม่มีอะไรปรากฏก็ไม่ต้องรอ ให้กำหนดอารมณ์อื่นที่ชัดเจนต่อไป หากท่านรอก็ให้กำหนดว่า “รอหนอ” จากนั้นกำหนดต่อไปเรื่อยๆ
ถาม ท่านได้กำหนดเวทนาที่เกิดขึ้นทางกาย หรือไม่ ? เช่น ความคันความปวด ความเจ็บ ความร้อน ความหนาว เป็นต้น
โยคีรายงาน ความคัน ความปวด ความเจ็บ ความร้อน หรือความหนาว ไม่มีแต่ประการใด (พระวิปัสสนาจารย์พึงทราบว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะสติ สมาธิ ปัญญาของโยคี ยังไม่มีกำลังพอที่จะรู้ความรู้สึกเหล่านี้ได้)
โยคีรายงาน บางทีก็มีความคัน ความปวด ความเจ็บ ความร้อน และความเย็น เบาบางอยู่ แต่กำหนดบ้างเป็นบางครั้ง บางทีก็กำหนดได้ไม่หมด
ถาม เมื่อมีอาการคันและท่านต้องการเกา ท่านได้กำหนดว่า “อยากเกาหนอ” หรือไม่? เมื่อท่านยกมือไปเกา ท่านได้กำหนดว่า “ยกหนอ” “คู้หนอ” “เหยียดหนอ” “เหยียดหนอ” และอื่นๆ หรือไม่?
โยคีรายงาน กำหนดว่า “อยากเกาหนอ” “อยากหายหนอ” จากนั้น ก็กำลังการคลายมือว่า “ยกหนอ” “คู้หนอ” ประมาณ ๒ - ๓ ครั้งต่ออิริยาบถ
โยคีรายงาน กำหนดรู้ความต้องการคู้ ต้องการเหยียดไม่ได้ แต่ขณะที่กำลังเกา กำลังคู้ หรือกำลังเหยียด บางครั้งไม่รู้การคู้ที่เคลื่อนไหวไป การเหยียดที่เคลื่อนไป รู้หลังจากที่เกาไปแล้วเท่านั้น ความคันจึงหมดไป บางทีอาการคันก็อยู่สักพัก จึงรู้อาการคันได้ที่หลัง
คำแนะนำ ให้ลองกำหนดต้นจิตดู ท่านจะสามารถรู้ความต้องการคู้ เหยียดและเกา เป็นต้น ได้
โยคีรายงาน กำหนดการคู้ การเหยียด หรืออิริยาบถทางกายอื่นๆ ไม่ได้เลย เพราะตั้งใจกำหนดอยู่ในอาการพอง อาการยุบ อย่างเดียว
คำแนะนำ หลังจากกำหนดอาการพอง อาการยุบได้ดีแล้ว ท่านไม่ควรคิดว่า จะกำหนดแต่อิริยาบถทางกายท่านั้น เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ก็จะไม่ตั้งอยู่ คือดับไป และขณะที่กำลังกำหนดอาการพองและอาการยุบอยู่ มีความคิดเกิดขึ้น แต่ไม่ได้กำหนด กิเลสที่นอนเนื่องก็จะอาศัยเกิดขึ้น ถ้าหากอิริยาบถทางกาย เวทนา หรือความคิดเกิดขึ้น ก็ให้กำหนดทุกทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความรู้ก็จะสามารถพัฒนาขึ้นได้ ส่วนคนที่มีอายุมากมีแนวโน้มว่าจะกำหนด
ไม่ทัน ดังนั้น ให้ใส่ใจต่ออาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น พระวิปัสสนาจารย์ควรดูแลเป็นพิเศษเพื่อปรับปรุงโยคีตามลักษณะดังกล่าวข้างต้นนั้นให้ดีขึ้น
โยคีรายงาน สามารถกำหนดอาการปวด อาการเจ็บ เป็นต้น ได้ในบางครั้งเท่านั้น ขณะที่รู้ว่ามีอาการปวด อาการเจ็บเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้กำหนด เพราะกำหนดได้ในบางครั้งเท่านั้น
ถาม เมื่อท่านหมายรู้ความต้องการที่จะกำหนดเกิดขึ้น
ได้กำหนดความต้องการนั้นหรือต้นจิตที่จะคู้เข้า เหยียดออก เป็นต้น บ้างหรือไม่? (ถามคำถามเหมือนอาการ
คันและความต้องการเกา)
ข้อสังเกต สำหรับโยคีที่ไม่สามารถกำหนดอาการเจ็บปวดได้
ให้บอกเขาว่าให้เปลี่ยนอิริยาบถ โดยการคู้เข้า การเหยียดออก หรือการเคลื่อนไหวอื่นๆ เพราะความจริงโยคีควรอดทนต่อความเจ็บปวด และพยายามกำหนด มีคำกล่าวว่า “ความอดทนนำไปสู่พระนิพพาน” ซึ่งเอามาใช้ได้ในการปฏิบัติธรรมนี้ ดังนั้น จึงไม่ควรเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถทุกครั้งที่รู้สึกเจ็บปวด หากโยคีสามารถทนต่อความเจ็บปวดและสามารถกำหนดได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เปลี่ยนท่าแล้ว โยคีก็จะสามารถกำหนดความอยากเปลี่ยนท่า และการเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถได้
ถาม ท่านสามารถกำหนดการพลิกตัวขณะนอนได้หรือไม่?
โยคีรายงาน ไม่รู้วิธีกำหนดในขณะนอน จึงไม่ได้กำหนด
คำแนะนำ บอกโยคีให้กำหนดอย่างละเอียดในอิริยาบถเหล่านี้
โยคีรายงาน กำหนดว่า “อยากขยับหนอ” “อยากยกหนอ” แล้วเปลี่ยน เป็นต้น บางทีไม่สามารถกำหนดต้นจิตได้ หลังจากที่เคลื่อนไหวแล้ว จึงนึกได้ที่จะกำหนดต้นจิต
ข้อสังเกต หากโยคีไม่อดทนต่อความรู้สึกเจ็บปวด จะไม่ประสบความสำเร็จในการกำหนดอย่างแน่นอน เพราะว่าโยคีไม่รู้เท่าทัน
คำแนะนำ ก่อนที่โยคีจะเหยียด จะคู้ เคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนอิริยาบถ เวทนาย่อมเกิดก่อน ก่อนอื่นใดเลย ควรอดทนต่อทุกขเวทนาและกำหนด ตัวอย่างเช่น “คัน” ชั่วขณะ ถ้าหากท่านอยากเกาหรืออยากเปลี่ยนท่า ก่อนอื่นท่านควรกำหนดอยากเกาก่อน อย่าเกาในทันทีทันใด แต่ให้ทำด้วยการกำหนด อาการเจ็บปวด หรืออาการคัน เมื่ออาการปวดหรือคันมากๆ เท่านั้น
ท่านควรกำหนดต้นจิตอยากเกาก่อน จากนั้นก็กำหนดการยกมือ การคู้ การเหยียด การเกา และอื่นๆ กำหนดชัดๆ และเท่าทันอาการ
พระวิปัสสนาจารย์ควรถามโยคีว่า พวกเขากำหนดการเดิน การยืน การนั่ง การลุก การเปลี่ยนเสื้อผ้า การกิน การดู การเห็น การฟัง และการได้ยิน เป็นต้น หรือไม่ ถ้าหากวิธีที่โยคีกำหนดไม่ถูกต้อง ต้องแนะนำให้โยคีกำหนดอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอน
โยคีรายงาน รู้สึกแข็งและเย็นที่ศีรษะ มีอาการคันที่ใบหน้า ปวดที่มือ เจ็บที่หลัง ปวดขา
ข้อสังเกต โยคีกำลังอธิบายความรู้สึก และตั้งชื่อ(บัญญัติ)ให้บริเวณที่มีอาการปรากฏ
คำแนะนำ ไม่ต้องตั้งชื่อบริเวณที่เกิดมีความรู้สึก เพียงแต่ให้กำหนดความรู้สึก ตั้งชื่อเฉพาะอาการ เช่น ปวด คัน เจ็บ คู้ เหยียด เป็นต้น บ่อยครั้งที่โยคีมักจะกำหนดจิตใจที่กำลังล่องลอยว่า “กำลังไปบ้าน” “ถึงสถานที่แล้ว” “เป็นวัด” “เห็นพระพุทธเจ้า” “คุยกับบางคน” เป็นต้น ดังนั้นไม่ต้องตั้งชื่อให้กับวัตถุ เพียงแต่กำหนดด้วยชื่อกริยาเท่านั้น เช่น “ไปหนอ” “ไปหนอ” “ถึงหนอ” “ถึงหนอ”
คำแนะนำ ไม่ต้องตั้งชื่อให้กับสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงแต่กำหนดความรู้สึก บางคนจะคู้และเหยียดอย่างจงใจ เพียงเพื่อที่จะกำหนดการเคลื่อนไหวช้าๆ ของมือ ให้กำหนดว่า คู้หนอ เหยียดหนอ เป็นต้น
โยคีไม่ควรตั้งใจทำการเคลื่อนไหวเพื่อจะให้มีสิ่งที่กำหนด หากทำในลักษณะนี้ ท่านก็จะมัวค้นหาสิ่งที่จะกำหนด ทำให้ความโลภเกิดขึ้น บางทีจิตโยคีก็มีความต้องการวิ่งมายังอารมณ์ที่กำหนดมากเกินไป การคู้ก็ย่อมเกิดขึ้นไปตามความต้องการ ทำให้ไม่ได้อะไรจากการปฏิบัติในลักษณะนี้
เมื่อความต้องการคู้ ต้องการเหยียดเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ โยคีจึงควรกำหนดต้นจิตที่จะคู้ก่อน และจากนั้นก็กำหนดการคู้จริงๆ การกำหนดแบบนี้เป็นธรรมชาติ และสามารถช่วยให้ท่านพัฒนาปัญญาได้เต็มที่จากการปฏิบัติ
โยคีบางท่านจงใจที่จะมองดูบางอย่าง และกำหนดว่า “เห็นหนอ” “เห็นหนอ” หรือค้นหาเสียงเป็นบางครั้งและกำหนดว่า “ได้ยินหนอ” “ได้ยินหนอ” เพื่อให้ได้มีสิ่งที่กำหนด
คำแนะนำ ท่านไม่ควรกำหนดอย่างนี้ แต่ควรกำหนดเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่น อาการพอง อาการยุบ ถ้าได้ยินเสียง หรือรู้สึกบางอย่าง ขณะกำลังกำหนดอยู่อาการพองและอาการยุบอยู่ เขาควรกำหนดอารมณ์ที่แทรกเข้ามานั้นสักครั้งหรือสองครั้งว่า “ได้ยินหนอ” และกลับมากำหนดที่อาการพองและอาการยุบต่อไป โยคีควรกำหนดสิ่งที่ปรากฏขึ้นในกายให้มากกว่า
โยคีรายงาน เห็นสภาวธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป “อนิจจัง (ความไม่เที่ยง ทุกขัง (ความทุกข์) และอนัตตา (ความไม่มีตัวตน)”
ถาม ท่านเห็นอย่างไร?
โยคีรายงาน อาการพองของช่วงท้องเป็นปรากฏท้องพองขึ้น อาการยุบของช่วงท้องเป็นการดับไปของสภาวธรรมเหล่านั้น เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น จึงไม่เที่ยง การพยายามกำหนดนั้นก็เป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง เมื่อรูปกายดับไป จึงเห็นว่า สภาวธรรมนี้เป็นอนัตตา
คำแนะนำ พยายามทำให้โยคีให้เข้าใจว่า สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพียงความคิดและจินตนาการเท่านั้น
อาการพองอาการยุบและการกำหนด ก็เป็นกระบวนการของการเกิดขึ้นและดับไป เหล่านี้ ทั้งหมดล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ต้องร่ำไรรำพันกับสิ่งเหล่านี้ มันไม่มีสารประโยชน์กับตัวท่าน เพียงให้กำหนดต่อไปให้เป็นปกติ เวลาจะมีค่าเมื่อท่านสามารถรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดอย่างแจ้งชัดด้วยการกำหนด หากท่านได้พิจารณาแล้ว ก็จะรู้ทันความคิด หากพิจารณาว่าท่านสามารถกำหนดความคิดนั้นโดยไม่ผิดพลาดให้กำหนดว่า “กำหนดหนอ กำหนดหนอ” หากท่านเห็นว่าท่านได้คิดแล้ว ให้กำหนดว่า “คิดหนอ คิดหนอ” ถ้าหากท่านนึกว่า “ดับไป” ให้กำหนด “ดับหนอ ดับหนอ” หรือกำหนดว่า “นึกหนอ นึกหนอ” ถ้าหากท่านนึกว่าเป็น “ความไม่เที่ยง” ให้กำหนดว่า “ไม่เที่ยงหนอ ไม่เที่ยงหนอ
ไม่เที่ยงหนอ” หรือกำหนดว่า “นึกหนอ” ถ้าหากท่านคิดว่าท่านรู้โดยอัตโนมัติ จากนั้นให้กำหนดว่า “รู้หนอ รู้หนอ” จากนั้นให้กลับไปกำหนดอาการพองอาการยุบเป็นปกติต่อไป
ผู้ที่ไม่รู้วิธีกำหนด ควรได้รับการแนะนำอย่างดี การถามทุกวันถึงสิ่งที่เขากำหนดและวิธีที่เขากำหนด ให้คำแนะนำบ้างเมื่อจำเป็น
ควรให้ความช่วยเหลือแก่โยคีบ้าง เพื่อปลูกศรัทธา ฉันทะ และความเพียรในการปฏิบัติให้สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว จากระดับนี้ขึ้นไปถึงระดับที่อุปกิเลส (อุปสรรคของการปฏิบัติ) ปรากฏ ถ้าหากพระวิปัสสนาจารย์สามารถแสดงธรรมให้โยคีฟังด้วยการมีศรัทธาและเมตตา ก็จะช่วยให้โยคีเกิดความเชื่อมั่น ความพอใจ และความพยายาม ทำให้ปัญญา และการปฏิบัติของโยคีสามารถพัฒนาได้เร็วขึ้น
เมื่อโยคีประสบกับอุปกิเลสอย่างชัดเจน ก็ไม่จำเป็นที่จะสนทนาธรรม ในทางตรงกันข้าม ควรแนะนำให้โยคีมีการสำรวมมากขึ้น ลดความอยากพูดอยากคุยอยากสนทนา เตือนพวกเขาให้กำหนดด้วยความมุ่งมั่น และกำหนดให้เท่าทันอาการทุกครั้งที่มีสิ่งเกิดขึ้นในใจและร่างกายของพวกเขา
หลังจากใช้เวลาอยู่หลายวัน โยคีที่สามารถพัฒนาสติ สมาธิและปัญญาได้ จะกล่าวว่า
โยคีรายงาน ขณะที่ปฏิบัติดีมาก จิตสงบนิ่งทุกครั้งที่ได้ปฏิบัติ สามารถกำหนดอาการพองอาการยุบ การนั่ง การสัมผัสได้อย่างดีต่อเนื่อง บางทีขณะกำหนดอาการพองและอาการยุบ เพียงบริกรรม (พูดในใจ) แต่จิตก็ล่องลอยไปไม่อยู่กับที่ บอกไม่ได้ว่าจิตลอยไปไหน รู้เพียงว่าจิตล่องลอยออกไปเท่านั้น
ถาม ตอนที่ท่านกำหนดได้ไม่ดี เป็นเหมือนตอนที่เริ่มปฏิบัติหรือไม่ หรือมันเปลี่ยนจากการกำหนดได้ดีเป็นกำหนดได้ไม่ดี
โยคีรายงาน ตอนแรก การปฏิบัติดี จิตใจอยู่กับอาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส เป็นต้น ตลอดเวลา สติมั่นคง แต่ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าใจลอยไปไหน มันไม่อยู่กับสิ่งที่กำหนด ข้าพเจ้าพยายามอย่างหนักที่จะกำหนดให้ได้ แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งแย่ลง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกก็ท้อใจมาก
การช่วยเหลือ เมื่อท่านกำหนดได้ดี ก็จะมีความรู้สึกยินดีความพอใจ และความตั้งใจที่จะปฏิบัติให้มากขึ้น ถ้าท่านกำหนดความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้ การกำหนดก็ไม่มีผลดีแต่อย่างใด (บางทีโยคีก็จะหยุดชะงักในความพยายามและก็ปฏิบัติในอิริยาบถที่ง่ายๆ เนื่องจากการกำหนดของโยคีนั้นทำได้ไม่ค่อยดี บางทีโยคีก็จะหวังที่จะถึงระดับที่เขาสามารถกำหนดได้ดี แต่สิ่งนั้นก็อาจนำเขาไปสู่ภาวะที่แย่กว่าเดิมได้ จงให้คำแนะนำแก่เขาดังกล่าวไว้แล้วข้างต้นและเตือนเขาว่า ในอนาคตเพื่อที่จะไม่ผิดพลาดสิ่งใด หรือเพื่อที่จะกำหนดได้ทันทีที่ความรู้สึกเหล่านี้ปรากฏขึ้น)
หากท่านสามารถกำหนดได้อย่างคงที่แล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะหายไปเอง เมื่อท่านกำหนดได้ดี ก็กำหนดให้เป็นปกติ อย่าหย่อนหรือตึงเกินไป เพียงกำหนดอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ท่านสามารถกำหนดได้ดี
โยคีรายงาน ตอนแรก การปฏิบัติดีมาก แต่ต่อมาก็ไม่ดีเหมือนตอนเริ่ม ก็คิดว่า “ทำไมตอนนี้เรากำหนดได้ไม่ดีเหมือนก่อนหน้านี้” ทำให้พยายามอย่างหนักที่จะกำหนดให้ได้ แต่กลับยิ่งแย่กว่าเดิม ทำให้รู้สึกท้อใจเป็นอย่างมาก
การช่วยเหลือ เพราะความคาดหวังที่จะกำหนดให้ได้ดี ความโลภจึงเป็นเหตุทำให้ท่านรู้สึกแย่ลง บางทีถ้าท่านมีความอยากหรือพยายามมากเกินไป ท่านก็จะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม โยคีต้องฝึกสติเพื่อกำจัดโลภะและโมหะ ดังนั้น ไม่ควรให้โลภะ และโทสะเข้ามา โยคีจึงจะสามารถปฏิบัติได้ดีขึ้น การกำหนดได้ดีที่ผ่านไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะคาดหวังให้สิ่งเดิมเกิดขึ้นอีก ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นได้ตามต้องการ เพราะฉะนั้น จงยอมรับความจริงว่าสิ่งทั้งหลายก็เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ปล่อยให้สภาวธรรมเป็นไป เพียงแต่กำหนดสิ่งที่ปรากฏขึ้นเท่านั้น
แนะนำให้โยคีกำหนดอย่างต่อเนื่อง และบอกนิวรณ์ที่เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติให้โยคีทราบ และบอกวิธีแก้ไขนิวรณ์ด้วย เมื่อโยคีรู้สึกเชื่อมั่นในคำแนะนำนั้นแล้ว และได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องภายในหนึ่งชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมง โยคีจะมีกำลังปฏิบัติสมาธิอย่างชัดแจ้งในปัจจุบันขณะ สามารถรู้เท่าเท่าทันอารมณ์ได้อย่างมั่นคง การกำหนดก็จะดีขึ้น
เมื่อกำลังสมาธิดีแล้ว บางคนอาจเห็นแสงสว่าง, สวนดอกไม้, พระพุทธเจ้า, พระอรหันต์, บ้าน, วัด, ผู้คนต่างๆ หรือสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้น บางครั้งเห็นซากศพทั้งสัตว์ใหญ่น้อย บางทีโยคีอาจรู้สึกเหมือนถูกถลกหนังออกจากกาย หรือศีรษะ มือ ขา หรือส่วนอื่นของร่างกายถูกตัดออกไป โยคีก็ชอบพอใจสิ่งเหล่านั้นด้วยความสุข หรือสะดุ้งหวาดกลัว บางคนอาจเห็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเข้าไปกราบไหว้บูชา ได้เห็นภาพที่ชัดเจนเหล่านี้ จึงรู้สึกเคารพ และกตัญญูต่อการปฏิบัติ และครูบาอาจารย์
คำแนะนำ โยคีไม่ควรยินดีเมื่อนิมิตเหล่านี้ปรากฏขึ้น หากรู้สึกยินดี จะทำให้ความโลภเกิดขึ้นและการกำหนดก็จะหยุดไป บุคคลไม่ควรกราบไหว้นิมิตอีกด้วย เพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ หากโยคีหวาดหวั่นต่อสิ่งใด ความโกรธก็จะบังเกิดขึ้นและการกำหนดก็จะหยุดไป นิมิตทั้งหมดหรือสิ่งที่กำหนดไม่ใช่สิ่งพิเศษแต่อย่างใด เมื่อกำลังสมาธิดี ความคิดเหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่พิเศษแต่อย่างใด มันเป็นเพียงบัญญัติของวัตถุเหมือนกับที่ปรากฏในฝันเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ท่านได้เห็นเป็นสิ่งที่เหมือนกับว่า ท่านได้เห็นจริงๆ ดังนั้นให้กำหนดว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ” กับสิ่งนั้นจนกว่ามันจะดับไป
ทุกครั้งที่ท่านพบกับนิมิตเหล่านั้นอย่าได้ยึดติดกับมันแต่จงกำหนดว่า “เห็นหนอ” จนกว่านิมิตจะดับไป ให้มีความเชื่อมั่นในการกำหนด สิ่งเหล่านั้นจะดับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าหากท่านยังคงรู้สึกยินดีพอใจกับมัน ชอบใจหรือไม่ชอบใจแล้ว ให้กำหนดสิ่งนั้นและให้ละความรู้สึกที่ยึดติดกับการกำหนดแต่ละครั้งละทิ้งไป แล้วให้กลับไปกำหนดวิธีเดิม
โยคีที่เพ่งปฏิบัติเป็นปกติ หลังจากที่นิมิตต่างๆ และความคิดหลากหลายดับไปแล้ว ก็จะสามารถแยกได้อย่างชัดเจน ระหว่างสิ่งต่างๆ เช่น (อาการพอง อาการยุบ) และจิตที่กำหนดรู้ การกำหนดจิตแต่ละครั้งมีความแตกต่างและความรู้ที่ชัดแจ้ง การกำหนดก็ดีขึ้น หลังจากนั้น โยคีบางคนอาจจะกล่าวว่า
โยคีรายงาน อาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส การคู้ การเหยียด และจิตที่กำหนดเป็นของคู่กัน
โยคีรายงาน จิตที่กำหนดและสิ่งที่ถูกกำหนด แยกออกจากกัน
โยคีรายงาน จิตที่กำหนดและสิ่งที่กำหนด ดูเหมือนกับว่าใกล้เคียง
กันมาก
โยคีรายงาน จิตที่กำหนดและสิ่งที่ถูกกำหนด เป็นไปพร้อมกัน
โยคีรายงาน ตอนแรก คิดว่า จิตที่กำหนดมาจากปาก แต่ตอนนี้คิดว่าจิตที่กำหนดมาจากช่วงท้อง
โยคีรายงาน ตอนแรกคิดว่า การกำหนดจิตมาจากภายในกาย แต่ตอนนี้ คิดว่ามาจากนอกกาย
ข้อสังเกต ที่โยคีกล่าวอย่างนี้ เพราะการน้อมจิตไปหาสิ่งที่กำหนด (สามัญญลักษณะ) ปรากฏชัด
โยคีรายงาน จิตที่กำหนดรู้เหมือนกับลำแสงตกบนวัตถุหรือสถานที่
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้ เคยคิดว่า อาการพอง อาการยุบ เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะมันเกิดจากช่วงท้องอันเดียวกัน ตอนนี้จึงได้รู้ว่า อาการพองอาการยุบแยกออกจากกันเป็นสองสิ่ง และการกำหนดก็เป็นคนละอาการ ไม่ได้รวมกันเลย
โยคีรายงาน ตอนแรกคิดว่าอาการพองอาการยุบมาจากที่เดียวกัน (ช่วงท้อง) และคิดว่ามันรวมอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้เห็นมันแยกกัน และการกำหนดในใจก็เป็นคนละสิ่งกัน
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้ เคยพูดว่า อาการพองและอาการยุบปรากฏชัด แต่หลังจากนั้นชักไม่แน่ใจ เพราะจริงๆตอนนี้มันแยกกันอยู่ การกำหนดในใจก็แยกโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ทั้งหมดนั้นเป็นสภาวะของมันเองตามธรรมชาติ และไม่รวมอยู่ด้วยกัน และก็ไม่สามารถให้มันรวมอยู่ด้วยกันได้
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้ เคยคิดว่า จิตที่กำหนดรู้นั้นเป็นอันเดียวกันตลอด แต่ตอนนี้พบแล้วว่าในการกำหนดแต่ละอย่างมีการแยกออกจากกันเป็นเอกเทศ
โยคีรายงาน บ่อยครั้งที่ได้พบอาการพอง อาการยุบ ที่เหมือนจะเคลื่อนออกไปไกล
โยคีรายงาน อาการยุบยังอยู่เมือนเดิม แต่อาการพองใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นจนถึงเพดาน
ข้อสังเกต ที่เป็นอย่างนี้ เพราะเมื่อโยคีกำลังกำหนดอาการพอง อาการยุบ กำลังสมาธิเพิ่มมากขึ้น แต่ปัญญายังน้อย ดังนั้นจิตจึงวกกลับไปที่อารมณ์กรรมฐาน โยคีไม่เข้าใจจุดนี้ เขาเพียงแต่อธิบายตามที่เขาคิด พระวิปัสสนาจารย์ควรแนะนำเขาให้กำหนดจุดพิเศษ
เพิ่มเติมว่า นั่งหนอ ถูกหนอ นอนหนอ ถูกหนอ เพิ่มขึ้นในระดับนี้
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดการได้ยิน สามารถรู้ว่าการได้ยินและจิตที่กำหนดรู้นั้นเป็นคนละอย่างกัน
โยคีรายงาน เสียงเป็นคนละอย่างกับจิตที่กำหนดรู้
โยคีรายงาน การได้ยินเป็นอย่างหนึ่ง เสียงก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
โยคีรายงาน การได้ยิน เสียง และจิตที่กำหนดรู้เป็นคนละอย่างกัน
โยคีรายงาน เสียงเข้ามากระทบหู การได้ยินเกิดขึ้นจากภายในหู
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดการคู้ ความต้องการคู้ เป็นอีกอย่างหนึ่งและอาการคู้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง การกำหนดเป็นอย่างหนึ่งและการคู้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
โยคีรายงาน การกำหนด แยกออกจากการคู้
โยคีรายงาน เมื่อการคู้ การเหยียด ความต้องการเหยียดเป็นอย่างหนึ่ง และการเหยียดก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง การกำหนดการเหยียดเป็นอย่างหนึ่ง และการเหยียดก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ความต้องการเหยียดแยกต่างหากจากการเหยียดจริง
โยคีรายงาน ขณะกำลังกำหนดที่อาการพอง อาการยุบ อยู่นั้น อาการพองเกิดจากอาการหนึ่ง และการยุบก็เกิดจากอีกอาการหนึ่ง
ข้อสังเกต โยคีอธิบายการกำหนดที่เกิดโดยความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาจะต้องยึดติดกับบุคคลหรือสิ่งใดๆ
โยคีรายงาน เมื่อกำลังกำหนดอาการพองและอาการยุบ บริเวณที่กำหนดเป็นอย่างหนึ่ง และการกำหนดอาการพอง อาการยุบก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
โยคีรายงาน ไม่รู้จิตกำลังกำหนดที่ไหน ไม่รู้ว่าอาการพองอาการยุบมาจากที่ไหน แต่การกำหนดก็ทำได้ดี
ข้อสังเกต ท่าทางของร่างกายหายไป การกำหนดเป็นไปเองและอาการพอง อาการยุบ แยกออกจากกันชัดเจน
โยคีรายงาน เมื่อกำลังกำหนดว่า “นั่งหนอ นั่งหนอ” การกำหนดจิตเป็นอย่างหนึ่ง การนั่งก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
โยคีรายงาน ขณะนั่ง กำหนดว่า “นั่งหนอ” รู้ว่ากำลังนั่ง แต่บอกไม่ได้ว่า รู้จากตรงไหน
ข้อสังเกต ที่เป็นดังนี้เพราะว่า โยคีรู้รูปนั่งเฉพาะทางร่างกาย และไม่สนใจการรับรู้ทางจิตที่แตกต่างกัน
โยคีรายงาน ขณะกำลังกิน กำลังเคี้ยว การกำหนดว่า “เคี้ยวหนอ” เป็นอย่างหนึ่ง การเคี้ยวก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
โยคีรายงาน ร่างกายกำลังกิน เพราะจิตต้องการกิน
ข้อสังเกต การที่โยคีรายงานแบบนี้ เพราะเป็นคนไม่ฉลาด
โยคีรายงาน เมื่อกำลังกำหนดว่า “ถูกหนอ ถูกหนอ” การกำหนดแต่ละครั้งมุ่งตรงไปที่จุดแห่งการสัมผัส เหมือนกับว่าได้สัมผัสจริงๆ
โยคีรายงาน เมื่อวางมือซ้อนกัน และเพ่งจิตไปที่จุดกระทบสัมผัสที่มือซ้ายบน ไม่อาจรู้สึกถึงมือด้านล่างได้เลย เพียงได้รู้สึกถึงการสัมผัสของมือด้านล่างเท่านั้น
โยคีรายงาน ตอนที่ได้กำหนดมาที่จุดที่กระทบสัมผัสแต่ละจุด และ
การกระทบสัมผัสแล้ว ก็รู้ได้ว่าเป็นคนละอย่างกัน ตรงไหนหรือเมื่อไรก็ตามที่กำหนด จุดที่กระทบสัมผัสเป็นอย่างหนึ่ง จิตที่กำหนดที่กำลังกำหนดว่า “ถูกหนอ” ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
โยคีรายงาน กำหนดอยู่ที่อาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส หรือ การคู้ การเหยียด เมื่อไรก็ตามที่กำหนดว่า รู้สึกเพียงสิ่งที่กำหนด และจิตที่กำหนดเท่านั้น ก็มีเพียงสองสิ่งนั้นเท่านั้น
โยคีรายงาน กำหนดอารมณ์กรรมฐาน และจิตที่กำหนดก็อยู่ตลอด
ข้อสังเกต โยคีบางท่านอาจยกอุปมาในสิ่งที่พวกเขาได้พบมาดังนี้
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดอยู่บนอาการพอง อาการยุบ เหมือนมีหอกกำลังแทงตาอยู่
โยคีรายงาน การกำหนด อาการพอง และอาการยุบ เหมือนขว้างก้อนหินไปที่โคลนตม
ข้อสังเกต ในการอุปมาของโยคี อาการพองและอาการยุบ เทียบได้กับโคลนตม และก้อนหินแข็งเป็นจิตที่กำหนด
โยคีรายงาน การกำหนดเหมือนการขว้างก้อนหิน หรือก้อนอิฐไปที่ผลไม้ที่อยู่บนต้น (ในที่นี้ อาการพอง และอาการยุบ เปรียบได้กับผลไม้ และก้อนหินที่เหมือนกับจิตที่กำหนด)
โยคีรายงาน เหมือนกับการเล่นกล่องที่อยู่รอบๆ ตัว (ในที่นี้ กล่องอาจจะเหมือนอารมณ์ที่ถูกกำหนด เป้าหมาย และมือที่เล่นกล่อง เป็นเหมือนจิตที่กำหนด)
โยคีรายงาน ขณะกำลังนอน กำหนดว่า “นอนหนอ” รู้สึกเหมือนกับว่า ท่อนซุงทับและไม่รู้อะไรเลย ไม่สามารถเคลื่อนไหว ก็กำหนดจิตว่า “นอนหนอ” ต่อไป
ข้อสังเกต ในที่นี้โยคีเข้าใจชัดเจนว่า รูปกายไม่สามารถรู้ได้ จิตเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้
โยคีรายงาน อะไรก็ตามที่กำหนด วิธีที่จิตกำหนดวิ่งตรงไปที่เป้าหมาย หรือสิ่งที่กำหนด เหมือนนกที่ใช้ปากจิกสิ่งของ
โยคีรายงาน ร่างกายทำสิ่งที่ใจต้องการ อุปมาเป็นเหมือนบ่าวและนาย หรือเป็นเหมือนโคกับคนบังคับเกวียน
สรุป สิ่งที่ถูกกำหนดและจิตที่กำหนดเท่านั้น ที่ติดกันอยู่เป็นคู่ นอกจากสิ่งที่ถูกกำหนดและจิตที่กำหนด ไม่มีอะไรเลย เช่น สัตว์หรือบุคคล ถ้าหากโยคีเข้าใจสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ขณะที่เขากำลังกำหนด โยคีจะมีความปีติกับความรู้ที่เรียกว่า “นามรูปริจเฉทญาณ” (ปัญญาที่แยกระหว่างรูปและนามได้) โยคีที่ได้พบญาณอย่างทั่วถึงแล้ว ก็จะสามารถอธิบายด้วยคำของตนเองได้อย่างชัดเจน ที่แสดงถึงความรู้ของเขา ให้ถามคำถามที่เหมาะสม เพื่อทดสอบโยคีที่ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เขารู้ได้ต่อไป
“จบนามรูปริจเฉทญาณ”
ปัจจยปริคคหญาณ
(ปัญญาแยกเหตุและปัจจัย)
โยคีที่มีความรู้ระดับนี้อาจจะพูดดังนี้
โยคีรายงาน ขณะที่กำลังกำหนดอาการพอง อาการยุบ การนั่งอยู่นั้น ก็มีอารมณ์กรรมฐานให้กำหนดอยู่เสมอ ไม่ต้องพยายามที่จะต้องกำหนดเลย มีอารมณ์เกิดขึ้นให้กำหนดอย่างต่อเนื่อง และตนก็กำหนดตามสภาวธรรมที่ปรากฏ
ข้อสังเกต ในที่นี้ อารมณ์ต่างๆ เป็นเหตุ และการกำหนดเป็นผล
โยคีรายงาน เห็นนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และได้กำหนดทุกครั้งที่นิมิตปรากฏ การกำหนดอารมณ์ยังไม่ทันดับไป ก็มีอารมณ์อื่นปรากฏเกิดขึ้น และตนก็กำหนดอารมณ์อื่นที่เข้ามานั้นต่อไป
ข้อสังเกต ที่โยคีกล่าวอย่างนี้เป็นเพราะจิตเป็นเหตุ การกำหนดเป็นผล ต่อมาก็ให้อธิบาย ความสัมพันธ์ของอารมณ์ที่ถูกกำหนดและการกำหนด พร้อมอธิบายวิธีการที่โยคีจะสามารถพอใจกับความรู้ที่เกิดขึ้นนั้นได้
โยคีรายงาน ขณะที่กำลังกำหนดความปวด การคันอยู่ และก่อนที่จะเวทนานั้นจะดับไป ก็มีเวทนาอันอื่นเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็กำหนดเวทนาที่ปรากฏขึ้นทุกครั้ง
โยคีรายงาน คิดว่า ช่างโชคร้ายที่มีเวทนามาก
ข้อสังเกต พระวิปัสสนาจารย์ควรเข้าใจว่า ที่โยคีคิดอย่างนั้น เนื่องจากเวทนานั้นเกิดจากกรรม ตัณหา อุปาทาน
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดอาการพองและอาการยุบ อารมณ์ที่ถูกกำหนดและการกำหนดเกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อกำหนด “พองหนอ พองหนอ” “ยุบหนอ ยุบหนอ” การกำหนดมุ่งที่อารมณ์กรรมฐานโดยตรง อาการท้องพอง ท้องยุบที่กำหนด ปรากฏชัดเจน เมื่อก่อนการกำหนดไม่ดีเหมือนตอนนี้ เพราะสิ่งที่ถูกกำหนดและการกำหนดเกิดขึ้นพร้อมเพรียงกัน
โยคีรายงาน คิดว่า โชคดีเหลือเกินที่รู้เห็นสภาวธรรมเหล่านี้ และได้พบพระวิปัสสนาจารย์ดีๆ ข้าพเจ้าซาบซึ้งถึงบุญคุณต่อผู้ที่ช่วยให้ตนได้มาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ทำให้ได้พบกับพระวิปัสสนาจารย์ที่สอนการปฏิบัติให้แก่ข้าพเจ้า
ข้อสังเกต การที่โยคีมีการพัฒนาสภาวธรรมที่ดี เพราะมีบารมี และมีอุปนิสัยในการฟังธรรมด้วย
คำเตือน ตอนที่ท่านมีสมาธิดี การกำหนดอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาของท่านสามารถกำหนดได้ดี แต่ท่านไม่ควรคาดหวังให้มันดีทุกครั้งเหมือนตอนนี้ บางครั้งการกำหนดอาจจะไม่ทันบ้าง หากท่านพบว่าการกำหนดได้น้อยลงก็ไม่ต้องเสียใจ หรือล้มเลิกกำหนด ท่านต้องพยายามกำหนดต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจะสามารถข้ามพ้นภาวะซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย และอย่าลืมกำหนดความคิดหรือความรู้สึกอันนั้นด้วย
โยคีรายงาน เบื้องต้นสามารถกำหนดได้เท่าทันทุกอาการ หลังจากนั้นอาการพองและการยุบดูเหมือนว่าจะสั้นลงๆ ราวกับว่าการกำหนดถูกขยายให้ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น ทำให้การกำหนดยากขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่ากำหนดได้ไม่ดีเลย
ข้อสังเกต ในที่นี้ ให้หาเหตุผลของที่เป็นเช่นนี้และแก้ไขให้ถูกต้อง
โยคีรายงาน อาการพองและอาการยุบ หายไปเลยและไม่มีสิ่งให้กำหนด ต้องหาอาการพอง อาการยุบ แล้วก็กำหนด
ข้อสังเกต ถ้าไม่มีอารมณ์ให้กำหนด (เหตุ) ก็จะไม่มีการกำหนด (ผล) ดังนั้นให้อธิบายความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล
การแก้ไขให้ถูกต้องและการช่วยเหลือ
เมื่ออาการพองและการยุบไม่ชัดเจน หรือหายไปเลย ไม่ต้องไปค้นหา ให้กำหนดอาการนั่ง อาการถูกสัมผัส หรืออาการนอน อาการสัมผัสแทน เมื่อกำลังกำหนดอยู่ที่ถูกกระทบสัมผัส ให้ย้ายการกำหนดจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น กำหนดว่า “นั่งหนอ” ให้กำหนดว่า “ถูกหนอ” (สัมผัสหนอ) ที่ขาขวา จากนั้นให้ย้ายการกำหนดไปที่อาการถูก (สัมผัส) ที่ขาซ้าย ให้ย้ายตำแหน่งการกำหนดที่ถูกสัมผัสไปตามจุดสัมผัสแต่ละจุด หรือมากกว่านั้น การย้ายการกำหนดอาการพองและการยุบที่เคลื่อนไหวไปยังจุดที่สงบนิ่งตามสภาวะธรรมชาติ ณ จุดนี้โยคียังมีความรู้น้อย ดังนั้น โยคีจึงไม่รู้วิธีการนี้ จึงควรแนะนำโยคีว่า“ไม่ต้องท้อแท้ ให้กำหนดต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้า ปัญญาของท่านจะพัฒนามากขึ้น ก็จะสามารถรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง และสมาธิของท่านจะดีขึ้นด้วย” ให้ช่วยโยคีไปจนกว่าเขามีฉันทะ และจิตศรัทธา
โยคีรายงาน เมื่อได้ยินเสียงที่เข้ามากระทบหู การได้ยินเสียงนั้นก็เกิดขึ้น เมื่อการได้ยินเสียงเกิดขึ้น จึงกำหนดว่า “ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ”
ข้อสังเกต ที่โยคีเข้าใจว่าได้ยินเสียง เพราะมีหูและเสียง เพียงเพราะมีเสียงที่ได้ยินและมีการกำหนดเสียงที่เกิดขึ้นนั้น
โยคีรายงาน ตอนแรกได้ยินแค่เสียงเท่านั้น เนื่องจากกำลังจดจ่ออยู่กับอาการพอง อาการยุบ จึงดูเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงอะไร เพราะว่าไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนั้น จึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ข้อสังเกต ในที่นี้โยคีรู้เพียงว่า ถ้าหากมีมนสิการอยู่กับการตั้งใจ (เหตุ) ก็จะมีการได้ยิน (ผล) ถ้าไม่มีมนสิการ(เหตุ)ก็จะไม่มีการได้ยิน (ผล)
โยคีรายงาน เมื่อมีอารมณ์ปรากฏโดยธรรมชาติ ข้าพเจ้าจึงกำหนดว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ” ในครั้งแรก ลืมกำหนดและหลงดูเท่านั้น ไม่ได้กำหนด เมื่อเข้าใจว่าอารมณ์ทุกอย่างควรกำหนดทั้งหมด ดังนั้น จึงใช้สติระลึกรู้อารมณ์ทุกอย่างที่กำหนด พออารมณ์ปรากฏเกิดขึ้น ก็กำหนดทันทีว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ”
คำแนะนำ บอกโยคีว่า เนื่องจากความตั้งใจ (เป็นเหตุ) การกำหนด (เป็นผล)
โยคีรายงาน ต้องกำหนดอารมณ์ต่างๆ มากมาย แทบทุกครั้ง เช่น รูปนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ในรูปลักษณะต่างๆ
โยคีรายงาน ขณะกำลังกำหนดเห็น พระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ก็มีปรากฏให้กำหนด และเมื่อสิ่งเหล่านั้นดับไป ก็กลับมากำหนดอาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส เปลี่ยนอารมณ์กำหนดตามอาการที่ปรากฏชัด
โยคีรายงาน ต้องกำหนดเวทนาที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เปลี่ยนจากเวทนาตัวหนึ่งไปยังเวทนาอีกตัวหนึ่งบ่อยครั้ง เช่น อาการคัน ความร้อน ความวิตกกังวล ความเจ็บ ความปวด
โยคีรายงาน กำหนดเวทนาต่างๆ เช่น ความคัน ความร้อน ความวิตกกังวล และกลับมากำหนดที่อาการพอง อาการยุบ ต้องย้ายการกำหนดอยู่บ่อยครั้ง
คำเตือนและการช่วยเหลือ ขณะที่ท่านกำลังพบกับอารมณ์ที่ต้องกำหนดหลายอย่าง ท่านควรกำหนดอารมณ์เหล่านั้น เพื่อไม่ให้ท่านรู้สึกยินดีพอใจ หรือยึดอารมณ์เหล่านั้น ถ้าหากท่านเป็นสุขหรือชื่นชอบอารมณ์ที่กำหนด ให้กำหนดว่า “สุขหนอ สุขหนอ” หรือ “ชอบหนอ ชอบหนอ” ตามอารมณ์ที่ท่านกำหนด ให้เตือนโยคีไม่ให้กลัวหรือท้อแท้ เมื่ออารมณ์ที่ต้องกำหนดและเวทนาปรากฏขึ้นอีกด้วย
โยคีรายงาน ขณะที่กำหนดอาการพอง อาการยุบ ไม่เห็นนิมิตทั้งหลาย เช่น เมฆ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือ
สีเขียว สีน้ำเงิน สีเหลือง แสงสว่าง หรือสีรุ้ง เหมือนโยคีท่านอื่นๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่านิมิตเหล่านั้นจะเกิดกับตนเองหรือไม่
ถาม ท่านกำหนดอย่างไร? ชัดเจนหรือไม่? ท่านยินดีพอใจในการกำหนดอารมณ์ที่ปรากฏหรือไม่ ถ้ามีอารมณ์อื่นให้กำหนด ก็จะมีการกำหนดรู้ที่จิต
โยคีรายงาน การกำหนดที่ชัดเจน เมื่ออาการพองปรากฏเท่านั้น
จึงกำหนดว่า “พองหนอ” ได้ เมื่ออาการยุบปรากฏ
จึงกำหนดว่า “ยุบหนอ” ได้ ความต้องการคู้ การเหยียด และจิตจดจ่ออยู่กับการกำหนดอย่างเท่าทันอาการ แต่เมื่ออารมณ์เหล่านั้นปรากฏชัด ข้าพเจ้ายินดีพอใจในการกำหนดนั้น แต่ไม่เห็นนิมิตทั้งหลายที่พิเศษเหมือนคนอื่นเลย
ข้อสังเกต โยคีนั้นมีการปฏิบัติที่ย่อหย่อนลงจากที่เคยปฏิบัติได้ดี เพราะจิตใจเขาท้อถอย และเขารู้สึกท้อแท้เบื่อหน่าย เขาจึงไม่ยินดีพอใจในการปฏิบัติเพื่อปฏิบัติให้ดี
การช่วยเหลือ ขณะที่ท่านกำลังกำหนดอาการพองการยุบอยู่
เมื่อโยคีเห็นภาพนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ก็ต้องกำหนดเหมือนกัน อารมณ์ใดเกิดขึ้นก็ตาม ก็ต้องกำหนดทั้งสิ้น ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับอารมณ์ที่ต้องกำหนด เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้นำผลพิเศษมาแต่อย่างใด ให้อธิบายว่า ไม่ว่ากำหนดอะไรก็ตาม ในการกำหนดแต่ละครั้งก็มีไตรสิกขารวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น
ตัวอย่าง เมื่อไรก็ตามที่ท่านกำลังกำหนด ไม่ว่าจะเป็นอาการพอง อาการยุบ การคู้ การเหยียด การเห็น หรือการได้ยินก็ตาม ชื่อว่า ท่านกำลังรักษาศีลอยู่ ศีลของท่านก็บริบูรณ์ อาจกล่าวได้ว่า ใจจดจ่ออยู่กับอารมณ์ที่กำหนด สมาธิเกิดขึ้นและบริบูรณ์ด้วย ใจที่รู้ธรรมชาติอันแท้จริงแห่งอารมณ์ที่กำหนดก็ทำให้เกิดปัญญา ทุกครั้งที่ท่านรู้อาการพอง อาการยุบ เกิดขึ้น ปัญญาของท่านเกิดแล้ว เพราะมีอาการพอง อาการยุบ ท่านจึงได้มีการกำหนดและสามารถรู้ได้ เนื่องจากความต้องการคู้เกิดขึ้น ท่านจึงได้คู้ เนื่องจากความต้องการเหยียดเกิดขึ้น ท่านจึงได้เหยียด และกำหนดสิ่งเหล่านั้นตามอาการ ท่านอาจยินดีพอใจในขณะกำหนดแต่ละครั้ง ความรู้สึกยินดีที่รู้สึกได้เรียกว่า “ปัญญา”
ขณะที่ท่านกำลังกำหนดอยู่นั้น ท่านรู้ว่าเพราะมีความอยากกิดขึ้น ท่านจึงได้กำหนดว่า “อยากหนอ อยากหนอ” เพราะมีสิ่งที่ท่านชื่นชอบ ท่านจึงได้กำหนดว่า “ชอบหนอ ชอบหนอ” เพราะท่านรู้สึกท้อแท้ ท่านจึงได้กำหนดว่า “ท้อแท้หนอ ท้อแท้หนอ” เพราะใจล่องลอย ท่านจึงได้กำหนดว่า “ล่องลอยหนอ ล่องลอยหนอ” แต่ละครั้งที่ท่านกำหนด ความรู้ท่านก็จะชัดเจน และท่านรู้สึกยินดีกับการกำหนดในแต่ละครั้งนี้เรียกว่า “ปัญญา” เพราะฉะนั้นโยคีที่กำหนดได้อย่างดีในแต่ละอารมณ์ที่ต้องกำหนดนั้นก็จะมีไตรสิกขาเกิดขึ้นกับจิต (ศีล สมาธิ ปัญญา) อย่างสมบูรณ์ การกำหนดแต่ละครั้งจะก่อให้เกิดศีล สมาธิ และปัญญา ท่านจะต้องการได้อะไรมากกว่านี้อีก? เพียงกำหนดด้วยความพยายามและรู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบัน) ในที่นี้พระวิปัสสนาจารย์ควรให้คำแนะนำ ช่วยเหลือมากๆ เท่าที่จะกระทำได้)
โยคีรายงาน เมื่อก่อน กำหนดการคู้ และการเหยียด ได้กำหนดเพียง “คู้หนอ” หรือ “เหยียดหนอ” แต่ไม่เคยรับรู้ความต้องการคู้หรือเหยียดจริงๆ ตอนนี้สามารถรับรู้ความต้องการคู้ได้จากขณะจิตที่ปรากฏขึ้น หลังจากที่ได้กำหนดต้นจิตที่จะคู้ว่า “คู้หนอ คู้หนอ” เมื่อก่อนคิดว่าสามารถคู้ได้ทุกครั้งที่ต้องการ แต่ตอนนี้รู้ว่าเพราะมีต้นจิตอยากจะคู้เกิดก่อน จึงได้คู้
โยคีรายงาน ถ้าหากคู้ไป ความต้องการคู้เกิดขึ้นก่อน จากนั้นอาการคู้จึงเกิดตามมา หลังจากที่ได้กำหนดความต้องการคู้ ความต้องการคู้อื่นก็ยังไม่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็กำหนดความต้องการคู้ ซ้ำอีกประมาณ ๓ - ๔ ครั้ง จึงทำการกำหนดคู้ และคู้ออกไป ดังนั้น ไม่มีฉันทำในการคู้เลย
ข้อสังเกต โยคีจะอธิบายในการกำหนดอารมณ์อื่นๆ เหมือนกัน เช่น การเหยียด การนั่ง การนอน การลุก การเดิน การยืน การเคลื่อนไหว ตลอดจนการเปลี่ยนท่า เป็นต้น โยคีจะกล่าวด้วยว่า การกิน การดื่ม ก็มาจากเพราะความต้องการกินหรือดื่มก่อนนั่นเอง
โยคีรายงาน บางครั้ง รู้สึกเย็นวาบขึ้นจากต้นขา รู้สึกขนลุกวูบวาบ และรู้สึกสั่นเป็นระยะๆ
โยคีรายงาน รู้สึกยินดีกับการจดจ่อ และรู้สึกมีความสุข
โยคีรายงาน รู้สึกหวาดกลัว จึงไม่กำหนดต่อ และหยุดการกำหนด
คำแนะนำ ความรู้สึกหนาว ตื่นเต้น อาการสั่นสะท้าน หรือขนลุก อาการกระวนกระวายในร่างกายที่เกิดขึ้น เป็นปรากฏการณ์ทางกายและจิต ที่เกิดจากกำลังของปีติ ที่เกี่ยวเนื่องกับวิปัสสนากัมมัฏฐาน ดังนั้น เพียงแต่กำหนดตามที่รู้สึก เช่น หนาว เย็น กระตุก ขนลุก เป็นสุข ยินดี ชื่นชอบ หากท่านไม่รู้สภาวธรรมนั้นจะเรียกชื่อว่าอะไรให้กำหนดว่า “รู้หนอ รู้หนอ” “กลัวหนอ กลัวหนอ” เป็นต้น กำหนดอย่างจดจ่อจนกว่าสิ่งเหล่านั้นจะหายไป เมื่อความรู้สึกเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น “ขนลุก” ให้บอกโยคีไม่ต้องกลัว แล้วอธิบายให้เขาฟังว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพราะกำลังของปีติเท่านั้นเอง
โยคีรายงาน หลังจากมีอาการขนลุก บ่อยครั้งที่เห็นแสงวูบวาบ แสงสว่าง บางครั้ง รัศมีของแสงขึ้นมาที่หางตา บางครั้งก็อยู่ใต้คาง และที่อก ซึ่งดูเหมือนแสงของพลุ
โยคีรายงาน ในขณะที่กำลังกำหนดสิ่งต่างๆ อยู่นั้น ไม่ว่าอารมณ์ใดก็ตามที่กำหนด ตนกำหนดเพราะว่ามีสิ่งปรากฏเกิดขึ้นให้กำหนด จิตที่กำหนดเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีสิ่งให้กำหนด
โยคีรายงาน ถ้าไม่มีจิต ร่างกายก็จะไร้ประโยชน์เหมือนกับท่อนซุงหรือซากศพ การกระทำทางกายเกิดขึ้นเพราะมีความต้องการเคลื่อนไหวเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วร่างกายก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แต่ประการใด
โยคีรายงาน เมื่อก่อน ไม่เคยรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เลย และคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของดี เพราะคิดว่ามันดี จึงคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ข้อสังเกต ในที่นี้ โยคียินดีพอใจกับความรู้เนื่องจากความไม่รู้ (อวิชชา) ผลของนามรูปจึงเกิดขึ้น
สรุป แต่ละครั้งที่โยคีกำหนด เขาจะรู้เพียงแค่เหตุและผลเท่านั้น โยคีรู้และยินดีพอใจกับความจริงที่ว่า มีเพียงสองสิ่งนั้นเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่น ความรู้เช่นนั้นเรียกว่า “ปัจจยปริคคหญาณ” คือปัญญาที่สามารถแยกระหว่างเหตุและผลได้
ยิ่งกว่านั้น โยคีสามารถรู้ปัจจยปริคคหญาณได้เนื่องจากความต้องการคู้ (นามเป็นเหตุ) การคู้ (รูปเป็นผล) จึงเกิดขึ้น เนื่องจากมีอารมณ์ที่ต้องกำหนด เช่น การปรากฏของรูปและเสียง (เหตุ) มีตาและหู (เหตุ) โยคีจึงได้ยินเสียงและได้เห็น เป็นต้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางใจ (ผล) โยคีรู้สภาวธรรมนั้นได้ก็เพราะการปรากฏที่ชัดเจนแห่งอารมณ์ทั้งหลาย (เหตุ) จึงทำให้มีการกำหนด (ผล) เนื่องจากกรรมเก่า (เหตุ) ปรากฏการณ์ทางกายทั้งดีและชั่ว (ผล) ก็เกิดขึ้น
โยคีที่มีสามารถรู้ได้ดังนี้ เกิดจากการกำหนดที่เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว (ตามระดับบารมี ความสมบูรณ์พร้อมที่เกิดมาพร้อม) ก็จะสามารถเข้าใจเหตุและผลของปรากฏการณ์ธรรมชาติได้อย่างแจ่มแจ้ง โยคีนั้นจะยินดีกับความรู้ของตน และจะกล่าวว่า “ในอดีต การมีอยู่แห่ง นามและรูป ก่อให้เกิด (เหตุ) การมีอยู่แห่งนามและรูปอื่น (ผล) ในอนาคต สิ่งที่คล้ายกันนี้ก็จะเกิดขึ้น นามและรูปที่มีอยู่ปัจจุบันจะเป็น (เหตุ) แห่งนามและรูปในชาติต่อไป (ผล) ดังนั้น โยคีนั้นก็จะรู้ว่าในภพทั้งสาม (อดีต, ปัจจุบัน, อนาคต) มีเหตุและผล คือธรรมชาติแห่งนามและรูปปรากฏอยู่เท่านั้น ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน “จิต” หรือ “ตัวเรา ของเรา” แต่อย่างใด ความยินดีพอใจความรู้นี้นำโยคีไปสู่ “ปัจจยปริคคหญาณ” ขั้นสูงสุด คือความรู้ที่สามารถแยกเหตุและผลออกจากกันได้
“จบปัจจยปริคคหญาณ”
สัมมสนญาณ
ปัญญารู้ไตรลักษณ์
ปัญญาในระดับนี้ โยคีจะพูดว่า การกำหนดหลายๆ สิ่ง เช่น อาการพอง อาการยุบ การถูกกระทบสัมผัส เป็นต้น จะกำหนดได้รวดเร็ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กำหนดได้ดีกว่าเดิม
โยคีรายงาน ขณะที่กำหนดว่า “พองหนอ” รู้สึกถึงอาการพองขณะที่ท้องเริ่มพอง จากนั้นก็พองขึ้นช้าๆ จนอาการพองหยุดการยุบก็เหมือนกัน รู้สึกตั้งแต่ท้องเริ่มยุบ กำลังยุบลงช้าๆ จนสุดยุบ ดังนั้นในการกำหนดแต่ละครั้ง รู้สิ่งที่กำหนดตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด
โยคีรายงาน ขณะกำหนดที่อาการพอง เห็นอาการพองอย่างถี่ๆ ประมาณ ๒ - ๓ ครั้ง ขณะกำหนดอยู่บนอาการยุบ
ก็เห็นการยุบแบบถี่ๆ ประมาณสองสามครั้ง
โยคีรายงาน อาการพอง เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน และอาการยุบ
ก็ยุบอย่างรวดเร็ว
โยคีรายงาน อาการพองและอาการยุบปรากฏขึ้นและหายไปอย่าง
รวดเร็ว
โยคีรายงาน อาการพองและอาการยุบเป็นเหมือนลูกคลื่น
โยคีรายงาน อาการพอง อาการยุบ เกิดหลังกันและกัน
โยคีรายงาน อาการพองและอาการยุบเกิดขึ้นแล้วค่อยๆ หายไป
โยคีรายงาน อาการพองกระตุ๊กขึ้นมา อาการยุบๆ ลงทีละจังหวะ
ข้อสังเกต โยคีที่กล่าวแบบนี้เป็นลักษณะคนมีปัญญา
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดนิมิตที่เกิดขึ้น เช่น เห็นพระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ มนุษย์ เมฆ เป็นต้น ปรากฏขึ้นในจิตใจ กำหนดว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ” จากนั้นนิมิตเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปทีละเล็ก ทีละน้อย เหมือนภาพสโลว์โมชั่น
โยคีรายงาน นิมิตที่เกิดขึ้นจากทางด้านซ้าย เคลื่อนไปทางขวา หรือ เกิดขึ้นทางด้านขวา เคลื่อนไปทางซ้าย
โยคีรายงาน นิมิตที่เกิดขึ้นด้านบนและไหลลงด้านล่างอย่างช้าๆ
โยคีรายงาน นิมิตที่เกิดขึ้นจากข้างล่างและเคลื่อนขึ้นด้านบนอย่าง
ช้าๆ
โยคีรายงาน นิมิตที่เกิดขึ้นจากที่ไกลๆ จากนั้นเคลื่อนเข้ามาแล้ว หายไป
โยคีรายงาน นิมิตที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและเคลื่อนออกไปไกลๆ อย่างช้าๆ และหายไปเลย
โยคีรายงาน นิมิตทั้งหลายปรากฏอย่างชัดเจนแล้วหายไป
โยคีรายงาน นิมิตที่เกิดขึ้นแบบพร่ามัวแล้วหายไป
โยคีรายงาน นิมิตเกิดขึ้นเล็กลงและหายไป
ข้อสังเกต การแสดงออกข้างต้นออกมาจากความรู้สึกที่คล้ายๆ กัน โยคีบางท่านมีความกระปรี้กระเปร่าดีมากทั้งกายและใจ เมื่อพวกเขามีสมาธิ และได้พยายามกำหนดอย่างจดจ่อ ซึ่งก็ได้พบว่า สิ่งที่กำหนดทั้งหลายได้หายไป เล็กลงๆ จากนั้น โยคีก็มีความรู้สึกไม่ชอบใจ (เพราะอารมณ์หายไป) และเริ่มการคาดเดา, การวางแผน, การคิด จนจิตหลงทางไป ณ เวลานั้น โยคีจะกล่าวว่า “ขณะที่กำหนด รู้สึกเหมือนว่างเปล่า การกำหนดถดถอยลง และทำให้รู้สึกเบื่อมาก”
คำแนะนำ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะท่านมีความโลภในการปฏิบัติ ต่อไปอย่าได้เกิดความอยากปฏิบัติ เมื่อการกำหนดดีแล้ว ให้กำหนดอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องท้อแท้ เมื่อการกำหนดทำได้ไม่ดี ให้ทำการกำหนดตามอาการที่ปรากฏ ความคิดว่าการปฏิบัติไม่ดี ควรกำหนดด้วย ให้กำหนดจิตที่เบื่อนั้นด้วย เมื่อท่านกำหนดจดจ่อ ในอารมณ์ที่ถูกต้อง ในแต่ละครั้งจะสามารถทำให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเหล่านั้นหายไปได้
บางคน ขณะกำลังกำหนดอยู่ที่อาการพอง อาการยุบ หรือเวทนาทางกายอย่างอื่น แล้วพบว่า จิตใจจะฟุ้งซ่านไปที่อื่น ไปหาภาพลวงตาต่างๆ เช่น พระพุทธเจ้า วัด ที่ต่างๆ บ้าน คนมากมาย ป่า ภูเขา ท้องทุ่ง หรือที่ทำงานของพวกเขา แต่ทันใดที่โยคีรู้สึกตัว และกำหนดว่า “รู้สึกตัวหนอ รู้สึกตัวหนอ” ความคิดเหล่านั้นก็จะดับหายไป จากนั้นจิตก็กลับมาที่ร่างกาย เช่น อาการพอง และอาการยุบ เป็นต้น
หลังจากกำหนดได้ประมาณ ๙ หรือ ๑๐ ครั้ง จิตก็ฟุ้งไปข้างนอกอีก จากนั้น หลังจากการกำหนดประมาณ ๔ หรือ ๕ ครั้งแล้ว โยคีก็รู้สึกตัวได้ที่และได้กำหนดว่า “รู้สึกตัวหนอ รู้สึกตัวหนอ” ๓หรือ ๔ ครั้ง หลังจากนั้น โยคีก็จะกลับมากำหนดภายในร่างกาย เช่น อาการพอง อาการยุบ เป็นปกติ
ข้อสังเกต โยคีได้กำหนดอาการพอง อาการยุบ และกำหนดจิตใจที่ล่องลอย การกำหนดเปลี่ยนจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่งอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นโยคีก็จะกล่าวดังนี้
โยคีรายงาน จิตใจฟุ้งไปตามเรื่องต่างๆ มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในใจอย่างมากมาย นานๆ จึงจะสามารถกลับมารู้สึกที่อาการพอง อาการยุบ ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในจัดการกับจิตใจที่ฟุ้งซ่าน แต่ดีไม่เท่ากับการกำหนดที่อาการพอง อาการยุบ
การช่วยเหลือ จิตที่คิดว่ากำหนดได้ไม่ดี และเกิดความเบื่อหน่าย ควรจะกำหนดให้บ่อยๆ ซ้ำๆ จนกระทั่งมันหายไป จิตที่ฟุ้งไปก็เป็นอารมณ์ของกรรมฐานที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนา การที่กำหนดสิ่งเหล่านั้นได้ควรถือว่าเป็นความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนา ถ้าท่านไม่รู้แจ้งว่าจิตได้ฟุ้งไปแล้ว ท่านก็อาจหลงทางไปสู่การเดินทางไปในที่ไร้จุดหมาย และจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม เพราะการจะเรียนรู้ “จิตที่ท่องเที่ยวไป” ท่านควรใส่ความเพียรพยายามในการกำหนดอาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส จนกระทั่งสิ่งทั้งหลายที่ต้องกำหนดปรากฏอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้ง ถ้าท่านทำได้ดังนี้ ในไม่ช้าการปฏิบัติของท่านก็จะดีขึ้น บางทีอาจเห็นเวทนาทางกาย เช่น ร้อน เย็น ปวด เจ็บ และคันได้อย่างชัดเจน
โยคีรายงาน บางทีก็มีฟองอากาศลอยมา
โยคีรายงาน บางทีเกิดเจ็บปวดอย่างรุนแรงภายในท้องอย่างพลุ่งพล่านและเป็นเหมือนถูกทิ่มแทงด้วยส้อม หรือตะปูแหลม หรือปลายหอก รู้สึกเจ็บปวดสุดๆ บางทีโยคีก็กล่าวว่า รู้สึกสั่นและกระวนกระวาย บางคนก็กล่าวว่า รู้สึกหนักและอึดอัดมาก เป็นความรู้สึกที่ตึงเครียด โยคีที่รู้สึกเช่นนี้เล่าสภาวธรรมการปฏิบัติด้วยความสิ้นหวัง
คำแนะนำและการช่วยเหลือ
ความเจ็บปวด หรือเวทนาเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด เวทนาเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนตามเหตุปัจจัย และเป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นธรรมดาก่อนที่ท่านเริ่มปฏิบัติ ท่านยังไม่มีสมาธิ ดังนั้นท่านจึงไม่รู้จักเวทนา ตั้งแต่สมาธิของท่านดีขึ้น ท่านจึงสามารถเห็นเวทนาภายในกายได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกทุกข์อยู่เสมอ เวทนาไม่ได้ถูกรับรู้ง่ายๆ มาก่อน ตอนนี้เท่านั้นที่เวทนาปรากฏชัดเจนแก่ท่าน เมื่อท่านพูดว่า ท่านกำหนดว่า “หนักหนอ หนักหนอ” ท่านสามารถรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของร่างกายที่หนัก แสดงว่าท่านกำลังมีสมาธิ เพื่อรู้ธรรมชาติอันแท้จริงของความทุกข์เหล่านี้ ถ้าท่านไม่รู้ธรรมชาติข้อนี้ ท่านก็จะคิดว่าทุกอย่างดี เวทนาเหล่านี้นอนเนื่องอยู่นานเพราะกำลังแห่งปัญญา (ความรู้) ของท่านยังไม่แกร่งเท่ากับกำลังสมาธิ เมื่อไรก็ตามที่ท่านรู้สึกถึงเวทนาเหล่านี้ กำหนดอย่างมีจดจ่อและต่อเนื่องเพื่อให้กำลังปัญญาได้พัฒนายิ่งขึ้น จนสามารถเคลียเวทนาเหล่านี้ออกไปได้ ด้วยการปฏิบัติให้มากขึ้น เวทนาเหล่านี้ก็จะหายไปหมดได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้น ให้พยายามให้มากขึ้นเพื่อที่จะเพิ่มความเพียรเข้าไปในการกำหนด ถ้าหากท่านกลัวเวทนาเหล่านั้น และหยุดการกำหนดเสียแล้ว ท่านก็จะเผชิญกับเวทนาทั้งหลายครั้งแล้ว ครั้งเล่า ให้บังคับตัวท่านเองให้กำหนดความเจ็บปวดอย่างจดจ่อ จึงจะสามารถผ่านเวทนาไปได้ เวทนาเท่านี้ไม่หนักพอที่จะทำให้ท่านตายได้ ดังนั้นอย่าได้หวาดกลัว ให้มีเพียงความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเวทนาเหล่านั้นจะหายไป ถ้าท่านกำหนดได้ดี ในไม่ช้าท่านก็จะผ่านพ้นเวทนาไปได้
โยคีรายงาน เวทนาเกิดขึ้นทั่วร่างกาย ไม่อาจจัดการมันทั้งหมดได้ กำหนดแล้วเวทนาเหล่านั้นก็ไม่หายไป
คำแนะนำ ท่านไม่ควรกำหนดแบบนั้น แทนที่ท่านจะกำหนดเวทนาแบบกว้างๆ ให้กำหนดเวทนาที่ปรากฏชัดที่สุด ให้กำหนดว่า “ปวดหนอ ปวดหนอ” ให้พยายามกำหนดด้วยความอดทนจนกว่าความปวดนั้นจะหายไป ในไม่ช้าเวทนาความปวดนั้นก็จะหายไปได้
ข้อควรจำ ในที่นี้ ความปวดเนื่องจากการเป็นโรคภัยไข้เจ็บและความปวดที่เกิดจากการปฏิบัติแตกต่างกัน ความปวดเพราะโรคภัยไข้เจ็บมีอยู่ก่อนการปฏิบัติ และเมื่อกำหนดไม่ชัดเจน เวทนาก็ยังมีอยู่ ถึงแม้ว่าจะกำหนดเวทนา มันก็จะไม่หายไป เพราะกำลังแห่งปัญญายังไม่มีกำลัง ความปวดอาจรุนแรงขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากโยคีหยุดกำหนด ความปวดก็ยังอยู่คงที่
ดังนั้น ถ้าท่านทำได้ ให้ลองกำหนดเวทนา (เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บหรือข้อบกพร่อง) ถ้าทนความปวดไม่ได้จริงๆ และพบว่าไม่สามารถที่จะกำหนดได้ ก็ไม่ต้องใส่ใจความปวด ให้ละการกำหนดเวทนาไปเสีย ให้ใส่ใจกับสิ่งกำหนดอื่นแทน เช่น อาการพอง และอาการยุบ ถ้าท่านสามารถกำหนดได้ดังนั้นแล้วท่านก็จะลืมเกี่ยวกับความปวด และท่านจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ
สำหรับโยคีที่มีกำลังสมาธิ สามารถวางเฉยต่อความเจ็บความปวดได้ ความปวดที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บก็จะสามารถหายไปได้อย่างสมบูรณ์
ถึงแม้ว่าโยคีหยุดการกำหนด ความปวดก็จะไม่กลับมาทันที จะมีช่วงที่ไม่เจ็บปวดสักพัก หลังชั่วครู่เท่านั้นความปวดจึงจะกลับมาได้
เวทนาอื่นก็เป็นเช่นเดียวกันที่จะกลายเป็นสิ่งเกิดขึ้นชัดเจน เมื่อสมาธิมากเกินไปเวทนาจะไม่ปรากฏ เมื่อไม่กำหนดหรือกำหนดได้ดีอยู่ เมื่อโยคีพยายามค้นหามัน เวทนาก็จะไม่ปรากฏ ก็จะไม่รู้ว่าเวทนาเหล่านี้มีอยู่ในร่างกายของตน แต่เมื่อสมาธิมีกำลังและกำหนดได้ดีขึ้น เวทนาก็จะปรากฏ ถ้าไม่กำหนดเวทนาที่เกิดขึ้นแต่ไปกำหนดสิ่งอื่น เวทนาตัวนั้นก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
ถ้าหากท่านกลัวอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเพราะเหตุผลอื่น แล้วหยุดการกำหนด เวทนาก็จะไม่หายไปอย่างสมบูรณ์ เมื่อท่านกำหนดได้ดีอีกครั้ง เวทนาก็จะปรากฏเหมือนครั้งก่อน ถ้าโยคีสามารถกำหนดเวทนาที่เพิ่มขึ้นนั้นได้อย่างถูกต้อง เวทนาก็จะลดลงช้าๆ และจะหายไปได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าในขณะกำหนดอยู่ ทำให้เวทนาหายไปได้ ท่านก็จะไม่ถูกรบกวนจากเวทนานั้นอีกต่อไป นี้เป็นสัญญาณของเวทนาที่ลดลงตามธรรมชาติ
โยคีรายงาน แม้ในขณะนอนไม่ได้กำหนด ก็จะยังคงมีเวทนาอยู่บ้าง
ข้อสังเกต ในที่นี้ โยคีได้กล่าวว่าเขาไม่ได้กำหนด แต่จริงๆ แล้วเขารู้สึกถึงเวทนาโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ไม่ต้องกำหนดอย่างจงใจเลย นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าทำไมโยคีถึงรู้สึกถึงเวทนาที่ยังคงอยู่ ถ้าพระวิปัสสนาจารย์ต้องการทดสอบโยคี ลองพูดเรื่องทั่วๆ ไป ไม่เกี่ยวกับธรรมะ ให้เขาฟังหรือฟังเขาพูด เวทนาของโยคีก็จะหายไปเลย เมื่อพระวิปัสสนาจารย์ได้ทดสอบโยคีอย่างนี้แล้ว ก็จะทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่า มันเป็นเวทนาที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ จากนั้นบอกโยคีให้กำหนดอย่างจดจ่อจนกว่าจะสามารถผ่านเวทนาไปได้
โยคีที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระวิปัสสนาจารย์อย่างเคร่งครัดจะกล่าวดังนี้
โยคีรายงาน เมื่อรู้สึกคัน ไม่ใช่คันน้อยนิด แต่คันทั่วร่างกาย ราวกับว่าทั้งร่างกายจะถูกความคันหฤโหดกลืนกินไปเลย มันคันมากจนกระทั่งว่ามือและร่างกายรู้สึกกระตุก หน้า และแขน คันมากแบบหนังแทบขาด คิดว่าอาจจินตนาการไปเอง ดังนั้น จึงได้เล่าให้คนอื่นฟัง พวกเขาก็ได้กล่าวว่า พวกเขาก็ได้เห็นผิวหนังบวมโตขึ้นเช่นเดียวกัน แต่นึกถึงคำแนะนำของพระวิปัสสนาจารย์ที่ให้กำหนดความรู้สึกคัน เพื่อให้อาการคันนั้นหายไป ตนมีศรัทธาเต็มเปี่ยมในคำแนะนำของท่านพระวิปัสสนาจารย์ ดังนั้นจึงกำหนดโดยไม่กลัว ต้องกำหนดเป็นเวลานาน ทันทีหลังจากนั้น บางสิ่งก็แตกแยกออก ผื่นคันก็หายไป จุดผื่นคันทั้งหมดก็จะหายไปเอง
โยคีรายงาน มือ ขา และศีรษะกระตุกโดยอัตโนมัติ กำหนดว่า “กระตุกหนอ กระตุกหนอ” หลังจากนั้น ศีรษะของก็กระตุก ก็กำหนดอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งรู้สึกมึนงงและการกระตุกนั้นก็หายไป
คำเตือน ศีรษะของโยคีโยกเล็กน้อย เนื่องจากกำลังของปีติ แต่โยคีไม่สามารถควบคุม (กำหนด) จิตที่โน้มไปหาการโยกและไปกับการโยกนั้นได้ โยคีต้องกำหนดอย่างจดจ่อในอาการโยกจนกว่ามันจะหยุด ต่อไปหากอาการโยกเกิดขึ้นอีก โยคีต้องกำหนดจนกว่าจะสามารถเอาชนะการโยกได้ โยคีไม่ต้องกังวลกับความคิดว่าในอนาคตการโยกมันจะเกิดขึ้นอีก
ถ้าหากโยคีกังวลให้กำหนดว่า “กังวลหนอ” ถ้าโยคีนึกถึงวิธีที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคตให้กำหนดว่า “นึกหนอ” กำหนดอย่างจดจ่อและต่อเนื่องที่จิตที่มีวามรู้สึกเหล่านี้
โยคีรายงาน แขนและขาโยกอย่างแรง เหมือนกับว่ามันจะขาดออก มันน่าหวาดกลัว แต่นึกได้ว่า พระวิปัสสนาจารย์กล่าวว่าทุกอย่างจะหายไป ถ้ากำหนด ดังนั้นแทนที่จะหวาดกลัว ก็กำหนดอย่างต่อเนื่องและหลังจากนั้นเป็นเวลานานมันก็หยุดโยกสั่น บางคนกล่าวว่า การโยกมันหยุดหลังจากหนึ่งหรือสองชั่วโมง บางคนกล่าวว่า การโยกดำเนินไปแทบทั้งคืนและก็หยุด บางคนกล่าวว่า การโยกหยุดหลังจากประมาณหนึ่งหรือสองชั่วโมง บางคนกล่าวว่า มันโยกทั้งคืนและหายไป
โยคีรายงาน สามารถกำหนดเวทนาอันเบาบาง จนมันหายไปได้ แต่ไม่สามารถกำหนดเวทนาอันแรงกล้าได้ ดังนั้นจึงเลิกและหยุด โดยไม่กำหนด
คำแนะนำ หากท่านรู้สึกอย่างนี้ในอนาคต ไม่ต้องหยุดกำหนด ยิ่งท่านหยุดกำหนดมากเท่าใด ท่านก็จะพบกับเวทนาเหล่านี้มากขึ้นเท่านั้น ให้กำหนดอย่างเต็มกำลัง จนกว่าเวทนาจะหายไปอย่างสมบูรณ์
ที่จริงแล้ว เวทนาเป็นสังขารที่ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน (สิ่งปรุงแต่งทั้งปวง อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น) การกำหนดรู้ตามหลักวิปัสสนาก่อให้เกิดโพธิปักขิยธรรม (องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ ๓๗ ประการ)
พระพุทธเจ้าสามารถข้ามพ้นเวทนาอันหนักหน่วงมาได้ด้วยวิปัสสนา ดังนั้น โยคีควรสู้กับเวทนาในการปฏิบัติได้ดีด้วยการเจริญวิปัสสนา เมื่อความรู้มีกำลังเต็มที่แล้ว เวทนาทั้งหมดเหล่านี้ก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์ อย่าได้ล้มเลิก ให้กำหนดต่อไปด้วยความมั่นใจ
โยคีที่ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างจริงจังจะกล่าวดังต่อไปนี้
โยคีรายงาน ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างจริงจังและกำหนดอย่าง
ตั้งใจ เมื่อเวทนาปรากฏขึ้น ก็กำหนดเป็นเวลานาน
เวทนาก็ลดลงทีละเล็กทีละน้อยและช้าๆ จนในที่สุดมันหายไปอย่างสมบูรณ์
โยคีรายงาน เวทนา เช่น ความเจ็บ ความปวด เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปรากฏขึ้นครั้งหรือสองครั้ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องกำหนด แต่สามารถรู้ได้ว่าเวทนาอยู่ที่นั่นและก็ดับไป บางทีข้าพเจ้าก็กำหนดแต่ไม่นานหลังจากกำหนดสองสามครั้ง หรือสี่ห้าครั้งแล้ว ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็หายไปเสมอ
โยคีรายงาน บางครั้ง ก็ไม่รู้ว่าทำไมมีการสั่นสะเทือนเคลื่อนขึ้นมาจากเท้าถึงขาและขึ้นมาถึงศีรษะ บางครั้งการสั่นก็เริ่มจากศีรษะไหลลงไปทางขา เมื่อมันเกิดขึ้น มีความกลัวและเพ่งดูโดยไม่ได้กำหนด หลังจากที่รู้สึกตัวเท่านั้นความรู้สึกเหล่านั้นจึงหมดไป บางทีการสั่นเกิดขึ้นอยู่นานก็กลับมาอีกครั้งและเข้มข้นมากกว่าเดิม บางทีต้องกำหนดอยู่นาน จนกว่ามันจะหายไป แต่บางทีก็กำหนดเพียง ๒ - ๓ ครั้งเท่านั้นมันก็หายไปได้
คำแนะนำ การสั่นเป็นปฏิกิริยาของสภาวธรรมทางกาย เนื่องจากกำลังของปีติ โยคีไม่ควรหวาดกลัวต่อความรู้สึกแห่งปีตินี้ และไม่ควรชอบใจกับความรู้สึกเหล่านี้ และไม่ควรยินดีกับความรู้สึกนี้แต่ประการใด โยคีควรกำหนดตามที่ได้รับคำแนะนำ โยคี ๒ – ๓ คน -
ก็จะกล่าวดังต่อไปนี้
ไม่มีเวทนา เช่น ความปวด เกิดขึ้นแต่อย่างใด และไม่ได้รู้สึกสั่นไหวด้วย การกำหนดเป็นไปตามปกติ เป็นเวลานาน ก็ไม่มีอะไรพิเศษให้ได้รู้สึกเลย ดังนั้น ก็เลยเกิดความเบื่อและขี้เกียจ
คำแนะนำ โยคีกำลังคิดว่า การปฏิบัติจะดีได้ก็ต่อเมื่อเขาได้พบสภาวธรรมที่พิเศษ เขาไม่เข้าใจว่าแท้ที่จริงการกำหนดของเขาดี ดังนั้น เขาจึงสิ้นหวัง เพราะฉะนั้น ให้ถามโยคีว่า พวกเขาสามารถสังเกตเห็นการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของแต่ละสิ่งที่กำหนดทั้งปวงตลอดเวลาที่กำหนดได้หรือไม่ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เขามีความกระตือรือร้นขึ้น
การช่วยเหลือ การกำหนดเวทนาที่ความเจ็บความปวดเป็นวิปัสสนา การรู้เกี่ยวกับการสั่นก็เป็นวิปัสสนา การกำหนดและการรู้เกี่ยวกับอาการพอง และการยุบก็เป็นวิปัสสนาเช่นเดียวกัน โยคีที่กำหนดรู้ว่าความปวดและการสั่นเกิดขึ้นถึงที่สุดอย่างรวดเร็วและดับไป ดังนั้น สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน (อนิจจังนุปัสสนาญาณ)
ขณะกำลังกำหนดอาการพอง อาการยุบ โยคีได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นดับไปในที่สุด ความรู้ธรรมชาติที่ไม่เที่ยงของอาการพอง และอาการยุบ เรียกว่า “อนิจจังนุปัสสนาญาณ”
สิ่งใดก็ตามที่โยคีกำหนด สิ่งสำคัญที่สุดคือ สามารถกำหนดสิ่งทั้งหลายจากเริ่มต้นถึงที่สุด และรู้อย่างแจ่มแจ้ง เมื่อใดที่โยคีค้นพบความจริงนี้ ปัญญาก็จะเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่าง ทุกอย่างคือธรรมที่นำไปสู่ มรรค ผล นิพพาน
ข้อสังเกต ถ้าสามารถกำหนดในขณะที่สิ่งทั้งหลายกำลังปรากฏขึ้นได้ เขาก็จะรู้ว่า สิ่งเหล่านั้นดับไปเมื่อถูกกำหนด ดังนั้น โยคีก็จะรู้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่ดีและไม่มีแก่นสาร โยคีที่เข้าใจความจริงข้อนี้ก็จะได้รู้สัญลักษณ์ที่แท้จริง “แห่งทุกข์” และปัญญานี้จึงเรียกว่า “ทุกขนิสสยญาณ”
เมื่อเข้าใจว่าสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นและดับไปแน่แท้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามที่โยคีต้องการได้ สิ่งเหล่านั้นไม่อาจควบคุมได้ ความรู้ของโยคีก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงแห่ง “อนัตตานุปัสสนาญาณ”
เมื่อโยคีแทงตลอด “ญาณ” ทั้งสามเหล่านี้แล้ว เขาก็จะสามารถเข้าถึง “นิพพาน” ได้ โยคีที่กำหนดเวทนาที่ปรากฏชัดหรือความรู้สึกอื่นๆ เช่น การสั่น ก็ได้เข้าถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ และเป็นอิสระจากสิ่งปรุงแต่ง (สังขาร) ได้เช่นกัน
ดังนั้น โยคีจึงไม่ควรปฏิบัติเพื่อคาดหวังที่จะพบประสบการณ์พิเศษ สิ่งทั้งหลายต่างๆ หรือนิมิตเหล่านั้นไม่มีปรากฏขึ้นในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นโยคีอาจจะไม่พบมันก็ได้ โอกาสบ่อยมาก ที่ความปวดซึ่งทนได้ยากทำให้การกำหนดยากยิ่งขึ้น ดังนั้นท่านไม่ควรคาดหวังสิ่งใด เพียงหาหนทางแก้เพื่อกำหนดสิ่งที่ปรากฏขึ้นเท่านั้น เพื่อว่าหลังจากการกำหนดแต่ละครั้ง ท่านจะได้รู้อย่างแจ่มแจ้ง ให้กำหนดอย่างจดจ่อและถูกต้องที่อาการพอง อาการยุบและเวทนาทางกายอื่นๆ ที่นอนเนื่องอยู่ภายใน
โยคีรายงาน เมื่อกำลังคู้ รู้สึกตั้งแต่การเริ่มต้น ขณะคู้และที่สุดแห่ง
การคู้ การคู้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ทีละนิ้ว แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่า ขบวนการทั้งหมดเป็นขั้นตอนของ “การคู้”
การเหยียดก็เช่นเดียวกัน
ข้อสังเกต การรายงานแบบนี้ ปกติมาจากโยคีที่มีปัญญาน้อย
โยคีรายงาน การคู้แต่ละครั้ง กำหนดว่า “คู้หนอ คู้หนอ” จากนั้นก็พบว่า กระบวนการคู้เป็น ๔ หรือ ๕ ขั้นตอน กระบวนการเหยียดก็เช่นเดียวกัน
โยคีรายงาน กำหนดห้าหรือหกครั้งว่า “คู้หนอ” หลังจากการกำหนดแต่ละครั้งก็จบไปเลย และการคู้ประมาณ ๕หรือ ๖ ครั้ง การเหยียดก็เหมือนกัน
ข้อสังเกต การกล่าวอย่างนี้พูดจากโยคีที่ฉลาดหรือมีปัญญาแก่กล้า โยคีบางท่านสามารถเล่าประสบการณ์ของการกำหนดอาการพอง การยุบได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาไม่สามารถกำหนดการคู้การเหยียดได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น พวกเขาจะกล่าวดังนี้
โยคีรายงาน ยังไม่สามารถมีสติในการกำหนดอาการคู้การเหยียดได้
ถึงแม้ว่าจะสามารถกำหนดการกระทำเหล่านี้ได้ก็ตาม แค่รู้ว่ากำลังคู้ในแต่ละครั้งที่คู้ ไม่อาจจำแนกการคู้ออกเป็นส่วนๆ ได้
คำแนะนำ ให้ใส่ใจในทุกๆ อิริยาบถที่เคลื่อนไหวทางกายและกำหนดอย่างจดจ่อต่อเนื่องในอิริยาบถเหล่านั้น ถ้าท่านกำหนดได้อย่างจดจ่อแล้ว ท่านจะรู้ชัดเจนและแจ่มแจ้ง เหมือนที่ท่านกำหนดอาการพอง อาการยุบ หากท่านไม่กำหนดอย่างจดจ่อต่อเนื่อง และกำหนดแบบเล่นๆ ปัญญาของท่านก็จะพัฒนาก้าวหน้าได้ช้า
โยคีรายงาน ในการเดินจงกรม ขณะกำหนดอาการยก อาการย่าง การเหยียบ พบว่า การยกเป็นอย่างหนึ่ง การย่างเป็นอย่างหนึ่ง และการเหยียบเป็นอย่างหนึ่ง แยกจากกัน ไม่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เป็นสักแต่ว่าก้าวลงและดับไปแต่ละอาการ
โยคีรายงาน การยกเป็นอย่างหนึ่ง จิตที่รู้การยกเป็นอีกอย่างหนึ่ง การย่างเป็นอีกอย่างหนึ่ง จิตรู้ขาที่ย่างไปก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง การเหยียบเป็นอย่างหนึ่ง และจิตที่รู้การเหยียบก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่กำหนด ข้าพเจ้าแยกแยะสิ่งที่กำหนดได้
โยคีรายงาน กำหนด “ยกส้นหนอ” เมื่อส้นเท้ากำลังยก เมื่อยกเท้าจากพื้น กำหนดว่า “ยกหนอ” เมื่อย่างเท้าไป กำหนดว่า “ย่างหนอ” เมื่อวางเท้าลง ก่อนที่เท้าจะแตะพื้น กำหนดว่า “ลงหนอ ลงหนอ” เมื่อเท้าแตะพื้น ข้าพเจ้ากำหนดว่า “ถูกหนอ ถูกหนอ” เมื่อกดเท้าลงที่พื้น กำหนดว่า “กดหนอ กดหนอ”
ข้อควรจำ ผู้ที่กำหนดได้แบบนี้ (กำหนดระยะที่ ๖) สามารถแยกแยะระหว่าง การยกส้น, การยก, การย่าง, การวาง, การสัมผัส และการกดได้ โยคีรู้สิ่งเหล่านั้นแยกจากกันได้อย่างแจ่มแจ้ง ถึงแม้ว่าการกำหนด ๖ ระยะไม่ได้แสดงไว้ในคัมภีร์ “อรรถกถา”
ก็ตาม แต่วัตถุประสงค์หลักของโยคีคือ รู้สิ่งที่กำหนดอย่างแจ่มแจ้ง ความเป็นเอกเทศของแต่ละอิริยาบถของเท้าและรู้ว่า แต่ละอย่างถูกแยกแยะออกจากกันและท้ายที่สุดแล้วก็ดับไป จึงรู้ถึงความไม่เที่ยงของสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น จึงไม่ผิดแต่ประการใดที่กำหนดแบบนั้น เข้าในหลักการกำหนด ๖ ระยะ ที่แสดงไว้ใน “อรรถกถา” โยคีที่กำหนดแบบนั้นได้เข้าถึงระดับ “สัมมสนญาณ”
โยคีรายงาน เมื่อไรก็ตามที่กำหนดการยก การย่าง การเหยียบ
ไม่อาจกล่าวได้ว่า รู้แต่ละระยะอย่างชัดเจน บางทีก็เห็นทุกระยะได้อย่างชัดเจน
คำเตือน ถ้าท่านกำหนดได้อย่างถูกต้อง ท่านก็แยกระยะต่างๆ ของการกำหนดของท่านได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ให้เตือนโยคีให้กำหนดให้ถูกต้อง ขณะที่โยคีกำลังกำหนดบนสิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่กำลังปรากฏขึ้น บางทีโยคีก็เห็น แต่ละครั้งที่กำหนดได้ เขาเห็นสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป ดังนั้น เขาจึงรู้อย่างแจ่มแจ้งว่า สิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง บางทีโยคีก็เห็นวิธีที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป เป็นทุกข์น่าเบื่อหน่าย บางครั้งโยคีก็ไม่เห็นสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างที่เขาปรารถนาไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นและเสื่อมไปอย่างที่ปรารถนาไว้ ดังนั้น สิ่งทั้งหลายเป็นสภาพบังคับไม่ได้ และไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มีแต่เพียงธรรมชาติที่เกิดขึ้นเท่านั้น
โยคีรายงาน ทุกครั้งที่กำหนด ได้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับ
บัญชาไม่ได้ ไม่มีตัวตนอย่างชัดเจน
การทดสอบและการแนะนำ
เมื่อท่านรู้ ชื่นชมความจริงที่ว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นกับท่านทันทีที่กำลังกำหนดหรือไม่ ท่านได้น้อมจิตของท่านไปบนความจริงนั้นและพิจารณาความจริงนั้นอย่างไตร่ตรองแล้วหรือไม่ ถ้าโยคีที่กล่าวว่า มันเกิดขึ้นกับเขาอย่างธรรมชาติ พระวิปัสสนาจารย์ควรตัดสินใจว่า ปัญญาของโยคีคือขั้น “ปัจจักขญาณ” (ความรู้อันประจักษ์ชัด) ถ้าโยคีได้คิดอย่างจงใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือคิดจินตนาการไปเอง พระวิปัสสนาจารย์ควรห้ามเขา ถ้าโยคีได้รำลึกถึงความไม่เที่ยง เขาก็ควรกำหนดสิ่งนั้นเหมือนกัน
โยคีรายงาน จากลักษณะสภาวธรรมที่คล้ายคลึงกับที่ผ่านมา เช่น
อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความทุกข์ และอนัตตา
สภาพบังคับไม่ได้ ไม่มีตัวตน ไม่มีจิตครองได้ นั้นมีปรากฏอยู่ มันเป็นแค่สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่รู้แจ้งเหมือนตอนนี้ ในอนาคตก็เช่นเดียวกัน สิ่งทั้งหลายก็ล้วนแต่ไม่เที่ยง ดำเนินไปสู่ความทุกข์ และไม่มีตัวตน บังคับไม่ได้ (ดังนั้น ขณะกำหนด โยคีจึงปีติกับความรู้ของตนเอง)
การทดสอบและการชี้แนะ
ตรวจดูโยคีว่าเขาได้เห็น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หลังจากได้ค้นพบ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างอัตโนมัติ ขณะที่เขากำลังกำหนดอยู่หรือไม่ ถ้าหากเป็นดังนั้น ปัญญาของเขาก็คือ “อนุมานญาณ” (ความรู้ในการตรึกตรอง) ซึ่งเป็นความต่อเนื่องแห่งความรู้แจ้งในปัจจุบัน ซึ่งได้รับขณะกำหนด ณ ตอนนั้น ถ้าหากโยคีปีติยินดีในความรู้ของเขา ก็ให้บอกเขากำหนดสิ่งนั้นเหมือนกัน ถ้าหากโยคีกำลังไตร่ตรอง และครุ่นคิดแบบจงใจ โดยไม่กำหนดแต่ประการใดแล้ว ให้บอกเขาว่า เขาไม่ควรทำแบบนั้น ถ้าหากเขาได้คิดตรอง หรือนึกถึงอย่างเจตนา โดยไม่กำหนดการคิดตรอง หรือการรำลึกนั้น ควรให้กำหนด
สรุป ขณะกำหนดอยู่บนสิ่งที่เป็นนามรูปที่ปรากฏชัด ณ ปัจจุบันขณะ โยคีก็รู้ว่าสิ่งทั้งหลาย เพียงแค่เกิดขึ้นและดับไป ดังนั้น จึงไม่เที่ยง ไม่มีสาระ เป็นเพียงความทุกข์ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นเพียงสภาวธรรมแห่งธรรมชาติ
โยคีได้เห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาพความเป็นจริง และยินดีในความรู้ของเขา ดังนั้นการดำงอยู่แห่งนามรูปทั้งปวงมีธรรมชาติแห่ง อนิจจัง (ความไม่เที่ยง)
สิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านั้นไม่ควรค่าแก่การยึดมั่น ถือมั่น ดังนั้น สิ่งเหล่านั้น ก่อให้เกิดธรรมชาติแห่ง
ทุกขัง (ความทุกข์)
สิ่งทั้งปวง เป็นสภาพบังคับไม่ได้ เกิดขึ้นขัดกับความต้องการของคนเรา ดังนั้นในปรากฏการณ์เหล่านี้แห่งรูปนาม ไม่มีอะไรเป็นรูปร่าง จิตหรือตัวตน (อนัตตา) โยคีที่ประคับประคองตนให้พ้นจากปัญญาที่กล่าวแล้วข้างต้นนั้นได้บรรลุถึง “สัมมสนญาณ” (ปัญญาที่ไตร่ตรอง เพ่งดู สำรวจ ตรวจดู หรือพิจารณา)
“อุทยัพพยญาณ”
ปัญญาที่รู้ความเกิดดับของรูปนาม
โยคีที่เกิดความรู้ระดับนี้ ปกติแล้วมักจะพรรณนาความรู้สึกของพวกเขาด้วยความปีติและความตื่นเต้น
โยคีรายงาน สามารถกำหนดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ การกำหนดเบาและเร็วมาก การกำหนดดำเนินไปได้เร็ว และกำหนดได้ดี
คำเตือน
ถาม ท่านบอกได้ไหมว่า มันดีอย่างไร?
โยคีรายงาน การกำหนดที่อาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส เป็นปกติ และนานๆ ก็กำหนดไม่ทัน ตนสามารถกำหนดอาการพอง อาการยุบ การนั่ง และการสัมผัส ที่ปรากฏชัดเจนในขณะที่กำหนดอย่างต่อเนื่อง การกำหนดและสติรู้ตัวเท่าทันดีมากจนบอกไม่ถูก การกำหนดเบา เร็ว และน่ายินดีมาก ไม่ลืมที่จะกำหนด และไม่มีอะไรที่กำหนดไม่ได้
โยคีรายงาน บางอย่างปรากฏไม่ชัด สิ่งเหล่านั้นดูเหมือนขบวนรถไฟที่วิ่งอย่างรวดเร็วดูเหมือนเงาที่เคลื่อนที่รอบๆ นอกจากนี้ยังมีเวทนา “เบาบาง” “ปลิวไหว” วิ่งพล่านทั่วกาย พบเจอเวทนาเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง และต้องกำหนดเวทนานั้นเป็นเวลานาน บางทีความปวดก็มีการกระตุก ขณะที่ความปวดเกิดพร้อมกับการกระตุก การกำหนดได้ตรงสภาพธรรมตลอดเป็นการกำหนดได้ตรงอาการ
บางทีก็ลืมกำหนด ก็กำหนดว่า “เผลอหนอ” การกำหนดได้เร็วและดีมาก ตอนนี้ไม่มีอะไรที่กำหนดไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่า สามารถกำหนดได้ทุกอย่าง และกำหนดได้แม้เม็ดฝน เมื่อขยับแขนและขา หรือทำอิริยาบถทางกายอื่นๆ สามารถกำหนดได้หมด ถ้าขยับเล็กน้อยก็มีสติ ถ้าต้องการเปลี่ยนอิริยาบถก็กำหนดจิตที่ต้องการเปลี่ยนได้ เมื่อมีการเปลี่ยน ก็สามารถกำหนดต้นจิตได้เช่นเดียวกัน ใจล่องลอยไปไหนก็ตามทันมันได้ กำหนดได้อย่างถูกต้อง แม้ต้นจิตที่จะไป ก็กำหนดได้ อะไรเกิดขึ้นก็ตาม จิตกำหนดก็มุ่งตรงไปสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ สิ่งกำหนดเกิดขึ้นในใจชัดเจนมาก
ข้อสังเกต โยคีอธิบายประสบการณ์ในการปฏิบัติที่ดีๆ ในการกำหนดเหล่านั้น การอธิบายของโยคี ที่แท้คือ อุปาทาน อุปกิเลส เช่น ความไม่บริสุทธิ์แห่งจิต เนื่องจากการยึดมั่นถือมั่นในสติที่กำหนด
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้รู้สึกการปฏิบัติไม่มีสิ่งใดเหมือนตอนนี้ ตอนนี้การปฏิบัติรู้สึกดีจริงๆ กำหนดแล้วหายไป หลังจากนั้นก็ไม่สนใจที่จะกำหนดสิ่งเหล่านั้นอีก (ที่โยคีกล่าวแบบนี้ เป็นเพราะเขามีการยึดติดหรือมีตัณหา)
โยคีบางท่านจะบอกกับคนอื่นว่า
ไม่คิดว่าจะมีใครที่กำหนดได้ดีเหมือนตน แม้พระวิปัสสนาจารย์เอง ก็ไม่มีการกำหนดที่น่ายินดีแบบนี้อยู่ (โยคีกล่าวแบบนี้ ด้วยการยึดติดในทิฏฐิมานะ)
โยคีรายงาน มีสติที่ดีมาก สามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนและการกำหนดดีมากๆ (โยคีกล่าวดังนี้ด้วยการยึดติดกับธรรมปฏิรูป ธรรมปลอม)
โยคีรายงาน ตอนนี้ มีการกำหนดและประคับประคองสติได้ดีมาก ข้าพเจ้าต้องบรรลุธรรมพิเศษแน่ๆ สิ่งที่ผู้คนกล่าวถึงธรรมว่าดีหรือเชี่ยวชาญในธรรม ชะรอยจักต้องหมายถึงสิ่งที่ตนกำลังประสบตอนนี้แน่นอน จึงจะหยุดการปฏิบัติเดี๋ยวนี้แหละ จะพยายามให้หนักขึ้นภายหลัง (โยคีกล่าวแบบนี้ด้วยมีการยึดติดกับทางที่ผิดๆ ไม่ใช่ทาง)
โยคีรายงาน การกำหนดและจิตรู้ เคลื่อนไปเร็วและชัดเจนอย่างมาก รู้ทุกสิ่งที่กำหนด แม้เวทนาเบาบางที่สุดภายในกายก็สามารถกำหนดได้ เห็นเวทนาเหล่านั้นแยกกันได้
โยคีรายงาน การกำหนดและจิตรู้ เหมือนกับพัดลมที่หมุนเร็วมาก เมื่อไรก็ตามที่เปลี่ยนท่าอื่นหรืออิริยาบถ ก็กำหนดความเคลื่อนไหวแต่ละจังหวะได้หมด
โยคีรายงาน เวลาหมุนลูกประคำรอบข้อมือ รู้สึกสัมผัสลูกประคำแต่ละลูกที่ผิว เหมือนกับการกำหนดที่สามารถกำหนดแต่ละอย่างได้
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้เคยคิดว่า ความคันและความปวดเชื่อมโยงกัน แต่ตอนนี้กำหนด “คันหนอ” “ปวดหนอ” แต่ละอย่าง ๒ หรือ ๓ ครั้ง ข้าพเจ้าเห็นว่ากำหนดแต่ละอย่างเป็นสิ่งแยกจากกัน
โยคีรายงาน ความปวดหรือเวทนาไม่นานเหมือนแต่ก่อน กำหนดครั้งหรือสองครั้ง ความปวดก็หายไป แต่บางทีก็มีการปวดกะทันหันเหมือนถูกจิ้มด้วยเข็ม มันขุ่นเคืองมากเลยทีเดียว รู้สึกสะดุ้งและสั่นเล็กน้อย ทันทีที่รู้สึกปวด สามารถรู้ได้ชัดว่าความปวดอยู่ที่ตรงนั้น การกำหนดความปวดและทันเท่าทันอาการจากนั้นความปวดก็หายไป
โยคีรายงาน เมื่อก่อนเคยพูดว่า“อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงคำพูด แต่ตอนนี้เข้าใจจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรยั่งยืน ทุกครั้งที่กำหนด สิ่งที่กำหนดทั้งหลายก็หายไป ได้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป ไม่ถาวร ไม่ควรค่าต่อการยึดมั่นถือมั่น สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นทุกข์ ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่า ร่างกายจะมีความทุกข์ไม่สิ้นสุด
ตอนนี้ร่างกายพบความปวดอันเป็นทุกข์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อก่อนเคยคิดว่า ร่างกายจะมีสิ่งถาวรซึ่งตลอดไป ตอนนี้พบว่า ตอนที่กำหนด พบเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นใด ตอนนี้รู้ว่ามีเพียงปรากฏการณ์ของธรรมชาติเท่านั้น
โยคีรายงาน ก่อนที่จะได้ปฏิบัติ ได้ยินคนอื่นพูดว่า เพียงกำหนดที่ “อาการพอง” “อาการยุบ” “การเหยียด” เป็นต้น จะนำไปสู่วิปัสสนาญาณได้ และก็ไม่รู้อนิจจัง ทุกขังอนัตตา ข้าพเจ้าเองก็เคยเช่นนั้นเหมือนกัน ตอนนี้เข้าใจการปฏิบัติแบบนี้แล้ว และยินดีพอใจในการปฏิบัตินี้ คนเหล่านั้นที่พูดว่า วิปัสสนาญาณ ไม่อาจบรรลุได้เพียงด้วยกำหนด ไม่อาจรู้วิปัสสนาญาณได้ พวกเขาคิดผิด การปฏิบัติแบบนี้เป็นสิ่งสุดยอด แต่ละครั้งที่กำหนด จะสามารถแยกแยะแต่ละสิ่งต่างๆ ออกจากกันได้อย่างชัดเจน วิธีที่สภาวธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปชัดเจนเหมือนกับว่า สิ่งเหล่านั้นถูกปล่อยออกมาจากมือ ธรรมชาติที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน แห่งสภาวธรรมทั้งหลาย รู้ได้ทุกครั้งที่กำหนด อยากจะไปบอกประสบการณ์ของข้าพเจ้า ให้คนพวกนั้นที่พูดว่า ปัญญาไม่เกิดได้ด้วยเพียงการกำหนด ให้ได้รับรู้บ้าง
โยคีรายงาน เมื่อก่อน การกำหนดได้ยินแต่ละครั้ง เสียงเท่านั้นที่หายไป (โยคีหมายความว่า เสียงหยุดและไม่มีอีก) ต่อมาเมื่อกำหนดการได้ยินเสียงทั้งหลาย ขณะที่เสียงหายไป พบว่า การกำหนดเสร็จแล้ว เวลาแน่นอนมาก (โยคีหมายถึง เสียงและการกำหนดจบลงพร้อมกัน) เมื่อข้าพเจ้ากำหนดอย่างจดจ่อและอย่างถูกต้องนั้น การกำหนดก็จบไป สิ่งที่ถูกกำหนดทั้งหลายก็หายไป สิ่งเหล่านั้นหายไปเสมอ
โยคีรายงาน เมื่อไรก็ตามที่กำหนดอาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส ข้าพเจ้ารู้อย่างแจ่มแจ้งและชัดเจนถึงการเกิดขึ้นแยกจากกันของสิ่งเหล่านั้น เมื่อกำหนดได้ดีแบบนั้น จึงได้รับความรู้ ดังนี้
“สิ่งที่รู้จากการกำหนด เป็นการมีอยู่แห่งปรากฏการณ์ทางกายและจิต สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเกิดตามที่ต้องการได้ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นสิ่งบังคับไม่ได้ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรจบ (โยคี หมายความว่า ไม่มีอะไรยั่งยืน, จึงไม่มีอะไรอยู่ อย่างเช่น สิ่งที่น่ายินดี เป็นต้น และไม่มีอะไรเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา)
โยคีรายงาน ไม่มีอะไรมีอยู่ในโลกมนุษย์นี้ ทั้งในเทวโลก และพรหมโลก เมื่อไรก็ตามที่มองดู ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย รู้เพียงว่าไม่มีอะไร (โยคี รู้และชอบความจริงที่ว่าในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก มีเพียงปรากฏการณ์ทางกายและใจเท่านั้น) เพราะฉะนั้น สิ่งที่คิดก่อนหน้าว่า
สิ่งเป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ เป็นของเที่ยง (มีความยั่งยืน) สุขขา (เป็นสุข) และอัตตา (มีตัวตน บังคับได้) ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไร (คำกล่าวชนิดนี้ มาจากโยคีมีปัญญาเล็กน้อย)
โยคีรายงาน สิ่งที่รู้มาก่อนการปฏิบัติผิดหมดเลย ตอนนี้ได้รู้ตามจริง ก่อนหน้านี้ไม่รู้สิ่งใดเลย ตอนนี้ความรู้ได้พัฒนาขึ้นแล้ว
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดว่า “ร้อนหนอ ร้อนหนอ” ทันทีที่กำหนดและรู้ความร้อน ทั้งจิตกำหนดและความร้อนก็หายไปหมดเลย จึงได้รู้ว่า “ความร้อน” มาจาก เตโชธาตุ เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดความร้อน (การอธิบายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือ ญาณอุปกิเลสซึ่งที่จริง คือความขุ่นมัวแห่งจิตที่เกิดขึ้นจากความรู้ที่ได้รับมา)
การค้นพบการกำหนดและจิตรู้
โยคีรายงาน รู้สึกปีติยินดีมาก เพราะการกำหนดแล้วการรับรู้พิเศษมากๆ แม้ปรารถนาว่าทุกครั้งที่ปฏิบัติ จะพบการกำหนดและการรู้แบบนี้ จึงคิดว่า หากได้พบความรู้ประเภทนี้ ก็จะไม่เบื่อในการปฏิบัติเลย (โยคี ที่กล่าวแบบนี้ เพราะเขายังยึดติดกับตัณหา)
โยคีรายงาน สงสัยว่า ถ้าจะมีคนที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติดีเหมือนตนแล้วไซร้ หากเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง พวกเขาก็จะไม่เชื่อ เลยสงสัยว่า พระวิปัสสนาจารย์มีประสบการณ์แบบนี้บ้างหรือไม่ (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ากำลังยึดติดกับ มานะ)
โยคีรายงาน ตนได้บรรลุความรู้พิเศษเป็นกุศล สามารถรู้ได้ทุกอย่าง
(โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ากำลังติดมิจฉาทิฏฐิ)
โยคีรายงาน สิ่งที่ผู้คนกล่าวถึงธรรมที่เป็นของดี ต้องเป็นสิ่งที่เรากำลังพบตอนนี้ นี้ต้องเป็นธรรมพิเศษแน่ ตนต้องได้บรรลุธรรมพิเศษ เพราะกำลังประสบสภาวธรรมที่ดี สามารถรู้อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ได้อย่างชัดเจน ตนได้บรรลุธรรมวิเศษ ได้แทงตลอดธรรมแล้ว ไม่มีมิจฉาทิฏฐิ และวิจิกิจฉา ความสงสัย ตอนนี้ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ายึดแนวทางผิด, มิใช่ทางมรรค)
โยคีรายงาน ตอนนี้รู้ได้ทุกอย่างจริงๆ เมื่อก่อนฟังธรรมแต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนตอนนี้ ตอนนี้ทุกอย่างกระจ่างแจ้งเหมือนกับว่า แต่ละอย่างมาจากมือของตนเลยทีเดียว ไม่มีอะไรที่จะกังวลและไม่มีความจำเป็นที่จะกังวลกับคนอื่นๆ นอกจากนี้ ตนไม่ยินดีกับความดีในการปฏิบัติ ไม่ต้องการทำกรรมชั่วและสิ่งไม่ถูกต้อง คิดว่า “ความรู้ชนิดนี้ สิ่งที่ผู้คนอ้างถึงว่า เป็นการบรรลุธรรมวิเศษ
สิ่งที่รู้ตอนนี้ต้องเป็นธรรมวิเศษแน่แท้ (ที่โยคีกล่าวแบบนี้ แสดงว่าติดกับมรรคไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ทาง)
วิปัสสนูปกิเลส คือ โอภาส
โยคีรายงาน ขณะที่กำหนดได้ดี ได้เห็นสี และแสงสว่างจ้า จึงกำหนดว่า “สว่างหนอ สว่างหนอ” การกำหนดแบบนั้นเพราะพระวิปัสสนาจารย์ได้บอกไว้ว่า สภาวธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นต้องกำหนด แต่ในใจก็ชอบสิ่งนั้น แม้กำหนด แสงสว่างก็จะไม่หายไป ยังคงมีอยู่ เมื่อนั่งในห้องปฏิบัติ มันก็สว่างไปหมดทั่วทั้งห้อง คิดว่าถ้าปฏิบัติ
ตอนนี้ ก็จะเห็นแสงสว่างเหล่านั้นอีก
โยคีรายงาน มีแสงชนิดต่างๆ มากมาย เห็นแม้กระทั่งตนเอง ห้องปฏิบัติธรรม ดูราวกับว่าไม่มีหลังคา ไม่มีผนัง เป็นพื้นว่างเปล่า และสามารถมองทะลุห้องได้ เห็นสถานที่ที่อยู่อาศัยหรือเคยไปมาก่อนหน้านี้ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้า
โยคีรายงาน เมื่อลืมตาดู ความสว่างยังไม่หายไปทันที เห็นได้ค่อนข้างนาน
โยคีรายงาน เมื่อตอนกลางคืน ข้าพเจ้าได้เห็นแสงสว่างเกิดมีขึ้น จึงได้ยกมือขึ้นดูว่ามันเป็นจริงหรือไม่ ข้าพเจ้ามองทะลุช่วงมือ เมื่อมองดูที่ประตู มันสว่างมากจนคิดว่าเปิดประตูอยู่ แต่เมื่อไปดูที่ประตูก็ยังปิดอยู่
โยคีรายงาน ความสว่างเหมือนลำแสงจากไฟฉายส่องตรงมาที่หน้า
โยคีรายงาน มีแสงแฟลช เหมือนแสงไฟรถยนต์
โยคีรายงาน ทั้งห้องสว่างวาบไปด้วยแสง
โยคีรายงาน ความสว่างไปไกลถึงประมาณหนึ่งร้อยถึงสองร้อยหลา สว่างวาบต่อสายตาข้าพเจ้า เห็นได้แม้กระทั่งเม็ดฝุ่นและเม็ดทราย
โยคีรายงาน แหล่งกำเนิดแสงสว่างส่องตรงมาที่ตา
โยคีรายงาน ความสว่างที่ปรากฏที่ตาเหมือนกับแผ่นดิสก์ที่กำลังหมุน
โยคีรายงาน ได้เห็นความสว่างจากหลังคา เป็นเหมือนกับว่าพระจันทร์กำลังเปล่งประกายแสง
โยคีรายงาน สีที่เจิดจรัส เปล่งออกมาจากร่างกายของข้าพเจ้า
โยคีรายงาน แสงมาจากข้างบน ข้างล่าง ข้างหน้า ข้างหลัง เป็นต้น (โยคี บรรยายความสว่างตามประสบการณ์เฉพาะตัวซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่ง โอภาสอุปกิเลส ผลของการรู้แจ้ง จึงทำให้รังสีอร่ามแผ่ซ่านจากร่างกายของโยคี (โอภาส) เพราะโยคีกำลังยินดีอยู่กับมัน ใจที่ยินดีกลายเป็นอุปสรรคต่อการก้าวหน้าของความรู้แจ้ง (วิปัสสนา)
โยคีรายงาน เมื่อเห็นแสงสว่าง ก็รู้สึกมีความสุขมากจนกำหนดต่อไปไม่ได้
โยคีรายงาน กำหนดแล้วแต่ยังยินดีอยู่กับความสว่าง ไม่ขยายไปแม้
กำหนด
โยคีรายงาน เมื่อเห็นแสงสว่าง รู้สึกยินดีมากและชื่นชมแสงสว่างนั้น
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น ตามที่ได้รับการแนะนำมา แต่ด้วยความสัตย์จริง ตนไม่ชอบให้แสงสว่างเกิดขึ้น (ที่โยคีกล่าวแบบนี้ แสดงว่า ติดกับตัณหา)
โยคีรายงาน บางทีตนเป็นเพียงคนเดียวที่พบเห็นแสงสว่างเช่นนั้นได้ ไม่คิดว่าคนอื่นๆ จะได้มีประสบการณ์พิเศษเหมือนข้าพเจ้า (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่า ยึดติดกับมานะ)
โยคีรายงาน แสงสว่างเต็มไปหมด เปล่งประกายออกจากกายของตนแน่นอน (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่า กำลังติดกับทิฏฐิ, มิจฉาทิฏฐิ)
โยคีรายงาน แสงสว่างคือนิพพาน จิตที่กำหนดคือมรรค มีแสงสว่างเพราะตนบรรลุธรรมวิเศษแล้ว (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ากำลังติดกับ มิจฉามรรค, ไม่ใช่ทาง)
ปีติ
โยคีรายงาน ขณะนี้กำหนดได้เร็ว สมาธิก็ดีไปด้วย รู้สึกว่า มีบางสิ่งไต่ลงมาจากศีรษะผ่านช่วงตัวลงไปที่ขา เป็นความรู้สึกผ่อนคลาย เดี๋ยวเกิดขึ้น ดับไป บางทีเมื่อกำหนดดี ความเย็นที่ผ่อนคลายก็ผ่านรอบตัวและรู้สึกราวกับว่า หมุนรอบๆ อย่างช้าๆ (โยคีกำลังพบกับ ขุททกาปีติ ความสุขเล็กน้อย)
โยคีรายงาน บางทีรู้สึกสั่นต่อเนื่อง หนาวสั่นเหมือนถูกจับหมุนเบาๆ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า (โยคีกำลังพบกับ ขุททกาปีติ -ความสุขชั่วขณะ)
โยคีรายงาน บางทีรู้สึกเย็นและสั่นสบายๆ ขึ้นมาจากขา และเมื่อขึ้นมาถึงอก อาการเหล่านั้นก็หายไป บางทีก็ขึ้นมาถึงคอ ศีรษะและหายไป
โยคีรายงาน บางทีรู้สึกราวกับว่าถูกปกคลุมด้วยความหนาวและความร้อน และจากนั้นมันก็หายไป
โยคีรายงาน บางครั้งก็มีบางสิ่งพุ่งออกมาจากภายใน จนทั่วร่างกายเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซ่าน จากนั้นทุกอย่างก็กระจ่างขึ้น (นี้เป็นการบรรยายถึง โอกันติกะปีติ, ความสุขซาบซ่าน)
โยคีรายงาน บางทีรู้สึกว่า ร่างกายล่องลอย จากนั้นรู้สึกเหมือนว่ากำลังนอนอยู่บนคลื่นหรือโยกไปมาอยู่บนเปลญวน ความรู้สึกนั้นดี
โยคีรายงาน รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังลอยอยู่ใกล้เพดาน
โยคีรายงาน รู้สึกเหมือนกำลังลอยในอากาศ
โยคีรายงาน ขณะกำลังนั่ง ร่างกายกำลังลอยขึ้น
โยคีรายงาน ขณะกำลังเดิน ข้าพเจ้ากำหนดการยก การเหยียบ รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนสปริง ซึ่งเดินสบายมาก
โยคีรายงาน ขณะกำลังนั่งและกำหนด ข้าพเจ้าคิดว่าทั่วทั้งห้องปฏิบัติกำลังโยกไปโยกมา
โยคีรายงาน บางครั้งเมื่อสมาธิดีเป็นพิเศษ มีความรู้สึกเหมือนกับว่าไม่รู้สึกตัว และจากนั้นค่อยรู้สึกตัวอีกที เหมือนถูกจมอยู่ใต้น้ำ และแต่ก็ยังคงกำหนดได้ดี
โยคีรายงาน รู้สึกหลับ แต่ไม่ได้หลับจริงๆ
โยคีรายงาน เมื่อกำลังนอนและกำหนด รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายไม่สัมผัสกับเตียง ร่างกายได้เคลื่อนไปข้างหลังและข้างหน้าไปมา มันเหมือนถูกล็อคไว้หลวมๆ (คำบรรยายเหล่านี้ทั้งหมด หมายถึง โอกันติกะปีติ, ปีติซาบซ่าน)
โยคีรายงาน ขณะที่กำลังนอน ได้วางแขนทั้งสองข้างบนหน้าท้อง และวางเท้าซ้อนกัน กำหนดว่า “พองหนอ” “ยุบหนอ” “นอนหนอ” “ถูกหนอ” เมื่อการกำหนดดี รู้สึกลั่นเบาๆ ประมาณ ๓ หรือ ๔ ครั้ง จากนั้น ทันทีทันใด ก็รู้สึกเหมือนกับว่า แขนทั้งสองข้างหลุดออกไปวางอยู่บนพื้น เท้าที่วางอยู่ข้างบนก็หลุดลงไปที่พื้นเช่นกัน
โยคีรายงาน ระหว่างนั่งปฏิบัติ ร่างกายมีความรู้สึกเหมือนกับว่าถูกยกขึ้น และคิดว่า มันเคลื่อนขึ้นบนประมาณสองหรือสามครั้ง
โยคีรายงาน เมื่อกำลังนั่งและกำหนด รู้สึกว่าความหนาวเย็นซาบซ่านวิ่งทั่วร่างกายประมาณ ๓ หรือ ๔ ครั้ง จากนั้นยังคงอยู่นิ่งในท่านั่ง หวังต่อไปให้ไกลไปถึงประมาณ ๔หรือ ๕ ฟิต คนที่อยู่ใกล้ตนก็หวาดกลัว เมื่อร่างกายอยู่ในท่านั่งลอยขึ้นอย่างนั้น ไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด
โยคีรายงาน เมื่อนอนตะแคงขวา ทันใดนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นตะแคงซ้ายเอง บางทีนอนตะแคง ร่างกายก็เปลี่ยนท่าเป็นท่านอนหงายของมันเอง
โยคีรายงานบางทีมือหรือเท้าเหยียดออกจากตำแหน่งที่คู้อย่าง
อัตโนมัติ
บางทีมือหรือเท้าที่เหยียดอยู่ก็คู้เท้าเองอัตโนมัติ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ไม่สามารถกำหนดได้ ข้าพเจ้านึกขึ้นได้หลังจากที่มันเกิดแล้วเท่านั้น
โยคีรายงาน เมื่อนั่งและกำลังกำหนด ศีรษะของข้าพเจ้าเท่านั้นโยกส่าย บางทีรู้สึกว่า ถูกผลักจากด้านหลัง เพื่อให้ร่างกายตั้งตรง บางทีรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งสัมผัสที่ศีรษะ และทำให้หมุนไปด้านซ้ายและด้านขวา ศีรษะเหมือนถูกหมุนอยู่
โยคีรายงาน รู้สึกโยกส่ายที่ปากเท่านั้น บางทีปากปิดอยู่ก็เปิดขึ้นให้อ้าของมันเอง
โยคีรายงาน บางทีฟันบนและฟันล่างของข้าพเจ้ากระทบกัน (ประสบการณ์ของโยคีคือ อุเบกขาปีติ ความสุขที่ปล่อยวาง)
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดได้ดีมาก มีบางสิ่งวิ่งขึ้นมาภายในกายและมาหยุดกระจุกที่หน้าอก บางทีมันก็ผ่านทางปาก ทั่วทั้งกายรู้สึกเหมือนว่าการสั่นปีติยินดีบางอย่างกำลังผ่านไป เวทนานั่นน่าปีติยินดีนัก จนไม่อยากลืมตา ไม่อยากแม้กระพริบขนตาเลย ในทั้งชีวิตของข้าพเจ้า ไม่เคยพบเวทนาอันน่ายินดีแบบนี้ มันวิเศษอลังการอย่างมาก
โยคีรายงาน มีการสั่นเล็กน้อยในร่างกาย จากนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายได้รับการผ่อนคลาย
โยคีรายงาน หลังจากปฏิบัติชั่วขณะ มีการสั่นเบาๆ เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ภายในกายทั่วทั้งกาย แต่รู้สึกดีมาก ความเย็นผ่อนคลายและสงบ และการโยกไปมา ข้าพเจ้าเพียงไม่สามารถอธิบายแบบเต็มที่ได้ มันดีมากจริงๆ (โยคีได้รู้สึกถึงผรณาปีติ ความสุขแผ่ซ่าน)
โยคีรายงาน รู้สึกเย็นวูบจากเอวและด้านบน
โยคีรายงาน รู้สึกเย็นวูบจากเอววิ่งลงข้างล่าง
โยคีรายงาน บางทีร่างกายส่วนบนและบางทีก็ส่วนล่างรู้สึกเย็นวูบ (โยคี หมายถึง ขุททกาปีติ)
โยคีรายงาน รู้สึกได้ว่ามีความเย็นวูบที่อยู่ในร่างกายและที่อก เป็นสิ่งที่น่ายินดีมาก รู้สึกดีมาก มันไม่เพียงแต่สักว่าดี แต่มันมหัศจรรย์จริงๆ จนไม่อยากกำหนดต่อ เพราะถ้าหากกำหนดสิ่งนี้แล้วกลัวว่ามันจะดับไป
โยคีรายงาน รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังส่ายไปส่ายมาเบาๆ หลายครั้ง มันดีจริงๆ (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ากำลังยึดติดตัณหา)
โยคีรายงาน ขุททกาปีติ ที่ไม่สิ้นสุด วิ่งทั่วร่างดีมาก ไม่คิดว่าคนอื่นจะรู้สึกดีเหมือนข้าพเจ้า (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ากำลังยึดติดมานะ)
โยคีรายงาน ขุททกาปีติที่ซาบซ่าน มาจากกายของข้าพเจ้าเอง (โยคียึดติดกับทิฏฐิ, มิจฉาทิฏฐิ)
โยคีรายงาน สิ่งที่ผู้คนบรรยายว่าธรรมเป็นของดี การค้นพบธรรม การบรรลุธรรมวิเศษ ต้องหมายถึงความรู้สึกปีติและซาบซ่านชนิดนี้แน่นอน (โยคีกำลังติดกับ มิจฉามรรค อันไม่ใช่ทาง)
ปัสสัทธิ (ความเงียบสงบ) บางทีทั่วทั้งกายรู้สึกสงบเงียบ มันดีมากที่จะปฏิบัติ รู้สึกปีติซาบซ่านในใจและกาย รู้สึกสงบและพอใจมาก มันดีอย่างนั้นมาก
โยคีรายงาน บางคนกล่าวว่า รู้สึกสงบสุขและสงบเงียบมาก จนกระทั่งว่า อยู่โดยไม่มีการกำหนดประมาณหนึ่งหรือ ๒ ชั่วโมง ตนเพียงกำลังปีติยินดีในความรู้สึกสงบสุขนั้น
โยคีรายงาน บางครั้งรู้สึกสงบสุขและเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีที่ไม่
อาจกำหนดได้ทั้งหมด เพียงแค่มองดูอย่างเดียว
โยคีรายงาน กำหนดชำเลืองดูบ่อยๆ และนึกได้ที่จะกำหนดเพียงบางครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นทันทีทันใด ก็เริ่มและกำหนดต่อเป็นปกติ
โยคีรายงาน รู้สึกสงบสุขและเยือกเย็นจริงๆ ทั้งในกายและใจ
โยคีรายงาน รู้สึกสงบสุขและยินดีในใจและกาย ข้าพเจ้าหยุดกำหนด และชอบความรู้สึกนั้นสักชั่วครู่
โยคีรายงาน ไม่ต้องกำหนดแบบจดจ่อเหมือนเมื่อก่อน ใจก็ไม่ล่องลอยแต่อย่างใด ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติเป็นเวลานาน โดยไม่เคลื่อนไหวและไม่เสียความต่อเนื่อง การกำหนดก็ดีมาก ถึงแม้ไม่ต้องกำหนดด้วยความเอาใจใส่เป็นพิเศษ ใจก็สามารถสงบนิ่งมากและสงบสุข (นี้เป็นการบรรยายถึง ปัสสัทธิ – ความสงบเย็น)
ลหุตา (ความเบาแห่งจิต)
โยคีรายงาน ใจเบามากและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
โยคีรายงาน ใจและกายเบาและเร็วมาก การกำหนดอย่างสงบ สุขและยินดีอย่างมาก
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้ สิ่งทั้งหลายมาเร็วและกำหนดได้ช้า ตอนนี้จิตกำหนดกระปรี้กระเปร่าและเร็วมาก ร่างกายรู้สึกเบา คิดว่า ถ้าท่องเที่ยวไปตอนนี้ ตนสามารถเดินทางไปได้ไกลภายในเวลาสั้นๆ
โยคีรายงาน ขณะที่กำลังเดิน และกำลังกำหนด การยก การย่าง การเหยียบ รู้สึกเบามาก จนไม่คิดว่าขามีอยู่ การกำหนดสบายและเบามาก การกำหนดสงบ เหมือนกับว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ และดูเหมือนว่าการกำหนดไม่ทัน เมื่อกำหนดด้วยความเพียรตั้งใจมากกว่าเดิม การกำหนดได้ทันถูกต้องเสมอ จิตกำหนดไม่หลุดจากอารมณ์ที่กำหนดเลย
โยคีรายงาน เมื่อกำลังกำหนดขณะเดิน ทั้งใจและกาย รู้สึกเบาจนอยากแม้กระทั่งวิ่ง
โยคีรายงาน รู้สึกเหมือนวิ่ง ดังนั้นจึงวิ่งแต่ยังกำหนดอยู่ กำหนดได้หมด (นี้เป็นการบรรยายถึง “ลหุตา” ความเบาแห่งจิตที่มาพร้อมกับ ปัสสัทธิ)
มุทุตา (ความอ่อนโยนแห่งจิต)
โยคีรายงาน ตนรู้สึกอ่อนโยนในกายและใจ มันดีมากๆ ที่จะปฏิบัติ
โยคีรายงาน เมื่อก่อน ถ้าอยากให้ใจอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง มันจะไม่อยู่ ใจจะฟุ้งออกไปตามที่มันปรารถนา ตอนนี้ ใจที่กำลังกำหนดอยู่ในแต่ละอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ ใจอยู่ในที่ที่ต้องการให้มันอยู่ และก็เชื่องและว่าง่ายด้วย
โยคีรายงาน ใจและกายของอ่อนโยนอยู่ในภาวะสูงสุด ไม่อยากพบใคร ไม่รู้สึกชอบการพูดคุย ไม่อยากฟังคนอื่นพูด ไม่อยากเห็นหรือได้ยินสิ่งใดๆ เพียงอยากอยู่ในห้องปฏิบัติและปฏิบัติสมาธิต่อไปอย่างเงียบๆ (โยคี กำลังอธิบายเกี่ยวกับ มุทุตา ซึ่งคู่ขนานกับความสงบเย็น ปัสสัทธิ)
กัมมัญญตา
(ควรแก่การงานหรือธรรมชาติทำจิตให้เหมาะแก่การใช้งาน)
โยคีรายงาน ตอนนี้ทั้งใจและกายเข้มแข็งและแข็งแกร่งมาก สามารถอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานานๆ โดยไม่เปลี่ยนท่า ใจสงบนิ่ง ไม่ลืมกำหนด และไม่หละหลวมในการกำหนด กำหนดได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ (การบรรยายของโยคีคือ กัมมัญญตา คู่ขนานกับปัสสัทธิ)
ปาคุญญตา เท่ากับ ความชำนาญ หรือความเชี่ยวชาญ
โยคีรายงาน การกำหนดดีมาก เหมือนกับกำลังท่องมนต์ที่ได้เล่าเรียนมาดีแล้ว กำหนดได้อย่างสบายและอย่างราบรื่น โดยไม่เหนื่อยทั้งกายและใจ ความนึกคิดก่อนหน้าทั้งหมดได้หายไป (นี้คือ ปาคุญญตา = คู่ขนานกับปัสสัทธิ)
อุชุญญตา (ความตรง หรือความถูกต้อง)
ข้อสังเกต บางคนเคยใช้ชีวิตแบบหยาบ หลังจากมีปัญญาระดับนี้จะพูดว่า “ก่อนหน้านี้ ได้เคยทำกรรมชั่วมากมาย เพราะยังไม่รู้ ธรรมะเป็นสิ่งละเอียด ต่อไปจะไม่กระทำอกุศลกรรมบถอีก โยคีแบบนี้จะยอมรับอย่างซื่อสัตย์ต่อพระวิปัสสนาจารย์ถึงกรรมในอดีต (นี้อยู่คู่ขนานกับปัสสัทธิ)
ข้อสังเกต ถ้าโยคีคิดว่าความสงบสุข ความว่องไว และความเบาสบายแห่งกายและจิตเป็นสิ่งดี และชื่นชอบอย่างจับใจแล้วไซร้ แสดงว่าโยคีกำลังยึดติดกับ “ตัณหา”
ถ้าหากโยคีคิดว่า เขากำลังเจอกับสิ่งที่วิเศษเกิดขึ้น แสดงว่าโยคีกำลังยึดติดกับ “มานะ”
ถ้าโยคีคิดว่า เขากำลังรู้สึกสงบสุข แสดงว่าโยคีกำลังยึดติดกับ “ทิฏฐิ” (มิจฉาทิฏฐิ) ถ้าหากโยคีคิดว่า “สภาพที่สงบสุขคือธรรมะ ตนต้องได้บรรลุธรรมวิเศษ นั่นเป็นสิ่งที่ว่าทำไมข้าพเจ้ารู้สึกเบา” แสดงว่าเขากำลังยึดติด “หนทางที่ผิด” (ไม่ใช่ทาง)
สุข
โยคีรายงาน จิตใจและร่างกายรู้สึกสงบสุขมากและรู้สึกคลื่นแห่ง
ความชอบใจอยู่ภายในใจ รู้สึกดีมาก ไม่เคยมีสมบัติแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันดีมากๆ จนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
โยคีรายงาน ขณะที่กำหนด รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย และรู้สึกเย็นซาบซ่านสบาย ทำให้รู้สึกปีติยินดีเพิ่มมากขึ้น บางทีใจเต้นก็เป็นจังหวะและความยินดีก็ซาบซ่านอย่างต่อเนื่อง รู้สึกการกำหนดดีมาก บางทีก็มีปีติมากจนไม่อยากกำหนดต่อไปได้
โยคีรายงาน รู้สึกดีมากขณะกำลังกำหนด รู้สึกมีความสุข ตอนนี้ชื่นชอบการปฏิบัติจริงๆ ทุกครั้งที่กำหนด รู้สึกดีจริงๆ ไม่อยากให้การกำหนดผ่านไปเลย ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลย เกรงว่าข้าพเจ้าจะบ้าด้วยความสุข เพราะชื่นชอบมากเกินไป (การบรรยายของโยคีคือ สุข ที่เจือปนกับอุปกิเลส (ความสุขที่เป็นเหตุให้ใจขุ่นมัว)
โยคีรายงาน รู้สึกดีที่จะกำหนด และก็มีความสุขกับความรู้สึกที่มีความอิ่มเต็มในใจและกาย รู้สึกดีมาก ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน รู้สึกมีความสุขกับการปฏิบัติเฉพาะตอนนี้เท่านั้น ไม่อยากกำหนดหลัวว่ามันจะหายไป ที่กำหนดความรู้สึก เพราะพระวิปัสสนาจารย์บอกให้กำหนด รู้สึกมหัศจรรย์จริงๆ มันช่างมโหฬาร ตนอยากมีความสุขกับความรู้สึกที่อิ่มเอิบสงบสุข อย่างน้อยเป็นเวลาหนึ่งวัน (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ากำลังยึดติดกับ ตัณหา)
โยคีรายงาน สงสัยว่า พระวิปัสสนาจารย์มีประสบการณ์แบบนี้หรือไม่ (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ากำลังยึดติดกับมานะ)
โยคีรายงาน ตนรู้สึกปีติและอิ่มเอิบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบ ความสุขเพลิดเพลินกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขมาก (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ากำลังยึดติด มิจฉาทิฏฐิมรรค)
ข้อสังเกต โยคีคิดว่า ความรู้สึกสงบสุขที่เขารู้สึกนั้นเป็นธรรมวิเศษ เขาคิดว่าเขากำลังรู้สึกสงบสุขมาก เพราะได้บรรลุธรรมวิเศษ โยคีอาจจะไม่พูดสิ่งนั้นออกมา แต่ปกติแล้วเขาก็คิดอย่างนั้น พระวิปัสสนาจารย์สามารถรู้ได้ด้วยการถามคำถาม
โยคีรายงาน สิ่งนี้ต้องเป็นธรรมวิเศษแน่ ข้าพเจ้าไม่คิดว่ามีสิ่งใดดีกว่าหรือสงบสุขกว่าความรู้สึกนี้อีกแล้ว (การอธิบายของโยคีแสดงว่าเขากำลังยึดติดกับมิจฉามรรค มิใช่ทาง)
อธิโมกข์ (ศรัทธาที่สูงยิ่ง)
โยคีรายงาน ทุกครั้งที่กำหนด ไม่มีความขุ่นมัวในใจเลย รู้สึกสดชื่นและผ่องใสมาก บางครั้งก็ไม่มีอะไรเด่นชัดพอที่จะให้กำหนด มีเพียงความผ่องใสนี้คือใจที่สะอาด จึงกำหนดว่า “รู้หนอ รู้หนอ” และ “ผ่องใสหนอ ผ่องใสหนอ” เป็นเวลาค่อนข้างนานเลยทีเดียว
โยคีรายงาน รู้สึกมีพลังงานบางอย่างเกิดขึ้นคล้ายๆ กับคลื่น และก็กำหนดมัน ขณะที่กำลังกำหนดได้ดีอยู่ ทันใดนั้นรู้สึกเหมือนกันว่า ไม่รู้ตัวและทุกอย่างก็กลับไปเป็นสิ่งว่างเปล่า ไม่มีอะไรพิเศษต้องกำหนด ใจสะอาดและสงบมาก เป็นอยู่ประมาณชั่วโมง และคงอยู่อย่างนั้นจนกว่าละเว้นเสีย แต่ข้าพเจ้าพยายามเอามันออกไป
โยคีรายงาน สิ่งที่กำหนดและจิตกำหนด เกิดคู่กันและเกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อรู้การเกิดขึ้นและการดับไปแห่งสิ่งทั้งหลาย แล้วก็รู้สึกศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าหมดหัวใจ ข้าพเจ้าปรารถนากราบและแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
โยคีรายงาน ตอนนี้รู้ถึงความไม่เที่ยง หรือการเกิดขึ้นและดับไปแห่งปรากฏการณ์ทางกายและใจ เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ พระพุทธเจ้าทรงรู้สัจธรรมกับทุกสิ่ง ข้าพเจ้าเคารพศรัทธาพระพุทธเจ้ามากกว่าเดิม
โยคีรายงาน ตอนนี้ กำลังพบธรรมที่แท้จริงอยู่ ข้าพเจ้าจะปฏิบัติธรรมนี้เป็นเวลาหลายเดือนและหลายปีอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าได้ปฏิบัติตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าจะได้ปฏิบัติเป็นเวลาสองสามวันแล้วการปฏิบัติก็ดีขึ้น ข้าพเจ้าเคารพและศรัทธาในการปฏิบัติธรรมที่ให้ผลการปฏิบัติรวดเร็ว (สันทิฏฐิกธรรม)
โยคีรายงาน ตอนนี้รู้สึกสำนึกรู้ธรรมนี้ดีมาก ข้าพเจ้าเคารพและศรัทธาในพระธรรมอย่างซึ้งใจ ชนทั้งหลายที่พูดว่าเพียงแค่กำหนดที่อาการพอง อาการยุบ การคู้ การเหยียด ไม่สามารถทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจเกี่ยวกับอนิจจัง
ทุกขัง และอนัตตา ได้ ช่างเป็นผู้ไม่รู้ ไกลจากความจริง ตอนนี้ชอบธรรมะจริงๆ ตนจะปฏิบัติธรรมนี้ตลอดชีวิตถึงแม้จะตายก็จะปฏิบัติ
โยคีรายงาน ชนเหล่าโน้นที่ได้สอนผู้อื่นว่า ถ้าคนเราเพียงสาธยายพระธรรมหรือรู้พระธรรม ก็เพียงพอแล้ว พวกเขาคิดผิดทีเดียว พวกเขาจะไม่เข้าใจสัจธรรมแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธรรมชาติแห่งจิตและสิ่งต่างๆ ถ้าปฏิบัติให้มากเพียงพอ จึงจะสามารถรู้สัจธรรม และสามารถสลัดกิเลสออกไปอย่างสมบูรณ์ได้
โยคีรายงาน เมื่อก่อน ไม่เคยศรัทธาผู้ปฏิบัติเลย ตอนนี้ศรัทธาผู้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงใจ เนื่องจากรู้สึกว่า ผู้ปฏิบัติทั้งหลายเหล่านั้นได้ปฏิบัติเหมือนข้าพเจ้า เพราะกว่าที่ตนเองจะเอาชนะความเบื่อหน่ายและพัฒนาปัญญาได้ต้องปฏิบัติให้ดี จนกระทั่งได้รู้การเกิดขึ้นและการดับไปแห่งปรากฏการณ์ทั้งปวง ตนจึงเชื่อว่าพวกเราต้องบรรลุมรรค ผล นิพพาน อันสูงสุดด้วยความรู้เช่นนั้นได้ ข้าพเจ้ายกย่องและศรัทธาผู้ปฏิบัติเหล่านั้นที่ปฏิบัติ
โยคีรายงาน ตนไม่เคยรู้ธรรมเหล่านี้มาก่อนเลย และตอนนี้ได้เข้าใจธรรมชาติอันแท้จริงของปรากฏการณ์แห่งนามและรูป อาการพองและอาการยุบ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา อย่างชัดเจน ก็เพราะว่า ได้มีโอกาสปฏิบัติตามคำสอนของท่าน มหาสีสะยาดอว์ พะยักยี ถ้าไม่มีโอกาสนี้แล้วก็จะไม่ได้พบกับธรรมแบบนี้ ท่านสะยาดอว์ พะยักยี เอง ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมที่ยากและลึกซึ้งนี้ ได้เผยแผ่ธรรมให้ทุกคนเข้าใจได้ บ่อยครั้งที่ศรัทธาและสำนึกบุญคุณของท่าน สะยาดอว์ พะยักยี เป็นเวลานาน
โยคีรายงาน ตนปฏิบัติทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เมื่อมาส่งอารมณ์กับพระวิปัสสนาจารย์ ไม่สามารถบอกรายละเอียดการปฏิบัติของตนทั้งหมดได้ แต่พระวิปัสสนาจารย์ดูเหมือนจะรู้ความจริงที่ข้าพเจ้าเล่าประสบการณ์ให้ฟัง รู้สิ่งที่ข้าพเจ้ากำหนดได้และไม่ได้ พระวิปัสสนาจารย์ต้องได้ปฏิบัติและบรรลุธรรมแน่นอน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมท่านพระวิปัสสนาจารย์ถึงได้รู้ทุกระดับที่ข้าพเจ้าผ่านมา จึงรู้สึกเคารพศรัทธาพระวิปัสสนาจารย์มาก ตนยกย่องพระวิปัสสนาจารย์มาก เมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติผิดพลาด พระวิปัสสนาจารย์รู้วิธีช่วยข้าพเจ้าอย่างดี และท่านอดทนมากในการอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ และท่านยังช่วยให้พัฒนาในการปฏิบัติให้อีกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะพระวิปัสสนาจารย์แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติต่อไปได้ ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อท่านพระวิปัสสนาจารย์ตลอด ข้าพเจ้าสงสัยว่า จะสามารถตอบแทนความกรุณาต่อท่านพระวิปัสสนาจารย์ได้อย่างไร (โยคีรู้สึกสำนึกอย่างมากต่อพระวิปัสสนาจารย์ที่สอนกัมมัฏฐานและแสดงความรู้สึกออกในวิธีข้างต้นแล้ว)
โยคีรายงาน รู้สึกเคารพศรัทธาและสำนึกต่อพระวิปัสสนาจารย์ เมื่อเห็นท่านอยู่เสมอ จึงกำหนดว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ” บ่อยเลยทีเดียว เพราะจิตแล่นไปหาพระวิปัสสนาจารย์บ่อยๆ จนต้องกำหนดว่า “ศรัทธาหนอ ศรัทธาหนอ” บ่อยครั้ง
โยคีรายงาน ตอนนี้ได้ปฏิบัติและมีความรู้พอตัวแล้ว แต่พ่อแม่และญาติๆ ที่ได้ตายไปยังไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับธรรมเหล่านี้เลย ถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ คงจะได้ปฏิบัติเหมือนข้าพเจ้า ตอนนี้พวกเขาตาย จึงไม่มีโอกาส เมื่อนึกถึงพวกเขาที่ไม่ได้พบธรรมสูงค่าเยี่ยงนี้หนอ ข้าพเจ้าจึงรู้สึกเศร้าใจ ต่อมามีน้ำตาไหลออกมาและร้องไห้จริงๆ
โยคีรายงาน กำลังคิดหาวิธีที่จะชักชวนญาติ และเพื่อนๆ ให้มาปฏิบัติกัมมัฏฐานนี้ ถ้าหากได้อธิบายให้พวกเขาฟัง แน่ใจว่าพวกเขาจะตกลงมาปฏิบัติ และจะปฏิบัติอย่างจริงจัง
ข้อสังเกต โยคีได้บอกพระวิปัสสนาจารย์บ่อยครั้งที่วางแผนจะช่วยคนอื่นให้ปฏิบัติธรรม เพราะว่า โยคีเชื่อว่าพระธรรมนี้จะนำเขาไปสู่ มรรค ผล นิพพาน อย่างแน่นอน ความเชื่อในพระธรรมของเขาถึงจุดสุดยอด นี้เรียกว่า “อธิโมกข อุปกิเลส” (ความขุ่นมัวแห่งจิต เนื่องจากความเชื่อที่ตั้งมั่นดีแล้วในพระธรรม)
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้ ไม่รู้วิธีที่จะปลูกศรัทธาต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาพระวิปัสสนาจารย์ ทั้งหลาย แต่ตอนนี้รู้จริงๆ แล้วถึงวิธีที่จะศรัทธา ตนรู้สึกมีความสุขเพียงเป็นผู้เคารพศรัทธา ที่จริงแล้วความรู้สึกศรัทธาเป็นธรรมที่ดี (กุศล) จึงน่ายินดี ทำไมถึงต้องกำหนดความรู้สึกแบบนั้น บางคนต้องพยายามอย่างหนักที่จะเกิดความรู้สึกศรัทธาแบบนั้น ทำไมพระวิปัสสนาจารย์จึงบอกให้กำหนดความรู้สึกนั้นให้หายไป ตอนนี้ทุกครั้งที่กำหนด จะรู้สึกดี ใจสว่างแจ่มแจ้งเลย (โยคีกำลังยึดติดกับ ตัณหา)
โยคีรายงาน ไม่คิดว่าคนอื่นจะรู้สึกศรัทธาเหมือนตน ข้าพเจ้ามีศรัทธามากกว่าคนอื่นๆ (โยคียึดติดกับมานะ)
โยคีรายงาน ตนมีศรัทธาเต็มเปี่ยมในพระธรรม ที่ทำให้กระจ่าง ข้าพเจ้ารู้วิธีที่จะนึกถึงพระธรรมด้วยความรู้สึกเคารพศรัทธา (โยคียึดติดกับทิฏฐิ)
โยคีรายงาน เมื่อจิตใจสว่าง แสดงว่าต้องพบธรรมอันแท้จริงแน่ ธรรมวิเศษต้องสามารถทำให้จิตใจคนสว่างกระจ่างได้ ความรู้สึกมั่นคงในศรัทธาที่พบอยู่นั้นต้องเป็นธรรมวิเศษแน่ (โยคีกำลังหลงทาง ไม่ใช่ทาง)
ปัคคาหะ วิริยะ (ความเพียรที่เพิ่มพูน)
โยคีรายงาน เมื่อก่อนตั้งใจพยายามอย่างหนักที่จะกำหนดให้ดีแต่ก็
ไม่ดีเลยตอนนี้ไม่ต้องกำหนดอย่างหนัก เพียงแต่กำหนดทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้น ถึงกระนั้นก็สามารถกำหนดสิ่งเหล่านั้นทีละอย่างได้ และสมาธิก็ดีตลอด ไม่หวั่นไหว
โยคีรายงาน รู้สึกดีมากที่กำหนดหลายๆ สิ่ง ไม่รู้สึกขี้เกียจเลย ถึงแม้จะไม่ค่อยได้กำหนดอย่างต่อเนื่อง
โยคีรายงาน ตอนนี้ ความเพียรไม่เหมือนก่อน ต้องพยายามมากกว่าเดิม ไม่พักเลย ต้องทำความเพียรให้มากขึ้นและมากขึ้น (โยคีที่กล่าวแบบนี้ แสดงว่ามีปัคคาหะ อุปกิเลส ความขุ่นมัวแห่งจิตเนื่องจากความเพียรมีกำลังมากเกินไป)
ข้อสังเกต โยคีชอบที่จะกำหนดอย่างสบายและอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้ความเพียรมาก ไม่ขี้เกียจ และกำหนดได้อย่างมั่นคง (โยคีกล่าวแบบนี้ แสดงว่า กำลังยึดติดกับตัณหา)
โยคีรายงาน รู้สึกการปฏิบัติได้ดีกว่าคนอื่นๆ ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นที่สามารถปฏิบัติได้ดีเหมือนตน (โยคีกำลังยึดติดกับมานะ)
โยคีรายงาน ตนจะปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ขี้เกียจ จะทำความเพียรในการปฏิบัติให้สมบูรณ์ (โยคีกำลังยึดติดกับทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ)
โยคีรายงาน ความจริงที่ว่า การกำหนดได้อย่างต่อเนื่องนั้น ต้องเป็นธรรมวิเศษแน่ เมื่อบรรลุธรรมวิเศษนั้นแล้ว ก็จะไม่ขี้เกียจและกำหนดอย่างต่อเนื่อง (โยคีกำลังยึดติดกับมิจฉามรรค ไม่ใช่ทาง)
อุเบกขา (ความวางเฉย)
โยคีรายงาน ตอนเริ่มต้น ถึงแม้ว่าได้พยายามอย่างหนักในการปฏิบัติ ก็ยังไม่สามารถกำหนดสิ่งต่างๆ ได้อย่างเท่าทัน เวลาส่วนมากกำหนดอารมณ์ไม่ทัน รู้แต่ละอารมณ์ได้ไม่ชัดเจนและแจ่มแจ้ง ตอนนี้อะไรเกิดขึ้นก็ตาม สามารถกำหนดได้อย่างมั่นคงและเท่าทันอาการ โดยไม่ต้องทำความเพียรพิเศษแต่ละประการใด กำหนดได้ทันหมด การกำหนดแต่ละครั้งเป็นสิ่งแยกจากกัน ขณะที่กำหนดเสียงหลายชนิดอยู่นั้น เห็นว่าทันใดที่เสียงหยุดลง การกำหนดก็เสร็จเหมือนกัน เป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบมาก ก่อนหน้าเคยคิดการเริ่มและการสิ้นสุดแห่งการเกิดขึ้นและการดับไปของสิ่งทั้งหลาย ทั้งพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา แต่ไม่เคยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ตอนนี้ไม่ต้องคิด หากแต่รู้การเริ่มต้นและการสิ้นสุด การเกิดขึ้นและการดับไป การปรากฏขึ้นและการสูญไป อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ได้อย่างแจ่มแจ้งด้วยการกำหนด ด้วยเพียงเพราะการกำหนด (โยคีกำลังพิจารณาวิปัสสนาด้วย “อวิชชานุเปกขา”)
โยคีรายงาน ไม่คิดว่าการปฏิบัติในขณะนี้ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน และไม่อาจกล่าวได้ว่าดีกว่าแต่ก่อน ไม่รู้สึกขี้เกียจหรือมีความสุข ไม่ได้รู้สึกน่าเกลียดและน่าเศร้า ไม่อาจกำหนดได้ว่า น่าสนุกหรือไม่น่าสนุป เป็นเพียงความรู้สึกกลางๆ การกำหนดง่ายๆ ได้ดี แต่ละครั้งที่กำหนด สิ่งทั้งหลายชัดเจนและตรงจุดดีมาก การปฏิบัติเป็นไปอย่างเงียบและสงบมาก (โยคีกำลังเจอกับตัตระมัชฌิหัตตะตา การวางเฉยแห่งจิตในสิ่งทั้งหลาย)
ข้อสังเกต ถ้าโยคีรู้สึกยินดีกับการปฏิบัติดีๆ เช่นนั้นแล้วก็จะมีการยึดติดต่อตัณหา ถ้าหากโยคีคิดว่าเขาคือคนที่กำลังเจอสิ่งนั้นเท่านั้น เขาก็มีการยึดติดต่อมานะ หากโยคีคิดว่าเขาปฏิบัติได้ดีโดยไม่ต้องทำความเพียรมากและกำหนดด้วยความรู้สึกที่แตกต่างแล้ว เขากำลังยึดติดธรรมปฏิรูป (ธรรมปลอม) หากโยคีคิดว่าความสามารถที่จะกำหนดอย่างสบายและสงบนั้นคือการพบธรรมวิเศษแล้วไซร้ เขากำลังยึดติดทางที่ผิด (มิจฉามรรค)
นิกันติ (รูปแบบอันประณีตแห่งตัณหา หรืออุปาทานที่เกิดจากความยินดีในประสบการณ์ขของตนเองจากการปฏิบัติ)
โยคีรายงาน ตอนนี้สามารถกำหนดได้อย่างรวดเร็วและดีมาก รู้สึกมีความสุขในการปฏิบัติ ประทับใจและมีความสุขมากที่ได้เห็นแสงสว่าง ตอนนี้รู้สึกมีความสุขในการกำหนด และต้องการรที่จะกำหนดตลอดเวลา
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนจึงพูดว่าการกำหนดเป็นสิ่งที่ดี ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยและเบื่อเท่านั้น ตอนนี้ได้รู้ดีแล้วว่าการกำหนดมันดีอย่างไร ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความมหัศจรรย์แห่งคุณค่าของธรรมะและภาวนาอย่างแท้จริง
โยคีรายงาน รู้สึกมีความสุขมาก เนื่องจากว่า รู้สึกดีในกำหนด และได้พบกับแสงสว่าง แต่ความรู้สึกมีความสุขเป็นเพียงชั่วระยะสั้นๆ ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน ไม่ใช่รูปแบบที่พระวิปัสสนาจารย์กล่าว เลยกลัวว่าความสุขอย่างนี้จะหายไป ก็จะทำให้รู้สึกไม่ชอบในความรู้สึกที่หายไปในส่วนนี้ ข้าพเจ้าจะไม่กำหนดความรู้สึกที่อัศจรรย์เหล่านี้จนความรู้สึกนี้หายไป ข้าพเจ้าต้องการเสพความรู้สึกสุขอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะมีความรู้สึกแบบนี้ทั้งวันก็ตาม
โยคีรายงาน หลังจากที่ได้พบเห็นแสงสว่าง เป็นความรู้สึกที่ดีในการกำหนดในการกำหนดอารมณ์ทั้งหมด ทันใดนั้นข้าพเจ้ารู้สึกสงบสุขและสบายจริงๆ มีความเย็นและความสงบในตัว จากนั้นรู้สึกมีความสุขมาก ขณะที่คิดถึงการกำหนดว่าเป็นจิตใจที่มีสุขนั้น ไม่มีสิ่งใดที่จะกำหนดแต่อย่างใด จากนั้นก็คิดว่า “การกำหนด ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปแล้ว ได้สำเร็จแล้ว สิ่งทั้งหลายจบแล้ว ข้าพเจ้าไม่มีกิจใดๆ ที่จะทำอีกต่อไป” หลังจากคิดดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้แนะนำโยคีลูกศิษย์ให้ทำความเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติ ข้าพเจ้าบอกให้พวกเขาพิจารณาการปฏิบัติอย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืน ถึงแม้ต้องเผชิญหน้ากับความตายก็ตาม (นี้คือ นิกันติอุปกิเลส ความขุ่นมัวแห่งจิตเนื่องจากยินดีกับการปฏิบัติที่ดี)
ข้อสังเกต ในการบรรยายข้างต้นนั้น ความจริงโยคีกำลังดื่มด่ำกับความสุขที่ได้รับจากการปฏิบัติ หมายความว่ามีการยึดติดในตัณหา ถ้าหากโยคีคิดว่าไม่มีใครมีความสุขอย่างเช่นเราแล้วไซร้ เขากำลังยึดติดในมานะ ถ้าโยคีคิดว่า เขากำลังสนุกกับการภาวนา และรู้สึกมีความสุขในการกำหนด เขากำลังยึดติดทิฏฐิ (ธรรมปฏิรูป) ถ้าโยคีคิดว่า ความสุขที่เขาได้รับ คือธรรมวิเศษแล้วไซร้ เขากำลังยึดติดมิจฉามรรค (มิใช่ทาง)
อุปกิเลส ๑๐ ประการ
ความขุ่นมัวแห่งจิต ชนิดต่างๆ เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติ
1. ความสามารถกำหนดสิ่งทั้งปวงอย่างรวดเร็วคือ “สติ”
2. ความสามารถกำหนดอย่างรวดเร็ว และความสามารถแยกแยะแต่ละอย่างได้อย่างชัดเจน คือ “ญาณ
3. การพบเห็นแสงสว่างอย่างชัดเจนคือ “โอภาส”
4. การพบกับการสั่น การโยก และตัวแข็ง และความรู้สึกสงบสุขแห่งการกำหนดที่เป็นสุขคือ “ปีติ” หรือธรรมที่ทำให้ร่าเริง
5. ความเย็น ความสงบ และเงียบสงบในจิตและกายไม่มีความกังวล ไม่มีความกระตือรือร้นเกินไป และไม่คิดฟุ้งซ่าน คือ “ปัสสัทธิ”
6. ความรู้สึกที่จิตมีความสนุก และความรู้สึกยินดีในกาย คือ “สุข” ความสุขอันรื่นรมย์
7. จิตกำหนดกระจ่าง ความรู้สึกเคารพต่อพระพุทธ พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ พระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายคือ “อธิโมกข์”
8. การปฏิบัติได้สบาย ไม่เบื่อ ไม่ชักช้า กำหนดได้อย่างสม่ำเสมอคือ “ปัคคาหะ”
9. ความสามารถกำหนดได้อย่างเท่าทันสิ่งทั้งหลาย ณ ปัจจุบัน ขณะรู้อย่างชัดแจ้งถึงการเกิดขึ้นและดับไปแห่งปรากฏการณ์ ความสามารถกำหนดได้อย่างจดจ่อและแจ่มแจ้ง กับอารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องทำความเพียรพิเศษ ความรู้สึกสมดุลอิสระจากความยินดีและยินร้ายชื่อว่า “อุเบกขา”
10. การคิดว่าการปฏิบัติภาวนา ทำให้ตนมีความรู้ และรู้สึกยึดติดต่อภาวนา ยินดีต่อความสุขนั้นคือ “นิกันติ” (เมื่อโยคีกำลังคิดว่า เขามีความสุขในภาวนา เขาก็จะจมอยู่ในอุปาทาน หรือความชื่นชมยินดีในการปฏิบัติของตน นี้เรียกว่า “นิกันติ”
ที่กล่าวมาข้างต้น คืออุปกิเลส ๑๐ ประการ ซึ่งแสดงไว้เป็นประสบการณ์ในการปฏิบัติของโยคี โยคีบางท่านอธิบายว่า ถ้าพระวิปัสสนาจารย์ได้พบความรู้ และศรัทธาที่ถูกปลูกฝังอยู่ในอุปกิเลสเหล่านั้น ในอุปกิเลส ๑๐ ประการนั้น โยคีบางท่านรู้ชัดเจนเพียง ๒หรือ ๓ ประเภท
โยคีจะพบอุปกิเลสระดับต่างๆ กันไป บางท่านได้เจอทั้ง ๑๐ ประการ โยคีส่วนมากสามารถอธิบายอุปกิเลสได้ทุกชนิด แต่บางท่านก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้พบมา
ส่วยโยคีที่ได้เจออุปกิเลสสองสามประเภทนั้น จะอธิบายอย่างตื่นเต้น โยคีที่เจออุปกิเลสหลายอย่างได้อย่างชัดเจน โดยไม่กระทบต่อการกำหนดที่ดี ก็จะมีความสุขเหนือการควบคุม โยคีนั้นจะรู้สึกมีความสุขเป็นเวลานาน
ข้อสังเกต พระวิปัสสนาจารย์ควรฟังอย่างตั้งใจถึงการอธิบายที่น่าตื่นเต้นของโยคีเรื่องอุปกิเลสเหล่านั้น โยคีบางท่านได้พบอุปกิเลสเพียงสองสามประเภท อาจจะอธิบายแบบไม่น่าตื่นเต้น ให้ช่วยโยคีเหล่านั้นให้มีศรัทธา ฉันทะ และความเพียรในการปฏิบัติให้มากขึ้น โยคีอาจจะได้พบอุปกิเลสมากมายหรือไม่ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ได้อธิบายประสบการณ์อย่างกระตือรือร้น โยคีนั้นก็จะได้รับการลดระดับลง จงให้การช่วยเหลือและลดระดับความกระตือรือร้นของเขาลงด้วย
วิธีบรรยาย โยคีได้ปฏิบัติอย่างหนัก เพื่อที่จะให้กำลังสมาธิและปัญญาของโยคีดีขึ้น จากนี้ไปการปฏิบัติก็จะคงดีมากเหมือนเดิม ไม่จำเป็นที่จะยินดีรื่นเริงเกินไปกับประสบการณ์ที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นที่ดีเท่านั้น มีเรื่องที่ดีกว่านี้อีก ไม่ควรเป็นเช่นมนุษย์ผู้เขลาที่ถือเอาเพียงฟองน้ำ เมื่อมีเพชรอยู่รอบๆ การพบเห็นอุปกิเลสนั้นไม่ใช่อะไร บางคนเห็นภายในถึงสามวันสี่วัน ความรู้สึกเป็นสุข ยินดี เป็นต้น เป็นเพียงการขุ่นมัวแห่งจิตเท่านั้น และไม่ควรยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น โยคีถึงญาณระดับนี้ได้เพราะการกำหนดเท่านั้น เพื่อที่จะถึงระดับแห่งญาณที่สูงขึ้นไป โยคีต้องกำหนดต่อไป (ให้อธิบายให้โยคีฟังจนกว่าพวกเขาเข้าใจถึงความจำเป็นที่กำหนดทุกสิ่งต่อไป โยคีควรกำหนดความรู้สึกรวมถึงความรู้สึกสุขสูงสุดด้วยความเพียรพยายามอย่างแรงกล้า) สำหรับโยคีที่กระตือรือร้นที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ พระวิปัสสนาจารย์ควรผ่อนปรนลงให้เขา และให้คำแนะนำโดยให้กำหนดอย่างจดจ่อที่อารมณ์ทั้งปวงด้วยความเพียรพยายามและไม่ผิดพลาดต่อไป
ให้คำเตือนพิเศษแก่โยคีผู้ที่กำลังพบกับอุปกิเลส ให้กำหนดอย่างต่อเนื่องอยู่กับอารมณ์ทั้งปวง เพื่อที่ความคิดต่างๆ จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นสำหรับโยคีที่เพลิดเพลินเกินไปและพบว่าไม่ได้กำหนด ให้แนะนำเขาให้นอน และบอกให้โยคีนั้นเริ่มกำหนดหลังจากตื่นต่อไป
สำหรับโยคีที่คิดว่า เขาได้สำเร็จมรรคผลและรู้สึกพอใจแล้ว ให้ถามเขาว่า การกำหนด การมีความสุข การสงบสุข คือสังขารธรรม (สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลง) หรือไม่ ถ้าโยคียอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นคือสังขาร จากนั้นให้บอกเขาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีธรรมชาติแห่งการเกิดขึ้นและดับไป สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นบุคคลไม่ควรยินดีกับการพบกับสังขาร ควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจนบรรลุถึงนิพพาน ที่เป็นอิสระจากสังขาร (การปรุงแต่ง) ทั้วปวง
โยคีบางท่านกล่าวว่า ระหว่างการปฏิบัติที่ดีนั้นพวกเขาไม่รู้สึกตัว แต่ต่อมาปฏิบัติก็ดีอีกครั้ง เมื่อสภาวธรรมนั้นเกิดขึ้นหนึ่งครั้งหรือหลายครั้ง โยคีเริ่มคิดว่าการกำหนดคือวิปัสสนาและการหยุดโดยไม่กำหนดใดๆ คือมรรค ผล นิพพาน หลังจากทำการตกลงใจเช่นนั้น โยคีรู้สึกพอใจและชอบใจโดยการค้นพบตัวเองหรือความรู้อันยิ่งยวด พระวิปัสสนาจารย์ควรบอกโยคีนั้นว่า บางทีโยคีอาจจะไม่รู้ตัวเนื่องจากกำลังแห่งปีติ (ความอิ่มใจ) หรืออุเบกขาหรือเนื่องจากถีนะมิทธะ เนื่องจากสมาธิมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะเนื่องจากสงบนิ่งมากเต็มที่ โยคีสามารถอยู่ในภาวะความไม่รู้สึกตัวได้เป็นเวลานาน ให้แนะนำโยคีให้กำหนดต่อไปเหมือนก่อน
โยคีควรได้รับการแนะนำให้เข้าใจว่า สภาวธรรมเช่นนี้ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด และควรทำการกำหนดต่อไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อโยคีเข้าใจสิ่งนี้ผ่านทางความรู้ของตนเอง และหรือได้รับการชี้แนะของพระวิปัสสนาจารย์ก็ตาม โยคีควรทำการกำหนดต่อไปเหมือนก่อนหน้า จากนั้นโยคีก็จะสามารถข้ามพ้นอุปกิเลสได้ หลังจากนั้นการกำหนดของโยคีก็จะมั่นคงและแจ่มชัด เมื่อการกำหนดดีขึ้นดังนี้แล้ว บางคนจะพูดว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดเมื่อก่อนว่า เป็นการกำหนดที่ดีนั้นเป็นเพียงการกำหนดหยาบๆ ตามนี้เท่านั้น ที่ตนได้รู้สิ่งที่ดีอันแท้จริงแต่ละครั้งที่กำหนด ข้าพเจ้าจี้ลงไปที่อารมณ์แต่ละอย่างแยกกันได้ การกำหนดแต่ละครั้งรู้สึกได้อย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งมาก จิตใจสงบนิ่ง มุ่งตรงไปยังอารมณ์กรรมฐานที่กำหนดและหยุดที่นั่นอย่างจดจ่อ และชัดแจ้ง เมื่อก่อน คิดว่าการกำหนดที่ดีนั้น ไม่เหมือนตอนนี้ มีครั้งหนึ่งเคยถกเถียงกับพระวิปัสสนาจารย์ หลังจากที่มีการปฏิบัติที่ดีมากๆ ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้ว่า เข้าผิดไป ตอนนี้รู้สึกสำนึกบุญคุณต่อท่านพระวิปัสสนาจารย์”
โยคีรายงาน ประมาณวันหรือสองวันต่อมาที่ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติ
ได้ดีขึ้น มีความรู้ความก้าวหน้าขึ้น เมื่อไรก็ตามที่กำหนดอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น อาการพอง อาการยุบ การคู้ การเหยียด ความปวด หรือเวทนาทางกายอื่นๆ สามารถกำหนดได้อย่างเท่าทันและชัดเจน ทันทีที่อารมณ์ทั้งหลายปรากฏเกิดขึ้น เมื่อกำหนด สิ่งเหล่านั้นก็หายไป ก่อนหน้านี้ เคยคิดว่าสิ่งทั้งหลายเลื่อนเข้ามาจากที่อื่นสักแห่ง แต่ตอนนี้ รู้แล้วว่าสิ่งทั้งหลายเริ่มและจบไป ณ จุดนั้น ก่อนหน้านี้ เคยคิดว่า สิ่งต่างๆ เคลื่อนที่ไปที่อื่น ตอนนี้ แต่ละครั้งที่กำหนด จึงได้รู้ว่าทันทีที่กำหนดอารมณ์ทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็หายไป ณ จุดนั้นนั่นเอง การกำหนดแต่ละครั้งทำให้มีความรู้ชัดขึ้น
ข้อสังเกต เมื่อโยคีเข้าถึงความสมบูรณ์แห่งอุทยัพพยญาณ ก็จะได้รับความรู้เช่นนั้นบ่อยครั้ง พวกเขาก็จะพูดในลักษณะเช่นนี้
โยคีรายงาน รู้สึกดีที่จะกำหนด ทำให้มีความรู้กระจ่างชัดเจน สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นแล้ว เมื่อได้กำหนด สิ่งเหล่านั้นก็หายไป แต่หลังจากที่กำหนดเป็นเวลานาน ข้าพเจ้าต้องการพักก็พักบ่อยๆ
คำแนะนำ อย่ารู้สึกยินดีกับการปฏิบัติและอย่าหยุดพักบ่อย ถึงแม้ว่าอยากพัก ให้อดทนอย่ายอมแพ้ต่อความอยาก แทนที่จะหยุดพักให้กำหนดต่อไปให้นานกว่าเดิม ให้ปฏิบัตินานขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากท่านหยุดพักบ่อย จะไม่ก้าวหน้าไปจากปัญญาระดับนี้
โยคีรายงาน การเกิดขึ้นและการดับไปของสิ่งทั้งหลายเหมือนกับคลื่นที่เกิดจากเม็ดฝนตกกระทบผิวน้ำ เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว เหมือนแสงที่ส่องมา
ข้อสรุป
๑. เมื่อโยคีสามารถกำหนดที่สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
๒. เมื่อแต่ละครั้งที่โยคีกำหนด เขารู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับ
1) สิ่งที่กำหนดและจิตกำหนดอยู่ติดกันเป็นคู่
2) การเกิดและการดับของสิ่งเหล่านั้น
3) การเริ่มและการสิ้นสุด
4) การเกิดขึ้นและการดับไปของปรากฏการณ์
โยคีนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นอิสระจาก “อุปกิเลส” (ความขุ่นมัวแห่งจิต) และได้เข้าถึงปัญญาระดับ “อุทยัพพยญาณ” ปัญญาที่เห็นความเกิดขึ้นและความดับไปอย่างรวดเร็ว
†††††† จบ อุทยัพพยญาณ ††††††
ภังคญาณ
ปัญญารู้การดับไป
โยคีรายงาน การกำหนดที่อาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัสได้ดี การกำหนดได้รวดเร็วอย่างฉับพลัน รู้สึกสั่นเพียงแค่ครั้งหรือสองครั้ง ศีรษะเหมือนกับว่าถูกคลุมด้วยผ้าหรือมุ้ง บางทีก็เริ่มจากขา รู้สึกเหมือนถูกสะกดจิต และได้เห็นลักษณะผ้าคลุม สิ่งต่างๆ มาปรากฏเป็นเวลานาน จึงคิดว่าการกำหนดได้ช้าลง
โยคีรายงาน สังเกตถึงความดับสนิทไม่มีสิ่งใดเลยและผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนการกำหนดไม่ต่อเนื่องทำให้การกำหนดชักช้าลง จึงกำหนดได้ไม่ดี
โยคีรายงาน การกำหนดได้ค่อนข้างดี จากนั้นพบว่า การกำหนดของแผ่วลง หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบสิ่งใดเลย ร่างกายเริ่มหายไปและรู้สึกว่าต้องกำหนดที่อารมณ์ทั้งหลายเป็นปกติ สิ่งที่กำหนดและการกำหนดพร้อมกันดีมาก แต่รู้สึกเหมือนกับว่าการกำหนดยังไม่ค่อยดี ไม่ค่อยพอใจกับการกำหนดที่หยุดชะงักช้าลง
โยคีรายงาน อารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นและหายไป เมื่อกำหนด สิ่งที่กำหนดและจิตกำหนดเกิดพร้อมกันดีมาก จึงกำหนดได้ดีมาก สามารถเห็นการเกิดขึ้นของอารมณ์ทั้งหลายได้เพียงบางครั้งเท่านั้น เวลาส่วนมากเห็นเพียงอารมณ์ทั้งหลายที่ดับไปเท่านั้น การกำหนดดูเหมือนไม่เชื่อมต่อกัน จึงเกิดสงสัยว่าทำไมมันจึงช้าลงเช่นนี้ (โยคีถอนหายใจ)
โยคีรายงาน เมื่อไรก็ตามที่กำหนด เหมือนขว้างก้อนหินทีละก้อนลงแม่น้ำ แต่ละครั้งที่มีอารมณ์เกิดขึ้น แต่ก็ได้กำหนด มันเป็นเหมือนกับว่าใจตรงดิ่งไปที่สิ่งที่กำหนดเหมือนพุ่งหลาว สามารถรู้การเกิดและการดับของสิ่งทั้งหลายได้ จากภาวะที่ดีเยี่ยงนั้น สิ่งทั้งหลายก็ถูกทำลายหายไป เหมือนกับได้โยนกระจุกหญ้าลงไปบนผิวน้ำ จึงทำให้การกำหนดไม่ถูกต้องและไม่แทงตลอด การกำหนดดูเหมือนปล่อยปละละเลยหรือกำหนดเล่นๆ
ข้อสังเกต เมื่อถูกถามถึงวิธีที่มันเหมือนเป็นการกำหนดเล่นๆ โยคีก็จะกล่าวว่า เมื่อกำหนดการกระทบสัมผัส ได้ส่งจิตไปที่ขา จึงรู้จิตที่เพ่งอยู่ที่ขาแต่ไม่เห็นขา เหมือนกับตอนที่ได้กำหนดจิตเพ่งไปที่ศีรษะ ก็ไม่เห็นศีรษะ เมื่อได้กำหนดการนั่ง ก็ได้รู้ว่ากำลังนั่ง แต่ไม่เห็นร่างกายในท่านั่ง เมื่อกำลังเดิน ได้กำหนดการยก การย่าง การเหยียบ ก็รู้การยก การย่าง และการเหยียบ แต่ไม่พบเห็นขาเลย การได้กำหนดสิ่งใดก็ตามมันก็เป็นเช่นนั้น ได้สังเกตเห็นสิ่งต่างๆ แต่รูปร่างหรือรูปลักษณะของสิ่งต่างๆ ไม่ชัดเจน
อารมณ์ทั้งหลายไม่ได้ปรากฏชัด เหมือนการกำหนดผ่านๆ การกำหนดไม่ดีเหมือนก่อน ต่อมารู้สึกเบื่อและไม่ชอบใจ จึงได้นอนพักบ่อยๆ จากนั้นก็ตื่นขึ้นมา แต่ก็กระวนกระวาย จึงกำหนดนานๆ ไม่ได้ ถึงแม้ว่ากำลังรู้สึกอย่างนั้น ก็ไม่สามารถช่วยให้การกำหนดเป็นปกติได้ แต่เมื่อได้กำหนดมันก็เกิดความไม่พอใจ จากนั้นก็ท้อแท้ ความรู้สึกนั้นทำให้รู้สึกเบื่อและท้อใจ ดังนั้นจึงเลิกกำหนดและเพียงแค่มองดูเฉยๆ
โยคีรายงาน ตอนแรกการกำหนดได้ดี ทั้งอาการพองและการยุบได้ชัดเจน จากนั้นการยุบดูเหมือนจะหายไป หลังจากนั้นชั่วขณะทั้งอาการพองและการยุบก็มัว เมื่อกำหนดที่อาการพอง ดูเหมือนไม่มีอาการยุบ แต่รู้ได้ว่า อาการพองและอาการยุบอยู่ที่นั่น เป็นเพียงแต่ว่า อาการพองอาการยุบไม่ปรากฏชัด จึงคิดว่า การกำหนดผิดแล้ว
ข้อสังเกต โยคีที่รายงานอย่างนี้ คือการเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนปัญญาจากระดับ อุทยัพภยญาณ ไปสู่ระดับ “ภังคญาณ” เกือบจะทุกคนจะรู้สึกท้อที่ปัญญาระดับนี้ เพราะฉะนั้นต้องให้การกระตุ้นช่วยเหลือ
การกระตุ้นช่วยเหลือ
อย่าคิดว่าการกำหนดได้ไม่ดีเหมือนก่อน อย่าคิดว่าการกำหนดของท่านเสื่อมไป อย่าได้ท้อแท้หมดกำลังใจ ความจริงการกำหนดของท่านดีกว่าแต่ก่อน ตอนนี้ความรู้ของท่านก้าวรุดหน้าแล้ว ในการเริ่มต้นของการปฏิบัติ โยคีจะรู้สึกท้อแท้อย่างนี้เสมอ ทุกคนที่มีความรู้พัฒนาถึงระดับนี้จะต้องเจอความรู้สึกแบบนี้ ไม่ต้องคิดว่าท่านเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ เมื่อความรู้ของท่านยังด้อยอยู่ ความรู้ก็หนักและช้า ดังนั้นท่านกำหนดอะไรก็ตาม ท่านไม่อาจรู้ธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายได้ จิตของท่านได้กำหนดสิ่งต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างของส่วนต่างๆ ของร่างกายเละชื่อบัญญัติของแต่ละส่วนนั้น เช่น รูปร่างของท้อง แขน ขา (ชื่อบัญญัติของอวัยวะทางร่างกาย) เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งที่ท่านกำหนด ต้องชัดเจนอยู่กับชื่อบัญญัติและรูปร่างของสิ่งที่กำหนด ให้เพิ่มความถูกต้องแม่นยำของการกำหนดเข้าไป ท่านจะได้คิดว่าการปฏิบัตินี้ช่างยอดเยี่ยม
จิตใจที่ได้รับการฝึกมาตั้งแต่เด็กให้ยอมรับ “บัญญัติ” (ชื่อของรูปร่างของสิ่งที่คิดต่างๆ) เพราะฉะนั้นท่านคิดว่า การรู้ชื่อและรูปร่างของสิ่งทั้งหลายดีกว่าปัญญา ตอนนี้ปัญญาของท่านนั้นมีวุฒิภาวะพอแล้ว ใจของท่านจึงเบาและเร็ว แต่ละครั้งที่ท่านกำหนดอาการพองอาการยุบ หรืออารมณ์ทั้งหลายอื่นๆ ก็ตาม เป็นเพียงแค่เห็นธรรมชาติของนามและรูป ดังนั้น จิตจึงไม่มีโอกาสกำหนดผิดพลาด (ที่รู้และมีแนวโน้มที่จะพิจารณานามที่ตั้งสมมติให้รูปร่างและเงื่อนไขของอารมณ์ทั้งหลาย) ที่เกิดขึ้นระหว่างการกำหนดแต่ละอย่าง (หลังจากที่สติหลุดไปโดยไม่จำเป็น, เป็นการใช้ความเพียรที่ผิด) ตอนนี้ท่านรู้แค่วิปัสสนาล้วนๆ ที่ทำให้ท่านยอมรับธรรมชาติภายในของสิ่งทั้งหลาย
โยคีรายงาน ก่อนหน้าที่ การรับรู้ได้ช้าและสมองทึบ ความดับไปของสิ่งทั้งหลายช้า ดังนั้นจึงสามารถเห็นการเริ่มต้นของปรากฏขึ้นแห่งสิ่งทั้งหลายได้ดีมาก (ตอนนี้จิตรู้ของโยคีนั้นเร็วตามการดับของอารมณ์ทั้งหลายที่เร็ว โยคีก็จะไม่เห็นการเกิดขึ้นของอารมณ์ทั้งหลาย โยคีเห็นจะเพียงการสิ้นสุดและการแตกสลายของอารมณ์ทั้งหลายแทนเท่านั้น)
ข้อสังเกต ในการเริ่มต้น ถ้าโยคีไม่อาจยอมรับชื่อและรูปร่างของสิ่งทั้งหลายได้ สมาธิที่มั่นคงเพียงพอก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ตอนแรกพระวิปัสสนาจารย์ควรแนะนำโยคีให้เห็นแจ้งนามและรูปร่างของสิ่งทั้งหลายเมื่อกำหนด ก็ไม่ใช่เพราะการรู้ถึงรูปร่างของสิ่งทั้งหลายอย่างชัดแจ้ง เป็นผลที่ดีที่สุด มันเป็นเพียงการรวมของกำลังสมาธิ ตอนนี้โยคีนั้นไม่อาจเห็นนามสมมติและรูปร่างของสิ่งทั้งหลาย เพียงแค่รู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่จำเป็นที่จะจินตนาการนาม (ชื่อ) และรูปร่างอย่างจงใจ มันดีกว่าถ้าหากท่านสามารถรู้ภาวะธรรมชาติของสิ่งที่กำหนด โดยไม่มีการเห็นภาพหรือรูปร่าง ท่านอาจคิดว่า ความว่องไวของท่านช้าลงและการกำหนดของท่านหยุดชะงัก นี้เป็นเพราะว่า มันเป็นแต่การเริ่มต้นของญาณ (ความรู้) เฉพาะวันนี้เท่านั้น
ต่อมาท่านจะพบว่าไม่มีนามบัญญัติหรือรูปร่าง ไม่มีการเริ่มต้นแต่เพียงแค่ความสิ้นสุดแห่งสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างกระจ่างแจ้งและมีเหตุผล โดยไม่ต้องทำความเพียรพิเศษ ท่านก็จะยินดีมากกับความสำเร็จนี้
ตอนนี้ ท่านอาจจะไม่ชอบใจการแนะนำของพระวิปัสสนาจารย์ ท่านอาจคิดว่า การกำหนดของท่านไม่ดี พระวิปัสสนาจารย์ของท่านให้การกระตุ้นเตือนต่อท่าน เพียงเพื่อจะให้กำลังใจท่านดีขึ้น อย่าได้คิดเยี่ยงนั้น สิ่งที่ท่านกำลังพบตอนนี้คือธรรมะดีจริงๆ นั่นเป็นสิ่งที่ว่าทำไมว่าพระวิปัสสนาจารย์กำลังบอกท่านว่ามันดี คือ ธรรมชาติแห่งจิตและสิ่งต่างๆ ไม่มีรูปร่างและไม่มีร่างกาย มีการกำหนดที่เป็นเพียงแค่ธรรมชาติ ที่มีอยู่ในตัวซึ่งไม่ยั่งยืน
ตอนนี้ ทุกครั้งที่ท่านกำหนดรูปว่าไม่ชัด ท่านจะรู้เพียงการสิ้นสุดของสิ่งทั้งหลาย ท่านเห็นได้เพียงการเสื่อมไปของสิ่งทั้งหลายเท่านั้น ท่านเพียงแค่รู้ธรรมชาติที่ไม่ยั่งยืนของสิ่งทั้งหลาย ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งอื่นเลย ท่านกำลังเข้าใจแจ้งถึงสัจธรรมทั้งหมดเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความไม่ยั่งยืน เพราะฉะนั้นไม่ต้องคาดหวังให้รูปแบบความคิดที่คลุมเครือให้ใสเหมือนแก้วผลึก ไม่ต้องสำรวจหาสิ่งที่ชัดเจน ท่ามกลางสิ่งมัวหมองทั้งหลาย ขอให้มีเพียงความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมในความรู้ของท่านที่ได้ก้าวหน้าตามกระแสธรรมชาติของธรรมะ เพียงกำหนดต่อไปอย่างตั้งใจและเท่าทันอาการเป็นปกติบนสิ่งที่ชัดเจน ถ้าท่านคิดว่าการกำหนดของท่านหยุดชะงักและไม่จริงจัง ให้กำหนดความคิดนั้น ถ้าหากท่านผิดหวังให้กำหนดและขจัดความคิดนั้นออกไป ธรรมชาติภายในของสิ่งทั้งหลายอาจปรากฏไม่ชัดแก่ท่าน แต่โยคีควรทำความเพียรโดยจงใจที่จะกำหนดอย่างกระตือรือร้นบนสิ่งที่ไม่ชัดเหล่านั้น ในไม่ช้าก็ปัญญาจะพัฒนาถึงระดับที่น่าพอใจ สมาธิจะดีและมั่นคง
ถ้าโยคีปฏิบัติตามคำแนะนำของพระวิปัสสนาจารย์ด้วยศรัทธาที่เต็มเปี่ยมและปฏิบัติอย่างกระตือรือร้นแล้ว ประมาณสองสามชั่วโมงหรือสักวันต่อมา โยคีบางท่านจะกล่าวว่า
โยคีรายงาน การกำหนดได้รวเร็วดี เหมือนที่ท่านพระวิปัสสนาจารย์
บอกไว้
โยคีรายงาน ตอนนี้ อะไรก็ตามที่กำหนด เกิดขึ้นเหมือนเงาเคลื่อนที่ เป็นการปฏิบัติที่ดีมาก
โยคีรายงาน ก่อนหน้านี้ เมื่อจิตกำหนด สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปเป็นคู่ๆ จึงคิดว่าเป็นการกำหนดที่ดี เฉพาะตอนนี้ที่เข้าใจว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นหลายๆ สิ่งเท่านั้น ตอนนี้การกำหนดประณีตมาก และสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นอย่างละเอียดและรวดเร็ว
การกล่าวถึงการดับไปของสภาวธรรม
โยคีรายงาน ทุกครั้งที่กำหนด อารมณ์ทั้งหลายกำลังดับไปและหายไปอย่างสมบูรณ์
โยคีรายงาน อารมณ์ทั้งปวงสิ้นสุดไปเมื่อได้กำหนด
โยคีรายงาน ได้เห็นเพียงการสิ้นสุดไปเท่านั้น
โยคีรายงาน รู้สึกเบาหวิว
โยคีรายงาน อารมณ์ทั้งหลายเคลื่อนที่อย่างราบเรียบดีมาก
โยคีรายงาน ไม่มีอะไรให้กำหนด ทำให้การกำหนดช้าลง
โยคีรายงาน ขณะที่กำหนดซ้ำๆ อารมณ์ทั้งหลายได้หายไป
ข้อสังเกต การบรรยายบอกความนัยของโยคีคล้ายกันทั้งหมด (ความจริงแล้วพวกเขากำลังเห็นธรรมชาติแห่งการดับไป)
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดว่า “พองหนอ” รู้การสิ้นสุดของอาการพองและยังรู้การดับไปแห่งจิตที่รู้อาการพองอีกด้วย จะกำหนดอะไรก็ตามมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ละครั้งที่กำหนด รู้ได้ว่าอารมณ์ทั้งหลายจบลงกันเป็นคู่ๆ
โยคีรายงาน ได้รู้การสิ้นสุดแห่งการเกิดขึ้น และรู้การสิ้นสุดแห่งจิตกำหนด ทั้งรู้การดับไปแห่งจิตกำหนดอีกด้วย แต่ละครั้งที่กำหนดก็ได้รู้การสิ้นสุดของอารมณ์ทั้งสามประการนั้น
โยคีรายงาน มีช่องว่างกว้างมากระหว่างการกำหนด
โยคีรายงาน ดูเหมือนกับว่า ระหว่างการกำหนดมีระยะห่างประมาณ ๔ หรือ ๕ นิ้ว
โยคีรายงาน เมื่อกำลังกำหนดว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ” ในอารมณ์ที่ได้เห็น ดูเหมือนว่าธรรมชาติแห่งการเห็นสภาวธรรมสลายไป และค่อยๆ จางไปทีละเล็กละน้อย และหายไปหมดเลย ถ้าหากกำหนดอย่างกระตือรือร้นเป็นเวลานานแล้วก็จะไม่มีอะไร แต่เป็นเพียงความว่างขนาดใหญ่แค่นั้นเอง
โยคีรายงาน เมื่อมองไปที่ต้นไม้ทั้งหลาย ได้เห็นต้นไม้เหล่านั้นกำลังตายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะมองดูสิ่งใดๆ ก็เห็นเพียงการเสื่อมไปของสิ่งทั้งหลาย
โยคีรายงาน เมื่อตาเห็นสิ่งใด ก็พยายามกำหนดว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ” จากนั้นจึงได้สังเกตเห็น “จิตที่รู้” ดับไปทีละดวง
โยคีรายงาน เมื่อได้ยินบางอย่างทางหู ก็กำหนดว่า “ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ” จากนั้นเสียงหึ่งๆ ก็แยกออกจากกัน ไม่สามารถหยั่งรู้ว่าเป็นเสียงชนิดไหน าเพียงได้ยินบางอย่างและรู้ว่ามันดับไป
โยคีรายงาน เมื่อได้ยินเสียงหวอ สุนัขเห่า นักร้อง ไก่ขัน ก็กำหนดว่า “ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ” จากนั้นแต่ละเสียงก็หายไป
โยคีรายงาน เมื่อได้ยินเสียง หูขวาได้ยินแยกจากหูซ้าย ทุกอย่างดับไปทีละอัน เมื่อกำหนดว่า “ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ” ในสิ่งที่ได้ยิน ทุกอย่างก็หายไปทีละอัน เมื่อกำหนดว่า “ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ” ในสิ่งที่ได้ยิน การกำหนดแต่ละครั้งก็หายไป
โยคีรายงาน เมื่อกำลังกำหนดการกินอาหาร กำหนดว่า “เคี้ยวหนอ เคี้ยวหนอ” “หวานหนอ” “เปรี้ยวหนอ” “รู้หนอ” เป็นต้น แต่ละครั้ง ก็เพ่งจิตไปที่การเคี้ยว การขยับลิ้น และการสัมผัสบนลิ้น และการรู้รส ทุกอาการแยกย่อยออกเป็นละเอียดและสิ้นสุด ณ ตรงนั้น
โยคีรายงาน กำหนดว่า “ถูกหนอ ถูกหนอ” ที่สัมผัสตามจุดต่างๆ บริเวณที่สัมผัสชัดเจนมาก และรู้สึกถึงการดับไปของสิ่งเหล่านั้นก็เห็นได้อย่างชัดเจน
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดอย่างตั้งมั่นที่ความเจ็บ ความคัน และความปวด ความรู้สึกเหล่านั้นแต่ละอัน ถูกดับออกเป็นชิ้นๆ และสิ้นสุดไปทีละอัน
โยคีรายงาน เมื่อกำลังกำหนดขณะเดิน แต่ละครั้งที่ยกขา ย่าง และเหยียบ รู้ได้แค่อิริยาบถแต่ละอย่างสิ้นสุดไปอย่างรวดเร็ว
โยคีรายงาน ดูเหมือนกับว่า พื้นดินและต้นไม้ทั้งหลาย หมุนอย่าง
รวดเร็ว
โยคีรายงาน ขณะเดิน รู้สึกมีหมอกลางเลือน เหมือนมีควันฟุ้งจากท่อไอเสียรถยนต์
โยคีรายงาน รู้สึกมึนงงระหว่างเดินจงกรม
บางท่านรายงาน กระบวนการคู้เข้าดังนี้
โยคีรายงาน รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวช้าทีละนิดๆ และอารมณ์เหล่านั้นก็หายไป
โยคีรายงาน มีระยะการคู้ที่แยกจากกันและหายไป
โยคีรายงาน กำหนดต้นจิตที่จะคู้ว่า “อยากคู้หนอ อยากคู้หนอ” จากนั้นก็สังเกตเห็นต้นจิตหายไปทีละนิด หลังจากกำหนดประมาณ ๕ หรือ ๖ ครั้ง ต้นจิตก็หายไปหมดและไม่ต้องคู้แต่อย่างใดเลย และถ้าเมื่อทำการคู้จริงๆ การคู้ที่แยกจากกันก็หายไปอย่างรวดเร็ว (การเหยียดก็บรรยายเหมือนกัน)
โยคีรายงาน มันอาจจะเป็นอารมณ์ใดก็ได้ แต่ละอารมณ์ได้หายไปอย่างชัดเจน จิตที่กำหนดและอารมณ์ที่กำหนดเกิดและหายไปพร้อมกันเสมอ
โยคีรายงาน อารมณ์ต่างๆ หายไปจากด้านหน้าและจิตก็รู้อารมณ์นั้น ต่อมาจิตที่ได้กำหนดการดับไปของอารมณ์ต่างๆ ก็หายไปเช่นเดียวกัน
ข้อสังเกต สำหรับโยคีที่ได้เข้าถึงปัญญาระดับสูงแห่งภังคญาณ ให้บอกพวกเขาให้กำหนดจาก กายทวารทั้ง ๖ ขณะเดียวกันควรได้รับการแนะนำให้กำหนดระยะห่างของอารมณ์ทั้งหลายตามความเหมาะสมด้วย
สรุป แต่ละครั้งที่อารมณ์ที่ปรากฏชัดเจนถูกกำหนดนั้น โยคีได้เห็นการสิ้นสุดและการดับไปอย่างรวดเร็วได้อย่างชัดเจน โยคีรู้ปสภาวธรรมของการดับไปและความว่างเปล่า ซึ่งตามมาหลังการดับ โยคียังสังเกตเห็นการดับไปแห่งจิตที่รู้ได้อีกด้วย
โยคีที่รู้เกี่ยวกับการดับไปของอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจนก็ได้เข้าถึง “ภังคญาณ”
ในที่นี้ โยคีรู้เกี่ยวกับการดับไปของจิตและอารมณ์ต่างๆ ในการกำหนดแต่ละครั้ง โยคีสามารถสำเร็จภังคญาณได้อย่างเต็มที่ ก็ต่อเมื่อ สามารถรู้การสิ้นไปและการเสื่อมไปของอารมณ์ที่กำหนด และจิตที่กำหนด (ความรู้เกี่ยวกับการเสื่อมสลายไปของอารมณ์ทั้งหลาย) ได้เท่านั้น
จบภังคญาณ
ภยตูปัฏฐานญาณ
ปัญญาที่รู้รูปนามเป็นน่ากลัว
อารมณ์ต่างๆ และจิตที่กำหนดเกิดดับพร้อมกันไป โยคีสามารถกำหนดได้อย่างต่อเนื่องและการกำหนดแต่ละครั้งก็เร็วและเท่าทันอาการ จากนั้น โยคีบางท่านได้กล่าวไว้ดังนี้
โยคีรายงาน ทุกครั้งที่กำหนด ตนเพียงแค่ได้เห็นการสิ้นไปและการดับไปของอารมณ์ทั้งหลาย ทำให้รู้สึกกลัว (กระแสแห่งความคิดหวาดกลัวสังเกตเห็นได้) แต่ไม่ได้ตกใจกลัวเหมือนได้เห็นผี สัตว์ป่าบางชนิด หรืออาวุธร้ายใดๆ อาจกล่าวได้ว่า หวาดกลัวเฉพาะบางสิ่งบางอย่าง แต่รู้สึกได้ว่ามีความกลัวในใจอยู่
โยคีรายงาน กลัวสิ่งใดบอกไม่ได้ แต่ก็รู้สึกกลัว
โยคีรายงาน เห็นอารมณ์ทั้งหลายดับไป ทำให้รู้สึกกลัว
โยคีรายงาน กลัวสิ่งต่างๆ เช่น “อาการพอง อาการยุบ” อาจปรากฏเกิดขึ้น และจะต้องกำหนดสิ่งเหล่านั้น
โยคีรายงาน เมื่อก่อน ยังไม่ได้ปฏบัติ ตนไม่รู้ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นจะต้องดับไป แต่ตอนนี้เข้าใจว่าอารมณ์ทั้งหลายที่กำหนดจะต้องดับไป ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ อารมณ์ทั้งหลายก็จะหายไปอย่างนี้และจึงทำให้รู้สึกกลัว
โยคีรายงาน ได้เห็นสิ่งใดก็ตาม ทุกอย่างหายไปหรือดับไป ดังนั้นจึงคิดว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งน่ากลัวและรู้สึกหวาดกลัวมาก
โยคีรายงาน ขณะกำลังปฏิบัติ ตนได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมายภายในร่างกายที่กำลังดับไปและทำให้รู้สึกกลัว ตนได้นึกถึงพ่อแม่และเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ปฏิบัติ จากนั้นก็รู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเศร้า อยากร้องไห้ และหวาดกลัว
โยคีรายงาน รำพึงกับตนเองว่า ในชีวิต อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นและดับไป เหมือนสิ่งที่เห็นและกำลังกำหนดอยู่ ในเทวโลกต้องเหมือนกันนี้ ตนคิดว่า โลกทั้งหมดก็จะสูญสิ้นไปเช่นนี้ ยังได้เห็นลักษณะความหวาดกลัวและรู้สึกหวาดกลัวอีกด้วย
การช่วยเหลือ รู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกหดหู่ เนื่องมาจากความก้าวหน้าของปัญญา สิ่งเหล่านี้คือการธรรมะอันแท้จริง ทุกคนก็จะรู้สึกแบบนี้ เมื่อพัฒนาถึงปัญญาระดับที่สูงขึ้น ช่วยปลอบใจโยคีและให้บอกเขาว่าไม่ต้องกังวล แต่ให้กำหนดต่อไปถึงความรู้สึกหดหู่และความเศร้า ถึงจุดที่จะร้องไห้นั้น ให้บอกโยคีให้กำหนดจิตที่หวาดกลัวนั้นในวิธีปกติอีกด้วย ถ้าหากโยคีจะกำหนดสิ่งทั้งหลายทั้งปวงต่อไปแล้ว ในไม่ช้าโยคีก็จะข้ามพ้นไปได้
สรุป จิตที่กำหนดสิ่งปรุงแต่งสังขารทั้งปวง สังเกตเห็นได้ว่าทวารทั้ง ๖ นั้นได้ดับไป ดวงจิตที่คิดว่าความรู้นี้เป็นสิ่งน่ากลัวและดวงจิตที่รับรู้ความรู้สึกน่ากลัวนั้น เป็นสิ่งบ่งชี้ถึง “ภยญาณ” สังขารทั้งปวงที่โยคีได้ปฏิบัติอยู่นั้นเป็นสิ่งน่ากลัว การรับรู้ของโยคีถึงสิ่งนี้และความรู้สึกจริงๆ ถึงความกลัวหรือความหวาดกลัว เป็นสัญญาณแห่ง “ภยตูปัฏฐานญาน หรือ ภยญาณ”
จบ ภยญาณ
อาทีนวญาณ
ปัญญาที่รู้รูปนามเป็นโทษ
เมื่อโยคีกำหนด โยคีได้เห็นเพียงการสิ้นไปและการดับไปของอารมณ์ทั้งหลายเท่านั้น ดังนั้น โยคีจึงรู้สึกหวาดกลัว โยคีควรกำหนดความรู้สึกหวาดกลัวนั้น และสังขารทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากทวารทั้ง ๖ การกำหนดต้องต่อเนื่องโดยไม่มีช่องว่าง เมื่อโยคีได้กำหนดอย่างรวดเร็ว การกำหนดของโยคีก็จะมีกำลังได้ดีมากและรวดเร็ว การกำหนดต่อเนื่องและโยคีก็รู้การกำหนดได้ดี โยคีที่ทำได้เช่นนั้นจะกล่าวดังนี้
โยคีรายงาน สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่กำหนดมาล้วนเป็นทุกข์ อารมณ์ใดๆ ที่ได้กำหนด ไม่มีดีสักอย่าง จึงคิดว่าอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์เป็นโทษทั้งสิ้น
โยคีรายงาน ตนไม่ได้พบสิ่งดีๆ เลย
โยคีรายงาน พบว่า อารมรณ์ทั้งหลายและจิตกำหนดเท่าทันกันดีมากและพร้อมกันไป แต่ไม่คิดว่ามันดีสักอย่าง
โยคีรายงาน อารมณ์ที่ถูกกำหนดต่างๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดดีเลย การกำหนดและจิตรู้เป็นสภาพแห่งทุกข์เช่นเดียวกัน ตอนนี้ แต่ละครั้งที่กำหนดทุกสิ่งนั้น ล้วนเป็นทุกข์เป็นโทษ ไม่พบสิ่งดีสักอย่างเลย
โยคีรายงาน การเกิดขึ้นไม่ดีเลย และสิ่งเหล่านั้นก็กำลังเกิดอย่าง
ต่อเนื่อง และการกำหนดก็ไม่มีสิ้นสุด เพราะฉะนั้น
สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นสภาพแห่งทุกข์และเป็นโทษ
โยคีรายงาน ตราบใดที่ปรากฏการณ์เหล่านั้นมีอยู่ ก็กำหนดและได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี น่าจะดีกว่าถ้าหากสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นได้หายไป
โยคีรายงาน เพราะสิ่งเหล่านี้ในโลกมนุษย์ ชีวิตถึงได้เป็นทุกข์ แม้ในเทวโลกและพรหมโลกก็คงจะเหมือนกันนี้ ไม่มีโลกไหนดีเลย จะดีกว่า ถ้าหากปรากฏการณ์อันเป็นทุกข์นี้ไม่มี (ในที่นี้พระวิปัสสนาจารย์ควรช่วยกระตุ้นโยคีนั้นว่า จิตที่คิดและได้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์นั้น ควรกำหนดเหมือนกัน)
สรุป สภาวธรรมทั้งหลายที่เกิดจากทวารทั้ง ๖ ควรกำหนดทั้งสิ้น การกำหนดแต่ละครั้งทำให้โยคีได้รู้ว่ามีสภาพเป็นทุกข์ และไม่มีสิ่งดีเลย นี้คือความรู้ที่ถูกต้องที่สามารถเห็นความเสื่อมสลายไปแห่งปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ในทำนองเดียวกัน โยคีก็จะเห็นลักษณะอันเป็นทุกข์ของชีวิต และสังขาร ความรู้ระดับนี้เรียกว่า “อาทีนวญาณ” (ความรู้แห่งสภาพอันเป็นทุกข์)
จบ อาทีนวญาณ
นิพพิทาญาณ
ปัญญาที่รู้ความเบื่อหน่าย
โยคีที่คิดว่าสิ่งใดก็ตามที่กำหนด ไม่ดีเลย แต่สภาพอันน่าเป็นทุกข์ก็อยู่ในการกำหนดอย่างต่อเนื่อง เมื่อความรู้ของพวกเขาแกร่งกล้าแล้ว มีการกระตือรือร้นกำหนดมากและการรับรู้ก็เร็ว
โยคีรายงาน รู้สึกอิ่มตัวในการกำหนด ขณะที่กำลังกำหนด ก็รู้สึกเบื่อหรือขี้เกียจ
โยคีรายงาน การกำหนดชัดเจนและแจ่มชัด แต่รู้สึกเบื่อไม่มีเหตุผล ไม่อยากกำหนด แต่ก็อดกำหนดไม่ได้ ดังนั้นจึงกำหนดอย่างต่อเนื่องเป็นปกติ
โยคีรายงาน รู้สึกเบื่อและงุนงงกับสิ่งที่กำหนดโดยไม่มีเหตุผล
โยคีรายงาน เมื่อก่อน ได้ยินคนอื่นพูดว่า เบื่อสังสารวัฏ ตนไม่เข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึง ตอนนี้เข้าใจดีแล้ว ตนรู้สึกเบื่อจริงๆ เคยกลัวมากๆ ที่จะไปเกิดในโลกที่ต่ำกว่า คือ นรก แต่ชอบที่จะเพลิดเพลินกับความอภิรมย์ในโลกมนุษย์และเทวโลก ตอนนี้ไม่อยากอยู่สักแห่ง อยากบรรลุนิพพานอย่างเดียว
โยคีรายงาน ไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้กำหนดและจิตกำหนด ไม่มีความสุขในโลกมนุษย์ ไม่มีความสุขกับสิ่งใดๆ เลย
โยคีรายงาน รู้สึกขยะแขยงกับตนเอง เมื่อมองดูคนอื่นก็ไม่เห็นสิ่งดีๆ ในพวกเขาเลย รู้สึกขยะแขยงกับสิ่งที่ได้พบเห็น
โยคีรายงาน กำหนดสังขารทั้งปวงที่ได้เห็น กำหนดสิ่งใดก็ตาม ไม่มีสิ่งใดดีเลย ตนไม่พบความน่ายินดีแม้น้อยนิดในสิ่งเหล่านั้น รู้สึกเซ็ง ขยะแขยง และเบื่อหน่าย
โยคีรายงาน เมื่อใดก็ตามที่กำหนดสิ่งต่างๆ มากมาย รู้เพียงสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งน่าขยะแขยง ไม่รู้สึกชอบพูดคุยกับคนอื่นๆ ไม่อยากพบใครเลย อยากพักอยู่ตามลำพังในห้องกัมมัฏฐานและกำหนดต่อไป
ข้อสังเกต พระวิปัสสนาจารย์ควรกระตุ้นโยคีเช่นนั้น และแนะนำพวกเขาให้กำหนดจิตที่เบื่อและเหนื่อยหน่ายนั้นต่อไป
สรุป ขณะที่โยคีได้กำหนดสภาวธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากทวารทั้ง ๖ โยคีรู้สึกขยะแขยง เบื่อหน่าย ขณะเดียวกัน ปัญญาชนิดนี้เรียกว่า “ปัจจักขญาณ” (ความรู้ปัจจุบัน) ก่อตัวขึ้น โยคีได้กำหนดและไตร่ตรองสภาพเหล่านี้ในลำดับที่ถูกต้อง จากนั้นเราก็รู้สึกเบื่อและเหนื่อยหน่าย รูปแบบ สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงในชีวิต ความรู้นี้เรียกว่า “อนวยญาณ” ความรู้อันอุปนัย หลังจากการพัฒนาจาก “ปัจจักขญาณ” ไปสู่ “อนวยญาณ” อาจกล่าวได้ว่า โยคีได้บรรลุถึง “นิพพิทาญาณ”
การใส่ใจกำหนด
โยคีบางท่านสามารถบรรยายประสบการณ์ของตนได้อย่างชัดเจนถึงความรู้ที่เกี่ยวกับ “ภยญาณ” “อาทีนวญาณ” และ “นิพพิทาญาณ” โยคีบางท่านก็อธิบายได้หนึ่งหรือสองในสามญาณข้างต้น เขาเหล่านั้นไม่สามารถอธิบายสองหรือหนึ่งแห่งญาณที่เหลือได้ โยคีบางท่านไม่สามารถบรรยายลักษณะที่แยกจากกันของความรู้ทั้ง ๓ ระดับนี้ได้ แต่พวกเขาจะกล่าวว่าดังนี้
โยคีรายงาน ทุกครั้งที่กำหนด สังเกตเห็นว่า สิ่งที่ถูกกำหนดและจิตที่กำหนดได้ดับไป บางทีการกำหนดก็ว่องไวและดีมาก บางทีก็ทั้งไม่เร็วและไม่ช้า เป็นเพียงกำหนดดีๆ การกำหนดต่อเนื่อง บางทีการกำหนดก็ดี แต่หนักนิดหน่อย แต่บางทีก็รู้สึกเบื่อ หมดแรง หรือรู้สึกกลางๆ
โยคีรายงาน การกำหนดก็เหมือนก่อน ไม่มีสิ่งใดใหม่ การกำหนดดี เป็นปกติ แต่ไม่ดีขึ้น ไม่มีอะไรพิเศษจะบอก ไม่ได้เสียความต่อเนื่องในการกำหนด
โยคีรายงาน การกำหนดบางทีก็เร็วบางทีก็ช้า ทั้งสองอย่างล้วนเป็นการกำหนดที่ดี แต่จะไม่พูดว่าการกำหนดดีเหมือนเมื่อวาน แต่ยังเป็นการกำหนดที่ดี
โยคีรายงาน อาการพองและอาการยุบ สลัวและละเอียดประณีตมาก กำหนดสิ่งใดก็ตามสิ่งเหล่านั้นก็เป็นเหมือนอาการพองอาการยุบ เกิดขึ้นอย่างละเอียดประณีตมาก
โยคีรายงาน การกำหนดเร็วมาก การกำหนดเร็วดีมาก เหมือนการวิ่งด้วยความเร็วสูง เป็นเหมือนร่างกายวิ่งไปเหมือนกัน (โยคีบรรยายประสบการณ์ว่าเป็นสิ่งที่ดี)
ข้อสังเกต พระวิปัสสนาจารย์อาจจะมองข้ามโยคีเช่นนั้น ที่สามารถให้การบรรยายเพียงแค่ธรรมดาเท่านั้น จากนั้นพระวิปัสสนาจารย์ควรสังเกต สัญญาณต่อไปนี้จากโยคีนั้น โยคีอาจจะพูดอย่างนุ่มนวลเนื่องจากความหดหู่ โยคีนั้นไม่กระตือรือร้นอย่างที่เป็นมาก่อน ใบหน้าแลดูขาดความมั่นใจด้วยการพูดน้อยลงและโยคีนั้นชอบอยู่โดเดี่ยวจากคนอื่นๆ โยคีนั้นยังอยากอยู่ลำพังในที่อันสงัดอีกด้วย
จากสัญญาณเหล่านี้ พระวิปัสสนาจารย์สามารถตัดสินใจได้เลยว่า โยคีนี้ได้พบ ภังคญาณ อย่างแรงกล้านั้น ได้พัฒนาไปถึงขั้น ภยญาณ, อาทีนวญาณ และ นิพพิทาญาณ แล้ว
อีกประการหนึ่ง ถ้าหากโยคีนั้นได้เล่าประสบการณ์ที่เชื่อมโยงถึงปัญญาระดับสูงขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว พระวิปัสสนาจารย์ก็สามารถตัดสินได้เลยว่า โยคีได้บรรลุถึงความรู้ทั้ง ๓ ระดับนี้ ณ ตอนนั้นเรียบร้อยแล้ว พระวิปัสสนาจารย์ควรให้โยคีมีการกำหนดที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อพัฒนาปัญญา ประสบการณ์วิปัสสนาปัญญาทั้ง ๓ ระดับคือ ภังคญาณ อาทีนวญาณและนิพพิทาญาณอาจจะไม่ปรากฏชัดแก่โยคีทุกคน
“จบ นิพพิทาญาณ”
มุญจิตุกัมมยตาญาณ
(ปัญญาที่ปรารถนาการพ้นทุกข์)
โยคีจะกล่าวว่า
โยคีรายงาน ทุกครั้งที่ผมสังเกตอารมณ์ที่ถูกกำหนดและการกำหนด
ได้ดับลงไปพร้อมกัน ผมเพิ่งเห็นปรากฏการณ์ของร่างกายและจิตที่เป็นสังขารหายไปอย่างรวดเร็ว จิตที่รู้ก็ดับไปอย่างรวดเร็วด้วย โยคีจะบรรยายถึงความตั้งใจในการกำหนดที่ดี
โยคีรายงาน รู้สึกว่ามีแมลงตัวเล็กๆ กำลังไต่ทั่วร่างกาย
โยคีรายงาน เหมือนกับถูกแมลงไต่ คิดว่ามีมดบางตัวโผล่ขึ้นมาบน
ร่างกายของฉัน ดังนั้น จึงลุกขึ้นและเขย่าเสื้อผ้า แต่ก็หาอะไรไม่เจอ ดังนั้น จึงกลับไปกำหนดเหมือนเดิม บางครั้ง รู้สึกถึงความรู้สึกที่เป็นเช่นนั้นบ่อยครั้ง บางครั้งความรู้สึกก็หายไปหลังจากกำหนด บางครั้งก็ลดลงแต่ก็ไม่หายไปทั้งหมด บางครั้งถ้ากำหนดอย่างทันที ความรู้สึกเหล่านั้นทั้งหมดก็จะหายไป
โยคีรายงาน รู้สึกสับสนกับอารมณ์ที่ต้องกำหนด ว่าควรจะกำหนด
อย่างไร รู้สึกกระสับกระส่ายและต้องการที่จะเปลี่ยนอารมณ์กำหนด ดังนั้น จึงได้เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ แต่ไม่ได้สร้างความแตกต่างใด ๆ ฉันเปลี่ยนไปทางซ้ายโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ บางทีเปลี่ยนจากซ้ายไปขวา เมื่อนอนหงาย ก็หันขวับไปด้านขวา รู้สึกกระสับกระส่าย ดังนั้น จึงลุกขึ้นและเดิน แต่ไม่นานก็นั่งลงอีกครั้ง ไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถตลอดเวลา ผมงอและเหยียดตัวบ่อยมาก แต่ไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ ในตำแหน่งใด ๆ ได้ เนื่องจากไม่สงบและการเคลื่อนไหวมากเกินไป จึงต้องเปลี่ยนอารมณ์ในการกำหนดบ่อย ๆ เริ่มรู้สึกไม่สบายใจในการพิจารณา จนไม่อยากปฏิบัติต่อไป ไม่อยากเข้าใกล้อารมณ์เหล่านั้นด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าจะสามารถปฏิบัติต่อไปได้ ไม่รู้สึกอยากเพ่ง แต่อดกำหนดไม่ได้ จากนั้นก็กลัวที่จะกำหนด รู้สึกแค่อยากเป็นอิสระจากอารมณ์เหล่านั้นเร็วๆ
โยคีรายงาน ตอนที่กำลังกำหนดจะเห็นอารมณ์เสื่อมไปตลอดเวลา
ฉันคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าไม่ได้กำหนดเลย ดังนั้น จึงหยุดกำหนดและพยายามที่จะนอนหลับ แต่รู้สึกไม่ได้นอนเลย คิดว่าจะไม่กำหนด แต่จิตใจจะรับรู้ถึงอารมณ์โดยอัตโนมัติ และยังคงกำหนดโดยอัตโนมัติ
โยคีรายงาน รู้สึกถึงความรู้สึกที่ร่างกาย แขน ต้นขาและขา
มีความรู้สึกคัน ความระคายเคือง และความรู้สึกแสบๆ คัน ๆ บางครั้งก็รู้สึกก็เจ็บเหมือนโดนเข็มทิ่ม บางครั้งรู้สึกมีความร้อนที่หน้าอกมากเหมือนถูกไฟเผามีความเจ็บปวดนิดหน่อย บางครั้งท้องดูเหมือนจะบวม
โยคีรายงาน ร่างกายทั้งหมดสงบเงียบและนิ่ง แต่ฟันยังพูดขยับอยู่
ค่อนข้างบ่อย
โยคีรายงาน สังเกตเห็นว่าศรีษะโยกจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง
และต่อมาอีกด้านหนึ่งโยกอย่างรวดเร็วทีเดียว เป็นแบบ นั้นบ่อยมาก
โยคีรายงาน ในขณะที่กำหนด สังเกตเห็นว่าร่างกายทั้งหมดหายไป
มีแต่จิตใจรู้เท่านั้น จากนั้น รู้สึกถึงร่างกายสั่นสะเทือน เบาๆ จิตใจอยู่ในสภาวะแยกอยู่ต่างหาก เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก
โยคีรายงาน ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยกับร่างกาย ฉันพบอารมณ์ และจิตใจ
ที่สังเกตได้ปรากฏขึ้น และหายไปตลอดเวลา จนไม่ต้องการออกไปสู่โลกมนุษย์ โลกสวรรค์และโลกพรหม เพราะไม่อยากอยู่ที่ไหนเลย ฉันคิดว่าไม่มีความดีที่แท้จริงใด ๆ ในชีวิต
โยคีรายงาน พอรู้ว่าอารมณ์สังขารทั้งหลายที่ผุดขึ้นมานั้นเลวร้าย
และน่าสังเวช ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียมากในใจ จึงอยากหนี จากสภาวธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ทุกครั้งที่ผมกำหนด สังเกตว่าอารมณ์ต่าง ๆ และจิตใจที่กำหนดได้หายไปตลอดเวลา ดังนั้น คิดว่าคงจะดีถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง ฉันหวังว่าจะทิ้งอารมณ์เหล่านี้ทั้งหมดได้ อยากอยู่ในสถานที่ที่ฉันจะเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งปวง
โยคีรายงาน ฉันอยากเป็นอิสระจากโลกเบื้องต่ำตลอดไป และความ
พอใจที่จะอยู่ในโลกสวรรค์ ไม่ต้องการนิพพานมากนัก ตอนนี้ฉันไม่อยากอยู่ในโลกใบไหนเลย ฉันแค่ต้องการบรรลุพระนิพพาน ฉันต้องการความสงบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การให้กำลังใจ
เมื่อกำหนดสภาวสังขารุเปกขาญาณผ่านไป หลังจากนั้นคุณจะพบความสงบและความสงบที่แท้จริง และนั่นเป็นนิพพานอย่างแท้จริง
แล้วคุณจะได้พบกับความเงียบสงบอย่างแท้จริง คุณจะมีความตั้งใจเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น คุณทำได้ดีมากจริงๆ ตอนนี้ด้วยความรู้เชิงจินตนาการ คุณได้รู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของนิพพาน หากพยายามมากขึ้น คุณจะสามารถที่จะรู้จักนิพพานด้วยปัญญาที่เห็นมรรคญาณ ผลญาณได้ชัด
สรุป โยคีได้ตระหนักว่า:-
1. รูปนามและสังขารธรรม ซึ่งจะรู้ได้โดยการสังเกต
2. นามรูปและสังขาร ซึ่งได้กำหนดซ้ำก็จะดับหายไปและสลายไป จึงไม่เพียงพอที่จะยึดติด
ทุกครั้งที่โยคีกำหนด เขาจะรู้ความจริงเหล่านี้และพิจารณา และพอใจความรู้ที่ปรากฏนั้น จากนั้นโยคีต้องการกำจัดสังขารธรรมเหล่านี้ โยคีไม่รู้สึกผูกพันกับสังขารธรรมเหล่านี้ และโยคีก็ตระหนักถึงความรู้ที่ได้รับเช่นกัน ความรู้อย่างนี้เรียกว่า ปัจจักขะ มุญจิตุกัมยตาญาณ
สมมติว่า ถ้าคนเราอยู่ในโลกมนุษย์ สวรรค์ และพรหม เมื่อใดก็ตามที่มีคนเฝ้าสังเกต มีความรู้เกี่ยวกับความปรารถนาที่แท้จริงในการช่วยให้รอด ความรู้เช่นนั้นเรียกว่า อัญญาวาย มุญจิตุกัมยตาญาณ
คำสอนพิเศษของสยาดอว์
ในที่นี้ ในสัญญาว่าด้วย "วิธีการปฏิบัติวิปัสสนา" ที่เขียนโดยเรา ความรู้สึกพิเศษปรากฏในทุกอิริยาบถ และการเปลี่ยนแปลงกระบวนการกำหนด ได้กล่าวถึงไว้ภายใต้ระดับแห่งการสังเกตพบเห็นอีก (ปฏิสังขาญาณ) ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการเข้าใจง่ายแห่งไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา) ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์
วิสุทธิมรรค
ในการบันทึกครั้งนี้ ประสบการณ์ปฏิบัติได้รับการเล่าไว้เท่าที่ได้รับการเปิดเผย ดังนั้น บันทึกเล่มนี้ไม่ใช่งานเขียนอันยิ่งใหญ่ที่ถอดความและรับมาจากคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
การจดบันทึกนี้ ควรได้รับการตรวจชำระให้สอดคล้องกับอรรถกถาใหญ่ (มหาติกะ)
“อตฺตนากตฺถายํ ปน วิปสฺสนาญาเณ ติกฺข สุเร ปสนฺเน วหนฺเต อุปฺปนฺนํ วิปสฺสนา ทุกฺเขน กสิเรน กิลมนฺโต ปริญาติฏฺติ วุตฺตตฺถ ปุพฺพภาเค มุญฺจิตุกมฺยตาทิภาเวน ปวตฺตมารน สงฺขารุปกฺขา อตฺตโน ปฏิปกฺเข กิจฺเฉน กสิเรน วิกขมฺเภนฺติ ปฏิปทาปกฺขา เยว ติฏฺติ”
ความรู้แจ้ง (วิปัสสนาญาณ) คือความรู้ที่ทำให้กระจ่างขึ้น จิตแจ่มใสและกล้าหาญ การกำจัดความเอนเอียง หรือการยึดติดสำหรับวิปัสสนาญาณนั้นไม่ใช่สิ่งง่าย บรรลุถึงได้ด้วยความเพียรอันแรงกล้า อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น ถ้าหากมีการละทิ้งความชื่นชอบ และความเอนเอียงของโยคี (นิกันติ) แล้ว วิปัสสนาของโยคีนั้นเรียกว่า “ทุกขาปฏิปทา” (นี้คือคำกล่าวที่ชัดแจ้ง)
ในคัมภีร์อัฏฐสาลินี อรรถกถา ก่อนที่มีความก้าวหน้าอยู่ตัว ในทัศนะของสภาวธรรมทางรูปและนามด้วยอุเบกขาที่ระดับมุญจิตุ กัมยตาญาณ และปฏิสังขาญาณ ถ้าหากกิเลสที่ตรงกันข้ามของโยคีถูกละทิ้งอย่างแรงกล้าแล้ว ตรุณสังขารุเปกขา อยู่แค่ระดับของ ทุกขปฏิปทา เท่านั้น
ญาณทั้งสามเหล่านี้ คือ มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขาญาณ และสังขารุเปกขาญาณ ธรรมดาแล้วเรียกว่า “สังขารุเปกขา” ในเรื่องนี้ มุญจิตุกัมยตาญาณ และปฏิสังขาญาณ ทั้งสองประการนี้ หมายถึง ปุพพะภังคสังขารุเปกขา และตรุณสังขารุเปกขา
อย่างไรก็ตาม ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้ให้คำจำกัดความของสังขารุเปกขา (สเจ ปนายํ อาทิโต กิเลเส วิกฺขมฺภยมานา เตน มคฺโค จตฺตาริ นามานิ ลภาติ...) สังขารุเปกขา ได้แบ่งออกเป็นสี่ชนิด คือ “ทุกขาปฏิปทา, สุขาปฏิปทา, ทันธาภิญญา และขิปปาภิญญา”
คำกล่าวเช่นนั้นในวิสุทธิมรรค ไม่ควรนำมาใช้ เป็นความหมายที่ได้กล่าวไว้ใน อังคุตตระนิกาย อรรถกถา และ มูลติกะ ดังนั้น ด้วยการพิจารณาโดยเหมาะสม ผู้ประพันธ์ มานะติกะ ได้กล่าวคำที่ใช้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค เช่นดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
ถ้าหากปัญญาน้อย เห็นสภาวธรรมทางรูปนามด้วยอุเบกขาแล้ว ก็จะละกิเลสด้วยความยากลำบาก เรียกว่า “ทุกขาปฏิปทา”
ถ้าปัญญาที่สามารถกำจัดกิเลสได้โดยไม่ยากลำบากแต่ประการใด เรียกว่า “สุขาปฏิปทา” ปัญญาที่แก่กล้าจะสามารถมองเห็นสภาวธรรมทางรูปนาม หลังจากที่ปฏิบัติยาวนานเท่านั้น ถ้าปัญญานั้นจะสามารถนำไปสู่มรรคได้ เรียกว่า “ทันธาภิญญา”
ถ้าปัญญานั้นสามารถนำไปสู่มรรคได้ โดยไม่ต้องปฏิบัตินานเรียกว่า “ขิปปาภิญญา” ตามที่ได้รับการชี้แนะโดย อรรถกถา ควรจำแนกได้อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
ในที่นี้ กิเลส หมายถึง ความอยากที่ไม่ต้องการสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย (สังขาร) และการยึดติดต่อสังขารคือ อมุญจิตุกัมยตา ซึ่งตรงข้ามกับ มุญจิตุกัมยตาญาณ (ความรู้แห่งความต้องการหลุดพ้น) กล่าวอีกนัยหนึ่ง อวิชชา ที่รู้กันว่า คือ อัปปฏิสังขญาณ ตรงข้ามกับ ปฏิสังขาญาณ – ปัญญาที่พิจารณาทบทวนเพื่อจะหาทางหนี นิกันติ (การยึดติด) คือ กิเลสธรรมดาของวิปัสสนาญาณทั้งปวง ทุกขเวทนา คือสิ่งที่ตรงกันข้ามซึ่งสนับสนุนของข้าพเจ้าถูกทับด้วยกาน้ำร้อน สิ่งเหล่านั้นเป็นความทุกข์ที่ทนได้ยาก ข้าพเจ้าคิดว่าทุกสิ่งเป็นสภาพแห่งทุกข์ตลอดเวลา
โยคีรายงาน สิ่งต่างๆ ดูเหมือนไกลออกไปและแต่ละสิ่งก็แจ่มแจ้งชัดเจนจากกัน จิตที่กำหนดก็ไม่ยึดติดกับสิ่งที่กำหนด บางทีก็มองออกไป โดยไม่ได้กำหนดเป็นเวลานาน การปฏิบัติก็ได้หยุดชะงัก เมื่อนึกได้ก็กำหนดไปยังอารมณ์ต่างๆ และสามารถกำหนดได้ดีอยู่ เป็นสิ่งรบกวน ถ้าความไม่รู้นั้นยังคงดำเนินต่อไป ระยะดังกล่าวเป็นความรู้เกี่ยวกับการสังเกตซ้ำที่ไม่สามารถละทิ้งจิตใจตรงข้ามได้
จิตยังคงกำหนดและก็รู้อารมณ์อยู่โดยธรรมชาติ ดังนั้นถ้าโยคีไปถึงระดับความรู้เกี่ยวกับสภาวธรรมโรคจิตที่มีความเป็นสมถะ กิเลสที่ตรงกันข้ามก็จะถูกกำจัดไป เช่น การละทิ้งหรือการไม่ละทิ้งจะเป็นความเข้าใจดังกล่าว
ในข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ที่สอดคล้องกันหมายถึงดังที่ได้ถ่ายไว้คือถ้าไม่กระตือรือร้นในการกำหนดบนเงื่อนไขและกับจิตที่ขาดความรู้และเริ่มเป็นตัณหา ในระหว่างนั้น มีการตระหนักอย่างชัดเจนถึงสภาพจิตใจที่ตรงกันข้ามหรือความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกิเลส
บันทึกนี้ซึ่งอธิบายประสบการณ์ของโยคีที่ตระหนักถึงความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจอย่างชัดเจนตั้งแต่ปัญญาเริ่มต้น ความปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอดและปฏิบัติอย่างแรงกล้าต่อสภาพจิตใจภายนอกสามารถกล่าวได้ตาม มหาฎีกาในความคิดเห็นที่ยอดเยี่ยม นี่คือคำสอนพิเศษของสยาดอว์ นั่น คือจุดจบของมุญจิตุกัมมยตาญาณ
ถ้าปัญญาที่ไม่มีกำลังสามารถเห็นสภาวธรรมของรูปนามได้ด้วยความเป็นกลางจะสามารถกำจัดกิเลสของตนได้ด้วยความยากลำบาก เรียกว่า (ทุกขาปฏิปทา) ถ้าปัญญาดังกล่าวขจัดกิเลสตรงกันข้ามโดยไม่ยากเย็น เรียกว่า สุขาปฏิปทา ความรู้ที่มีกำลังสามารถมองจิตและกายได้หลังจากปฏิบัติมานาน ถ้าสามารถนำไปสู่
มรรค เรียกว่า (ทันธาภิญญา)
ถ้าความรู้นั้นสามารถนำไปสู่มัคคะได้โดยไม่ต้องฝึกนาน เรียกว่า (ขิปปาภิญญา) ตามคำแนะนำโดยอรรถกถา ควรแบ่งตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
นอกจากนี้ ในข้อคิดเห็นเพิ่มเติม คำว่า (อนัตตานุปัสสนา) ว่า (นิกันติ-ความเอนเอียงของอารมณ์) กิเลสทุกชนิด ความรู้สึกไม่พึงปรารถนา และสภาพจิตตรงข้ามอื่น ๆ ของวิปัสสนา สามารถกำจัดได้โดยความหมายของวิปัสสนา
จบ มุญจิตุกัมมยตาญาณ
ปฏิสังขาญาณ
(ปัญญาในการทบทวน)
โยคีผู้บรรลุมุญจิตุกัมมยตาญาณแล้วต้องการหลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง และไปกำหนดอารมณ์ที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖ แล้วโยคีนั้นสังเกตเห็นว่าหลังจากกำหนดแล้ว อารมณ์และจิตที่กำหนดได้หายไป จิตที่รับรู้ได้กลายเป็นไปอย่างรวดเร็วและการเตือนความจำกลายเป็นสิ่งที่ดีมากอีกครั้ง จากนั้น บางคนก็จะพูดว่า:-
โยคีรายงาน: อารมณ์ทั้งหมดดับลงและหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรกินเวลานานพอสำหรับการกำหนด ๑ หรือ ๒ ครั้ง ไม่มีความคิดใด ๆ ที่ยาวนาน ความคิดทั้งหมดได้หายไปหลังจากกำหนด ๑ หรือ ๒ ครั้ง ฉันไม่จำเป็นต้องกำหนดความคิดเหล่านั้น ฉันแค่รู้สึกถึงความคิดและอารมณ์ทั้งหมดนั้นก็หายไป ฉันพบว่าไม่มีอะไรที่อยู่นิ่งได้แม้ในขณะที่สภาวธรรมเกิดขึ้นและการดับไปนั้นง่ายมากที่จะหายไป ดังนั้น จึงสรุปว่า สภาวธรรมทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติของที่ไม่เที่ยง
การกำหนดก็เป็นปกติ บางครั้งกำหนดได้เร็วดี บางครั้งก็ไม่ดี แต่ค่อนข้างช้าและน่าเบื่อ บางครั้งการกำหนดก็สั้น ๆ แต่ส่วนใหญ่การกำหนดได้ดี
โยคีรายงาน ผมสังเกตเห็นสภาวธรรมธรรมทั้งหมดที่กำหนดมีการเกิดขึ้นแล้วก็หายไป มองไม่เห็นความดีใด ๆ ในนั้น จึงคิดว่าสภาวธรรมทั้งหมดนั้นเป็นทุกข์
ขณะที่พิจารณาอย่างหนัก ร่างกายทั้งหมดดูเหมือนจะขยับขึ้น และฉันรู้สึกหงุดหงิด ถ้าผมกำหนด บางครั้งความรู้สึกเหล่านั้นก็ลดลง บางครั้งมันเพิ่มขึ้น. มันเป็นเช่นนั้น ๑-๒ วัน ผมคิดว่าตัวเอง ความหงุดหงิดและใจที่กำหนดทั้งหมดเป็นทุกข์
โยคีรายงาน ฉันหงุดหงิดเล็กน้อย แต่สามารถพูดได้ว่าทุกอย่างไม่ดีและน่าเบื่อหน่าย
โยคีรายงาน การกำหนดเป็นสิ่งที่ดี แต่ร่างกายและมือของฉันรู้สึกตึงเครียด ใจที่กำหนดนั้นก็รู้สึกหนัก มือและขาของฉันรู้สึกหนักมากจนฉันไม่สามารถขยับแขนได้ ฉันกำหนดหนักและน่าเบื่อมาก ผมคิดในใจว่าสภาวธรรมทั้งหมดนี้คือความทุกข์ ที่ทนได้ยาก
โยคีรายงาน เมื่อฉันกำหนดได้ดี ฉันได้ยินเสียงหึ่ง ๆ ตอนแรกก็คิดว่ามันดีที่จะกำหนด แต่เสียงก็หายไปอย่างง่ายดายหลังจากที่กำหนด ต่อมาเสียงก็เริ่มชัดขึ้นและดังขึ้น ฉันได้ยินมันอย่างชัดเจนและกำหนดได้ยากมาก เสียงจะไม่หายไปหลังจากที่ฉันกำหนด
ข้อคิดเห็น
โยคีใหม่จะได้ยินเสียง ๑ - ๓ วัน โยคีดังกล่าวจะพูดว่า.-
โยคีรายงาน ยังคงได้ยินเสียงเหล่านั้นอยู่ เสียงเล่านั้นจะไม่หายไป หลังจากที่กำหนด ฉันไม่ต้องการที่จะได้ยินเสียงใด ๆ ฉันไม่ต้องการที่จะกำหนดเลย การได้ยินเสียงเหล่านี้เป็นความทุกข์ที่ทนได้ยากอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรดี ฉันแค่ไม่อยากได้ยินเสียงพวกนี้ ผมสังเกตเห็นความเบื่อหน่าย ความเกลียดชัง และความรู้สึกระอิดระอากับสิ่งเหล่านี้ จิตใจของฉันต้องการเป็นอิสระจากเสียงอย่างรวดเร็ว
คำแนะนำ
ไม่ต้องสนใจเสียง อย่าให้ความสนใจใด ๆ กับเสียง แค่เพ่งความสนใจไปที่อารมณ์อื่น ๆ อย่างแรง อย่าหวังว่าจะได้ยินเสียง ไม่ต้องกังวลว่าเสียงจะยังอยู่หรือไม่ อย่าคิดถึงเสียงนั้น แต่จงพิจารณาด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จริงแล้วไม่มีเสียง มันเป็นเพราะการที่จิตปรุงแต่งอารมณ์ และเป็นเพียงจินตนาการ
โยคีรายงาน การพิจารณาดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ตรึกนึกถึงอารมณ์นั้น และจิตใจที่กำหนดได้ ผมรู้สึกร้อนและเหนื่อยมาก เหมือนกับว่านั่งอยู่บนกองถ่านไฟ และร่างกายของฉันถูกเผาเป็นทุกข์ที่ทนได้ยาก เวลาทั้งหมดที่คิดถึงทุกสิ่งเป็นทุกข์น่าเวทนา
โยคีรายงาน รู้สึกแย่มากเหมือนมีไฟเผาในท้อง ต้องหยุดการกำหนดทั้งหมด บางทีเมื่อกำหนดความรู้สึกนั้น มันก็หายไปทันที แต่ต่อมาก็กลับมาอีก ก็กำหนดอีกและก็หายไปอีก ต่อมาก็รู้สึกไหม้อีก ความซ้ำซากของความรู้สึกเผาไหม้นั้น จนการปฏิบัติไม่เป็นสุข รู้สึกแย่มาก ตนอยากเป็นอิสระจากความรู้สึกนั้น
โยคีรายงาน รู้สึกจุกที่หน้าอก บางทีก็เหมือนอาการอาหารไม่ย่อย รู้สึกเจ็บปวดเช่นเดียวกัน บางทีก็มีอาการเกร็งทั้งร่างกาย เบื่อในการกำหนด กลัวการปฏิบัติ จิตใจสับสนและอยากเป็นอิสระโดยเร็ว
โยคีรายงาน กำหนดอะไรก็ตาม ก็ไม่อาจเห็นความดีในสิ่งใดๆ ได้เลย ตอนนี้พบแล้วว่าการกำหนดมันน่าเบื่อ รู้สึกเป็นทุกข์ระทม
การช่วยเหลือ ตอนนี้ โยคีกำลังเห็นสัจธรรมด้วยความรู้แจ้ง อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน สิ่งที่โยคีกำลังพบตอนนี้คือ “ทุกขอริยสัจ” ที่โยคีไม่รู้มาก่อนเลย ท่านไม่สามารถพบความดีได้ในทุกขอริยสัจ ทุกครั้งที่ท่านกำหนด ท่านก็จะได้ความรู้ที่ทำทุกขอริยสัจให้กระจ่างแจ้ง ขณะเดียวกันนี้ท่านกำลังละทิ้งอริยสัจแห่งการยึดติดสมุทัยที่ก่อรูปในสิ่งที่ท่านได้กำหนด ดังนั้นท่านกำลังพบความสุขชั่วขณะ, นิโรธ ท่านกำลังเข้าใกล้ มรรคอริยสัจ อีกด้วย “อริยมรรคสัจจะ” ในไม่ช้าท่านก็จะเห็นนิพพาน ในไม่ช้าท่านก็จะเป็นอิสระจากทุกข์ทั้งปวงที่ท่านกำลังกำหนดอยู่ตอนนี้ และการกำหนดของท่านก็จะดี
ท่านจะเห็นนิพพานและท่านก็สามารถเป็นอิสระจากทุกข์ทั้งปวงแห่งโลกที่ต่ำกว่า ถ้าหากท่านเปรียบเทียบความทุกข์ปัจจุบันกับสภาพแห่งทุกข์ของโลกที่ต่ำกว่าแล้ว ความทุกข์ของท่านไม่มีอะไรเลย ถ้าหากท่านต้องการเป็นอิสสระจากทุกข์อันหนักหน่วง ท่านควรอดทนและอดกลั้นต่อความทุกข์เล็กน้อย
ข้อสังเกต ในที่นี้พระวิปัสสนาจารย์ควรชี้แนะให้แก่โยคีตามระดับความรู้ของเขา ให้ชี้แนะโยคีให้กำหนดจิตที่รู้สึกระทมทุกข์ จนกระทั่งโยคีอิสระจากมัน พระวิปัสสนาจารย์ควรช่วยกระตุ้นโยคีจนกว่าโยคีจะมีความมั่นใจและกระตือรือร้น
ลักษณะที่แตกต่างกัน ในระดับของมุญจิตุกัมยตาญาณนั้น มีทุกขเวทนาเบาบางเท่านั้น ถ้าโยคีกำหนดประมาณ ๔ หรือ ๕ ครั้ง เวทนาก็อาจหายไปได้ บางทีเวทนาเพียงแค่ลดลงนิดหน่อย และยังมีอยู่พอที่จะทนได้
ในระดับของปฏิสังขาญาณ ปกติแล้วก็จะมีทุกขเวทนามาก แต่เวทนาเหล่านั้นไม่ได้อยู่นาน มันหายไปหลังการกำหนดครั้งหรือสองครั้ง บางทีโยคีรู้เวทนานั้นและมันก็หายไปโดยไม่ต้องกำหนด ถึงแม้ว่ามันไม่หายไปสิ้นเชิง โยคีนั้นก็รู้อย่างชัดเจนว่า การกำหนดแต่ละครั้งได้ขจัดเวทนาออกไป นี้คือลักษณะพิเศษของ ปฏิสังขาญาณ
โยคีได้ปฏิบัติ ตามคำชี้แนะของพระวิปัสสนาจารย์และได้ถึงความสุกงอมแห่งญาณนี้แล้ว จะพูดหลังจาก ๒-๓ ชั่วโมงหรือ ๒-๓ วันว่า ดังนี้
โยคีรายงาน แต่ละครั้งที่กำหนด สิ่งที่ถูกกำหนดและจิตกำหนดอยู่ด้วยกัน มันเป็นการกำหนดที่ดี รู้สึกมีความสุขในการปฏิบัติ ไม่มีเวทนาที่หยาบ การกำหนดได้เร็วและน่ายินดีมาก
โยคีรายงาน สิ่งที่ถูกกำหนด จิตที่รู้ และสังขารที่เกิดขึ้นดับไปถึงจุดสิ้นสุด ตนได้เห็นสิ่งเหล่านั้นดับไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงได้รู้ว่าไม่มีร่างกายอันเที่ยงแท้และไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ตามความปรารถนา ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น จึงตัดสินกำหนดอารมณ์ที่เกิดขึ้นจ่อไป และการกำหนดก็ดีขึ้นอีกครั้ง
โยคีรายงาน การกำหนดเร็วดี ถึงแม้หยุดการกำหนดแล้ว จิตก็ยังคงกำหนดและรู้อย่างต่อเนื่อง บางทีหยุดการกำหนดแต่การกำหนดก็ดำเนินเองต่อไป ดังนั้นต้องจงกำหนดอีกประมาณ ๑๐ ครั้ง
ข้อสังเกต ในที่นี้ โยคีไม่ควรกำหนดนานๆ โดยขาดความเพียรที่แท้จริง และสิ่งที่กำหนดก็ไม่ละเอียดอย่างยิ่ง
สรุป ในปฏิสังขาญาณ โยคีควรเห็นหนึ่งใน “อนิจจะลักษณะทั้ง ๑๐” หรือหนึ่งใน “ ทุกขลักษณะ ๒๕” หรือหนึ่งใน “อนัตตลักษณะ ๕” ตามระดับของบารมีที่เปลี่ยนไปที่พวกเขาได้สั่งสมมา อาจจะเป็นอะไรก็ได้ ณ ระดับ ปฏิสังขาญาณนี้ โยคีก็สามารถเห็นลักษณะทั้งหลายได้ ขณะการกำหนดแต่ละครั้ง และยินดีกับความต่อเนื่องและความว่องไวของจิตรู้การกำหนด
“จบ ปฏิสังขาญาณ”
สังขารุเปกขญาณ
ปัญญาที่วางเฉยต่อสังขาร
เมื่อปฏิสังขญาณ สุกงอมแล้ว การกำหนดก็ดูเหมือนการวิ่งด้วยความเร็วอย่างต่อเนื่อง จากนั้นโยคีนั้นก็จะกล่าว ดังนี้
โยคีรายงาน (๑) ตอนนี้ ไม่คิดว่าสิ่งทั้งหลายดีที่จะกำหนดอย่างเช่นแต่ก่อน ตนไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นน่ากลัวเหมือนกัน ไม่สุขไม่ทุกข์กับการกำหนด การกำหนดเบา เร็ว และดี โยคีไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย (สังขาร) (โยคีดำเนินสายกลาง มองสังขารด้วยความเป็นกลาง)
โยคีรายงาน (๒) เมื่อกำลังนั่งหรือนอน ก็กำหนด เพียงแค่ต้องนั่งหรือนอน การกำหนดก็ดำเนินต่อไป โดยไม่ต้องทำพยายาม และการกำหนดได้ดี เหมือนการขับเกวียนที่เทียมด้วยโคสองตัว โดยไม่ต้องทำความเพียรเลย การกำหนดดำเนินไปเอง ตอนนี้เพียงแค่ต้องเริ่มกำหนด ๕ หรือ ๑๐ ครั้งเท่านั้น จากนั้นการกำหนดก็เป็นอัตโนมัติ ข้าพเจ้าไม่ต้องระวัง มันเป็นการปฏิบัติที่สบายดีมาก (โยคีได้ไตร่ตรองจิตที่ได้ปฏิบัติและที่ได้พิจารณาธรรมชาติแห่งสังขารและมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป)
โยคีรายงาน (๓) ตอนนี้นั่งนานเท่าใดก็ได้ ไม่มีความปวด ความเจ็บ
ความร้อน เป็นต้น ที่มือ ที่ขา และที่ตัว แต่ประการใดเลย นั่งได้นิ่งมากและปฏิบัติได้อย่างดี หลังจากกำหนดอยู่นาน จึงได้พัก เมื่อกลับไปกำหนด ก็กำหนดได้ไม่ยาก หลังจากการกำหนดประมาณ ๔- ๕ หรือ ๑๐ ครั้ง การกำหนดก็เร็วในช่วงเวลาที่เป็นมาก่อนหน้านี้
ทันทีที่คิดเช่นนั้นการกำหนดก็หยุดชะงักและน่ากลัว แต่ก็กำหนดต่อไปเป็นปกติ หลังจากนั้นชั่วครู่ก็ดีเหมือนเดิม แต่ทันทีที่คิดว่า การกำหนดดีและรู้สึกมีสุข การกำหนดก็แย่อีกครั้ง การกำหนดสลับไปมาระหว่างดีและไม่ดีตลอดเวลา
โยคีรายงาน (๔) ในการกำหนดไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามเป็น
พิเศษ จิตที่รู้ใจสามารถจับอารมณ์โดยไม่พลาดสักเลย การกำหนดเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ จิตใจไม่ได้หายไปไหน จิตไม่สามารถออกไปที่ไหนได้ การกำหนดเกิดขึ้นเองอย่างต่อเนื่อง
โยคีรายงาน พระวิปัสสนาจารย์สั่งให้กำหนดลักษณะอารมณ์ทั้งหมด
ในการที่จิตออกไป (อารมณ์ที่เข้ามาทางอายตนะทั้ง ๖) การกำหนดเป็นไปตามลำดับ ทีละเล็กทีละน้อย
มีอารมณ์น้อยลงและ จิตกำหนดที่อาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส ตามปกติ ไม่สามารถกำหนดเกี่ยวกับอารมณ์อื่น ๆ ได้ เพราะอารมณ์เบาบางลงและมีน้อยลงเรื่อย ๆ ขอบเขตการสังเกตเริ่มแคบลงเรื่อย ๆ ในเวลาต่อมา มีเพียงอาการพองและอาการยุบเท่านั้นที่กำหนดได้
ข้อคิดเห็น
โยคีรู้จิตของตน (สังขารุเปกขาญาณ) ซึ่งยึดอยู่กับอารมณ์ที่ตนพิจารณาอยู่ ความแน่วแน่ของจิตใจนั้นมั่นคงและแข็งแรง
โยคีรายงาน (๕) ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์อะไรที่เด่นในการกำหนดได้
เลย ทุกอย่างเบาบางมาก มีเพียงการกำหนดเริ่มต้น ๕ หรือ ๑๐ ครั้งเท่านั้นที่ชัดเจน หลังจากนั้นทุกอย่างก็เบาบางและน้อยลง อารมณ์มีความเบาบางและหายไปอย่างเลือนลาง จิตที่กำหนดก็หายไปอย่างเลือนลางและเบาบางเช่นกัน ทุกอย่างเลือนลางและเบาบางมากจนกำหนดดีจริงๆ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกดีแบบนี้
ข้อคิดเห็น
สังขารุเปกขาญาณของโยคีมีความประณีตละเอียดอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพิจารณาเห็น
(๑) ในข้อ ๑, ๒, ๓, ๔ และ ๕ โยคีนั้นไม่เป็นที่พอใจในอารมณ์และการกำหนด
(๒) โยคีไม่ต้องกังวลว่าจะพยายามเป็นพิเศษในการกำหนด การกำหนดดีและเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
(๓) โยคีสามารถอดทนต่อนิมิตที่ไม่พึงประสงค์และไม่อาจปฏิเสธเวทนาได้ และส่วนใหญ่ปราศจากทุกขเวทนา
(๔) สามารถอยู่ในอิริยาบถใด ๆ ได้นานถึง ๒ หรือ ๓ ชั่วโมงโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ
(๕) โยคีไม่ต้องการคิดถึงอารมณ์อื่นที่เป็นอิสระเป็นเวลานาน เมื่อการกำหนดเป็นไปด้วยดีโยคีจะไม่ส่งจิตไปที่อื่นได้ โยคีไม่สามารถกำหนดเกี่ยวกับอารมณ์ทั่วไปได้ จะกำหนดได้เฉพาะในอารมณ์ปกติไม่กี่อย่างเท่านั้น มีความสงบนิ่งมาก
(๖) ยิ่งพิจารณานานเท่าไหร่ อารมณ์ก็ยิ่งน้อยลงและเบาบางลงไปเท่านั้น และจิตที่กำหนดได้กลายเป็น
เมื่อโยคีได้สัมผัสลักษณะสภาวธรรมดังกล่าวข้างต้นแล้ว โยคีนั้นก็ได้บรรลุสังขารุเปกขาญาณ อย่างสมบูรณ์ ถ้าโยคีไม่ได้แสดงข้อเท็จจริงเหล่านั้น พระวิปัสสนาจารย์ควรถามคำถามในการทดสอบ
โยคีรายงาน อาการพอง และ อาการยุบค่อย ๆ เล็กลงไปเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นก็หายไปอย่างสมบูรณ์และรู้สึกเหมือนสูญญากาศ ว่างและไม่มีอะไรเลย มันเป็นความรู้สึกที่สงบและน่าพอใจมาก มีเพียงจิตใจที่ปลอดโปร่งเท่านั้นที่เหลืออยู่ ไม่มีอะไรให้กำหนด ผมกำหนดว่า"รู้หนอ" "รู้หนอ" ตอนนั้นกำลังพิจารณาอยู่กับความรู้สึกที่วิเศษ
ข้อคิดเห็น
โยคีตัดสินใจมีศรัทธามากขึ้น
โยคีรายงาน การรับรู้ของผมนั้นรวดเร็วมาก การกำหนดรู้อารมณ์
ต่างๆนั้นดีมาก จากนั้น รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ที่ซึมอยู่ภายในร่างกายเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม รู้สึกยินดีและพอใจมาก เป็นความสุขและกำหนดที่ดี ผมมีความสุขมากกับการกำหนดที่ดีจนผมหยุดและกำหนดอีกครั้ง เมื่อการกำหนดนั้นกลับมาดีอีกครั้ง ผมก็พอใจและหยุดกำหนดอีก อยากรู้สึกพักบ่อย ๆ ไม่ต้องการที่จะกำหนดนาน บ่อยครั้งที่อยากจะลุกขึ้น และอยากสนทนากับคนรอบข้าง
ข้อคิดเห็น
โยคีพอใจกับการกำหนดที่ดีและได้ลดความเพียรลง
พระวิปัสสนาจารย์ควรจะเตือนและสั่งสอนในลักษณะนี้:-
เตือนโยคีไม่ควรคิดกับสิ่งเหล่านี้ ควรการกำหนดให้ดี นี่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจพอ เนื่องจากนี่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงของนิพพาน คุณจึงไม่ควรพอใจกับมัน อารมณ์ที่กำหนดได้คือ สังขาร และความพึงพอใจ ความสุข และความยินดี ก็คือ สังขารด้วย ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง
ไม่มีอะไรที่น่าพอใจในสภาวธรรมทั้งหมดนี้ ถ้าการกำหนดดีตลอดไป คุณควรจะยินดีพอใจกับการกำหนด แต่ตอนนี้ การกำหนดที่ดีนั้น ดีเฉพาะในขณะที่กำหนดเท่านั้น หลังจากกำนดและรู้ว่าสภาวธรรมทั้งหมดหายไปทันที ไม่มีอะไรอยู่ได้นาน คุณรู้เรื่องนี้จากประสบการณ์ของคุณเอง การรู้ว่าสภาวธรรมทั้งหมดเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าคุณพอใจและพอใจกับสภาวธรรมที่ไม่เที่ยงหล่านี้ มันจะฉลาดไหม? ถ้าคุณแน่ใจว่าคุณจะได้ทองคำจำนวนมหาศาล คงจะไม่ยินดีพอใจด้วยเงินเพียงเล็กน้อย. ดังนั้น อย่าหยุดก่อนที่จะถึงจุดหมาย กำหนดด้วยความพยายาม กำหนดด้วยจิตที่ชอบ จิตใจที่มีความสุขและ ทันทีที่จิตมีสมาธิขึ้นมา จะขจัดความรู้สึกเหล่านั้นในทันที ถ้าเธอไม่สามารถกำจัดความรู้สึกเหล่านั้นได้ พวกมันก็จะขัดขวางเส้นทางของเธอไปยังนิพพาน
โยคีรายงาน ในขณะที่กำหนดรวดเร็วดี บางครั้งอารมณ์ก็น้อยลง
มากและจากนั้นก็กลายเป็นเบาบาง และดูเหมือนว่าความต่อเนื่องถูกตัดออกอย่างไม่รู้ตัว หลังจากนั้นก็เริ่มกำหนดต่อไปและการกำหนดก็ดีขึ้น (ความไม่รู้สึกตัวอาจสัมพันธ์กับอุเบกขาหรือความง่วง) ไม่มีอะไรพิเศษในการกำหนด เมื่อไหร่ก็ตามที่สังเกตว่ามันเป็นเรื่องดี ไม่มีอะไรดีกว่า ไม่มีอะไรแย่กว่า หลังจากสังเกตเห็นเป็นเวลานานพอสมควร ผมก็หมดความรู้สึกตัวไปชั่วขณะแล้วผมก็เริ่มกำหนดต่อไป มันก็ยังดีอยู่ บางครั้งก็หลับไปจริงๆ เมื่อจำได้ว่าต้องกำหนด การกำหนดนั้นก็กลับมาดีเช่นเคย
โยคีรายงาน ไม่มีการกำหนดอะไรเป็นพิเศษ ถึงแม้การกำหนดจะดี
ก็ตาม ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรไม่ดี หลังจากการกหนดนั้นเงียบอยู่เป้นเวลานาน หลังจากที่ไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะหนึ่ง จึงได้กลับไปกำหนดอีกครั้ง และรู้สึกดี บางครั้งรู้สึกว่าหลับไปจริงๆ เมื่อจำการกำหนดได้ การกำหนดก็กลับมาดีโดยปกติ หลังจากนั้นผมก็กลับไปนอนต่อ สลับกันแบบนั้นตลอดเวลา (เนื่องจากเป้าหมายและความพยายามที่หย่อนยาน ความง่วงจึงกลายเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงต้องเตือนโยคี)
คำเตือน
เมื่อการกำหนดได้รวบรวมแรงกระตุ้นแล้ว ก็เป็นเรื่องที่สะดวกสบายและดีที่จะกำหนด จากนั้น ความแม่นยำของความพยายามกลายเป็นความแม่นยำน้อยลง ดังนั้นอารมณ์จึงค่อย ๆ จางลงไปและไม่สามารถกำหนดได้ แล้วความง่วงก็เข้ามาและทำให้โยคีหลับและกลายเป็นหมดความรู้สึกตัวเพียงชั่วขณะหรือเป็นเวลานานทีเดียว ข้อควรระวังเมื่อการกำหนดเป็นสิ่งที่ดี เตือนว่าอย่าหย่อนในการทำความเพียรให้ถูกต้อง เตือนโยคีให้ใส่ใจเป็นพิเศษในการกำหนดเมื่ออารมณ์เบาบางและจางลง ขณะที่โยคีอยู่ในอากการมึนเมาหลงทางอย่างต่อเนื่อง
โยคีรายงาน จิตที่กำหนดรู้นั้นรวดเร็วดีมากราวกับว่าสิ่งที่กำหนด
จะหลุดออกจากร่างกาย ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ เมื่อการกำหนดเป็นสิ่งที่ดีมากเช่นนั้น ฉันคิดว่า "คราวนี้ดีจริง ๆ การกำหนดของฉันได้พัฒนาขึ้น" ทันทีที่ฉันคิดแบบนั้น การกำหนดก็เริ่มหย่อนยานและแย่ลง แต่ยังคงกำหนดเช่นเคย หลังจากในขณะที่มันดีอีกครั้งเช่นก่อนหน้านี้ แต่ทันทีที่คิดว่าการกำหนดดีอีกครั้ง และรู้สึกมีความสุข การกำหนดของผมก็แย่ลงอีกข้อสังเกตนั้นสลับกันระหว่างความดีและความชั่วตลอดเวลา
การตักเตือน พยายามกำหนดอย่างมั่นคงและเท่าทันที่จิตซึ่งคิดว่าการกำหนดได้ดี จิตที่มีความสุข จิตที่ใคร่รู้ในสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ต่อไป และวิธีที่จิตนั้นจะเป็นอย่างไรภายหลัง
โยคีรายงาน การกำหนดดีกับไม่ดีสลับกันไป แต่เมื่อพิจารณาที่จะ
กำหนดต่อจริงๆ แล้ว หลังจากการปฏิบัติสักพักก็นิ่งสงบและละเอียดมาก สามารถปฏิบัติได้อย่างมีความสุขตราบเท่าที่ชอบใจ
โยคีรายงาน การกำหนดดีมาก ทั้งร่างกายรู้สึกหนาวสั่น ขณะนั้นได้เห็นแสงสว่างวาบระยิบระยับที่มุมตา และบ่อยครั้งรู้สึกเหมือนกับว่าหมดสติ ทันทีที่ตื่นตัวก็กำหนดได้ดีและสงบเหมือนเมื่อก่อน
ข้อสังเกต เมื่อสมาธิของโยคีมีกำลังดีกว่ากำลังแห่งปัญญาแล้ว ก็สามารถเห็นแสงสว่างหรือเห็นภาพได้ เนื่องจากกำลังแห่งปีติ โยคีก็เหมือนการหมดสติคล้ายกับภาวะไฟดับ ให้บอกโยคีว่า กำลังสมาธิและกำลังแห่งปัญญาได้สุกงอมอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ดังนั้นให้กระตุ้นโยคีให้ปฏิบัติให้หนักขึ้นด้วยความพยายามต่อไป
การกำหนดพิเศษ ที่ระดับนี้ ถ้าโยคีไม่กำหนดอารมณ์ต่างๆ ตามทวารทั้ง ๖ แล้ว และถ้ากำหนดปกติในวิธีที่สะดวกมากๆ แล้ว จุดหมายและความพยายามในการกำหนดของโยคีนั้นก็อาจจะชะงักและอาจเป็นอุปสัค (นิวรณ์) ต่อความก้าวหน้าต่อไป
เพราะฉะนั้น ทันทีที่พระวิปัสสนาจารย์ได้สังเกตเห็นโยคีเพิ่มความเร็วได้แล้ว (ก่อนถึงจุดสูงสุดและยังอยู่ในระดับของการกำหนด) ให้แนะนำโยคีให้กำหนดอย่างกระตือรือร้นและเท่าทันสิ่งต่างๆ ทั่วไปที่เกิดจากทวารทั้ง ๖ แต่อย่าชี้แนะเช่นว่า เมื่อโยคีได้ถึงความสงบนิ่งและภาวะสูงสุดของการกำหนดแล้ว ความจริงแล้ว ขณะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดสิ่งต่างๆ ในวงกว้าง สำหรับโยคีที่ได้รับการชี้แนะให้กำหนดสิ่งต่างๆ ในวงกว้างนั้น ถึงแม้ว่าเขาได้กำหนดในวงกว้างของสิ่งต่างๆ จากทวารทั้ง ๖ ก็ตาม ก็จะไม่มีความก้าวหน้า ถ้าความถูกต้องแห่งความเพียรหยุดชะงัก เพราะฉะนั้นให้ชี้แนะโยคีให้กำหนดทุกอย่างให้ถูกต้อง
บางที โยคีที่รู้ว่าได้เข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ แล้ว การกำหนดของโยคีทุกครั้งจะเท่าทัน เขาก็จะคิดว่า “ในไม่ช้าเราก็จะเข้าถึงมรรค ในไม่ช้าเราจะบรรลุ” โยคีนั้นจะรู้สึกมีความสุข กระตือรือร้นเกินไป และมีความยากมากเกินไป ด้วยเหตุนั้น ความก้าวหน้าของเขาก็จะถูกปิด เพราะฉะนั้น จะดีกว่าถ้าไม่บอกระดับปัญญาของพวกเขาในจณะที่โยคีที่กำลังปฏิบัติอยู่
ถึงแม้ว่า โยคีจะสามารถรู้เกี่ยวกับระดับวิปัสสนาญาณของตน พระวิปัสสนาจารย์ก็ไม่ควรพูดหรือบอก ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเขาคิดไว้จะถูกต้อง พระวิปัสสนาจารย์ควรกระตุ้นโยคีปฏิบัติให้มากขึ้นแทน ตักเตือนโยคีให้กำหนดจิตที่เป็นสุขให้ได้ เป็นต้น ตักเตือนพวกเขาไม่ให้คาดหวังและประมาท แต่ให้กำหนดต่อไปอย่างสงบและเยือกเย็น ถ้าโยคีเหล่านั้นกระตือรือร้นเกินไป ความเพียรมากก็เสียไป และสมาธิก็มีกำลังน้อยลง ดังนั้น จึงไม่เกิดการพัฒนาเท่าที่ควรจะมี
ดังนั้น ให้บอกโยคีให้กระตือรือร้นน้อยลงและให้ปฏิบัติอย่างเยือกเย็นและสงบ ถ้าแม้มีคำชี้แนะแบบนี้แล้ว โยคียังคงจริงจังและกังวลเกินไป ให้เขานอนพักสักนิด บอกให้เขากำหนดหลังจากตื่นขึ้นเท่านั้น หรือ บอกให้โยคีพักผ่อนสักสองหรือสามชั่วโมง หรือทั้งวัน หรือทั้งคืน ให้โยคีทำงานบางอย่าง ถ้าเขาต้องการ ให้โยคีปฏิบัติหลังจากได้หยุดพักแล้วเท่านั้น
สรุป การกำหนดแต่ละครั้งทำให้โยคีได้ความรู้ลักษณะหนึ่งในสามคือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา โยคีนั้นรู้สิ่งนี้ได้โดยไม่ต้องทำความพยายามในการกำหนด โยคีนั้นไม่กลัวสิ่งใดๆ ที่กำลังเสื่อมไป ไม่มีความรู้สึกกลัว ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย และมีความต้องการเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง อย่างเช่นใน “ภยญาณ” เป็นต้น ไม่มีความจำเป็นที่จะทำความเพียรพยายามในการกำหนด ไม่รู้สึกสุข หรือพอใจต่อสิ่งใดๆ ไม่มีความยินดีและความสุข แม้การกำหนดที่สุด มันเป็นความรู้ที่สะอาดและแจ่มใสมาก ที่สำเร็จอย่างเป็นระบบและอัตโนมัติ เรียกว่า “สังขารุเปกขาญาณ” (ความรู้ที่สามารถเห็นสภาวธรรมทางกายและจิตด้วยอุเบกขา)
“จบ สังขารุเปกขาญาณ”
อริยภูมิ
โยคีผู้ที่ได้บรรลุวิปัสสนาญาณทั้ง ๑๖ ระดับจากนามรูปปริเฉทญาณ จนถึง ปัจจเวกขณญาณ หลังจากการทบทวนถึงวิธีการที่กำหนดดับไปอย่างสงบสุขแล้ว ก็ได้กำหนดต่อเป็นปกติ การเริ่มต้นปฏิบัติ อาการพองและอาการยุบ อาจพบได้อย่างชัดเจนและอย่างหยาบๆ มันไม่ละเอียดและประณีตเหมือนก่อนที่การกำหนดดับไป พองยุบหยาบและไม่เป็นระเบียบ ทั้งการเริ่มต้นแห่งอารมณ์ทั้งหลาย (การเกิดขึ้น) และการสิ้นสุดของอารมณ์ทั้งหลาย (การเสื่อมไป) อาจพบได้อย่างชัดเจน ดังนั้น โยคีส่วนมากจะกล่าว ดังนี้
โยคีรายงาน ได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและกำหนดต่อไปเป็นปกติ แต่ก็
ไม่เป็นเช่นเมื่อก่อน อาการพองและอาการยุบไม่ ละเอียดประณีตเหมือนก่อน พองยุบใหญ่และหยาบมากทีเดียว การกำหนดก็หยุดชะงักเช่นเดียวกัน จึงคิดว่าการกำหนดถูกทำลายไป
โยคีรายงาน การกำหนดไม่นิ่ง สะดุดตกไปมาก การกำหนดแย่ลง
ข้อสังเกต โยคีได้ถอยหลังไปที่ อุทยัพภยญาณ ดังนั้นอารมณ์ต่างๆ จึงปรากฏชัดและหยาบ ทั้งการเกิดขึ้นและการดับไปของสภาวธรรมเห็นได้อย่างชัดเจน ความรู้ได้ถอยหลังไปที่ระดับต้นๆ ดังนั้น การกำหนดจึงไม่เท่าทัน แต่พระวิปัสสนาจารย์ไม่ควรบอกวิปัสสนาญาณขั้นที่แท้จริงและสภาวธรรมที่แท้จริงในขั้นนี้
การช่วยเหลือ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ควรถูกมองว่าเป็นประสบการณ์ที่แย่ การกำหนดไม่ได้ถูกทำลายแต่อย่างใด อารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นตามสภาวธรรมแห่งธรรมชาติ จึงเป็นสิ่งดีในตัวมันเอง ก่อนหน้านี้ท่านสามารถกำหนดได้อย่างละเอียดและประณีตมาก แต่มีการเปลี่ยนแปลงฉับพลันแห่งญาณ นั่นเป็นสิ่งที่ว่าทำไมท่านจึงได้คิดว่า การกำหนดตอนนี้ไม่ดี ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกแบบนี้ เฉพาะในขั้นนี้ ท่านจะยึดติดความคิดที่ว่าเป็นสิ่งที่แย่ แต่สิ่งทั้งหลายไม่ได้แย่ และกำลังเสื่อมไปอย่างที่ท่านคิด ความจริงแล้วท่านได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นไป ไม่ต้องท้อแท้ให้กำหนดต่อไปเป็นปกติ จากนั้นท่านจะกลับไปที่ขั้นที่การกำหนดดีเป็นปกติ
ให้ช่วยเหลืออย่างนี้ และให้บอกพวกเขากำหนดต่อไป
โยคีรายงาน สงบ เป็นสุข และชัดเจนมาก ไม่มีอะไรที่จะกำหนด เหมือนจิตกำลังค้นหาบางสิ่งที่จะกำหนด เป็นอย่างนั้นเป็นเวลานาน ประมาณครึ่งชั่วโมง หรือประมาณ ๑ ชั่วโมง กำหนดไม่ได้และก็ไม่ได้กำหนดแต่อย่างใด แต่ถึงแม้ว่า ไม่ได้กำหนด จิตก็ไม่ถูกนำไป ไม่มีกิเลส เป็นราวกับว่า จิตที่กำหนดอยู่กลางสนามใหญ่ ชัดเจนมาก ว่างเปล่าและสะอาด รู้สึกดีเหมือนเคย เป็นสุขอย่างยิ่ง
ข้อสังเกต โยคีมีศรัทธาที่บริสุทธิ์และมีความสุข (สุขา) มีพลังมากเป็นเวลานาน จิตเหล่านั้นกำหนดไม่ได้เพราะเป็นกำลังของมรรคผล
ถึงแม้ว่าโยคีจะกำหนด วิปัสสนาญาณปัจจุบันก็เป็นเพียงแค่ อุทยัพภยญาณ เท่านั้น เนื่องจากวิปัสสนาญาณไม่แก่กล้าพอ โยคีจึงสามารถรู้แต่ละส่วนได้อย่างชัดเจน ดังนั้นไม่ต้องแนะนำให้โยคีกำหนดจิตชนิดนั้น บอกเขาให้กำหนดปกติอย่างต่อเนื่อง หลังจากจิตที่หยุดชะงัก (ศรัทธาบริสุทธิ์และสุขมีพลัง กำลังเกิดขึ้น) ได้หายไปเท่านั้น
โยคีรายงาน หลังจากการกำหนดหยุดชะงักลงแล้ว ก็ไม่รู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในใจ เหมือนว่ากำลังลอยอยู่บนน้ำ รู้สึกเป็นสุข ปลาบปลื้ม และสับสน กำหนดไม่ได้ โยคีที่มีการกำหนดถูกตัดออกไปและได้ถึงความสิ้นไปแห่งสังขาร ถูกบังคับให้รู้สึกเป็นสุขและตื่นเต้นเช่นนั้น เป็นเพราะกำลังแห่งศรัทธาที่ขั้นนั้น ระบุอย่างชัดเจนไม่ได้ว่า จิตชนิดไหนได้ก่อตัวขึ้น
ถ้าระบุถึงประสบการณ์ของโยคีไม่ได้ว่าเป็นลักษณะวิปัสสนาญาณใดโดยเฉพาะ กำลังแห่งความรู้สึกเป็นสุขและตื่นเต้นนี้มีพลังขึ้น ขณะที่กำลังแห่งศรัทธาของโยคีมีพลังมากเช่นนั้นแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนด ดังนั้นไม่ต้องแนะนำโยคีนั้นให้พยายามหนักขึ้นในการปฏิบัติ ถ้าท่านแนะนำก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี มีแต่จะทำให้โยคีเหนื่อยเท่านั้น ดังนั้นให้แนะนำโยคีให้กำหนดสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและถ้าโยคีปรารถนาจะหยุดการกำหนดแล้วก็ให้โยคีพักผ่อนเถิด หลังจาก๒๓ชั่วโมงหรือ๒๓วันแล้ว กำลังแห่งศรัทธาก็ลดลง จากนั้นให้บอกโยคีกำหนดอย่างขยันขันแข็งต่อไปเท่านั้น
นอกจากนี้ โยคีผู้ได้เข้าถึงภาวะแห่งโลกุตรธรรมแล้ว จะมีศรัทธาเต็มเปี่ยมและการกำหนดก็จะถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าโยคีได้รู้เกี่ยวกับธรรมที่เขาเพิ่งจะบรรลุ กรณีเช่นนั้นมันก็จะลำบากสำหรับพระวิปัสสนาจารย์ที่จะตัดสินว่า โยคีนั้นได้สำเร็จจริงๆ หรือไม่
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าพระวิปัสสนาจารย์มั่นใจแน่ว่า สิ่งที่โยคีได้เล่ามาคือมรรคจริงๆ พระวิปัสสนาจารย์ก็ไม่ควรพูดออกไป อย่าให้คำพูดเป็นนัยแก่โยคีนั้นว่า ท่านยินดีกับเขา เพียงบอกว่า สิ่งที่ได้เกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมชาติแท้จริงของสภาวธรรม เมื่อวิปัสสนาญาณของบุคคลเต็มรอบเต็มที่แล้ว ก็เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดที่ถูกตัดออกเช่นนี้ ตอนนี้ก็จะดีขึ้นที่จะกำหนดอย่างกระตือรือร้น
โยคีรายงาน ตอนนี้ การกำหนดเท่าทันดี และหลังจากชั่วครู่ ก็รวดเร็วมาก การกำหนดดีเป็นพิเศษและบ่อยครั้งที่รู้สึกเหมือนกับไม่รู้สึกตัว หลังจากนั้นการกำหนดของตนก็หยุดชะงักและหายไป
พระวิปัสสนาจารย์ให้การช่วยเหลือ
เป็นการดีที่จะปล่อยให้ความดับซึมเข้าไปในจิตใจบ่อยๆ ที่จริงแล้วท่านควรปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าถึงสภาวะนั้นบ่อยๆ ดีกว่าที่จะให้การชี้แนะแก่ท่าน หลังจากช่วงระยะของความไม่รู้สึกตัว ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ มันไม่ยากถ้าท่านปรารถนาให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ง่ายทีเดียวที่จะเปลี่ยน ตอนนี้ปล่อยให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ ให้กำหนดด้วยมีเป้าหมายที่จะเข้าถึงสภาวะแห่งความดับบ่อยๆ ข้าพเจ้าจะช่วยท่านเปลี่ยนสภาวะนั้น เมื่อถึงเวลาชี้แนะมากๆ ท่านก็จะยอดเยี่ยม
วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสภาวะแห่งความดับอย่างรวดเร็ว
ให้กำหนดเป็นปกติด้วยการอธิษฐานลงไปว่า ขอให้เข้าถึงสภาวะนี้ภายใน ๑ ชั่วโมง ไปสู่สภาวะที่ความต่อเนื่องของการกำหนดถูกตัดออกไป
ไม่มีความจำเป็นที่จะทำความปรารถนาอีก ที่จะเข้าถึงสภาวะนั้น ขณะที่ท่านกำลังปฏิบัติจริงๆ อย่าคิดถึงสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวกับความปรารถนาของท่านที่จะเข้าถึงสภาวะนั้น ให้กำหนดอย่างแน่วแน่ ท่านจะสามารถเข้าถึงได้ภายใน ๑ ชั่วโมง ๑๕ นาที ๑๐ นาที ๕ นาที หรือ ๑ นาที
เวลาในการเข้าถึงสภาวะนี้สั้นลงทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดท่านจะสามารถเข้าถึงด้วยกำหนด ๔ หรือ ๕ ครั้ง ถ้าหากโยคีผู้ที่ได้รับการชี้แนะเหล่านั้นแล้ว บอกว่า เขาได้เข้าถึงสภาวะนั้น ๒ หรือ ๓ ครั้ง ภายใน ๑ ชั่วโมงแล้ว ให้บอกโยคีนั้น ให้ปฏิบัติเพื่ออยู่สงบนิ่งในสภาวะที่ถูกตัดออกนั้นเป็นเวลานานๆ
สำหรับโยคีที่กำลังสมาธิและปัญญาน้อย ถึงแม้ว่าโยคีสามารถเข้าถึงขั้นนั้น เพียง ๓ หรือ ๔ ครั้ง ภายใน ๑ วันหรือ ๑ คืน ให้ชี้แนะโยคีนั้นให้ลองรักษาสภาวะนั้นไว้โดยการอยู่สงบนิ่งเป็นเวลานาน
วิธีทรงอยู่ในผลสมาบัติ
เมื่อท่านเข้าถึงสภาวะความดับ จงทำการอธิษฐานที่จะอยู่สงบนิ่งเป็นเวลา ๕ นาที และจากนั้นให้กำหนดต่อไปเป็นปกติ แต่ขณะการปฏิบัติต้องคาดหวัง, ปรารถนา หรือกังวลที่จะพักอยู่นานๆ ในสภาวะนั้น เฉพาะหลังจากที่ท่านอยู่สงบนิ่งและดับเป็นเวลา ๕ นาที ท่านควรเพิ่มความปรารถนาที่จะอยู่เป็นเวลา ๑๐ นาที, ๑๕ นาที ครึ่งชั่วโมง, ๑ ชั่วโมง เพิ่มเวลาอีกทีละนิดตามลำดับ ถ้าหากท่านปรารถนา ก็สามารถลองอยู่ในสภาวะนั้นเป็นเวลา ๓- ๕ ชั่วโมง
ความสามารถที่จะเข้าถึงสภาวะขั้นนั้นได้อย่างรวดเร็วภายใน๑๕ นาที หรือครึ่งชั่วโมง และความสามารถที่จะอยู่สงบนิ่งในสภาวะนั้นเป็นเวลานานๆ อาจสำเร็จได้เต็มเปี่ยมโดยที่โยคีมีสมาธิและปัญญาอันมีพลัง โยคีเหล่านั้นที่มีสมาธิและปัญญาน้อย ไม่สามารถสำเร็จเต็มขอบเขตได้ แต่ก็เป็นไปได้สำหรับโยคีเหล่านั้น ถ้าพวกเขาปฏิบัติเป็นเวลาหลายเดือนซ้ำๆ กัน ดังนั้นพระวิปัสสนาจารย์ควรตัดสินกำลังสมาธิและปัญญาของโยคีเป็นอันดับแรก จากนั้นพระวิปัสสนาจารย์ควรให้การชี้แนะที่เหมาะสมเท่านั้น
หลังจากทดสอบโยคีว่า โยคีสามารถเข้าถึงสภาวะความดับภายในเวลาที่กำหนดได้หรือไม่แล้ว และถ้าพระวิปัสสนาจารย์รู้สึกมั่นใจในโยคี ควรให้คำอธิบายในการก่อตัวขึ้นของวิปัสสนาญาณทั้ง ๑๖ ระดับทีละขั้น
หลังจากการได้ยินคำอธิบายนั้นแล้ว โยคีก็สามารถเปรียบเทียบเนื้อหาของคำอธิบายกับประสบการณ์ของพวกเขา และโยคีก็สามารถตัดสินระดับวิปัสสนาญาณของพวกเขาด้วยตนเองได้
ถ้าโยคียอมรับว่า ได้สำเร็จญาณทั้ง ๑๖ ระดับหมดแล้ว ประสบการณ์ของเขาก็ตรงกับญาณทั้งหมด โยคีสามารถพอใจและเข้าใจดีมาก จากนั้นโยคีควรได้รับคำสอนใน “ธรรมทาสสูตร” เกี่ยวกับกิเลสที่ประพฤติผิด ซึ่งควรสลัดออกไป และคุณความดีซึ่งควรทำให้บรรลุ โยคีควรได้รับการตักเตือนเกี่ยวกับการสร้างกิเลสขึ้นทางใจและทางกาย กิเลสก็ยังไม่ถูกสลัดออก มิเช่นนั้น เกียรติคุณก็ยังไม่ได้รับอย่างเต็มเปี่ยม
ในกรณีเช่นนั้น โยคีควรรู้ว่า ธรรมของเขาไม่เหมือนสิ่งที่ได้อธิบายไป โยคีไม่ได้เข้าถึงมรรค ผล ที่แท้จริง ดังนั้นพระวิปัสสนาจารย์ควรชี้แนะโยคีให้ทำสมาธิต่อไปจนกว่าได้เข้าถึงมรรค ผล
[pic]
การกำหนดพิเศษ
โดยปกติธรรมดาแล้วถ้าโยคีเป็นคนที่มีมารยาทหยาบคายทั้งการพูดและการกระทำ พระวิปัสสนาจารย์ไม่ควรให้คำสอนในการพัฒนาในความรู้แจ้ง (วัปสสนาญาณทั้ง ๑๖ ระดับ) ที่ขั้นนี้ ให้มองดูและตรวจดูมารยาทของเขาและพฤติกรรมของเขาเป็นเวลานาน ถ้าพระวิปัสสนาจารย์มั่นในว่าโยคีได้บรรลุวิปัสสนาญาณทั้งหมดจนสิ้น จากนั้นพระวิปัสสนาจารย์ควรให้คำสอนทันที หลังจากการปฏิบัติ ถ้าเลี่ยงไม่ได้และจำเป็นที่จะให้คำอธิบายในปัญญารู้แจ้งให้บอกโยคีถึงโสดาบัน ๓ ชนิด
พระโสดาบัน ๓ ชนิด
โยคีที่ยอมรับว่าเป็นโสดาบัน อาจจำแนกออกได้เป็นดังนี้
1) อธิมานิก โสดาบัน (บุคคลผู้คิดว่า เขา/เธอ ได้บรรลุความรู้
พิเศษบางอย่าง เมื่อไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
๒) อุลลปนาปปายโสดาบัน (โสดาบันเทียม / ปลอม)
๓) อริยโสดาบัน (โสดาบันแท้จริง)
1) ตนเองเข้าใจว่า ได้มรรคผลและเพราะได้ฟังเทศน์ลำดับญาณของพระวิปัสสนาจารย์ท่านหนึ่ง และตนเองก็ยอมรับว่าเป็นโสดาบัน โยคีนั้นชื่อว่า “อธิมานิกโสดาบัน”
2) อุลลปนาปปายโสดาบัน คือคนรู้เองว่าตนเองไม่ได้มรรคผล และได้ฟังลำดับญาณแล้วก็ตาม แต่ตนเองก็รับว่า ตรง ๆ เอาเอง เพราะตนเองมีพหุสูตร พูดอย่างนั้นเข้าใจว่าอาจารย์คงเชื่อจึงได้โอ้ดวด อย่างนี้เรียกว่า อุลลปนาปปายโสดาบัน ฯ
3) ประเภทที่ ๓ คือบุคคลผู้ได้เข้าถึงจริงๆ ซึ่งมรรค ผล อันแท้นี้คือ โสดาบันแท้ และจะไม่ประพฤติผิด
หลังจากอธิบายโสดาบัน ๓ ประเภท พระวิปัสสนาจารย์ควรประเมินระดับปัญญาของโยคี โดยตัดสินจากคำพูดของเขาเท่านั้น จากนั้นการตัดสินโยคีอาจจะมีความคล้ายคลึงกันบางอย่างที่อาจปรากฏเด่นชัดถึงลักษณะของโสดาบัน แต่ไม่เป็นจริงดังนั้น ฉะนั้นการตัดสินใจเด็ดขาดจึงทำไม่ได้
เมื่อกิเลสเกิดขึ้น ตรวจสอบดูว่าตนนั้นสามารถเป็นอิสระจากกิเลสที่อยู่ที่นั่นได้หรือไม่ ถ้าหากมั่นใจว่ากิเลสเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ก็มั่นใจได้ว่าตนเป็นโสดาบัน แต่ถ้ากิเลสที่ควรถูกละออกไปเกิดขึ้นอีก บุคคลนั้นก็ตัดสินได้ว่า ตนยังไม่ได้บรรลุโสดาบัน จากนั้นโยคีก็สามารถปฏิบัติต่อไป เพื่อให้ได้สำเร็จ มรรค ผล โดยเร็ว
ถ้าโยคีปฏิบัติได้มากกว่าหลายวัน อย่าได้อธิบายในลำดับญาณ ถึงแม้ว่าโยคีนั้นจะสามารถบรรลุถึงสภาวะแห่งมรรค ผล ได้ยาวนานและแน่นิ่ง ตามที่เขาปรารถนาแล้วก็ตาม ปล่อยให้โยคีได้ปฏิบัติต่อไปถึงขั้นที่๒
การแนะนำ สภาวะแห่งการกำหนดต่อเนื่อง เป็นผลของมรรคผลที่ได้แทงตลอด ด้วยการปฏิบัติก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าโยคีไม่ต้องการผลปัจจุบันนี้ และถ้าโยคีต้องการมรรคผลที่สูงกว่านี้ ให้อธิบายแก่โยคีว่า เขาควรสละผลปัจจุบันนี้ออกไป จงบอกโยคีให้ปฏิบัติด้วยการอธิษฐานนั้นเป็นเวลา ๑-๗ วัน หรือมากกว่าตามความปรารถนา
ตัวอย่าง ช่วงเวลาการอธิษฐาน ๓ วัน
อันดับแรก ให้ปฏิบัติจนเข้าถึงขั้นการกำหนดต่อเนื่องให้บ่อยๆ ถ้ามีตัวอย่างประมาณ ๓ - ๕ ตัวอย่างในการนั่งครั้งเดียว จากนั้นควรทำอธิษฐานว่า “ภายใน ๓ วัน ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเข้าถึง “มรรคผล” ที่ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเข้าถึง มรรคผลที่สูงกว่าที่ตนยังไม่ได้บรรลุมาก่อน” จากนั้น ให้กำหนดต่อไปเป็นปกติ ระหว่างการปฏิบัติ โยคีอาจคิดว่า “ก่อนหน้านี้ตนเคยเข้าถึงระดับขั้นที่การกำหนดถูกตัดออกไป ๔ ถึง ๑๐ ครั้ง ภายใน๑ชั่วโมง แต่ตอนนี้ เขาไม่อาจเข้าถึงได้แม้แต่ครั้งเดียว
ข้อสังเกต ถ้ากำลังแห่งปัญญาไม่มีกำลังพอ อาจจะเข้าถึงภายใน ๑ วันหรือ ๒ วันยังไม่ได้ เมื่อก่อน หลังการกำหนดประมาณ ๔ -๑๐ ครั้ง โยคีก็ได้เข้าถึงสภาวะสูงสุดแห่งสังขารุเปกขาญาณ เสมอ แต่ตอนนี้ถึงแม้หลังจาก ๑ -๒ วัน ไป ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงระดับนั้นได้ โยคีก็ต้องเพิ่มความเร็ว เริ่มจากระดับอุทยัพภยญาณ กำลังสุกงอมอย่างช้าๆ ตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้น โยคีต้องกำหนดในลักษณะสบายๆ และกำหนดอย่างหยาบๆ เหมือนในการปฏิบัติระดับต้นๆ การกำหนดบางครั้งก็ไม่เท่าทันกับสิ่งที่กำหนด บางทีใจของโยคีก็ล่องลอย อาจจะมีเวทนาเช่นความปวดได้ บางครั้งอาจจะมีแสงสว่างและการเห็นภาพต่างๆ ได้
ภายใน ๒ -๓ ชั่วโมงหรือ ๒ -๓ วันต่อมา โยคีก็จะสามารถเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ เหมือนก่อน ถ้าปัญญาไม่แก่กล้าพอ การพัฒนาของโยคีก็จะหยุดชะงักที่ขั้นนี้ จะไม่สามารถเข้าถึงระดับขั้นที่การกำหนดถูกตัดออกไปได้ เมื่อปัญญาแก่กล้าแล้วเท่านั้น โยคีจึงจะสามารถพบการกำหนดที่ว่องไวและพิเศษเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ หลังจากการกำหนดพิเศษจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเท่านั้น และโยคีก็จะเข้าถึงสภาวะของการกำหนดต่อเนื่องเหมือนก่อนหน้านี้
เมื่อโยคีได้รับคำชี้แนะให้ปฏิบัติด้วยการอธิษฐาน โยคีอาจจะไม่กลับไปเข้าถึงสภาวะแห่งการกำหนดต่อเนื่อง อารมณ์ที่ถูกกำหนดทั้งหลายอาจเกิดขึ้นหยาบๆและชัดเจนมาก ซึ่งโยคีอาจจะต้องกำหนดเป็นเวลานาน แต่เมื่อโยคีได้ทำการอธิษฐานที่จะย้อนไปเข้าถึงสภาวะต่อเนื่องที่ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว โยคีจะพบว่ามันง่ายมาก เมื่อพระวิปัสสนาจารย์ได้ฟังความจริงเหล่านี้แล้ว พระวิปัสสนาจารย์ก็สามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจนในสภาวะของโยคีได้ จากนั้นโยคีก็ควรได้รับอนุญาตให้ฟัง ลำดับญาณ หรืออีกอย่างเมื่อโยคีได้เข้าถึงระดับขั้นที่ ๒ แล้ว ก็ให้คำอธิบายในลำดับญาณ
“จบ อริยภูมิ”
ความรู้พิเศษสำหรับพระวิปัสสนาจารย์
คำกล่าวต่างๆ ของโยคีในหนังสือเล่มนี้ จัดทำขึ้นโดยโยคีประเภทที่ ๑ จากโยคี ๓ ประเภท ที่ได้อธิบายไว้แล้วในตอนต้น โยคีประเภทที่ ๑ สามารถอธิบายประสบการณ์ของตนได้อย่างชัดเจน เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ทุกอย่างที่โยคีประเภทแรกได้กล่าวไว้ บางส่วนเท่านั้นที่ได้แสดงไว้เพื่อให้แนวคิด มีคำอธิบายมากมายที่เหลือจากนี้ เนื่องจากความจำกัดของหนังสือ ดังนั้นในแต่ละระดับของญาณมีวิธีการอธิบายสภาวธรรมพิเศษที่ไม่ได้รวมไว้มากมาย ดังนั้นพระวิปัสสนาจารย์สามารถคาดคะเนระดับญาณของโยคีที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน และถามคำถามที่เหมาะสม
ถ้าจำเป็น
สรุป
โยคีที่ได้เข้าถึงระดับ “นามรูปปริจเฉทญาณ” ก็จะบอกกล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่โยคีได้กำหนด มีเพียงสิ่งที่กำหนดและจิตที่กำหนดเท่านั้น มีเพียง ๒ สิ่งนี้เท่านั้น
ที่ระดับ “ปัจจยปริคคหญาณ” แต่ละครั้งที่โยคีได้กำหนด โยคีสามารถรู้ว่ามีเพียงเหตุและผลเท่านั้น
ที่ระดับ “สัมมสนญาณ” แต่ละครั้งที่โยคีกำหนด โยคีสามารถเห็นสิ่งที่กำหนดได้อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด โยคียังสามารถพิจารณาว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับควบคุมไม่ได้
ที่ระดับ “อุทยัพพยญาณ” โยคีสามารถเห็นการเริ่มต้น และการสิ้นสุด การปรากฏขึ้นและการสูญไป การเกิดขึ้นและการดับไปของสิ่งทั้งปวง
ที่ระดับ “ภังคญาณ” โยคีสามารถเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่โยคีได้กำหนดสิ่งที่กำหนดและจิตที่กำหนดได้สิ้นไป ได้ดับไป และได้สูญไป เหมือนกับระดับที่สูงขึ้น
สำหรับการทดสอบโยคีประเภทที่ ๒ ผู้ที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างถูกต้อง พระวิปัสสนาจารย์ควรอ้างถึงคำกล่าวต่างๆ ของโยคีผู้ได้เข้าถึงระดับเฉพาะ และคำถามที่เชื่อมโยงกัน
สำหรับโยคีประเภทที่ ๓ ผู้ที่ไม่มีความสามารถที่จะอธิบายได้อย่างชัดเจน พระวิปัสสนาจารย์ควรถามคำถามละเอียด ในวิธีที่โยคีได้กำหนด แต่พระวิปัสสนาจารย์ไม่ควรปล่อยให้ลูกศิษย์รู้เกี่ยวกับสภาวธรรมที่ในญาณนั้นๆ ต้องให้โยคีเล่าเอง
ถ้าพระวิปัสสนาจารย์รู้สึกว่า มีความจริงบางประการปรากฏออกมา ให้ถามคำถามที่ให้โยคีรายงานได้๒แบบ คำถามตรงข้าม หรือคำถามธรรมดา พระวิปัสสนาจารย์ควรถามในทำนองนั้นที่โยคีไม่อาจเดาในสิ่งที่พระวิปัสสนาจารย์รู้ในใจของเขาได้ เมื่อพระวิปัสสนาจารย์ได้ถามคำถามนำบางอย่าง ถ้าพระวิปัสสนาจารย์คิดว่า โยคีนั้นเพียงลอกเลียนแบบ สิ่งที่พระวิปัสสนาจารย์ได้พูด ให้ถามวิธีอื่นแบบอ้อม โดยไม่ให้คำบอกใบ้ใดๆ ให้ถามคำถามผิดๆ ให้ดูเหมือนว่าเป็นคำถามที่ถูก ให้ถามถึงจุดต่างๆ ที่โยคีไม่สามารถรู้ได้
ที่ส่วนหลังของญาณระดับต่างๆ เป็นธรรมดาว่า สามารถมีช่วงระยะแน่นอนในการปฏิบัติที่เด่นชัด อย่างความปล่อยวางแห่งจิตที่สมดุล ขณะนั้นการกำหนดสบายเนื่องจากคุณภาพของการปล่อยวาง จากนั้นความเด่นชัดของความเพียรก็อาจล่าช้าลงได้ เมื่อกำลังแห่งความเพียรอ่อน กำลังแห่งสมาธิก็จะพัฒนามากกว่ากำลังแห่งความเพียร จากนั้นโยคีก็กำหนดต่อเป็นเวลานานๆ สิ่งที่ถูกกำหนดก็จะเล็กลงและเลือนรางลง ก็อาจจะมีความเกียจคร้านหรือเฉื่อยชา เนื่องจากความง่วงซึม โยคีก็สามารถพบความไม่รู้สึกตัวหรือสภาวะเลอะเลือน (ไม่ชัดเจน) ชั่วขณะ จากสภาวะไม่ชัดเจนชั่วขณะนั้น ทันใดนั้นโยคีก็นึกได้และกำหนด จากนั้นการกำหนดก็ชัดเจนและดีเช่นปกติ
นอกจากนั้น เมื่อวิปัสสนาญาณระดับ ๙ เช่น สัมมสนญาณ ได้สุกงอมเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ส่วนอุปกิเลส โยคีก็สามารถพบสภาวะที่คล้ายกับความไม่รู้สึกตัว สภาวะนี้เนื่องจากการก่อตัวของปีติที่มีกำลังมาก
จากสภาวะนั้น ทันทีโยคีก็นึกที่จะกำหนดขึ้นได้ การกำหนดก็เท่าทันเป็นปกติ
ในส่วนของอุปกิเลส โยคีก็สามารถอยู่ในการกำหนดที่เป็นอิสระ สภาวะที่สงบสุขเป็นเวลานานๆ เนื่องจากคุณของปีติ, ปัสสัทธิ (ความเยือกเย็น) อุเบกขา (ความวางเฉย) เมื่อโยคีนึกที่จะกำหนดได้ การกำหนดก็ดีเป็นปกติ
เพราะฉะนั้น พระวิปัสสนาจารย์ควรเอาใจใส่มากๆ ไม่ทำการตัดสินใจรีบร้อนในการกำหนดที่เป็นอิสระ สภาวะความดับเป็นมรรค ผล ให้จำไว้ว่า มีความเป็นไปได้ของสภาวะดับ เนื่องจากความง่วงซึม, ปีติ, ความเยือกเย็น และความวางเฉย อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ความดับชนิดนี้ อาจจำแนกได้เป็นประเภทที่ ๒ ของบุคคลผู้ทรงญาณ ๔ ประเภท
บุคคลผู้ทรงฌาณ ๔ ประเภท
บุคคลผู้ทรงฌาณมี ๔ ประเภทด้วยกัน บางคนที่อยู่ในสภาวะแห่งฌาน เชื่อและตัดสินใจว่า พวกเขาได้สำเร็จเต็มที่และดีมาก
ผู้ทรงฌาณประเภทแรก ได้บรรลุหรือเข้าถึงสมาบัติ แต่เขาไม่คิดว่าเขาสำเร็จเช่นนั้น สมาธิของผู้ทางฌานนั้นถูกต้อง ถึงกระนั้นเขาก็คิดว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น ผู้ทรงฌานเช่นนั้นสามารถระบุว่าเป็นบุคคลที่บรรลุฌาน แต่ไม่แทงตลอดทั้งหมด และไม่ทรงประสิทธิภาพมากนัก
บุคคลผู้ไม่มีชำนาญในองค์ฌาน จะทำผิดพลาดในฌานที่ได้บรรลุ เช่นความง่วงซึม จะไม่เป็นเฉพาะที่เริ่มต้นการเข้าฌานเท่านั้น แต่ยังเป็นฌานต่อๆ ไปเหมือนกันอีกด้วย
ผู้ทรงฌานบางท่านคิดว่า ฌานของพวกเขาดีในขณะที่ไม่ดีและยังไม่สำเร็จเต็มที่ บุคคลประเภทนี้คิดว่าเขากำลังปีติยินดีในสมาธิ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาคิดว่าสมาธิของเขาถูกต้อง เมื่อมันไม่ถูกต้อง บุคคลประเภทนั้นเรียกว่า บุคคลที่ทรงฌานอันง่วง ขณะที่เขากำลังทำสมาธิอย่างหมดใจนั้น เขาหลับไปและคิดว่าได้สำเร็จฌานที่ถูกต้องในการตื่นขึ้น
บุคคลที่ทรงฌานประเภทที่ ๓ ได้เข้าถึงฌานที่ดีจริงๆ และเขาเองก็รู้สิ่งนั้น
ผู้ทรงฌานบางประเภทมีประสบการณ์ที่ไม่ดีและเขาก็รู้ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี บุคคลนั้นไม่ได้เข้าถึงสมาบัติและก็รู้สิ่งนั้น
ความดับเนื่องจากความง่วงซึม ปีติ ความเยือกเย็น หรือความวางเฉย คือลักษณะของประสบการณ์ของผู้ทรงฌานประเภทที่ ๒ นี้ไม่ใช่ธรรมพิเศษเลย
[pic]
ความดับแห่งมรรค ผล
แตกต่างจากสิ่งที่กล่าวไว้เหล่านั้น ซึ่งอาจเข้าถึงได้โดย
1. การบรรลุที่วิปัสสนาญาณตามลำดับ
2. การก่อตัวพิเศษของวุฏฐานคามินี วิปัสสนา
3. ปรากฏปัจจเวกขณะ และเข้าถึงอุทัพภยญาณต่อไป
4. จิตที่บริสุทธิ์เป็นพิเศษ กระแสจิตสะอาด
5. การเข้าไปในสภาวธรรมขั้นนั้นซ้ำๆ
6. สามารถที่จะเข้าถึงสภาวะนั้นด้วยการอธิษฐานอย่างรวดเร็ว
7. สามารถที่จะอยู่ในสภาวะนั้นนานๆ ได้ตามที่อธิษฐาน
8. สภาวธรรมพิเศษที่สำเร็จ เมื่อได้สลัดธรรมที่ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว
พระวิปัสสนาจารย์ควรอ้างถึงลักษณะเหล่านี้ และทำการเปรียบเทียบซ้ำๆ ก่อนที่จะตัดสินใจแน่ชัด
วิธีการปฏิบัติกรรมฐานสำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙)
แต่งไว้ในปี พ.ศ.๒๔๙๙
โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์
อดีตพระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถร) เป็นผู้ตรวจแก้ดังนี้
๑. การเดินจงกรม สอนให้เดินจงกรม เช่น“ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” สอนวิธียืน วิธีกลับ
๒. การนั่งสมาธิ สอนวิธีนั่งสมาธิ เช่น เวลานั่ง ให้กำหนดท้องที่พองยุบ ว่า “พองหนอ ยุบหนอ” และสอนวิธีนอน
๓. การกำหนดเวทนา สอนให้กำหนดเวทนาต่าง ๆ เช่น เวลาเจ็บ ให้กำหนดว่า “เจ็บหนอ ๆ” เป็นต้น
๔. การกำหนดจิต สอนให้กำหนดจิตในเวลานึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เช่น เวลาคิดให้กำหนด “คิดหนอ ๆ” เป็นต้น
๕. การกำหนดตามทวาร สอนให้กำหนดตามทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ดังตัวอย่างเช่น
– เวลาเห็น ให้กำหนด “เห็นหนอ ๆ”
– เวลาได้ยิน ให้กำหนด “ได้ยินหนอ ๆ”
– เวลาได้กลิ่น ให้กำหนด “ได้กลิ่นหนอ ๆ”
– เวลาได้รส ให้กำหนด “รสหนอ ๆ”
– เวลาคิด ให้กำหนด “คิดหนอ ๆ”
๖. การกำหนดอิริยาบถย่อย สอนให้กำหนดอิริยาบถย่อย เช่น ก้าวไป ถอยหลับ เหลียวซ้าย แลขวา คู้ เหยียด พาดสังฆาฏิ ถือบาตร ห่มจีวร นุ่งผ้า กิน ดื่ม เคี้ยว ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เดิน ยืน นั่ง นอน หลับ ตื่น พูด นั่ง เป็นต้น
หมายเหตุ ในวันแรกนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์พิจารณาดูคนปฏิบัติก่อน ถ้าคนมีปริยัติน้อย หรือคนแก่ ให้สอนแต่เพียงเดินจงกรม นั่งกำหนดท้องพอง ยุบ กำหนดเวทนา และจิต เท่านี้ก็พอแล้วในวันต่อไป ในเวลาสอบอารมณ์จึงค่อยเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ๆ แม้คนหนึ่งหรือเด็กก็อนุโลมตามนี้
แบบฝึกหัดที่ ๑
๑. เวลานั่ง ให้กำหนดที่ท้อง ซึ่งพองขึ้นในเวลาหายเข้าและยุบลงในเวลาหายใจออกนึกอยู่ในใจว่า “พองหนอ ยุบหนอ” ตามจังหวะที่ท้องพองและยุบ
๒. เวลานอน ก็ให้กำหนดที่ท้องว่า “พองหนอ ยุบ” เช่นเดียวกัน
๓. เวลายืน ให้กำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ”
๔. เวลาเดินจงกรม ให้กำหนดระยะที่ ๑ “ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ” ตัวอย่างดังนี้
ขณะก้าวเท้าขวาให้กำหนดว่า “ขวาย่างหนอ” ขณะก้าวเท้าซ้ายให้กำหนดว่า “ซ้ายย่างหนอ” ตาเพ่งดูปลายเท้า เมื่อเดินไปจนสุดที่จงกรมจะกลับให้ยืนกำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ” จากนั้น เอี้ยวตัวกลับ ขณะเอี้ยวตัวกลับให้กำหนดว่า “กลับหนอ กลับหนอ” เมื่อกลับแล้วยืนอยู่ก็ให้กำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ” เมื่อเดินจงกรมต่อไปก็ให้กำหนดเหมือนเดิมอีก แต่ละแบบต้องทำให้ชำนาญคล่องแคล่วจนได้สมาธิดีก่อนแล้ว จึงทำแบบฝึกหัดต่อๆ ไป
แบบฝึกหัดที่ ๒
๑. เวลานั่ง ให้กำหนดเป็น ๓ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ”
๒. เวลานอน ให้กำหนดเป็น ๓ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ”
๓. เวลายืน ให้กำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ” เท่านั้น จนกว่าจะเดินหรือนั่ง
๔. เวลาเดินจงกรม ให้เพิ่มเป็น ๒ ระยะคือ เดินระยะที่ ๑ ประมาณ ๓๐ นาทีก่อน เพิ่มระยะที่ ๒ คือ “ยกหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๑ ชั่วโมง ดังตัวอย่าง
(๑) กำหนดเดินระยะที่ ๑ “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” ประมาณ ๓๐ นาที
(๒) กำหนดเดินระยะที่ ๒ “ยกหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๑ ชั่วโมง
แบบฝึกหัดที่ ๓
๑. เวลานั่ง ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” เพ่งใจตรงที่ถูกนั้นเป็นรูปวงกลมประมาณ
เท่าเหรียญ ๑ บาท ให้จิตจ่ออยู่ตรงนั้น
๒. เวลานอน ให้กำหนดเป็น ๓ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ”
๓. เวลายืน ให้กำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ” เท่านั้น จนกว่าจะเดินหรือนั่ง
๔. เดินจงกรม ให้เพิ่มระยะที่ ๓ “ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ให้เดินระยะที่ ๑ – ๒ ประมาณแบบล่ะ ๒๐ นานที แล้วให้เดินระยะที่ ๓ ประมาณ ๓๐ นาที ดังนี้
(๑) กำหนดระยะที่ ๑ “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๒) กำหนดระยะที่ ๒ “ยกหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๓) กำหนดระยะที่ ๓ “ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
แบบฝึกหัดที่ ๔
๑. เวลานั่ง ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ”เหมือนแบบฝึกหัดที่ ๓ แต่มีพิเศษออกไปอีกเฉพาะบทที่ว่า ถูกหนอ ๆ คือให้กำหนดซ้ำหลาย ๆ เที่ยว เช่น พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ ๆ
๒. เวลานอน ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ ถูกหนอ”
๓. เวลายืน ให้กำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ” เท่านั้น จนกว่าจะเดินหรือนั่ง
๔. เวลาเดินจงกรม ให้เพิ่มระยะที่ ๔ “ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ให้เดินระยะที่ ๑ – ๓ ก่อนประมาณแบบล่ะ ๒๐ นาที แล้วให้เดินระยะที่ ๔ ประมาณ ๓๐ นาที ดังนี้
(๑) กำหนดระยะที่ ๑ “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๒) กำหนดระยะที่ ๒ “ยกหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๓) กำหนดระยะที่ ๓ “ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๔) กำหนดระยะที่ ๔ “ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๓๐ นาที
แบบฝึกหัดที่ ๕
๑. เวลานั่ง ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” กายถูกที่ไหน ให้กำหนดที่นั่น ตัวอย่าง
(๑) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่ก้นกบซ้ายถูก
(๒) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่ก้นกบขวา
(๓) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่เข่าซ้าย
(๔) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่เข่าขวาถูก
(๕) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่ตาตุ่มซ้ายถูก
(๖) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่ตาตุ่มขวาถูก
๒. เวลานอน ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ ถูกหนอ”
๓. เวลายืน ให้กำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ” เท่านั้น จนกว่าจะเดินหรือนั่ง
๔. เวลาเดินจงกรม ให้เพิ่มระยะที่ ๕ “ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ”ให้เดินระยะที่ ๑-๔ ก่อนประมาณแบบละ ๒๐ นาที แล้วให้เดินระยะที่ ๕ ประมาณ ๒๐ นาที ดังนี้
(๑) กำหนดระยะที่ ๑ “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๒) กำหนดระยะที่ ๒ “ยกหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๓) กำหนดระยะที่ ๓ “ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๔) กำหนดระยะที่ ๔ “ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๒๐ นาที
(๕) กำหนดระยะที่ ๕ “ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ”ประมาณ ๒๐ นาที
แบบฝึกหัดที่ ๖
๑. เวลานั่ง ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” ให้กำหนดดังนี้ คือ
(๑) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่ก้นกบซ้ายถูก
(๒) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่ก้นกบขวาถูก
(๓) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่เข่าซ้ายถูก
(๔) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่เข่าขวาถูก
(๕) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่ตาตุ่มซ้ายถูก
(๖) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่ตาตุ่มขวาถูก
(๗) พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอที่จี้ไปตามตัวเป็นแห่ง ๆ ไป
๒. เวลานอน ให้กำหนดเป็น ๔ ระยะ คือ “พองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ ถูกหนอ”
๓. เวลายืน ให้กำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ” เท่านั้น จนกว่าจะเดินหรือนั่ง
๔. เวลาเดินจงกรม ให้เพิ่มระยะที่ ๖ “ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ” ให้เดินระยะที่ ๑-๕ ก่อน ดังนี้
(๑) กำหนดระยะที่ ๑ “ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ” ประมาณ ๕ นาที
(๒) กำหนดระยะที่ ๒ “ยกหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๕ นาที
(๓) กำหนดระยะที่ ๓ “ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๑๐ นาที
(๔) กำหนดระยะที่ ๔ “ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ” ประมาณ ๑๐ นาที
(๕) กำหนดระยะที่ ๕ “ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ”ประมาณ ๑๐ นาที
(๖) กำหนดระยะที่ ๖ “ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ”ประมาณ ๒๐ นาที
แบบฝึกหัดที่ ๗
๑. เมื่อเดินจงกรมไปสุดทางแล้ว หยุดยืนจะหันกลับเวลาหยุดให้กำหนดว่า “อยากหยุดหนอ อยากหยุดหนอ” เวลาจะกลับให้กำหนดว่า “อยากกลับหนอ อยากกลับหนอ” เวลากลับให้กำหนดว่า “กลับหนอ กลับหนอ” เวลายืนอยู่ให้กำหนดว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ” แล้วจึงเดินและกำหนดเหมือนอย่างที่กล่าวแล้วต่อไป
๒. เวลาจะเหลียวซ้ายแลขวาเป็นต้น ให้กำหนดว่า “อยากเหลียวหนอ” ขณะเหลียว
ให้กำหนดว่า “เหลียวหนอ”
๓. เวลาจะคู้ จะเหยียด ให้กำหนดว่า “อยากคู้หนอ อยากเหยียดหนอๆ”ขณะคู้เหยียดให้กำหนดว่า“คู้หนอๆ เหยียดหนอๆ”
๔. เวลาจะจับสิ่งของต่าง ๆ เช่น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม บาตร ถ้วย โถ จาน ชาม ให้กำหนดว่า “เห็นหนอ อยากจับหนอ” ขณะยื่นมือไปให้กำหนดว่า “ยื่นหนอ ๆ” ขณะจับให้กำหนดว่า “จับหนอ” ขณะจับของแล้วหยิบยกมา ให้กำหนดว่า “มาหนอ มาหนอ” เป็นต้น
๕. เวลาจะบริโภคอาหาร ดื่ม เคี้ยว รู้รส กลืน ให้กำหนดทำนองเดียวกัน ตัวอย่าง
– ขณะเห็นอาหาร ให้กำหนดว่า “เห็นหนอ ๆ”
– ขณะอยาก ให้กำหนดว่า “อยากหนอ ๆ”
– ขณะยื่นมือไป ให้กำหนดว่า “ไปหนอ ๆ”
– ขณะมือถูก ให้กำหนดว่า “ถูกหนอ ๆ”
– ขณะจับ ให้กำหนดว่า “จับหนอ ๆ”
– ขณะยกขึ้น ให้กำหนดว่า “ยกหนอ ๆ”
– ขณะอ้าปาก ให้กำหนดว่า “อ้าหนอ ๆ”
– ขณะถูกปาก ให้กำหนดว่า “ถูกหนอ ๆ”
– ขณะเคี้ยว ให้กำหนดว่า “เคี้ยวหนอ
– ขณะกลืน ให้กำหนดว่า “กลืนหนอ ๆ”
– ขณะหมด ให้กำหนดว่า “หมดหนอ ๆ”
๖. เวลาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ให้กำหนดว่า “อยากถ่ายหนอ” กำลังถ่าย ให้กำหนดว่า “ถ่ายหนอ ๆ”
๗. เวลาจะเดิน ยืน นั่ง จะหลับ ตื่น พูด นั่ง ให้กำหนดว่า “อยากเดินหนอ อยากยืนหนอ อยากนั่งหนอ อยากหลับหนอ ตื่นหนอ อยากพูดหนอ นิ่งหนอ”
แบบฝึกหัดที่ ๘
– ขณะเห็น ให้กำหนดว่า “เห็นหนอ ๆ”
– ขณะได้ยิน ให้กำหนดว่า “ได้ยินหนอ ๆ”
– ขณะได้กลิ่น ให้กำหนดว่า “ได้กลิ่นหนอ ๆ”
– ขณะได้ลิ้มรส ให้กำหนดว่า “รสหนอ ๆ”
– ขณะกายถูกต้อง ให้กำหนดว่า “ถูกหนอ ๆ”
– ขณะคิด ให้กำหนดว่า “คิดหนอ ๆ”
แบบฝึกหัดที่ ๙
๑. ขณะที่นั่งกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ” ถ้าทุกขเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ให้หยุดกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ” นั้นไว้ก่อน แล้วไปกำหนดทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นนั้น เช่น เจ็บหนอ เมื่อย เป็นต้น ให้กำหนดว่า “ปวดหนอ ๆ เหมื่อยหนอ ๆ เจ็บหนอ ๆ” ถ้าเวทนาแรงทนไม่ได้ ให้หยุดกำหนดเวลานั้นเสีย กลับไปกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ” ต่อ ถ้าเวทนายไม่หายจึงพลิกหรือเปลี่ยนอิริยาบถเสีย
๒. ถ้าความสบายเกิดขึ้น ให้กำหนดว่า “สบายหนอ สบายหนอ”
๓. เวลานอน เวลายืน ถ้าความสบายก็ดี ความไม่สบายก็ดี หรือความเฉย ๆ ก็ดี อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ให้กำหนดไปตามอย่างนั้นว่า “สบายหนอ ไม่สบายหนอ เฉย ๆ หนอ”
ถ้าเวทนาเกิดขึ้นในขณะเดินจงกรม ให้หยุดเดินก่อนแล้วให้กำหนดเวทนาตามนัยที่กล่าวมา
หมายเหตุ เวลานิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง มีแสงสว่างหรือรูปภูเขาเป็นต้นปรากฏทางใจ ให้กำหนดว่า “เห็นหนอ ๆ” จนกว่านิมิตนั้นจะหายไป
แบบฝึกหัดที่ ๑๐
๑. ถ้าเกิดความอยากได้อะไรขึ้น ให้กำหนดว่า “อยากได้หนอ ๆ” หรือว่า “โลภะหนอ ๆ”
๒. ถ้าระหว่างที่นั่ง หรือนอนเกิดความไม่ชอบขึ้น อยากจะลุกขึ้นก็ดี หรือเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่ชอบใจก็ดี ให้กำหนดว่า “ไม่ชอบหนอ ๆ” หรือ “โทสะหนอ ๆ”
๓. ถ้าง่วงนอน ให้กำหนดว่า “ง่วงหนอ ๆ”
๔. ถ้าจิตฟุ้งซ่าน ให้กำหนดว่า “ฟุ้งหนอ ๆ”
๕. ถ้าสงสัย ให้กำหนดว่า “สงสัยหนอ ๆ”
๖. ถ้าความโลภ ความโกรธ ความฟุ้งซ่าน หรือความสงสัย เป็นต้น จางหายไป ก็ให้กำหนดรู้เช่นกัน
๗. เวลาเดินจงกรม ถ้าจิตเกิดฟุ้งขึ้นมา ให้หยุดเดินแล้วกำหนดว่า “ฟุ้งหนอ ๆ” เมื่อความฟุ้งนั้นหายไป จึงเดินจงกรมต่อไป
แบบฝึกหัดที่ ๑๑
๑. ถ้าจิตพอใจต่อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พึงรู้ว่า เป็นความยินดีของกามคุณทั้ง ๕ ให้กำหนดว่า “ยินดีหนอ ๆ”
๒. เมื่อจิตคิดเบียดเบียนเกิดขึ้น พึงรู้ว่าเป็นโทสะ หรือพยาบาท ให้กำหนดว่า“โทสะหนอ ๆ” หรือ “พยาบาทหนอ ๆ”
๓. เมื่อจิตง่วงเหงาหดหู่ พึงรู้ว่าเป็นถีนมิทธะ ให้กำหนดว่า “ง่วงหนอ ๆ”
๔. ถ้าจิตฟุ้งซ่าน รำคาญ เสียใจ พึงรู้ว่าเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ ให้กำหนดว่า “ฟุ้งหนอ ๆ”
๕. เมื่อความสงสัยในรูปนาม ปรมัตถ์ บัญญัติ เกิดขึ้น พึงรู้ว่าเป็นวิจิกิจฉา ให้กำหนดว่า “สงสัยหนอ ๆ”
แบบฝึกหัดที่ ๑๒
๑. เวลานั่ง ให้กำหนดว่า “อยากนั่งหนอ ๆ” แล้วจึงค่อย ๆ ย่อตัวลงเป็นระยะ ๆ พร้อมกับกำหนดว่า “นั่งหนอ ๆ” จนกว่าจะถึงพื้น กำหนดให้ได้ประมาณ ๘-๑๐ ระยะ
๒. เมื่อกำหนด พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ แล้วเกิดอาการคันขึ้น ให้กำหนดว่า “คันหนอ ๆ” เมื่อกำหนดแล้วยังไม่หายคัน อยากจะเกาให้กำหนดว่า “อยากเกาหนอ” เวลามือเคลื่อนไปจะเกาให้กำหนดตามไปเป็นระยะ ๆ ว่า “ไปหนอ ๆ” เวลามือถูก ให้กำหนดว่า “ถูกหนอๆ” ขณะเกาให้กำหนดว่า “เกาหนอๆ” เมื่ออาการคันนั้นหายไปให้กำหนดว่า “หายหนอ ๆ” เมื่อจะเอามือลงให้กำหนดเป็นระยะๆ ว่า “ลงหนอ ๆ” จนกว่าจะวางมือแล้วตั้งต้นกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” ต่อไป
แบบฝึกหัดที่ ๑๓
วันที่ ๑
๑.ให้ตั้งใจอธิษฐานว่า ถ้าธรรมวิเศษได้เกิดขึ้นในขันธสันดานแล้วขออย่าให้เกิดอีกถ้าธรรมวิเศษยังไม่เกิดขึ้นขอให้เกิดขึ้น คือให้ได้เห็นธรรมวิเศษภายใน ๒๔ ชั่วโมงนี้ จะเริ่มตั้งใจอธิฐานเวลาใดก็ได้แต่ต้องให้ถึง ๒๔ ชั่วโมง
๒. เมื่อตั้งใจอธิฐานแล้วให้เดินจงกรมก่อนแล้วนั่งกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” เหมือนที่อธิบายมาแล้วทำสลับกันไปจนถึง ๒๔ ชั่วโมง
วันที่ ๒
เดินจงกรมแล้ว อธิฐานว่า “ภายใน ๒๔ ชั่วโมงขอให้เกิดความเกิดดับขึ้นให้มาก” แล้วกำหนดพองยุบต่อไป
แบบฝึกหัดที่ ๑๔
๑. ให้เดินจงกรมก่อน แล้วปฏิบัติต่อไป
๑.๑. ให้อธิฐานคราวล่ะ ๑ ชั่วโมงว่า ขอให้อาการเกิดดับจงปรากฏขึ้นหลายๆ ครั้ง อย่างต่ำที่สุดหนึ่งชั่วโมงต่อ ๕ ครั้ง
๑.๒. ถ้าภายใน ๑ ชั่วโมง อาการเกิดดับนั้นยังไม่ปรากฏได้ชัดแจ้งและถี่ขึ้น อย่างต่ำ ๑ ชั่วโมง ๕ ครั้ง อย่างสูง ๑ ชั่วโมง ต่อ ๖๕ ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ให้ลดเวลาอธิฐานลงเพียง ๓๐ นาที คือให้อธิษฐานว่าภายใน ๓๐ นาทีนี้ ขอให้อาการเกิดดับนั้นปรากฎขึ้นหลาย ๆ ครั้ง
๑.๓.ให้อธิฐานโดยทำนองนั้น แล้วลดไปจนถึง ๑๕ ๑๐ ๕ นาที ภายใน ๕ นาที อาการเกิดดับ อาจจะปรากฏขึ้นถึง ๖ ครั้ง หรือ ๑ ครั้งเป็นอย่างต่ำ
๒. นั่งสมาธิให้ได้ ๑ ชั่วโมง จึงค่อยเปลี่ยนอิริยาบถอื่น
๓. ให้ทำสลับกันไปอย่างนี้ จนครบ ๒๔ ชั่วโมง
แบบฝึกหัดที่ ๑๕
๑. ให้เดินจงกรมก่อน แล้วนั่งอธิฐานว่า ขอให้ได้สมาธิแน่นิ่งไปถึง ๕ นาที แล้วกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จิตจดจ่ออยู่กับอารมณ์ แล้วดับนั่งไปได้จนครบ ๕ นาที จึงจะเป็นอันถูกต้อง ถ้าตรวจดูนาฬิกาเห็นว่า ยังไม่ถึงให้พยายามทำจนถึง ๕ นาที ถ้าเกินไปยิ่งไป
๒. ให้อธิฐานให้ได้สมาธิแน่นิ่งไปถึง ๑๐ นาที ถ้ายังไม่ได้ ให้พยายามทำจนได้อย่างชำนาญแล้วจึงฝึกทำต่อไปทีละขั้น ๆ ดังนี้ คือ ๑๕ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที ๑ ชั่วโมง ๑ ชั่วโมงกับ ๓๐ นาที ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง ตามลำดับถึง ๒๔ ชั่วโมง
๓. การคำนวณนาทีหรือชั่วโมงนั้น ให้ตั้งตนแต่ขณะที่แน่นิ่งไป ขณะที่แน่นิ่งไปนั้น จะไม่รู้สึกสัมผัสใด ๆ เหมือนหลับแต่ไม่ใช่หลับ เมื่อถึงกำหนดที่อธิษฐานไว้ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เหมือนตื่นแต่ไม่ใช่ตื่น
แบบฝึกหัดที่ ๑๖
สำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนาดีแล้ว ประสงค์จะเป็นครูสอนต่อไป พึงฝึกหัดปฏิบัติพิเศษ ดังนี้
ครั้งที่ ๑ ให้ทำ ๑ วัน
๑. ให้เดินจงกรมก่อน แล้วจึงนั่งเข้าที่ แล้วอธิษฐานว่า ภายใน ๑ ชั่วโมงนี้ ขอให้รูปนามที่เกิดดับปรากฏชัด แล้วกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จนครบ ๑ ชั่วโมง เมื่อกำหนดอยู่อย่างนี้จะเห็นอาการเกิดดับของรูปนามชัดขึ้นกว่าแต่ก่อนนี้เรียกว่า อุทยัพพยญาณ
๒. ในชั่วโมงที่ ๒ ให้อธิฐานว่า ภายใน ๑ ชั่วโมง ขอให้เห็นแต่รูปนามที่ดับไป ๆ แล้วกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จนครบ ๑ ชั่วโมง เมื่อกำหนดอยู่อย่างนี้ จักเห็นแต่ความดับของรูปนามอย่างเดียว คือ อาการดับของรูปนาม จะปรากฏชัดแจ่มแจ้งกว่าแต่ก่อนนี้ เรียกว่า ภังคญาณ
ครั้งที่ ๒ ให้ทำ ๑ วัน
๑. ให้เดินจงกรมก่อน แล้วจึงนั่งเข้าที่ แล้วอธิษฐานว่า ภายใน ๑ ชั่วโมงนี้ ขอให้ภยญาณเกิดขึ้น แล้วกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จนครบ ๑ ชั่วโมง ในขณะที่กำหนดอยู่อย่างนี้จะมีอาการเกิดความกลัวขึ้น นี้เรียกว่า ภยญาณ
๒. ในชั่วโมงที่ ๒ ให้อธิฐานว่า ภายใน ๑ ชั่วโมง ขอให้อาทีนวญาณเกิดขึ้น แล้วกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จนครบ ๑ ชั่วโมง ในขณะที่นั่งกำหนดอยู่นี้จะเห็นโทษของรูปนามนานาประการ เช่น เจ็บ ปวด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นต้น นี้เรียกว่า อาทีนวญาณ
๓. ในชั่วโมงที่ ๓ ให้อธิฐานว่า ภายใน ๑ ชั่วโมง ขอให้นิพพาญาณเกิดขึ้น แล้วกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จนครบ ๑ ชั่วโมง ในขณะที่นั่งกำหนดอยู่นี้จะเกิดความเบื่อหน่ายเกิดขึ้น คือจะเห็นรูปนามนี้เต็มไปด้วยของปฏิกูลน่าเกลียด มีแต่ทุกข์ มีแต่โทษ ไม่น่ายินดี น่าเบื่อหน่าย เป็นต้น นี้เรียกว่า นิพพิทาญาณ
ครั้งที่ ๓ ให้ทำ ๑ วัน
๑. ให้เดินจงกรมก่อน แล้วจึงนั่งเข้าที่ แล้วอธิษฐานว่า ภายใน ๑ ชั่วโมงนี้ ขอให้ มุญจิตุกัมยตาญาณเกิดขึ้น แล้วกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จนกว่าจะครบ ๑ ชั่วโมง ในขณะที่กำหนดอยู่อย่างนี้จะมีอาการอยากหนี อยากพ้น เกิดขึ้นโดยลำดับ นี้เรียกว่า มุญจิตุกัมยตาญาณ
๒. ในชั่วโมงที่ ๒ ให้อธิฐานว่า ภายใน ๑ ชั่วโมงนี้ ขอให้ปฏิสังขาญาณเกิดขึ้น แล้วให้กำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จนครบ ๑ ชั่วโมง ในขณะที่นั่งกำหนดอยู่นี้จะมีการพยายามทำความเพียรหาทางหนีทางพ้นเกิดขึ้นโดยลำดับ นี้เรียกว่า ปฏิสังขาญาณ
๓. ในชั่วโมงที่ ๓ ให้อธิฐานว่า ภายใน ๑ ชั่วโมงนี้ สังขารุเปกขาญาณเกิดขึ้น แล้วกำหนดว่า “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ” จนครบ ๑ ชั่วโมง ในขณะที่นั่งกำหนดอยู่นี้จะมีอาการวางเฉยในรูปนาม นี้เรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ
จากแบบฝึกหัด การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาทั้ง ๑๖ บทนั้น เป็นหลักการที่พระวิปัสสนาจารย์สำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ รุ่นบุกเบิกได้จัดวิธีการปฏิบัติไว้แบบกว้างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งพระวิปัสสนาจารย์รุ่งหลังสามารถจัดการฝึกปฏิบัติตามบทเรียนที่กล่าวมา ตามความเหมาะสมได้ แต่พระวิปัสสนาจารย์นั้นต้องเป็นบุคคลที่เคยผ่านการปฏิบัติวิปัสสนามาแล้ว และผ่านการฝึกอบรมวิชาครูด้านวิปัสสนาแล้ว ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถจัดการเรียน การปฏิบัติให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพได้ ดังนั้น การปฏิบัติวิปัสสนาในแบบพองหนอ ยุบหนอนี้สำคัญที่ “ครูฝึกผู้เป็นกัลยาณมิตร”
พุทธวจนสุภาษิต
นตฺถิ ปญฺาสมา อาภา.
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี.
สํ.ส. ๑๕/๙.
ปญฺา โลกสฺมิ ปชฺโชโต.
ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก .
สํ.ส. ๑๕/๖๑.
โยคา เว ชายตี ภูริ.
ปัญญาย่อมเกิดเพราะความประกอบ .
ขุ.ธ. ๒๕/๕๒.
อโยคา ภูริสงฺขโย.
ความสิ้นปัญญาย่อมเกิดเพราะความไม่ประกอบ .
ขุ.ธ. ๒๕/๕๒.
สุโข ปญฺปฏิลาโภ.
ความได้ปัญญา ให้เกิดสุข.
ขุ.ธ. ๒๕/๕๙.
ปญฺา นรานํ รตนํ.
ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน .
สํ.ส. ๑๕/๕๐.
ปญฺาว ธเนน เสยฺโย.
ปัญญาเทียวประเสริฐกว่าทรัพย์.
ม.ม. ๑๓/๔๑๓. ขุ.เถร. ๒๖/๓๗๙.
นตฺถิ ฌานํ อปญฺสฺส.
ความพินิจไม่มีแก่คนไร้ปัญญา .
ขุ.ธ. ๒๕/๖๕.
ปญฺา นตฺถิ อฌายโต.
ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ .
ขุ.ธ. ๒๕/๖๕.
ปญฺาย มคฺคํ อลโส น วินฺทติ.
คนเกียจคร้านย่อมไม่พบทางด้วยปัญญา .
ขุ.ธ. ๒๕/๕๒.
สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ อปฺปมตฺโต วิจกฺขโณ.
ผู้ไม่ประมาท พินิจพิจารณา ตั้งใจฟัง ย่อมได้ปัญญา.
สํ.ส. ๑๕/๓๑๖. ขุ.สุ. ๒๕/๓๖๑.
ปญฺายตฺถํ วิสฺสติ.
คนย่อมเห็นเนื้อความด้วยปัญญา .
องฺ.สตฺตก. ๒๓/๓.
ปญฺาย ปริสุชฺฌติ.
คนย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา.
ขุ.สุ. ๒๕/๓๖๑.
ปญฺา หิ เสฏฺา กุสลา วทนฺติ.
คนฉลาดกล่าวว่าปัญญาแล ประเสริฐสุด.
ขุ.ชา.สตฺตก. ๒๗/๕๔๑.
ปญฺาชิวีชีวิตมาหุ เสฏฺฐํ
ปราชญ์กล่าวชีวิตของผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่า ประเสริฐสุด.
สํ.ส. ๑๕/๕๘, ๓๑๕. ขุ.สุ. ๒๕/๓๖๐.
เอโกว เสยฺโย ปุริโส สปญฺโ โย ภาสิตสฺส วิชานาติ อตฺถิ.
ผู้มีปัญญารู้เนื้อความแห่งภาษิตคนเดียวเท่านั้น ประเสริฐกว่า.
ขุ.ชา.เอก. ๒๗/ ๓๒.
พหูนํ วต อตฺถาย สปฺปญฺโ ฆรมาวสํ.
ผู้มีปัญญาอยู่ครองเรือน เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนมาก.
องฺ.อฏฺฐก. ๒๓/๒๔๙.
สากจฺฉาย ปญฺญา เวทิตพฺพา.
ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา .
นัย ขุ.อุ. ๒๕/๑๗๘.
ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ.
ปัญญาย่อมเจริญด้วยประการใด ควรตั้งตนไว้ด้วยประการนั้น.
ขุ.ธ. ๒๕/๕๒.
ปญฺญํ นปฺปมชฺเชยฺย.
ไม่ควรประมาทปัญญา .
ม.อุป. ๑๔/๔๓๖.
-----------------------
หน้าที่ครูอาจารย์
ช่วยอบรม ฝึกหัด ดัดนิสัย
ให้ตั้งใจ น้อมนึก การศึกษา
ไม่ปิดบัง บอกสิ้น ในศิลปา
ยกย่องว่า มีอย่างไร ในความดี
คอยชี้ช่อง ป้องกัน สั่งสอนศิษย์
เหมือนกับมิตร ช่วยแนะนำ คอยสั่งสอน
ให้รู้จัก ปฏิบัติธรรม ตามครรลอง
เจริญจิต ในทำนอง วิปัสสนา
โคจเร ภิกฺขเว จรถ สเก เปตฺติเก วิสเย. โคจเร ภิกฺขเว
จรตํ สเก เปตฺติเก วิสเย น ลจฺฉติ มาโร โอตารํ , น ลจฺฉติ
มาโร อารมฺมณํ โก จ ภิกฺขเว ภิกฺขุโน โคจโร สโก เปตฺติโก
วิสโย. ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺานา.
ขุ.ธ. ๒๕. ๑๘๘-๘๙. ๖๖
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปในโคจรอันเป็นมรดกแห่งบิดาของตน เมื่อพวกเธอเที่ยวไปในโคจรอันเป็นมรดกแห่งบิดาของตน มารจักไม่ได้ช่อง ไม่ได้โอกาส โคจรอันเป็นมรดกแห่งบิดาของตน คือ สติปัฏฐาน ๔ ”
ปเร สนฺทิฏฺปรามาสี อาธานคฺคาหี
ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี ภวิสฺสนฺติ.
มยเมตฺถ อสนฺทิฏฺปรามาสี อนาธานคฺคาหี
สุปฺปฏินิสฺสคฺคี ภวิสฺสามาติ สลฺเลโข กรณีโย.
วิสุทฺธิ. ๑.๓๙
“เธอทั้งหลายพึงขัดเกลาตนในข้อนี้ว่า
ชนเหล่าอื่นแม้จักเป็นคนยึดมั่นความเห็นของตน
ยึดถืออย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยยาก
แต่พวกเราจักไม่เป็นผู้ยึดมั่นความเห็นของตน
ไม่ยึดถืออย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยง่าย ”
องค์คุณ ๕ ประการ (ปธานิยงฺค) ของนักปฏิบัติ
จะต้องปฏิบัติ วิปัสสนา ได้ผลดี
ย่อมต้องมี องค์คุณห้า มาเกื้อผล
มีศรัทธา เชื่อปัญญา พระทศพล
ทรงชี้ทาง มรรคผล ให้มั่นใจ
มีโรคน้อย กระเพาะย่อย เป็นปรกติ
ไม่อวดอุตริ ไร้มายา พาเฉไฉ
ลงมือทำ ความเพียร อย่างมั่นใจ
ปัญญาเห็น เกิด-ดับได้ ปรมัตถ์ธรรม
วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ (ผู้ไหว้ย่อมได้รับไหว้ตอบ)
ผู้ไหว้ ย่อมได้รับ การไหว้ตอบ
ตามระบอบ ที่เราทำ ผลกรรมนั้น
เช่นปลูกกล้วย ได้กล้วย เป็นด้วยพันธุ์
รสจะมัน หรือหวาน เพราะพันธุ์เดิม
“เมื่อบุคคลเห็นรูปแล้วใส่ใจถึงรูปนิมิตที่น่ารัก สติหลงไปแล้ว เขามีจิตกำหนัดเสวยอารมณ์นั้น ทั้งมีความติดใจในอารมณ์นั้นอยู่ เวทนาอันเกิดจากรูป ความละโมบ และความประทุษร้าย ย่อมทวีขึ้นเป็นอันมากจิตของเขาย่อมถูกรบกวนให้เร่าร้อน เมื่อเขาสั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ บัณฑิต กล่าวว่าอยู่ห่างไกลนิพพาน ”
สํ. สฬา. ๑๘. ๙๕. ๗๑
โยคา เว ชายเต ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย
เอตํ เทฺวธา ปถํ ตฺวา ภวาย วิภวาย จ
ตถาตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ.
ขุ. ธ. ๒๕. ๒๘๒. ๖๕
“ ปัญญาเกิดมีได้ เพราะความเพียร เสื่อมไปเพราะไม่พากเพียร
เมื่อรู้ทางเจริญและทางเสื่อมของปัญญาแล้ว ควรทำตนให้ดำรง
อยู่โดยวิถีทางที่ปัญญาจะเจริญ ”
คฤหบดี ร่างกายนี้มีสภาพกระสับกระส่าย ถูกหนังห่อหุ้มไว้เหมือนฟองไข่ เพราะบุคคลใดรักษาร่างกายนี้อยู่ ถึงรับรองว่าร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีโรคแม้เพียงชั่วครู่
เว้นจากความเป็นคนเขลาแล้ว จะมีสาเหตุอื่นอะไรเล่า คฤหบดี เพราะเหตุนั้น เธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บอยู่ แต่ใจของเราจะไม่เจ็บตามไปด้วย ดูกรคฤหบดี เธอพึงสำเหนียกอย่างนี้
ส.ข. ๑๗/๑/๑
อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ
ยทตีตํ ปหีนํ ตํ อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ
ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ
อสํหิรํ อสํกุปฺปํ ตํ วิทฺธา มนุพฺรูหเย
ม. อุ. ๑๔. ๒๗๒. ๒๔๑
“ อดีตดับไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง จึงไม่ควรคำนึงถึงอดีต ไม่มุ่งหวังอนาคต พึงเจริญวิปัสสนาญาณให้รู้แจ้งสภาวธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ อันตัณหาทิฏฐิไม่อาจฉุดรั้ง และทำให้วิบัติได้ ”
ตสฺมาติห พาหิย เอวํ สิกฺขิตพฺพํ. ทิฏฺเ ทิฏฺมตฺตํ
ภวิสฺสติ , สุเต สุตมตฺตํ ภวิสฺสติ , มุเต มุตมตฺตํ ภวิสฺสติ ,
วิาเต วิญฺาตมตฺตํ ภวิสฺสติ. เอวญฺหิ เต พาหิย
สิกฺขิตพฺพํ.
ขุ.อุ. ๒๕. ๑๐. ๑๐๑
“ ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นเพียงแต่เห็น เมื่อได้ยิน จักเป็นเพียงแต่ได้ยิน เมื่อรู้อารมณ์ทางจมูก ลิ้น กาย จักเป็นเพียงแต่รู้อารมณ์ทางจมูก ลิ้น กาย เมื่อรู้อารมณ์ทางใจ จักเป็นเพียงแต่รู้อารมณ์ทางใจ พาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ ”
โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ.
ขุ.ธ. ๒๕/๑๑๓/๓๗
“ ผู้หยั่งเห็นความเกิดดับแห่งสังขาร
มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ประเสริฐกว่า
ชีวิตตั้งร้อยปีของผู้ไม่หยั่งเห็น ”
โยคา เว ชายเต ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย
เอตํ เทฺวธา ปถํ ตฺวา ภวาย วิภวาย จ
ตถาตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ.
ขุ.ธ. ๒๕/๒๘๒/๖๕
“ปัญญาเกิดมีได้ เพราะความเพียร เสื่อมไปเพราะไม่พากเพียร
เมื่อรู้ทางเจริญและทางเสื่อมของปัญญาแล้ว ควรทำตนให้ดำรงอยู่โดยวิถีทางที่ปัญญาจะเจริญ ”
ขอสรรพสัตว์ ทั้งปวง ได้รับสุข
ปราศจากทุกข์ กายใจ ภัยทั้งผอง
สมสำเร็จ สิ่งมุ่งหวัง ตั้งใจปอง
ในทุกห้อง ที่สถาน กาลเวลา
ขอสรรพสัตว์ ทั้งหลาย ได้พร้อมพรั่ง
บริบูรณ์ พูนประดัง ทรัพย์มากหลาย
ได้กอร์ปก่อ ทาน ศีล ภาวนา สะดวกสบาย
ถึงนิพพาน สมหมาย ด้วยวิปัสสนา
น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปิตา นปิ พนฺธวา
อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส นตฺถิ าตีสุ ตาณตา
เอตมตฺถวสํ ตฺวา ปณฺฑิโต สีลสํวุโต
นิพฺพานคมนํ มคฺคํ ขิปฺปเมว วิโสธเย
ขุ.ธ. ๒๕. ๑๘๘-๘๙. ๖๖
“ บุตรก็ป้องกันไม่ได้ บิดา หรือญาติก็ป้องกันไม่ได้ คนเราเมื่อถึงคราวจะตาย หมู่ญาติก็ป้องกันไม่ได้ เมื่อรู้ความจริงข้อนี้แล้ว คนฉลาดผู้สำรวมในศีลควรรีบชำระทางไปสู่พระนิพพานโดยพลัน ”