ปัจจยปริคคหญาณ
(ปัญญาแยกเหตุและปัจจัย)
โยคีที่มีความรู้ระดับนี้อาจจะพูดดังนี้
โยคีรายงาน ขณะที่กำลังกำหนดอาการพอง อาการยุบ การนั่งอยู่นั้น ก็มีอารมณ์กรรมฐานให้กำหนดอยู่เสมอ ไม่ต้องพยายามที่จะต้องกำหนดเลย มีอารมณ์เกิดขึ้นให้กำหนดอย่างต่อเนื่อง และตนก็กำหนดตามสภาวธรรมที่ปรากฏ
ข้อสังเกต ในที่นี้ อารมณ์ต่างๆ เป็นเหตุ และการกำหนดเป็นผล
โยคีรายงาน เห็นนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และได้กำหนดทุกครั้งที่นิมิตปรากฏ การกำหนดอารมณ์ยังไม่ทันดับไป ก็มีอารมณ์อื่นปรากฏเกิดขึ้น และตนก็กำหนดอารมณ์อื่นที่เข้ามานั้นต่อไป
ข้อสังเกต ที่โยคีกล่าวอย่างนี้เป็นเพราะจิตเป็นเหตุ การกำหนดเป็นผล ต่อมาก็ให้อธิบาย ความสัมพันธ์ของอารมณ์ที่ถูกกำหนดและการกำหนด พร้อมอธิบายวิธีการที่โยคีจะสามารถพอใจกับความรู้ที่เกิดขึ้นนั้นได้
โยคีรายงาน ขณะที่กำลังกำหนดความปวด การคันอยู่ และก่อนที่จะเวทนานั้นจะดับไป ก็มีเวทนาอันอื่นเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็กำหนดเวทนาที่ปรากฏขึ้นทุกครั้ง
โยคีรายงาน คิดว่า ช่างโชคร้ายที่มีเวทนามาก
ข้อสังเกต พระวิปัสสนาจารย์ควรเข้าใจว่า ที่โยคีคิดอย่างนั้น เนื่องจากเวทนานั้นเกิดจากกรรม ตัณหา อุปาทาน
โยคีรายงาน เมื่อกำหนดอาการพองและอาการยุบ อารมณ์ที่ถูกกำหนดและการกำหนดเกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อกำหนด “พองหนอ พองหนอ” “ยุบหนอ ยุบหนอ” การกำหนดมุ่งที่อารมณ์กรรมฐานโดยตรง อาการท้องพอง ท้องยุบที่กำหนด ปรากฏชัดเจน เมื่อก่อนการกำหนดไม่ดีเหมือนตอนนี้ เพราะสิ่งที่ถูกกำหนดและการกำหนดเกิดขึ้นพร้อมเพรียงกัน
โยคีรายงาน คิดว่า โชคดีเหลือเกินที่รู้เห็นสภาวธรรมเหล่านี้ และได้พบพระวิปัสสนาจารย์ดีๆ ข้าพเจ้าซาบซึ้งถึงบุญคุณต่อผู้ที่ช่วยให้ตนได้มาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ทำให้ได้พบกับพระวิปัสสนาจารย์ที่สอนการปฏิบัติให้แก่ข้าพเจ้า
ข้อสังเกต การที่โยคีมีการพัฒนาสภาวธรรมที่ดี เพราะมีบารมี และมีอุปนิสัยในการฟังธรรมด้วย
คำเตือน ตอนที่ท่านมีสมาธิดี การกำหนดอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาของท่านสามารถกำหนดได้ดี แต่ท่านไม่ควรคาดหวังให้มันดีทุกครั้งเหมือนตอนนี้ บางครั้งการกำหนดอาจจะไม่ทันบ้าง หากท่านพบว่าการกำหนดได้น้อยลงก็ไม่ต้องเสียใจ หรือล้มเลิกกำหนด ท่านต้องพยายามกำหนดต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจะสามารถข้ามพ้นภาวะซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย และอย่าลืมกำหนดความคิดหรือความรู้สึกอันนั้นด้วย
โยคีรายงาน เบื้องต้นสามารถกำหนดได้เท่าทันทุกอาการ หลังจากนั้นอาการพองและการยุบดูเหมือนว่าจะสั้นลงๆ ราวกับว่าการกำหนดถูกขยายให้ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น ทำให้การกำหนดยากขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่ากำหนดได้ไม่ดีเลย
ข้อสังเกต ในที่นี้ ให้หาเหตุผลของที่เป็นเช่นนี้และแก้ไขให้ถูกต้อง
โยคีรายงาน อาการพองและอาการยุบ หายไปเลยและไม่มีสิ่งให้กำหนด ต้องหาอาการพอง อาการยุบ แล้วก็กำหนด
ข้อสังเกต ถ้าไม่มีอารมณ์ให้กำหนด (เหตุ) ก็จะไม่มีการกำหนด (ผล) ดังนั้นให้อธิบายความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล
การแก้ไขให้ถูกต้องและการช่วยเหลือ
เมื่ออาการพองและการยุบไม่ชัดเจน หรือหายไปเลย ไม่ต้องไปค้นหา ให้กำหนดอาการนั่ง อาการถูกสัมผัส หรืออาการนอน อาการสัมผัสแทน เมื่อกำลังกำหนดอยู่ที่ถูกกระทบสัมผัส ให้ย้ายการกำหนดจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เช่น กำหนดว่า “นั่งหนอ” ให้กำหนดว่า “ถูกหนอ” (สัมผัสหนอ) ที่ขาขวา จากนั้นให้ย้ายการกำหนดไปที่อาการถูก (สัมผัส) ที่ขาซ้าย ให้ย้ายตำแหน่งการกำหนดที่ถูกสัมผัสไปตามจุดสัมผัสแต่ละจุด หรือมากกว่านั้น การย้ายการกำหนดอาการพองและการยุบที่เคลื่อนไหวไปยังจุดที่สงบนิ่งตามสภาวะธรรมชาติ ณ จุดนี้โยคียังมีความรู้น้อย ดังนั้น โยคีจึงไม่รู้วิธีการนี้ จึงควรแนะนำโยคีว่า“ไม่ต้องท้อแท้ ให้กำหนดต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้า ปัญญาของท่านจะพัฒนามากขึ้น ก็จะสามารถรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง และสมาธิของท่านจะดีขึ้นด้วย” ให้ช่วยโยคีไปจนกว่าเขามีฉันทะ และจิตศรัทธา
โยคีรายงาน เมื่อได้ยินเสียงที่เข้ามากระทบหู การได้ยินเสียงนั้นก็เกิดขึ้น เมื่อการได้ยินเสียงเกิดขึ้น จึงกำหนดว่า “ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ”
ข้อสังเกต ที่โยคีเข้าใจว่าได้ยินเสียง เพราะมีหูและเสียง เพียงเพราะมีเสียงที่ได้ยินและมีการกำหนดเสียงที่เกิดขึ้นนั้น
โยคีรายงาน ตอนแรกได้ยินแค่เสียงเท่านั้น เนื่องจากกำลังจดจ่ออยู่กับอาการพอง อาการยุบ จึงดูเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงอะไร เพราะว่าไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนั้น จึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ข้อสังเกต ในที่นี้โยคีรู้เพียงว่า ถ้าหากมีมนสิการอยู่กับการตั้งใจ (เหตุ) ก็จะมีการได้ยิน (ผล) ถ้าไม่มีมนสิการ(เหตุ)ก็จะไม่มีการได้ยิน (ผล)
โยคีรายงาน เมื่อมีอารมณ์ปรากฏโดยธรรมชาติ ข้าพเจ้าจึงกำหนดว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ” ในครั้งแรก ลืมกำหนดและหลงดูเท่านั้น ไม่ได้กำหนด เมื่อเข้าใจว่าอารมณ์ทุกอย่างควรกำหนดทั้งหมด ดังนั้น จึงใช้สติระลึกรู้อารมณ์ทุกอย่างที่กำหนด พออารมณ์ปรากฏเกิดขึ้น ก็กำหนดทันทีว่า “เห็นหนอ เห็นหนอ”
คำแนะนำ บอกโยคีว่า เนื่องจากความตั้งใจ (เป็นเหตุ) การกำหนด (เป็นผล)
โยคีรายงาน ต้องกำหนดอารมณ์ต่างๆ มากมาย แทบทุกครั้ง เช่น รูปนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ในรูปลักษณะต่างๆ
โยคีรายงาน ขณะกำลังกำหนดเห็น พระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ก็มีปรากฏให้กำหนด และเมื่อสิ่งเหล่านั้นดับไป ก็กลับมากำหนดอาการพอง อาการยุบ การนั่ง การสัมผัส เปลี่ยนอารมณ์กำหนดตามอาการที่ปรากฏชัด
โยคีรายงาน ต้องกำหนดเวทนาที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เปลี่ยนจากเวทนาตัวหนึ่งไปยังเวทนาอีกตัวหนึ่งบ่อยครั้ง เช่น อาการคัน ความร้อน ความวิตกกังวล ความเจ็บ ความปวด
โยคีรายงาน กำหนดเวทนาต่างๆ เช่น ความคัน ความร้อน ความวิตกกังวล และกลับมากำหนดที่อาการพอง อาการยุบ ต้องย้ายการกำหนดอยู่บ่อยครั้ง
คำเตือนและการช่วยเหลือ ขณะที่ท่านกำลังพบกับอารมณ์ที่ต้องกำหนดหลายอย่าง ท่านควรกำหนดอารมณ์เหล่านั้น เพื่อไม่ให้ท่านรู้สึกยินดีพอใจ หรือยึดอารมณ์เหล่านั้น ถ้าหากท่านเป็นสุขหรือชื่นชอบอารมณ์ที่กำหนด ให้กำหนดว่า “สุขหนอ สุขหนอ” หรือ “ชอบหนอ ชอบหนอ” ตามอารมณ์ที่ท่านกำหนด ให้เตือนโยคีไม่ให้กลัวหรือท้อแท้ เมื่ออารมณ์ที่ต้องกำหนดและเวทนาปรากฏขึ้นอีกด้วย
โยคีรายงาน ขณะที่กำหนดอาการพอง อาการยุบ ไม่เห็นนิมิตทั้งหลาย เช่น เมฆ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือ
สีเขียว สีน้ำเงิน สีเหลือง แสงสว่าง หรือสีรุ้ง เหมือนโยคีท่านอื่นๆ เลย จึงเกิดความสงสัยว่านิมิตเหล่านั้นจะเกิดกับตนเองหรือไม่
ถาม ท่านกำหนดอย่างไร? ชัดเจนหรือไม่? ท่านยินดีพอใจในการกำหนดอารมณ์ที่ปรากฏหรือไม่ ถ้ามีอารมณ์อื่นให้กำหนด ก็จะมีการกำหนดรู้ที่จิต
โยคีรายงาน การกำหนดที่ชัดเจน เมื่ออาการพองปรากฏเท่านั้น
จึงกำหนดว่า “พองหนอ” ได้ เมื่ออาการยุบปรากฏ
จึงกำหนดว่า “ยุบหนอ” ได้ ความต้องการคู้ การเหยียด และจิตจดจ่ออยู่กับการกำหนดอย่างเท่าทันอาการ แต่เมื่ออารมณ์เหล่านั้นปรากฏชัด ข้าพเจ้ายินดีพอใจในการกำหนดนั้น แต่ไม่เห็นนิมิตทั้งหลายที่พิเศษเหมือนคนอื่นเลย
ข้อสังเกต โยคีนั้นมีการปฏิบัติที่ย่อหย่อนลงจากที่เคยปฏิบัติได้ดี เพราะจิตใจเขาท้อถอย และเขารู้สึกท้อแท้เบื่อหน่าย เขาจึงไม่ยินดีพอใจในการปฏิบัติเพื่อปฏิบัติให้ดี
การช่วยเหลือ ขณะที่ท่านกำลังกำหนดอาการพองการยุบอยู่
เมื่อโยคีเห็นภาพนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ก็ต้องกำหนดเหมือนกัน อารมณ์ใดเกิดขึ้นก็ตาม ก็ต้องกำหนดทั้งสิ้น ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับอารมณ์ที่ต้องกำหนด เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้นำผลพิเศษมาแต่อย่างใด ให้อธิบายว่า ไม่ว่ากำหนดอะไรก็ตาม ในการกำหนดแต่ละครั้งก็มีไตรสิกขารวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น
ตัวอย่าง เมื่อไรก็ตามที่ท่านกำลังกำหนด ไม่ว่าจะเป็นอาการพอง อาการยุบ การคู้ การเหยียด การเห็น หรือการได้ยินก็ตาม ชื่อว่า ท่านกำลังรักษาศีลอยู่ ศีลของท่านก็บริบูรณ์ อาจกล่าวได้ว่า ใจจดจ่ออยู่กับอารมณ์ที่กำหนด สมาธิเกิดขึ้นและบริบูรณ์ด้วย ใจที่รู้ธรรมชาติอันแท้จริงแห่งอารมณ์ที่กำหนดก็ทำให้เกิดปัญญา ทุกครั้งที่ท่านรู้อาการพอง อาการยุบ เกิดขึ้น ปัญญาของท่านเกิดแล้ว เพราะมีอาการพอง อาการยุบ ท่านจึงได้มีการกำหนดและสามารถรู้ได้ เนื่องจากความต้องการคู้เกิดขึ้น ท่านจึงได้คู้ เนื่องจากความต้องการเหยียดเกิดขึ้น ท่านจึงได้เหยียด และกำหนดสิ่งเหล่านั้นตามอาการ ท่านอาจยินดีพอใจในขณะกำหนดแต่ละครั้ง ความรู้สึกยินดีที่รู้สึกได้เรียกว่า “ปัญญา”
ขณะที่ท่านกำลังกำหนดอยู่นั้น ท่านรู้ว่าเพราะมีความอยากกิดขึ้น ท่านจึงได้กำหนดว่า “อยากหนอ อยากหนอ” เพราะมีสิ่งที่ท่านชื่นชอบ ท่านจึงได้กำหนดว่า “ชอบหนอ ชอบหนอ” เพราะท่านรู้สึกท้อแท้ ท่านจึงได้กำหนดว่า “ท้อแท้หนอ ท้อแท้หนอ” เพราะใจล่องลอย ท่านจึงได้กำหนดว่า “ล่องลอยหนอ ล่องลอยหนอ” แต่ละครั้งที่ท่านกำหนด ความรู้ท่านก็จะชัดเจน และท่านรู้สึกยินดีกับการกำหนดในแต่ละครั้งนี้เรียกว่า “ปัญญา” เพราะฉะนั้นโยคีที่กำหนดได้อย่างดีในแต่ละอารมณ์ที่ต้องกำหนดนั้นก็จะมีไตรสิกขาเกิดขึ้นกับจิต (ศีล สมาธิ ปัญญา) อย่างสมบูรณ์ การกำหนดแต่ละครั้งจะก่อให้เกิดศีล สมาธิ และปัญญา ท่านจะต้องการได้อะไรมากกว่านี้อีก? เพียงกำหนดด้วยความพยายามและรู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบัน) ในที่นี้พระวิปัสสนาจารย์ควรให้คำแนะนำ ช่วยเหลือมากๆ เท่าที่จะกระทำได้)
โยคีรายงาน เมื่อก่อน กำหนดการคู้ และการเหยียด ได้กำหนดเพียง “คู้หนอ” หรือ “เหยียดหนอ” แต่ไม่เคยรับรู้ความต้องการคู้หรือเหยียดจริงๆ ตอนนี้สามารถรับรู้ความต้องการคู้ได้จากขณะจิตที่ปรากฏขึ้น หลังจากที่ได้กำหนดต้นจิตที่จะคู้ว่า “คู้หนอ คู้หนอ” เมื่อก่อนคิดว่าสามารถคู้ได้ทุกครั้งที่ต้องการ แต่ตอนนี้รู้ว่าเพราะมีต้นจิตอยากจะคู้เกิดก่อน จึงได้คู้
โยคีรายงาน ถ้าหากคู้ไป ความต้องการคู้เกิดขึ้นก่อน จากนั้นอาการคู้จึงเกิดตามมา หลังจากที่ได้กำหนดความต้องการคู้ ความต้องการคู้อื่นก็ยังไม่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็กำหนดความต้องการคู้ ซ้ำอีกประมาณ ๓ - ๔ ครั้ง จึงทำการกำหนดคู้ และคู้ออกไป ดังนั้น ไม่มีฉันทำในการคู้เลย
ข้อสังเกต โยคีจะอธิบายในการกำหนดอารมณ์อื่นๆ เหมือนกัน เช่น การเหยียด การนั่ง การนอน การลุก การเดิน การยืน การเคลื่อนไหว ตลอดจนการเปลี่ยนท่า เป็นต้น โยคีจะกล่าวด้วยว่า การกิน การดื่ม ก็มาจากเพราะความต้องการกินหรือดื่มก่อนนั่นเอง
โยคีรายงาน บางครั้ง รู้สึกเย็นวาบขึ้นจากต้นขา รู้สึกขนลุกวูบวาบ และรู้สึกสั่นเป็นระยะๆ
โยคีรายงาน รู้สึกยินดีกับการจดจ่อ และรู้สึกมีความสุข
โยคีรายงาน รู้สึกหวาดกลัว จึงไม่กำหนดต่อ และหยุดการกำหนด
คำแนะนำ ความรู้สึกหนาว ตื่นเต้น อาการสั่นสะท้าน หรือขนลุก อาการกระวนกระวายในร่างกายที่เกิดขึ้น เป็นปรากฏการณ์ทางกายและจิต ที่เกิดจากกำลังของปีติ ที่เกี่ยวเนื่องกับวิปัสสนากัมมัฏฐาน ดังนั้น เพียงแต่กำหนดตามที่รู้สึก เช่น หนาว เย็น กระตุก ขนลุก เป็นสุข ยินดี ชื่นชอบ หากท่านไม่รู้สภาวธรรมนั้นจะเรียกชื่อว่าอะไรให้กำหนดว่า “รู้หนอ รู้หนอ” “กลัวหนอ กลัวหนอ” เป็นต้น กำหนดอย่างจดจ่อจนกว่าสิ่งเหล่านั้นจะหายไป เมื่อความรู้สึกเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น “ขนลุก” ให้บอกโยคีไม่ต้องกลัว แล้วอธิบายให้เขาฟังว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นเพราะกำลังของปีติเท่านั้นเอง
โยคีรายงาน หลังจากมีอาการขนลุก บ่อยครั้งที่เห็นแสงวูบวาบ แสงสว่าง บางครั้ง รัศมีของแสงขึ้นมาที่หางตา บางครั้งก็อยู่ใต้คาง และที่อก ซึ่งดูเหมือนแสงของพลุ
โยคีรายงาน ในขณะที่กำลังกำหนดสิ่งต่างๆ อยู่นั้น ไม่ว่าอารมณ์ใดก็ตามที่กำหนด ตนกำหนดเพราะว่ามีสิ่งปรากฏเกิดขึ้นให้กำหนด จิตที่กำหนดเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีสิ่งให้กำหนด
โยคีรายงาน ถ้าไม่มีจิต ร่างกายก็จะไร้ประโยชน์เหมือนกับท่อนซุงหรือซากศพ การกระทำทางกายเกิดขึ้นเพราะมีความต้องการเคลื่อนไหวเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วร่างกายก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แต่ประการใด
โยคีรายงาน เมื่อก่อน ไม่เคยรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เลย และคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของดี เพราะคิดว่ามันดี จึงคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ข้อสังเกต ในที่นี้ โยคียินดีพอใจกับความรู้เนื่องจากความไม่รู้ (อวิชชา) ผลของนามรูปจึงเกิดขึ้น
สรุป แต่ละครั้งที่โยคีกำหนด เขาจะรู้เพียงแค่เหตุและผลเท่านั้น โยคีรู้และยินดีพอใจกับความจริงที่ว่า มีเพียงสองสิ่งนั้นเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่น ความรู้เช่นนั้นเรียกว่า “ปัจจยปริคคหญาณ” คือปัญญาที่สามารถแยกระหว่างเหตุและผลได้
ยิ่งกว่านั้น โยคีสามารถรู้ปัจจยปริคคหญาณได้เนื่องจากความต้องการคู้ (นามเป็นเหตุ) การคู้ (รูปเป็นผล) จึงเกิดขึ้น เนื่องจากมีอารมณ์ที่ต้องกำหนด เช่น การปรากฏของรูปและเสียง (เหตุ) มีตาและหู (เหตุ) โยคีจึงได้ยินเสียงและได้เห็น เป็นต้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางใจ (ผล) โยคีรู้สภาวธรรมนั้นได้ก็เพราะการปรากฏที่ชัดเจนแห่งอารมณ์ทั้งหลาย (เหตุ) จึงทำให้มีการกำหนด (ผล) เนื่องจากกรรมเก่า (เหตุ) ปรากฏการณ์ทางกายทั้งดีและชั่ว (ผล) ก็เกิดขึ้น
โยคีที่มีสามารถรู้ได้ดังนี้ เกิดจากการกำหนดที่เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว (ตามระดับบารมี ความสมบูรณ์พร้อมที่เกิดมาพร้อม) ก็จะสามารถเข้าใจเหตุและผลของปรากฏการณ์ธรรมชาติได้อย่างแจ่มแจ้ง โยคีนั้นจะยินดีกับความรู้ของตน และจะกล่าวว่า “ในอดีต การมีอยู่แห่ง นามและรูป ก่อให้เกิด (เหตุ) การมีอยู่แห่งนามและรูปอื่น (ผล) ในอนาคต สิ่งที่คล้ายกันนี้ก็จะเกิดขึ้น นามและรูปที่มีอยู่ปัจจุบันจะเป็น (เหตุ) แห่งนามและรูปในชาติต่อไป (ผล) ดังนั้น โยคีนั้นก็จะรู้ว่าในภพทั้งสาม (อดีต, ปัจจุบัน, อนาคต) มีเหตุและผล คือธรรมชาติแห่งนามและรูปปรากฏอยู่เท่านั้น ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน “จิต” หรือ “ตัวเรา ของเรา” แต่อย่างใด ความยินดีพอใจความรู้นี้นำโยคีไปสู่ “ปัจจยปริคคหญาณ” ขั้นสูงสุด คือความรู้ที่สามารถแยกเหตุและผลออกจากกันได้
“จบปัจจยปริคคหญาณ”