บทที่ 01

บันทึกพระวิปัสสนาจารย์

บันทึกพระวิปัสสนาจารย์

โดย

พระอาจารย์กัมมัฏฐาน ผู้ทรงประสบการณ์

พระอาจารย์ สะยา เคี่ยน และ สะยา เคเวท

(Saya Kyan and Saya Kywet)

ศูนย์กัมมัฏฐาน มหาสี

หมู่บ้าน เซกคุณ ตำบล ชเวโป (Shwe Bo) ประเทศ พม่า


พระมหาสีสะยาดอว์ (ประวัติสังเขป)

พระอาจารย์มหาสีสะยาดอว์ เกิดในปี พ.ศ.๒๔๔๗ ที่หมู่บ้าน เซกคุณ หมู่บ้านใหญ่ที่ตั้งอยู่ สเวโป ทางทิศตะวันตกในพม่าตอนเหนือ ยาวประมาณ ๗ ไมล์ ไปถึงเมืองประวัติศาสตร์ บิดามารดา คือ อูกันตอร์และดอร์โอก (U Kan Taw and Daw Oke) ท่านมีอาชีพชาวไร่ชาวนา เมื่ออายุ ๖ ปี ท่านสะยาดอว์ ถูกส่งไปเรียนในวัดตั้งแต่เด็กๆ ภายใต้การดูแลของพระวิปัสสนาจารย์ อู อาทิจจะ ประธานสงฆ์แห่งวัด ปินมานา (Pyinmana) หมู่บ้าน เซกคุณ ๖ ปี ท่านได้บวชเป็นสามเณร ภายใต้การดูแลของพระอาจารย์ อู อาทิจจะ และได้ชื่อว่า ชิน โสภณะ (ชายงาม) เป็นชื่อที่เหมาะสมกับรูปลักษณะที่เข้มแข็งและน่าประทับใจ พร้อมทั้งท่านดูสงบและ

มีพฤติกรรมที่เรียบร้อย แลได้พิสูจน์ว่าท่านเป็นนักเรียนที่เก่งและฉลาด สามารถเรียนรู้ได้เร็ว มีความก้าวหน้าในการศึกษาคัมภีร์อย่างเห็นได้ชัด เมื่อท่านพระอาจารย์ อู อาทิจจะ (U adicca) ได้ลาสิกขา สามเณร ชิน โสภณะ ก็ได้ศึกษาต่อไปภายใต้การดูแลของพระอาจารย์ สะยาดอว์ อูปะระมะ แห่งวัด ตูจิ จอง อินเส่งตอว์ ใต้ (Thugyi Kyaung, Ingyintaw-taik,) จนกระทั่งอายุ ๑๙ ปี เมื่อท่านต้องตัดสินใจที่ว่าจะอยู่ต่อ เพื่ออุทิศชีวิตที่เหลือเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนา หรือกลับไปใช้ชีวิตฆราวาส สามเณร ชิน โสภณะ ก็รู้ว่าใจใฝ่ทางไหน และได้เลือกทางแรกโดยไม่ลังเลเลย สามเณร ชิน โสภณะ ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๖ โดยพระอาจารย์ สุเมธา สะยาดอว์ อชิน

มินมะละ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อมหาสี สะยาดอว์อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ๔ ปี ท่าน ได้สอบผ่านคัมภีร์บาลีทั้งสามขั้น(ระดับต้น,กลาง,สูง) ที่จัดโดยรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว

พระ อชิน โสภณ เดินทางไปที่เมืองมัณฑเลย์ เพื่อศึกษาคัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่สูงขึ้น ภายใต้การสอนของพระอาจารย์ สะยาดอร์ ที่แตกฉาน อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์ในการพักที่วัด คินมากัน ตะวันตกนี้ (Khinmakan West) สั้นลงกว่าปีที่ผ่านมา เมื่อท่านได้รับนิมนต์มาที่เมือง มูลเมง (moulmein) โดยเจ้าอาวาสใต้-จอง, ตองไวกะเล (Taik-Kyaung, Taungwainggale) ซึ่งมาจากหมู่บ้านเดียวกันกับพระอชินโสภณช่วยเขาสอนลูกศิษย์ ขณะสอนอยู่ที่

ตองไวกะเล (Taungwainggale) พระอชินโสภณได้ศึกษามหาสติปัฏฐานสูตรจนประสบผลสำเร็จ ท่านมีความสนใจในวิธีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฏฐานสูตรที่ลึกขึ้นไปอีก ทำให้ไปศึกษาต่อที่สำนักตะโก่ง (Thaton) กับพระอาจารย์มิงกุงเชตะวัน

สะยาดอว์ (Mingun Jetawan Sayadaw) ภายใต้การชี้แนะของพระอาจารย์ มิงกุนเชตวันสะยาดอว์ ท่านโสภณะได้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเข้มข้นเป็นเวลาหลายเดือน ด้วยผลปฏิบัติดีเช่นนั้น ทำให้ท่านสามารถสอนกัมมัฏฐานนั้นได้อย่างเหมาะสมทันทีแก่ลูกศิษย์สามคนแรก ที่หมู่บ้านเซกคุณ ขณะที่ท่านไปเยี่ยมที่หมู่บ้านนั้นในปี พ.ศ.๒๔๘๖ หลังจากที่ท่านกลับจากสำนักตากอง (Thaton) มาที่สำนักตองไวกะเล (Taungwainggale) เนื่องจากการป่วยหนักและการมรณภาพของท่านพระอาจารย์ใต้จอง สะยาดอว์ (Taikkyaung Sayadaw) จึงกลับมาเพื่อฟื้นฟูงานสอนของท่านและรักษาการเจ้าอาวาสวัด และท่านโสภณะได้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ควบคุมการสอบธรรมจริยะที่จัดโดยรัฐบาลด้วย

เดือนมิถุนายน ๒๔๘๔

ในยุคที่ญี่ปุ่นบุกพม่า ท่านมหาสี สะยาดอว์ ต้องออกจากตองไวกะเล (Taungwainggale) และกลับไปหมู่บ้านเซกคุณ ภูมิลำเนาของท่าน นี้เป็นโอกาสดีสำหรับท่านสะยาดอว์ที่จะอุทิศตัวเองหมดใจต่อการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฏฐาน และต่อการสอนกัมมัฏฐานให้แก่ลูกศิษย์ที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่วัดมหาสี

อิงเสงตอว์ ใต้ (Ingyintaw-Taik) ที่ซึ่งเป็นที่รู้จักชื่อกันว่า มหาสี

สะยาดอว์ ที่หมู่บ้านเซกคุณ ยังโชคดีที่ปราศจากความรุนแรงและการทำลายจากสงคราม แม้จะอยู่ในช่วงสงครามท่านสะยาดอว์

ก็ได้รับการขอร้องจากลูกศิษย์ให้เขียนคู่มือวิปัสสนากัมมัฏฐานอันยิ่งใหญ่ งานอันเชื่อมือได้และเข้าใจ ได้อธิบายทั้งลักษณะของธรรม และหลักปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนววิธีสติปัฏฐาน

ในเวลาไม่นานนัก ชื่อเสียงของท่านมหาสีสะยาดอว์ ในฐานะที่เป็นพระวิปัสสนาจารย์วิปัสสนากัมมัฏฐานที่มีความสามารถ

แผ่ขยายไปทั่วเมืองสเวโปสะไก (Shwepo Sagaing) และได้ดึงดูดความสนใจของพุทธศาสนิกชนที่แท้จริงและผู้ใฝ่ดี ในรูปแบบของท่านพระวิปัสสนาจารย์เซอร์ อู ตะวิน (Sir U Thwin) ผู้ที่ต้องการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยก่อตั้งศูนย์กัมมัฏฐานที่อำนวยการโดยพระอาจารย์กัมมัฏฐานที่มีคุณภาพและความสามารถอันประจักษ์ หลังจากได้ฟังคำอธิบายวิปัสสนากัมมัฏฐานที่แสดงโดยสะยาดอว์ และสังเกตเห็นพลังความสงบงของท่านสะยาดอว์ เซอร์ อู ตะวิน (Sir U Thwin) ก็ได้ตัดสินใจและยอมรับว่า ท่านมหาสีสะยาดอว์ เป็นพระอาจารย์กัมมัฏฐานในอุดมคติที่ท่านกำลังแสวงหาอยู่

ในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ สมาคมพุทธศาสนานุคคะหะได้ก่อตั้งขึ้นที่กรุงย่างกุ้ง และมีเซอร์ อู ตะวิน (Sir U Thwin) เป็นประธานคนแรก ซึ่งมีวัตถุประสงค์คือการเรียนคัมภีร์และการปฏิบัติธรรม ท่านเซอร์ อู ตะวิน (Sir U Thwin) ได้บริจาคที่ดินกว่า ๕ เอเคอร์ ในถนน เฮอร์ริเทจ โกไข่ ย่างกุ้ง (Heritage, Kokine, Raangoon,) สำหรับการสร้างศูนย์กัมมัฏฐาน ตามความต้องการของท่านให้แก่ทางสมาคม ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๒๑ ศูนย์ฯ มีพื้นที่ ๑๙.๖ เอเคอร์ ในพื้นที่อันกว้างใหญ่ มีสิ่งปลูกสร้างและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เกิดขึ้นมากมาย ท่านเซอร์ อู ตะวิน (Sir U Thwin) ได้บอกทางสมาคมว่า เขาได้พบพระอาจารย์กัมมัฏฐานที่เป็นที่พึ่งได้และได้เสนอว่า ให้นายกรัฐมนตรีพม่า นิมนต์ ท่านพระอาจารย์ มหาสีสะยาดอว์ มาอยู่ที่ศูนย์ ฯ

หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านสะยาดอว์ได้เลือกอยู่ที่ หมู่บ้านเซกคุณ ที่เป็นภูมิลำเนา และ ตองไวกะเล (Taungwainggale) ในเมือง มอละแมง (Moulamein) ขณะเดียวกันพม่าก็ได้รับเอกราชคืนในวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ระหว่างที่ท่านพักแรมอยู่ที่เซกคุณ (Seikkhun) ท่านสะยาดอว์ได้แปลมหาสติปัฏฐานสูตร สำเร็จ งานนี้ทำให้การแปลพระสูตรนี้ดีขึ้นปานกลาง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับโยคีผู้ปรารถนาการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน และมีความต้องการการชี้แนะแนวทาง

ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกันนั้น อดีตนายกรัฐมนตรีนิมนต์ท่าน มหาสีสะยาดอว์ เป็นการส่วนตัว ซึ่งท่านลงมาจากเมือง สเวโป (Shwebo) และ Sagaing สะไก มาที่ศาสนาเยกตา (ศูนย์กัมมัฏฐาน) ที่กรุงย่างกุ้งพร้อมกับสะยาดอว์รุ่นที่สอง ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ท่านมหาสีสะยาดอว์ ได้เริ่มบริหารศูนย์ศาสนาที่กรุงย่างกุ้ง เมื่อ ๒๙ ปีที่ผ่านมา (ตอนนั้นอยู่ในขั้นเริ่มต้น ซึ่งพัฒนาโดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ดังเช่นปัจจุบัน) ในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๙๒ ท่าน มหาสีสะยาดอว์ ได้ชักนำโยคีรุ่นแรก ๒๕ คน ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นการส่วนตัว ต่อมาก็มีโยคีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่ใช้ความพยายามมากเกินไปสำหรับท่าน

สะยาดอว์เองที่ต้องให้การชี้แนะเบื้องต้นกับโยคีทั้งหมด ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ๒๔๙๔ การสอนพูดคุยก็ถูกบันทึกเทปไว้ให้โยคีรุ่นใหม่ได้ฟัง โดยมีคำอารัมภบทใหม่ๆ โดยท่าน สะยาดอว์ ภายในสองสามปีของการก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรม ศาสนาเยกตา ที่กรุงย่างกุ้ง ซึ่งก็เหมือนกับศูนย์กัมมัฏฐานอื่นๆ ที่แพร่ขยายในส่วนต่างมากมายภายในประเทศ มีสมาชิกที่ได้รับการฝึกแบบมหาสีที่เป็นพระสงฆ์มากมายในฐานะที่เป็นพระวิปัสสนาจารย์กัมมัฏฐาน ศูนย์กัมมัฏฐานเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเพียงแต่ประเทศพม่าเท่านั้น แต่ยังขยายไปประเทศเถรวาทเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศไทย และศรีลังกา ศูนย์ที่มีลักษณะเดียวกันนี้ก็ยังเติบโตในกัมพูชาและอินเดีย ประมาณสองสามศูนย์อีกด้วย จากการสำรวจในปี ๒๕๑๕ นั้น จำนวนโยคีทั้งหมดที่เข้าฝึกอบรมในศูนย์เหล่านี้ทั้งหมด (ทั้งในพม่าและต่างประเทศ) มีจำนวนถึง ๗๐๐,๐๐๐ คน การยอมรับในความเป็นปราชญ์อันเห็นได้ชัดและความสำเร็จทางจิตวิญญาณ ท่านมหาสีสะยาดอว์ จึงได้รับการยกย่องในปี พ.ศ.๒๔๙๕ ด้วยตำแหน่งอันทรงเกียรติ คือ “อัครมหาบัณฑิต” โดยประธานสหภาพพม่าขณะนั้น

ทันทีที่ได้รับเอกราช รัฐบาลพม่าได้เริ่มวางแผนจัดงานสังคายนาครั้งที่ ๖ ขึ้นในประเทศพม่า มีประเทศที่เป็นพุทธศาสนาเถรวาท ๔ ประเทศเข้าร่วม คือ ศรีลังกา ไทย กัมพูชา และลาว

การปรึกษาหารือเร่งด่วนสำหรับวัตถุประสงค์ของเขาคือ รัฐบาลได้ส่งสมณทูตมาที่ประเทศไทย และกัมพูชา ประกอบด้วยท่าน Nyaung Yan และท่านมหาสีสะยาดอว์ พร้อมลูกศิษย์อีกสองคน ซึ่งเสวนาการวางแผนกับประมุขสงฆ์ของทั้งสองประเทศ

การสังคายนาครั้งที่ ๖ อันเป็นประวัติศาสตร์ ได้เริ่มอย่างเป็นทางการด้วยความอลังการและเป็นพิธีรีตอง ในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ท่านมหาสีสะยาดอว์ ทำหน้าที่บทบาทอันสำคัญยิ่ง

ทำหน้าที่รับผิดชอบงานตรวจทานขั้นสุดท้ายและเป็นผู้ถาม ลักษณะเฉพาะของการสังคายนาครั้งนี้คือ การกระทำการตรวจชำระสูงสุด ไม่เฉพาะพระไตรปิฎกเท่านั้น แต่ยังรวม อรรถกถาและฎีกาด้วย ในการตรวจชำระคัมภีร์อรรถกถานี้ ท่านมหาสีสะยาดอว์ รับผิดชอบในส่วนของ การวิเคราะห์สังเกตวิจัย การตีความและ

การทำให้ข้อความสำคัญต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันให้มีความสอดคล้องกัน ในงานอรรถกถาเหล่านี้

ผลลัพธ์ที่สำคัญของการสังคายนาครั้งที่ ๖ นี้ คือการปลุกความสนใจในพระพุทธศาสนาเถรวาท ในหมู่ชาวพุทธมหายาน ในปีพ.ศ.๒๔๙๘ ขณะการสังคายนาอยู่ในการดำเนินการอยู่นั้น พระชาวญี่ปุ่น ๑๒ รูป และอุบาสิกา ๑ คน ได้เดินทางมาถึงพม่า เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาท พระเหล่านั้นเริ่มบรรพชาเป็นสามเณร ขณะที่อุบาสิกาก็บวชเป็นแม่ชี ต่อมาในเดือน กรกฎาคม ๒๕๐๐ จากการเสนอของสมาคมชาวพุทธ โมจิ แห่งเกาะคิวชู (Kyushu)

ในประเทศญี่ปุ่น สภาพุทธศาสนาของพม่า ได้ส่งสมณทูตเถรวาท

ซึ่งท่าน มหาสีสะยาดอว์ ก็เป็นหนึ่งในตัวแทนของพระสงฆ์พม่า ในปีเดียวกัน (๒๕๐๐) ท่าน มหาสีสะยาดอว์ ได้รับมอบหมายงานเขียนการแนะนำ วิสุทธิมรรคอรรถกถาเป็นภาษาบาลี สิ่งนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือจะเขียนหักล้าง การเสนอที่ผิดและคำกล่าวที่ผิด

เกี่ยวกับผู้ประพันธ์ที่เก่งและยอดเยี่ยมแห่งอรรถกถานี้, คือท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านสะยาดอว์ ได้สำเร็จงานอันยากนี้ในปี พ.ศ.๒๕๐๓ งานของท่าน คมชัดลึก ท่านสะยาดอว์ยังได้แปลภาษาพม่าเสร็จสมบูรณ์สองชิ้น (จากสี่ชิ้น) ของอรรถกถานี้ และงานใหม่ในกัมมัฏฐานด้วย

ตามคำของรัฐบาลศรีลังกา สมณทูตพิเศษนำโดยท่าน

สะยาดอว์ อู สุชาตะ (Sayadaw U Sujata) ศิษย์เอกของท่านมหาสีสะยาดอว์ ถูกส่งไปศรีลังกา ในเดือน กรกฎาคม ๒๔๘๙ สำหรับการเผยแผ่วัตถุประสงค์ของการส่งเสริม สติปัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน สมณทูตได้พำนักอยู่ในศรีลังกาเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อเผยแผ่ ก่อตั้งศูนย์กัมมัฏฐานถาวร ๑๒ แห่ง และชั่วคราว ๑๗ แห่ง ดำเนินการสมบูรณ์ตามศูนย์กัมมัฏฐานที่สร้างพิเศษในพื้นที่ที่รัฐบาลศรีลังกาอนุญาต ภารกิจอันใหญ่ยิ่งที่นำโดยท่าน มหาสีสะยาดอว์ ในศรีลังกา เสร็จสิ้นในวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๐๒ ก็ได้ไปต่อที่อินเดีย ภารกิจอยู่ในอินเดียประมาณ ๓ อาทิตย์ ในภารกิจนั้น สมาชิกก็ได้เยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการทำงานของพระพุทธเจ้า, สนทนาธรรมในโอกาสอันเหมาะสม และได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกับนายกรัฐมนตรี ศรี ยะวะฮาล์ลาล์ เนฮ์รู (Shri Jawaharlal Nehru) ประธานาธิบดีของอินเดีย ดร.ราเซนทร์ ปราสาท และรองประธานาธิบดี ดร.เอส ราฮะกฤษณัน ลักษณะที่น่าสนใจเป็นพิเศษของการเยี่ยมชม คือ การต้อนรับอันอบอุ่นจากสมาชิกของชนชั้นวรรณะศูทร ผู้ที่ได้รับศรัทธาในพุทธศาสนาตามแนวทางของอดีตผู้นำของเขาผู้ล่วงลับ ดร.เอมเบก้า

ภารกิจเริ่มที่เมืองปัทราส ไปศรีลังกา ในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๐๒ และได้ถึงกรุงโคลัมโบในวันเดียวกัน พิธีเปิดศูนย์กลางกัมมัฏฐานถาวร มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๑ มกราคม ศูนย์มีชื่อว่า ภาวนามัชเมทานะ ท่านมหาสีสะยาดอว์ ได้กล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาบาลี หลังจากนายกรัฐมนตรี บันดารานายะเกและคนอื่นๆ ได้กล่าวเสร็จ มวลสมาชิกสมณทูตนำโดยมหาสีสะยาดอว์ ได้เที่ยวต่อตามเกาะศรีลังกา เยี่ยมศูนย์กัมมัฏฐานต่างๆ ที่ท่านมหาสีสะยาดอว์ ได้ให้คำสอนไว้ในวิปัสสนากัมมัฏฐาน และบูชาสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมายของนักแสวงบุญชาวพุทธ เช่น โปโลนนารุวะ,

อนุราธปุระ, และเมืองแคนดี้ การเยี่ยมชมประวัติศาสตร์ของสมณฑูตพม่า ภายใต้ภาวะผู้นำอันน่าประทับใจของท่านมหาสีสะยาดอว์ ครั้งนี้ เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย (จากอดีต) ความใกล้ชิดทางจิตวิญญาณระหว่างประเทศพุทธศาสนาเถรวาททั้งสองเหล่านี้ การกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อขบวนการชาวพุทธในศรีลังกา คือ การปลุกความสนใจและความตื่นตัวในหลักกัมมัฏฐาน ซึ่งดูเหมือนว่าได้ลดน้อยถอยลงในดินแดนมาตุภูมิของพวกเรา

ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๗ ผู้เที่ยวชมศูนย์ศาสนาเยกตาจะประทับใจจากการปรากฏของชาวจีนหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ที่ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ โยคีที่ถูกกล่าวถึง คือครูชาวพุทธคนจีนหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งมาจากอินโดนีเซียชื่อว่า บัง อัน ที่ได้สนใจในกัมมัฏฐานของพุทธแนวนี้ ภายใต้แนวทางและการชี้แนะของท่านมหาสีสะยาดอว์ และท่านสะยาดอว์ อู ญาณุตตระ ผู้ล่วงลับ นาย บัง อัน ได้มีความก้าวหน้าอันเยี่ยมในเวลาประมาณหนึ่งเดือน ที่ท่านมหาสี

สะยาดอว์ ให้การสอนในเรื่องความก้าวหน้าในความรู้แจ้ง โดยตนเองอย่างละเอียด ต่อมาก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุและได้ชื่อว่า พระอชิน ชินรักขิตะ ท่านมหาสีสะยาดอว์เป็นอุปัชฌาย์ให้เอง หลังจากที่ท่านได้กลับไปอินโดนีเซียบ้านเกิด ในฐานะพระภิกษุ เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมทางพุทธศาสนาเถรวาท ทางสภาพุทธศาสนาก็ได้ร้องขอให้ส่งพระภิกษุชาวพม่า เพื่อส่งเสริมงานสมณทูตต่อไปในอินโดนีเซียเป็นที่ตกลงกันว่า ท่านมหาสีสะยาดอว์ ในฐานะที่เป็นอุปัชฌาย์ และพระวิปัสสนาจารย์ของพระ อชิน ชินะรักขิตะ ควรไปด้วยตนเอง ท่านมหาสีสะยาดอว์ พร้อมด้วยพระภิกษุอีก ๑๓ รูป จากประเทศพุทธเถรวาท ได้ดำเนินการกิจการสมณทูตอันสำคัญ คือ กำหนดเขตสีมา (บริเวณที่ใช้อุปสมบท) อุปสมบทพระภิกษุ บรรพชาสามเณร และสอนพุทธธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนทนาในเรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐาน

เมื่อพิจารณากิจการอันรุ่งเรือง และสำเร็จผลในความสนใจของการริเริ่ม ส่งเสริมและการทำให้ขบวนการชาวพุทธเข้มแข็ง ในอินโดนีเซียและศรีลังกา โดยลำดับแล้ว ภารกิจของท่านมหาสี

สะยาดอว์ กับประเทศเหล่านี้ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการเดินทาง “ธรรมวิชัย” (ชัยชนะแห่งพระธรรม)

ต้นปี ๒๔๙๕ ท่านมหาสีสะยาดอว์ได้ส่งท่านสะยาดอว์ อู

อาสภะและ อู อินทวังสะ มาเผยแผ่การปฏิบัติสติปัฏฐานวิปัสสนากัมมัฏฐานในประเทศไทย ตามคำร้องขอของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงานของคณะสงฆ์ ต้องกราบขอบพระคุณต่อความพยายามของท่านสะยาดอว์ทั้งสองท่านนี้ ที่วิธี วิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน ได้แพร่หลายอย่างกว้างขวางในประเทศไทย ศูนย์กัมมัฏฐานมากมายได้เกิดขึ้นในประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๓ และจำนวนโยคีที่เข้าฝึกอบรมได้พุ่งทะลุถึงหลักแสน ท่านมหาสีสะยาดอว์ได้ทำการสอน

วิสุทธิมรรค อรรถกถาของท่านพุทธโฆษาจารย์ และวิสุทธิมรรค มหาติกะ แก่สหธรรมิกของท่านที่ศูนย์ศาสนาเยกตา อย่างต่อเนื่องตามคำร้องขอของท่านอภิทศมหารัทธกุรุ มโสเยง สะยาดอว์ (AbhidhajamahaRattha-Guru Masoeyein Sayadaw) ผู้ที่เป็นประธานบอร์ดบริหารสังฆนายก ตอนสังคายนาครั้งที่ ๖ งานด้านคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาททั้งสองนี้ ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับทฤษฎี และการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ถึงแม้ว่าคัมภีร์เหล่านั้น มีการอธิบายที่เป็นประโยชน์ในสาระของธรรมอันสำคัญในพุทธวาทะก็ตาม แต่คัมภีร์เหล่านั้นก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังจะเป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนกัมมัฏฐาน

ด้วยความต่อเนื่องในการดำเนินการมาตลอด ท่านมหาสีสะยาดอว์ได้เริ่มสอนทั้งสองอย่างนี้ ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๔ สอนเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงต่อวัน มีท่านมหาสีสะยาดอว์ ได้เริ่มเขียนการแปลวิสุทธิมรรค มหาติกะ โดยมีส่วนสำคัญที่ลูกศิษย์ทำการจดบันทึกการบรรยายของท่าน และเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๙ ผลิตผลการแปลนี้เป็นผลงานอันเด่นชัดส่วนหนึ่งของท่านมหาสีสะยาดอว์ ในส่วนของสะมะยันตะระ (ทัศนะที่แตกต่างกัน ตามศาสนาและความเชื่อ) เป็นส่วนสำคัญที่สุดของงานในการผลิตผลงานชิ้นนี้ของท่านสะยาดอว์ สำหรับการจัดการกับส่วนนี้ท่านสะยาดอว์จำต้องทำในหลายๆ สิ่ง สิ่งหนึ่งคือ ต้องรอบรู้ในปรัชญาอินเดียโบราณ และศัพท์วิทยา โดยการศึกษาแหล่งอ้างอิงที่มีอยู่ทั้งหมด รวมถึงงานเขียนต่างๆ ทั้งภาษาสันสกฤตและภาษาอังกฤษ

ครั้งหนึ่ง ท่านมหาสีสะยาดอว์ ถูกวิพากษ์สังเกตอย่างหนัก ในเรื่องที่การสนับสนุนของท่านเกี่ยวกับวิธีการที่นอกรีตของการกำหนดอาการพองและการยุบของหน้าท้อง ในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นสิ่งที่ถูกสรุปอย่างผิดๆ ว่า วิธีนี้เป็นการคิดค้นขึ้นใหม่ของท่านสะยาดอว์เอง ซึ่งความจริงก็คือว่าได้รับการปรับปรุงมาหลายปีแล้วก่อนที่ท่านมหาสีสะยาดอว์ ได้รับเอาวิธีนี้ ไม่ได้ตัดต่อเปลี่ยนแปลงจากท่านอาจารย์ มูล มิงกุน เชตะวัน สะยาดอว์ และนั่นก็ไม่มีทางขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เหตุผลสำหรับความชอบของท่านมหาสีสะยาดอว์ ต่อวิธีนี้ คือว่าโยคีทั่วไปพบว่า มันเป็นวิธีที่ง่ายกว่าที่จะกำหนดปรากฏการณ์ของวาโยธาตุ (ธาตุลม) อย่างไรก็ตาม ไม่ได้กำหนดเป็นเทคนิคตายตัวแก่โยคีที่มาปฏิบัติกัมมัฏฐานที่ศูนย์ศาสนาเยกตา (ศูนย์กัมมัฏฐาน) แต่อย่างใด โยคีอาจจะปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนวทางอานาปานสติได้ (การกำหนดลมหายใจเข้าออก) ถ้าหากเขาชอบและพบว่ามีความคุ้นเคยดีกว่าท่านมหาสีสะยาดอว์ สงบนิ่งกับการวิพากษ์สังเกต แต่อาจารย์

สะยาดอว์ผู้ทรงความรู้สองท่าน ได้ออกหนังสือปกป้องวิธีของท่านมหาสีสะยาดอว์ ซึ่งก็สามารถทำให้ผู้คนที่สนใจในฝ่ายตรงข้าม ได้ชั่งน้ำหนักและตัดสินใจเอง ความขัดแย้งนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในพม่าเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปในศรีลังกาที่มีพระสงฆ์เจ้าถิ่นบางกลุ่มที่ไม่มีประสบการณ์และความรู้ในวิปัสสนากัมมัฏฐานแต่อย่างใดได้โจมตีวิธีการของท่านมหาสีสะยาดอว์ ในหนังสือพิมพ์และในบทความทางวารสารต่างๆ เนื่องจากการวิพากษ์สังเกตถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษที่ครอบคลุมทั่วโลก การอยู่นิ่งก็ไม่อาจทนได้ต่อไปและมหาวิทยาลัย อู ญาณุตตะระ แห่งเมือง กบา อาเย ได้โต้โยคีรายงานต่อการวิพากษ์สังเกตอย่างแข็งขัน ซึ่งได้เขียนบทความในนิตยสารชาวพุทธศรีลังกาที่ชื่อว่า “World Buddism” (พระพุทธศาสนาโลก)

ชื่อเสียงและจุดยืนระหว่างประเทศของท่านมหาสีสะยาดอว์ ในสาขาของกัมมัฏฐานแนวพุทธได้ดึงดูด ผู้เยี่ยมชมและโยคีจากต่างประเทศจำนวนมาก บางคนก็เสาะแสวงหาปัญญารู้แจ้งสำหรับปัญหา และความซับซ้อนทางศาสนา และส่วนอื่นๆ ก็ต่างตั้งใจปฏิบัติสติปัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน ภายใต้แนวทางและการชี้แนะส่วนตัวของท่านมหาสีสะยาดอว์ ในโยคีรุ่นต้นๆ หนึ่งในนั้นคืออดีตพลเรือตรีของอังกฤษ อี.เอช แช็คต๊อค (E.H.Shattock) ผู้ที่มาจากสิงคโปร์ และได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานที่ศูนย์ศาสนาเยกตา ในปี พ.ศ.๒๔๙๕ เมื่อได้กลับอังกฤษบ้านเกิด เขาก็ได้พิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “การทดลองสติ” (An Experiment in Mindfulness) ที่เขาได้เชื่อมโยงประสบการณ์ในเรื่องที่น่ายินดีทั่วไป ผู้ปฏิบัติแบบนั้นอีกคนหนึ่งคือ นายโรเบิร์ต ดูโว (Mr Robert Duvo) ชาวอเมริกันที่เกิดในฝรั่งเศส จากแคลิฟอร์เนีย เขาได้เดินทางมาปฏิบัติกัมมัฏฐานที่ศูนย์ ตอนแรกก็ในฐานะโยคีคฤหัสถ์ และต่อมาก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ต่อมาเขาก็ได้ตีพิมพ์หนังสือในฝรั่งเศส เกี่ยวกับประสบการณ์และกัมมัฏฐานวิธีแบบสติปัฏฐานสูตร ท่านที่ควรกล่าวถึงโดยเฉพาะคือ ท่านอนาคาริก เมรี มุนินทร์ แห่งพุทธคยา ในอินเดีย ผู้ซึ่งเป็นอันเตวาสิก (ลูกศิษย์) ของท่านมหาสีสะยาดอว์ ใช้เวลาอยู่หลายปีกับการเรียนคัมภีร์พุทธศาสนาและปฏิบัติสติปัฏฐานวิปัสสนากัมมัฏฐานกับท่านสะยาดอว์ ปัจจุบันท่านอำนวยการศูนย์กัมมัฏฐานนานาชาติที่พุทธคยา ซึ่งมีผู้คนมากมายจากตะวันตก มาปฏิบัติกัมมัฏฐานอยู่ หนุ่มน้อยจากอเมริกันคนหนึ่งคือ โจเซฟ โกลด์สติน ก็เป็นหนึ่งในโยคีเหล่านั้น ก็ได้เขียนหนังสือ เข้าใจวิปัสสนากัมมัฏฐาน โดยใช้ชื่อว่า “ประสบการณ์แห่งการรู้แจ้ง : การเปิดเฉยธรรมชาติ” (The Experience of Insight : A Natural Unfolding) ผลงานบางชิ้นของท่านสะยาดอว์ ก็ได้รับการตีพิมพ์ในต่างประเทศ เช่น “สติปัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน และ การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน” โดยโรงพิมพ์ ยูไนตี้ เพรส (The Unity Press) ซาน ฟรานซิสโก, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา และ “ความก้าวหน้าแห่งปัญญาหยั่งรู้” (Progress of Insight) โดยสมาคมเผยแผ่พุทธศาสนา เมืองแคนดี้ ศรีลังกา ท่าน อู บี ติน U Pe Thin (ตอนนี้มรณภาพแล้ว) และท่าน แมน อ่อง อู ติน (Myanaung U Tin) ได้ช่วยอย่างเสียสละแห่งขันแข็งในการจัดการกับผู้มาเยี่ยมและโยคีของท่านสะยาดอว์ จากต่างประเทศ และ

การแปลคำสอนในเรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐานของท่านสะยาดอว์เป็นภาษาอังกฤษ ทั้งสองท่านเป็นโยคีที่สำเร็จทั้งคู่

พระคุณท่านมหาสีสะยาดอว์ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงมาก โดยลูกศิษย์ผู้กตัญญูเหลือคณานับทั้งในพม่าและต่างประเทศ ปัจจุบันท่านสะยาดอว์อยู่ในวัน ๗๕ ปี และไม่แข็งแรงมีกำลังเหมือนวัยหนุ่มแล้ว แต่ในฐานะพุทธบุตรที่แท้จริง ท่านยังสอนกัมมัฏฐานทั่วโลกและช่วยคนหลายพันหลายหมื่นเหลือจะนับได้ ให้ไปถึงทางแห่งปัญญารู้แจ้งและความหลุดพ้น ขอให้ท่านอาจารย์สะยาดอว์จะมีอายุยืนยาว และขอให้เป็นหลักชัยเผยแผ่พุทธธรรมต่อไปนานๆ ด้วย เทอญ U.Nyi Nyi อู่ หยี่ หยี่ ลูกศิษย์มหาสีและโยคีสมาชิกแห่งคณะกรรมการบริหารสมาคมพุทธศาสนา นุคคะหะ กรุงย่างกุ้ง วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๑ กิตติกรรมประเทศ

พระคุณท่านสะยาดอว์ ได้มอบหมายหน้าที่ให้แก่ท่านสะยาจันและสะยาเคเวทให้เขียน “บันทึกพระวิปัสสนาจารย์” ขึ้นตาม

คำบอกกล่าวของโยคีที่มีประสบการณ์ชนิดต่างๆ ระหว่างเวลาปฏิบัติกัมมัฏฐาน

ท่านสะยาจัน (Kyan) และสะยาเคเวท(Kywet) เป็นพระอาจารย์สอนกัมมัฏฐานทั้งสองท่าน ผู้ซึ่งมีความรู้เต็มเปี่ยมในวิชา เทคนิคมหาสีกัมมัฏฐาน ท่านเหล่านั้นเป็นพระอาจารย์กัมมัฏฐานอยู่หลายปี มีลูกศิษย์โยคีมากมาย เวลาสัมภาษณ์โยคี ท่านเหล่านั้นได้พยายามชี้แนะแนวทางการปฏิบัติทุกครั้งที่จำเป็น

เมื่อได้รับคำชี้แนะจากท่านสะยาดอว์แล้ว ท่านสะยาจันและสะยาแคทได้ปรึกษาหารือกัน เพื่อเขียนบันทึกนี้ขึ้นมา เพื่อประโยชน์ของวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายภายภาคหน้า บันทึกนั้นได้ตรวจชำระและเขียนต่อไป และได้รับการตีพิมพ์ในเดือนเมษายน

ปีพ.ศ.๒๕๒๐ และยิ่งกว่านั้น บันทึกนั้นยังได้ส่งมอบให้แก่พระวิปัสสนาจารย์ตามที่ร้องขอมา

มีความพยายามก่อตั้งองค์กรพุทธศาสนา นุคคะหะ (Buddha Sasana Nuggaha Organization) เพื่อการพัฒนา เพื่อสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียน โชคดีสำหรับพุทธศาสนาชาวนุคคะหะ ประธาน อู ปะวิน กอง (U Pawint Kaung) สิริ สุธรรม มานี โชตะธาร และ ดอร์ คิน เน ยี (อังคะมหาสิริ สุธรรมสังคิ) และครอบครัวได้บริจาคทรัพย์เจดีย์กะบาเอ (Kabaaye Pagoda) ในเขตเมืองกรุงย่างกุ้ง ก่อนหน้านี้ทรัพย์นั้นได้บริจาคให้แก่พระภิกษุที่ทรงความรู้ ท่านปัณณสาระ แต่หลังจากพระที่ทรงความรู้ได้มรณภาพลง เจ้าของเดิมของวัด ท่านประธาน อู ปะวิน กอง และ ดอว์ คิน นุย ยี่ (U Pwin Kaung and Daw Kin New Yee) ได้ทำบุญอันประเสริฐไม่เพียงแต่บริจาคทรัพย์เท่านั้น แต่ยังจ่ายค่าบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งหมด จัดหาเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อยกระดับวัดให้เป็นโรงเรียนฝึกระดับนานาชาติ สำหรับภารกิจพุทธศาสนาต่างประเทศ โรงเรียนฝึก มหาสี สำหรับภารกิจพุทธศาสนาต่างประเทศ ได้ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ.๒๕๓๓ การสมัครเข้าในโรงเรียน บุคคลต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

1) ต้องผ่านการสอบธรรมจริยะ (ความเป็นครูในคัมภีร์พุทธศาสนา)

2) ต้องมีพรรษาอย่างน้อย ๑๐ พรรษา

3) ต้องปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอันเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาหนึ่งพรรษาในมหาสีศาสนา เยกตา, ย่างกุ้ง และได้บรรลุวิปัสสนาญาณ (ความก้าวหน้าแห่งความรู้แจ้ง)

4) ต้องผ่านการฝึกในความเป็นครูกัมมัฏฐาน

5) ต้องได้รับมอบหมายให้เป็นพระผู้ช่วยในหน้าที่ในศูนย์กัมมัฏฐาน มหาสี (Mahasi Meditation Center)

ทั้งปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรมในหน่วยงาน (The Post Independence of Buma) สมาชิกขององค์กรพุทธศาสนานุคคะหะ ได้ออกไปสำรวจหาพระอาจารย์กัมมัฏฐานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และมีความสามารถสูง และได้พบพระคุณท่านมหาสีสะยาดอว์แห่งวัดมหาสีที่หมู่บ้านเซกคุณ ใกล้เมืองหลวงโบราณของเมืองสเวโป (Sagaing) สะไก องค์กรพุทธศาสนานุคคะหะ ได้ร้องขอให้พระคุณท่านสะยาดอว์มาเป็นประธานที่ศูนย์ศาสนาเยกตา ที่กรุงย่างกุ้ง เมื่อเผยแผ่ปฏิบัติศาสนา งานการพัฒนาศูนย์วิปัสสนากัมมัฏฐานในส่วนต่างๆ ของประเทศ พระคุณท่านสะยาดอว์ ได้ทำงานวิปัสสนากัมมัฏฐานครั้งแรกในปีพ.ศ.๒๔๙๒ เวลานั้นมีโยคีเข้าร่วมเพียง ๒๕ คนเท่านั้น

หลังจากการก่อตั้งสภาชาวพุทธที่ ๖ (Sixth Buddhist Council) ชื่อเสียงของท่านมหาสีสะยาดอว์ในฐานะที่เป็นพระอาจารย์กัมมัฏฐานที่เด่นและเป็นหลัก ได้แผ่ขยายไปไม่เพียงแค่ในพม่าเท่านั้นแต่ทั่วทั้งโลกอีกด้วย และหลังจากนั้นก็มีโยคีผู้สนใจจำนวนมากหลั่งไหลมา รวมทั้งชาวต่างชาติก็ได้มาปฏิบัติกัมมัฏฐานภายใต้การชี้แนะของพระคุณท่านมหาสีสะยาดอว์ กรณีเช่นนั้น

การใช้ภาษาอังกฤษได้บ้างก็เป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น องค์กรพุทธศาสนานุคคะหะ ต้องวางแผนและดำเนินงานแปลธรรมะ ที่ท่านมหาสี

สะยาดอว์ ได้สอนไว้ เป็นภาษาอังกฤษ และหากเป็นไปได้ก็แปลเป็นภาษาอื่นๆ และก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษา

ตามที่ “บันทึกพระวิปัสสนาจารย์” ถูกกำหนดได้ในหลักสูตรของโรงเรียน เจ้าหน้าที่สอนของโรงเรียนได้แปลหนังสือเล่มนี้ไว้เป็นภาษาอังกฤษ และถ่ายรูปรวมหมู่ของผู้ที่จบการศึกษาไว้

ตอนนี้ โยคีต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่บวชเป็นพระภิกษุเถรวาท มาที่มหาสีศาสนาเยกตาด้วยความตั้งใจเพื่อสำเร็จความเป็นครูกัมมัฏฐาน เนื่องจากมันเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับการเผยแผ่วิปัสสนากัมมัฏฐาน ในวิธีของท่านมหาสีสะยาดอว์ ทางสภามหาสีเยกตา สังฆนายกก็ได้ตัดสินใจรับโยคีเช่นนั้น ถ้าพวกเขาพบคุณสมบัติที่ได้กำหนดไว้ สำหรับผู้เข้าอบรมความเป็นครูกัมมัฏฐาน

ท่านนายกสะยาดอว์ ภทันตะ อู ซาติละ (ศาสนทายะ สิริยะวะระ ธรรมจริย วินยปริปราดู, อัคคมหากัมมทันตะ จริยะ) รองประธานสภา มหาสีสังฆนายกได้มอบหมายให้ องค์กรพุทธศาสนานุคคะหะ ให้พิมพ์หนังสือ “บันทึกพระวิปัสสนาจารย์” นี้ ด้วยตักเตือนว่าจำเป็นที่จะต้องตรวจชำระ และทบทวนกับหนังสือภาษาพม่าต้นฉบับ

องค์กรพุทธศาสนานุคคะหะ ได้ร้องขออย่างถ่อมตนถึงเจ้าสำนักและพระภิกษุ พระวิปัสสนาจารย์โรงเรียนฝึก สำหรับการทบทวนตรวจชำระ และการอ่านพิสูจน์อักษรตามความจำเป็น

เพราะฉะนั้นองค์กรพุทธศาสนานุคคะหะ จึงสำนึกบุญคุณต่อเจ้าสำนัก (พระอาจารย์ใหญ่) สะยาดอว์ ยู มัณฑะละ (ศาสนาธะชา ธรรมจริยะ) พระอาจารย์ ยู สุวรรณ (ศาสนตักกศิลา ธรรมจริยะ)

B.A. (พุทธศาสนา) M.A. (มหาวิทยาลัย เกลานียา, ประเทศศรีลังกา) ยู ปัณณสาร (ศาสนทะชา ธรรมจริยะ) และ ยู เวลุ ริยะ (ศาสนทะชา ธรรมจริย = B.A. จากโรงเรียนฝึกอบรม) สำหรับมีส่วนร่วมอย่างขันแข็ง และ ขอบคุณท่านเหล่านั้น ด้วยคำกล่าวว่า “สาธุ สาธุ สาธุ”

ยู วิน เทียน (ประธาน)

องค์กรพุทธศาสนา นุคคะหะ

มหาสี ศาสนา เยกตา ย่างกุ้ง, พม่า

บันทึก

ตามคำแนะนำของพระมหาสีสะยาดอว์


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลส

ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พระองค์นั้น

มหาเศรษฐี นักวิจัย หรือผู้บริหารในรัฐบาลเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะเก็บรักษาบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญที่ผ่านมา

บันทึกเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มหาศาลแก่อนุชนรุ่นหลัง เพื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นอาจบรรลุเป้าหมายโดยไม่ยากเย็น

พระพุทธเจ้าได้ทำงานอย่างหนักในการแสวงหาการตรัสรู้อันเป็นที่พึ่งอันแท้จริงของพวกเรา หลังจากได้ค้นพบทางไปสู่พระนิพพานอันแท้จริงแล้ว พระพุทธองค์เองได้ให้บันทึกงานแห่งอริยะนี้ไว้โดยการแสดงธรรมไว้ในพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม คนเหล่านั้นที่ได้ฟังหรือได้รับคำสอนเหล่านี้จากพระพุทธเจ้าเอง หรือจากพุทธสาวกต่างได้โอกาสที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านี้ บรรดามหาชนทั้งหลายเหล่านั้น (เทวดาและมนุษย์) บางคนก็หลุดพ้นจากสังสารวัฏและบรรลุถึงพระนิพพานโดยหนทางนี้ ดังนั้น บันทึกเกี่ยวกับโลกุตรธรรมนี้จึงมีประโยชน์มากแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง

ความจริงแล้ว ธรรมเนียมการจดบันทึกเหตุการณ์จริงทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติที่ลึกซึ้งและลงลึกอย่างเช่นวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น บันทึกของพระวิปัสสนาจารย์ อาจเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าให้แก่อนุชนรุ่นหลังได้ บันทึกเหล่านี้สามารถใช้เป็นแนวทางให้กับพระวิปัสสนาจารย์สำหรับการสอบถามลูกศิษย์หรือผู้ปฏิบัติธรรมและยังอาจเป็นประโยชน์ในการจัดระดับวิปัสสนาของผู้ปฏิบัติธรรมได้อีกด้วย ด้วยความตั้งใจอย่างนี้ พระคุณท่านมหาสะยาดอว์จึงได้แนะนำให้พระอาจารย์สะยาจันและพระวิปัสสนาจารย์สะยาเคเวทรวบรวมบันทึกของพวกท่านเองที่ได้สัมภาษณ์ลูกศิษย์เอาไว้

ทั้งสองท่านได้จัดทำอยู่หลายปีทีเดียวภายใต้การแนะนำของท่านมหาสีสะยาดอว์ และได้สอนลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก สิ่งที่พวกท่านได้ทำการจดไว้นั้นเป็นงานเขียนชิ้นแรกในการสัมภาษณ์กับผู้ปฏิบัติธรรม หลังจากได้รับคำแนะนำของพระอาจารย์สะยาดอว์แล้ว

พระอาจารย์สะยาจันและสะยาเคเวทได้ทำการจดบันทึกประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริง

พระคุณท่านมหาสีสะยาดอว์ ได้อ่านและได้ตรวจชำระบันทึกประจำวันของท่านสะยาจันและสะยาแคทแบบคำต่อคำเลยทีเดียว มีเพียงการแก้ไขความผิดพลาดการใช้ไวยากรณ์ให้ถูกต้องเท่านั้น เนื้อความเดิมมีความชัดเจนดีอยู่แล้ว

บันทึกช่วยจำ

คำพูดของผู้ปฏิบัติธรรมในหนังสือเล่มนี้ เป็นภาษาที่ใช้ประจำวันเท่านั้น บันทึกพระวิปัสสนาจารย์ เล่มนี้ไม่ได้ถอดความจากพระไตรปิฎกหรือตำราเพื่อดึงดูดผู้ที่ไม่เชื่อในวิปัสสนากัมมัฏฐานแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับ

ผู้สงสัยที่จะคำนึงว่า หนังสือเล่มนี้ตรงตามพระไตรปิฎกหรือไม่ (บันทึกนี้สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในการปฏิบัติตามแนวทางนี้เท่านั้น)

หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อช่วยพระวิปัสสนาจารย์ที่มีคุณภาพ ซึ่งได้ปฏิบัติตามแนวทางวิธีของพระคุณท่านมหาสีสะยาดอว์ และได้ปฏิบัติมายาวนานพอที่จะลุถึงความรู้ขั้นที่ ๑๖ ได้ ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน หรือผู้ที่ปฏิบัติไม่นานพอที่จะลุถึงความรู้ขั้นที่ ๑๖ ไม่ควรศึกษาหนังสือเล่มนี้ เพราะว่าหากพวกเขาได้ดูสารบัญหนังสือเล่มนี้แล้ว อาจจะมีแนวคิดหรืออาจจะไม่เข้าใจและเริ่มมีความสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติ เพราะคนเหล่านั้นอาจจะคิดบิดเบือนซึ่งอาจเป็นโทษต่อพวกเขาเอง ถึงแม้ว่าคนที่เข้าใจสาระในหนังสือเล่มนี้อาจจะคิดเกี่ยวกับสาระเหล่านี้ ขณะกำลังปฏิบัติกัมมัฏฐาน จิตของบุคคลนั้นจะหวั่นไหว ก่อให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน จากนั้นความรู้ก็จะไม่แหลมคม แต่ความรู้เดิมจากการอ่านยังอาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระดับความรู้ในกัมมัฏฐานอีกด้วย

ดังนั้น ผู้ที่มีหนังสือ “บันทึกพระวิปัสสนาจารย์” ไม่ควรให้ลูกศิษย์หรือผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับกัมมัฏฐานอ่าน ผู้ที่ยังไม่ได้รับความรู้ทั้ง ๑๖ ระดับ ถึงแม้เจอหนังสือนี้ก็ไม่ควรอ่าน เพราะถ้าแม้พวกเขาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วและชอบ พวกเขาก็จะไม่มีความปีติยินดีกับหนังสือเล่มนี้ในใจเขาแต่ประการใด

แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริงและอย่างซื่อตรงในวิธีการปฏิบัตินี้ผู้ที่ประสงค์จะปฏิบัติอย่างเป็นระบบจนกว่าจะถึงจุดที่น่าพอใจ และถ้าไม่มีคนชี้แนะหนังสือนี้ก็อาจเป็นครูหรือแนวทางได้ แต่ผู้ปฏิบัติไม่ควรคิดถึงหนังสือเล่มนี้ ในขณะที่กำลังปฏิบัติ เพราะว่าหนังสือเล่มนี้ได้บรรจุแนวทางของพระวิปัสสนาจารย์ที่เกี่ยวกับผู้ปฏิบัติธรรมเอาไว้ ถ้าใช้หนังสือเล่มนี้ได้อย่างเหมาะสม ก็สามารถบรรลุนิพพานได้

คำเตือน

การนำเสนอในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงประสบการณ์เฉพาะตัวเท่านั้น คำกล่าวและตัวอย่างของผู้ปฏิบัติธรรมอาจจะไม่เป็นวิธีตัวอย่าง ที่จะสัมภาษณ์สอบถามได้ วิธีที่พระวิปัสสนาจารย์ช่วยลูกศิษย์ในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงการให้แนวคิดที่จะทำให้ถูกต้อง หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่คู่มือที่สมบูรณ์แบบสำหรับพระวิปัสสนาจารย์ บางทีความตั้งใจเป็นพิเศษจากลูกศิษย์ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่พระวิปัสสนาจารย์ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง การบันทึกก็ไม่อาจจดไว้ได้ทั้งหมด ดังนั้น ความระมัดระวังรอบคอบก็สำคัญที่จะไม่จำกัดคำสอนตามสารบัญของหนังสือนี้เท่านั้น ถ้าจำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียดมากขึ้น ต้องใช้ความคิดของท่านเองผนวกกับความรู้เดิมที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้

บางทีพระวิปัสสนาจารย์ก็อาจจะพบว่า มันเป็นเรื่องยากจะบอกระดับของความรู้ได้ จากนั้นพึงใช้ประสบการณ์ของท่านเอง (คำกล่าวของผู้ปฏิบัติธรรม) เทียบกับสิ่งที่มีปรากฏในหนังสือนี้ แต่จงเปรียบเทียบให้แม่นมั่นและเมื่อท่านมั่นใจในระดับความรู้ของศิษย์ท่านแล้ว ก็เก็บสิ่งนั้นไว้เป็นประสบการณ์บางทีที่โยคี (ผู้ปฏิบัติธรรม) ได้ถึงระดับความรู้ที่แน่นอนแล้วแต่ไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน ในกรณีเช่นนั้น พระวิปัสสนาจารย์ควรบอกเป็นนัยเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณที่ศิษย์ได้รับ เพื่อว่าศิษย์จะสามารถเปรียบเทียบได้เอง

ในระดับของสัมมสนญาณ ประสบการณ์ ความรู้ และวิธีคิดมีหลากหลายมากมาย บันทึกประสบการณ์ของลูกศิษย์อาจจะเหมือนสภาวะจิตในระดับสูงขึ้นไป วิธีของโยคีที่เปิดเผยอันเกี่ยวโยงกับประสบการณ์ ก็คล้ายกับระดับของ “สังขารุเปกขาญาณ” รูปแบบที่สงบเงียบอาจจะลุถึงระดับที่สูงขึ้นไป แต่ผู้ปฏิบัติควรจะแสดงออกมาเหมือนยังอยู่ในระดับต่ำ (มีความถ่อมตน)

บางครั้งโยคีอาจจะขึ้นถึงขั้นสูงและได้แจ้งให้พระวิปัสสนาจารย์ทราบ ต่อมาโยคีนั้นอาจจะไม่กลับไปถึงระดับนี้อีก ดังนี้เขาจึงต้องกลับไปอธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ในระดับที่ต่ำกว่า เพราะฉะนั้นบางทีมันก็เป็นเรื่องยาก ที่จะกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อตัดสินตามที่ได้ฟังจากการบอกของโยคี

ดังนั้น จงเก็บการตัดสินระดับความรู้ของโยคีไว้กับตัวท่านเองเถิดและถ้าเมื่อจำเป็นสำหรับผู้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่จะบอกใครเกี่ยวกับการเข้าถึงของลูกศิษย์ ก็จงพูดถึงความคิดเห็นของท่านเอง เฉพาะส่วนที่ท่านมั่นใจเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อย่าได้พูดเพียงความคิดเห็นของท่านจงเชื่อมโยงกับการบอกกล่าวของโยคี

ถ้าหากท่านไม่มั่นใจเมื่อจะตัดสินระดับของโยคีว่าอยู่ในระดับต่ำหรือระดับสูง ท่านพึงตัดสินใจเองได้ว่ายังอยู่ในระดับต่ำ

ผู้เป็นพระวิปัสสนาจารย์นั้นต้องรับผิดชอบสำหรับความผิดพลาด หรือความสำเร็จของผู้เป็นศิษย์ ดังนั้น ในการประเมินลูกศิษย์ของท่านอย่างรอบคอบและการใช้หนังสือเล่มนี้เป็นตัวช่วยที่จะชี้แนะศิษย์ของท่านในแนวทางนั้น ท่านก็สามารถนำศิษย์เหล่านั้นไปสู่หนทางแห่งพระนิพพานอันแท้จริงได้


ภัททันตะ โสภณเถระ พระอาจารย์ผู้ประพันธ์

“วิถีแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน”

พ.ศ.๒๔๙๐

อารัมมบท

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

“พระพุทธเจ้า ผู้หาที่เปรียบมิได้

ผู้ทรงสั่งสอนชนเหล่านั้นที่เป็นเวไนยสัตว์”


พระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งอันแท้จริงของพวกเรา เป็นผู้ตรัสรู้

ผู้ทรงศีล สมาธิ และปัญญา ได้สอนทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

คำสอนและการชี้แนะของพระองค์ เป็นสิ่งสูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งคำสอนทั้งหลายดังนั้น พระองค์จึงถือได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า อัปปฏิบุคคล (บุคคลไม่มีที่เปรียบ) ผู้ซึ่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย

มหาชนเหล่านั้นที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลายสามารถบรรลุความเป็นอิสระได้ในการนั่งสมาธิครั้งเดียว เนื่องจากคำสอนนี้เป็นคำสอนที่แนะแนวทางไปสู่ความเป็นอิสระ พระองค์ถือได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหาที่เปรียบไม่ได้ ได้ทรงสอนเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย

พระองค์สามารถสอนและชี้แนะเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อให้ประโยชน์สุขทั้งชาตินี้และชาติหน้าและให้ลุถึงพระนิพพานได้ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเป็นบรมครูที่แท้จริงและศักดิ์สิทธิ์ที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายควรถือเอาเป็นสรณะ

พวกเราจงนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าเพื่อแสดงความเคารพต่อพระองค์ที่ทรงเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) พระองค์ผู้หาที่เปรียบมิได้ทรงฝึกเวไนยสัตว์ พระพุทธเจ้าผู้สมควรแก่การยกย่องและเคารพในฐานะที่เป็นผู้ตรัสรู้ พระธรรมที่สอนโดยพระพุทธเจ้าเป็นมรรค ผล นิพพาน พระอริยสงฆ์ ผู้เป็นพระพุทธบุตรอันแท้จริง

ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยพระวิปัสสนาจารย์ในงานวิปัสสนาของพวกท่าน จึงได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นในแนวทางที่พระวิปัสสนาจารย์ จะสามารถแนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ได้โดยง่ายดายตามคำแนะนำของพระคุณท่านมหาสีสะยาดอว์ พระวิปัสสนาจารย์นามว่า พระอาจารย์ สะยา เคี่ยน และพระอาจารย์ สะยา แคเวท จึงได้รวบรวมเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้นชื่อว่า “บันทึกพระวิปัสสนาจารย์”