แนวทางปฏิบัติธรรม พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ อภิปุญฺโ ) (ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม วรวิหาร) ทางสายเดียว เอกายโน อยํ ภิ กฺ ขเว มคฺ โค สตฺ ต านํ วิ สุ ทฺ ธิ ย า โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย, ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺ านา. “ภิก ษุ ทั้ ง หลาย ! ทางนี้ เ ป็ น ทางเดี ย ว เพื่ อ ความ บริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย เพื่อล่วงโสกะปริเทวะ เพื่อดับ ทุกข์และโทมนัส เพื่อ บรรลุญายธรรม เพื่อทาให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๙๐/๔๓. ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. มอบเป็นธรรมบรรณาการ แนวทางการปฏิบัติธรรมเล่มนี้ เป็นแนวทางอันประเสริ ฐที่จะใช้ เป็น คู่มื อการแนะน าในการปฏิบัติ ธรรม เพื่ อน้ อมน าไปสู่วิ ถี ท างแห่ง การ ปฏิบัติที่ถูกต้องตามพระธรรมคาสั่งสอนของพระสัมมาสั มพุทธเจ้า อันจะ นาไปสู่การรู้แจ้งและพ้นจากความทุกข์ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่อ้างอิงจากหลัก มหาสติปัฎฐานสูตร ซึ่งได้อธิบายถึงการทาความเข้าใจในเบื้องต้นและวิธีการ ปฏิบัติตามแนวทางมหาสติปัฏฐาน ๔ รวมถึงอานิสงส์ของการปฏิบัติด้วย ดังนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดแก่ท่าน ผู้สนใจปฏิบัติธรรม อันจะนาผลานิสงส์ คือ มรรค ผล พระนิพพาน ให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ ข้าพเจ้า _________________________ ขอมอบหนังสือฉบับนี้ให้กับท่าน ด้วยบุญกุศลคุณงามความดี ที่เกิดขึ้นจากการมอบหนังสือเล่มนี้ ขออุทิศให้แก่ _________________________ ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวร ศัตรูหมู่มารร้ายทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ ได้รับบุญกุศล อันเกิดแต่ทานบารมีในครั้งนี้ ด้วยกันทุกท่าน ทุกคน ทุกตน เทอญ แนวทางปฏิบัติธรรม พระครูปลัดสัมพิพฒ ั นธรรมาจารย์ (นิรันดร์ อภิปุญฺโ ) ผู้รวบรวม ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสานักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in publication Data พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ อภิปุญฺโ ) แนวทางปฏิบัติธรรม กรุงเทพฯ : ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, ๒๕๖๐. ๓๕๕ หน้า. แนวทางปฏิบัติธรรม. ชื่อเรื่อง. ISBN : จัดทาโดย : พระนิรันดร์ ศิริรัตน์ เดือน/ปี พิมพ์ : ๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ จานวนพิมพ์ : ๓,๐๐๐ เล่ม (แจกเป็นธรรมทาน) จัดรูปเล่มโดย : พระนิรันดร์ อภิปุญฺโ ผู้ตรวจทาน : พระครูญาณวิจักขณ์ (สิทธิโชค) าณสุทฺโธ พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโ พระมหาเด่น กลฺยาณวิชฺโช พิมพ์ที่ : ห้างหุ้นส่วนจากัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์ ๔๑/๑๓๒ หมู่ ๖ ถ.กานันแม้น บางขุนเทียน จอมทอง กรุงเทพมหานคร โทร/โทรสาร. ๐๒-๘๐๒-๐๓๗๙ มือถือ ๐๘๑-๕๖๖-๒๕๔๐ E-mail : doramon.1914@yahoo.com สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙, น.ธ.เอก, MA, Ph.D) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ศาสตราจารย์พิเศษ ประจามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระครูปลัดสัมพิพฒ ั นธรรมาจารย์ นิรันดร์ อภิปุญฺโ (ศิริรัตน์) พธ.ม.(วิปัสสนาภาวนา) นธ.เอก, กัมมัฏฐานาจริยะ ผูช้ ่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม วรวิหาร แนวทางปฏิบัติธรรม [๑] คาปรารภ หนังสือแนวทางปฏิบัติธรรมเล่มนี้ ได้จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการปฏิบัติธรรม เนื้อหาสาระส่วนใหญ่เป็นการแนะนาผู้ปฏิบัติธรรมจาก ประสบการณ์ของข้าพเจ้า สามารถใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติสาหรับผู้ สนใจ ปฏิ บั ติ ธ รรม เกล้ า ฯ ขอน้ อ มกราบเจ้ า พระคุ ณ สมเด็ จ พระพุ ท ธชิ น วงศ์ (สมศักดิ์ อุปสมมหาเถระ) ที่ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้า จึงสามารถทาให้หนังสือ เล่มนี้สาเร็จลุล่วงด้วยดี อนึ่ง คากลอนทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ อ้างอิงมาจาก หนังสือภาพอุปมาสติปัฏฐาน ๔ ของหลวงพ่อ ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ด้วยกุศลคุณความดี ที่เกิดขึ้นจากการเรียบเรียงเขียนหนังสือเล่มนี้ ขอมอบให้แก่ คุณพ่อสนั่น ศิริรัตน์ คุณแม่มาลี ทองเทพ ที่ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า และขอถวายกุศลแด่พระอาจารย์สมศักดิ์ โสรโท รวมทั้ง อู จาติละ สยาดอ พระอาจารย์ ผู้ ใ ห้ ก ารอบรมสั่ ง สอนและถ่ า ยทอดเทคนิ ค วิ ธี ก ารปฏิ บั ติ วิปัสสนากรรมฐานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก่ข้าพเจ้า ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของเนื้อหาที่อ้างถึงและเจ้าภาพทุกๆท่าน ผู้ไ ด้เสียสละปัจจัยร่วมในการจัดพิมพ์ในครั้งนี้ การได้มีโอกาสร่วมเผยแผ่ ธรรมหรือให้ธรรมเป็นธรรมทาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เป็นการ ชนะการให้ทั้ง ปวง จึงขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยจงมาปกป้อง คุ้มครองรักษาให้ท่านปราศจากโรคาพยาธิ มีสติปัญญามั่นคง ดารงตนอยู่ ด้วยสัมมาทิฏฐิ แม้ดาริกิจการงานใดๆ ขอให้สาเร็จดังมโนปณิธานที่ ได้ตั้งไว้ดี แล้วทุกประการ เทอญ ด้วยไมตรีธรรม พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ ศิริรัตน์ ) กัมมัฏฐานาจริยะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร แนวทางปฏิบัติธรรม [๒] คานา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสแนะนาวิธีการปฏิบัติ ธรรมไว้ในพระไตรปิฎก หลายๆ พระสูตรด้วยกั น ซึ่ง เป็นวิ ธี การปฏิบัติ ที่ หลากหลาย แต่เมื่อสรุปแล้ว รวมลงที่แนวทางการปฏิบัติแบบการเจริญสติ อุปมาเหมือนรอยเท้าของสัตว์บกทั้งหลาย ชนิดใดๆ ก็ตาม ย่อมลงในรอย เท้าช้างได้ทั้งหมด, รอยเท้าช้าง เรียกว่าเป็นยอดของรอยเท้าเหล่านั้น โดย ความใหญ่ ฉั น ใด กุ ศ ลธรรมทั้ ง หลายอย่ า งใดๆ ก็ ต าม ย่ อ มมี ส ติ เ ป็ น มู ล ประชุมลงในการเจริญสติได้ทั้งหมด การมีสติ เรียกได้ว่า เป็นยอดของธรรม เหล่านั้น ฉันนั้น การเจริญสติจึงเป็นแนวทางเดียวที่สามารถนาไปสู่การพ้นทุกข์ได้ ดังพุทธดารัสว่า“เอกายโน อย ภิกฺขเว มคฺโค... ทุกฺขโทมนสฺสาน อตฺถงฺค มาย... ยทิท จตฺตาโร สติปฏฺ านา” แปลว่า ทางนี้เป็นทางเดียวเท่านั้น... เพื่อดับทุกข์และโทมนัส... เพื่อทาให้แจ้งนิพพาน ทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ จากข้อความเบื้องต้น จึงเป็นที่มาแห่งเนื้อหาของหนังสือแนวทาง ปฏิบัติธรรมเล่มนี้ ที่ รวบรวมหลักธรรมทั้งหลายที่เป็นประโยชน์ มาเพื่อจะ อธิบายถึง แนวทางการปฏิบัติธรรมตามหลักของมหาสติปัฎฐานสูตร โดย มุ่ง เน้ น ในการทาความเข้าใจการปฏิ บัติธ รรม ในเบื้องต้น บอกเนื้อ หาถึ ง วิธีการปฏิบัติธรรม ในท่ามกลาง และบทสรุป ส่งท้ายในที่สุด ซึ่งการจัดพิมพ์ ในครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับคาติชมจากท่านผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อนามา ปรับปรุงแก้ไขในการจัดพิมพ์ครั้งต่อไป ด้วยไมตรีธรรม พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ (นิรันดร์ ศิริรตั น์ ) กัมมัฏฐานาจริยะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร แนวทางปฏิบัติธรรม [๓] ประวัติผรู้ วบรวม ------------------------------------ชื่อ พระครูปลัดสัมพิพัฒนธรรมาจารย์ ฉายา อภิปุญฺโ อายุ ๔๔ พรรษา ๑๕ วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ป.ธ.๑-๒, พธ.ม. วิปัสสนาภาวนา สั ง กั ด วั ด พิ ช ยญาติ ก าราม วรวิ ห าร แขวงสมเด็ จ เจ้ า พระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร สถานะเดิม ชื่อ นิรันดร์ นามสกุล ศิริรัตน์ เกิดวัน ๑ ฯ๙ ๑๑ ค่า ปีฉลู ตรง กับวันที่ ๒๑ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ บิดาชื่อ นายสนั่น ศิริรัตน์ มารดาชื่อ นางมาลี ทองเทพ บ้านเลขที่ ๓๗๒ หมู่ที่ ๑ ตาบล ในเมือง อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก บรรพชาอุปสมบท วัน ๑ ฯ๒ ๗ ค่ า ปี จ อ ตรงกับ วั นที่ ๒ ธัน วาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ วัดจุฬามณี ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พระอุปัชฌาย์ พระครูอาธรวรการ วัดธรรมจักร ตาบลอรัญญิก อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พระกรรมวาจาจารย์ พระครูสุเมธธรรมโสภณ วัดพิกุลวราราม (สะพาน ๔) ตาบลอรัญญิก อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พระอนุสาวนาจารย์ เจ้าอธิการปิยพงศ์ วัดโพธิญาณ ตาบล อรัญญิก อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก แนวทางปฏิบัติธรรม [๔] วิทยฐานะ พ.ศ. ๒๕๒๙ พ.ศ. ๒๕๓๘ พ.ศ. ๒๕๔๙ พ.ศ. ๒๕๔๙ พ.ศ. ๒๕๕๐ พ.ศ. ๒๕๕๐ ส าเร็ จ ชั้ น ประถมศึ ก ษาปี ที่ ๖ โรงเรี ย นวั ด ท่ามะปราง ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จังหวัด พิษณุโลก ส าเร็ จชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาตอ นปลาย (ม.ศ.๖ ) โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่เฉลิมขวัญสตรี ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สอบได้นักธรรมชั้ นเอก สานัก เรียนวัดบ้านใหม่ ตาบลในเมือง อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สอบได้เปรียญธรรม ๑-๒ ประโยค สานักเรียนวัด พระศรี รั ต นมหาธาตุ ว รวิ ห าร ต าบลในเมื อ ง อาเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สาเร็จปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) คณะ มนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ (เกียรตินิยม) มหาวิ ท ยาลั ย มหาจุ ฬ าลงกรณราชวิ ท ยาลั ย (มหาวิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก) สาเร็จปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พธ.ม.) สาขาวิปัสสนาภาวนา มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส จ.นครปฐม ความชานาญพิเศษ - งานวิปัสสนากรรมฐาน, งานเลขานุการ, งานจัด อบรม,งานสาธารณูปการ, งานบรรยาย, งานอบรม, งานปาฐกถา, งานประชาสัมพันธ์, งานสอนวิชาการ ด้ า น พ ร ะ พุ ทธ ศ าสน า ศี ล ธ ร ร ม จ ริ ยธ ร ร ม , คอมพิวเตอร์ เป็นต้น แนวทางปฏิบัติธรรม [๕] ปัจจุบันดารงตาแหน่ง - ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร - พระวิปัสสนาจารย์ประจาวัดพิชยญาติการามวรวิหาร - พระวิปัสสนาจารย์ประจาศูนย์ปฏิบัติธรรม”ธรรมโมลี” - พระวิปัสสนาจารย์ประจาคณะสงฆ์หนกลาง - พระวิปัสสนาจารย์ดาเนินงานโครงการอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ในกองทุนอุปถัมภ์ทุนเล่าเรียนหลวงสาหรับพระสงฆ์ไทย - เลขานุการคณะพระวิปัสสนาจารย์ดาเนินงานโครงการอบรม พระวิปัสสนาจารย์ในกองทุนอุปถัมภ์ทุนเล่าเรียนหลวงสาหรับ พระสงฆ์ไทย - หัวหน้าสงฆ์ศูนย์ปฏิบัติธรรมพุทธชินวงศ์ เมืองคริสเตียนซันด์ ประเทศนอร์เวย์ - พระวิปัสสนาจารย์ประจาโครงการอบรมวิปัสสนาประจาปีของ พระนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในระดับ ปริญญาตรีทั้งส่วนกลางและวิทยาเขต - พระวิปัสสนาจารย์ประจาโครงการอบรมวิปัสสนาของพระนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในระดับปริญญาโท สาขาวิปัสสนาภาวนา หลักสูตร ๗ เดือน แนวทางปฏิบัติธรรม [ ๖] รางวัลเกียรติยศ รับเสาอโศกจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมยุวพุทธิก สมาคม กรุงเทพฯ เนื่อ งในการเป็นบุคคล ทาคุณประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา แนวทางปฏิบัติธรรม [๗] สารบัญ เรื่อง หน้า คาปรารภ ……………….. ……………….. (๑) คานา สารบัญ …………….…. ……………….. ……………….. ……………….. (๒) (๗) อักษรย่อชื่อคัมภีร์……………... ……………….. (๑๘) ปริเฉทที่ ๑ ความเข้าใจเบื้องต้น การปฏิบัติธรรม ……………….. ……………….. ๒ การปฏิบัติธรรม...ทาอย่างไร ……………….. ปฏิบัติธรรมได้อะไร…… ……………….. ผลพลอยได้จากการปฏิบัติธรรม……………….. ๓ ๕ ๑๐ ความยาก ๔ ประการ……………... ……………….. ๑๔ เกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ……………….. ๑๗ การมีชีวิตอยู่ก็ยาก…… พระพุทธเจ้าอุบัติยาก ……………….. ……………….. ๒๐ ๒๑ การได้ฟังธรรมนั้นยาก ……………….. ๒๔ กิจเบื้องต้นแห่งการปฏิบัติ…… ขั้นตอนการสมาทานกรรมฐาน ……………….. ……………….. ๒๘ ๓๑ ความกังวล ๑๐ ประการ…… ……………….. ๓๕ กังวลที่อยู่ ……………….. ……………….. ๓๕ แนวทางปฏิบัติธรรม [๘] กังวลตระกูล………….….. ……………….. ๓๖ กังวลลาภ …………..….. ……………….. ๓๖ กังวลหมู่คณะ…………….. กังวลการงาน…………….. กังวลเวลา ……………….. ……………….. ……………….. ……………….. ๓๗ ๓๗ ๓๘ กังวลญาติ ……………….. ……………….. ๓๘ กังวลเจ็บไข้……………….. ……………….. ๓๘ กังวลการศึกษา…….….... กังวลฤทธิ์ ……………….. ……………….. ……………….. ๓๙ ๔๐ ……………….. ……………….. ๔๑ วางความรู้ ๓ แบบ….….. วางความรู้อัตตา……..….. ……………….. ……………….. ๔๒ ๔๓ วางความรู้ปัจจุบัน..…….. ……………….. ๔๕ เครื่องป้องกันรักษาจิต.……….. พุทธานุสสติ…………….….. ……………….. ……………….. ๔๗ ๔๘ อสุภกรรมฐาน…………….. ……………….. ๕๗ มรณานุสสติ……………….. ……………….. ๖๐ เมตตาภาวนา…………….. ……………….. ๖๕ ความปกติของศีล……….…….. ……………….. ๗๒ กรรมวิบากของศีล ๕.… ……………….. ๗๓ วางความรู้ แนวทางปฏิบัติธรรม [๙] อานิสงส์รักษาศีล ๕……… ……………….. ๗๕ ศีลปรมัตถ์ …………….….. ……………….. ๗๖ สติสังวรศีล …………….. ขันติสังวรศีล……...….… วิริยสังวรศีล…………….. ญาณสังวรศีล………..… ……………….. ……………….. ……………….. ……………….. ๗๗ ๗๗ ๗๘ ๗๙ การสารวมอินทรีย์………..….. ……………….. ๘๐ อุปมาสัตว์ ๖ ชนิด…….… พระจิตตคุตตเถระ….….. ……………….. ……………….. ๘๑ ๘๔ วิธีการสารวม…………….. ……………….. ๘๖ ……………….... ชือ่ ว่ามีสติ ……………….... ……………….. ……………….. ๘๘ ๘๙ คุณสมบัติของสติ…………… ……………….. ๙๑ สัมปชัญญะ ……………..….. ลักษณะของสัมปชัญญะ ……………….. ……………….. ๙๖ ๙๘ สาตถกสัมปชัญญะ ……………….. ๙๘ สัปปายสัมปชัญญะ ……………….. ๙๘ โคจรสัมปชัญญะ อสัมโมหสัมปชัญญะ ……………….. ……………….. ๙๙ ๙๙ สัมปชัญญะ ๔ ประเภท .……………….. ๑๐๑ สติ แนวทางปฏิบัติธรรม การกาหนด [๑๐] …………….….. ……………….. ๑๐๒ ความรู้ ๓ แบบ……….…….. ……………….. ๑๐๓ องค์ประกอบแห่งการกาหนด ……………….. การกาหนดตัดภพชาติได้ ……………….. กาหนดให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา .………………. ๑๐๓ ๑๐๔ ๑๐๕ ปัจจุบัน …………….... ……………….. ๑๐๙ ปัจจุบันกาล ……………….. ……………….. ๑๑๐ ปัจจุบันธรรม……….…….. ปัจจุบันขณะ……………….. ……………….. ……………….. ๑๑๐ ๑๑๑ สันตติปัจจุบัน……………….. ……………….. ๑๑๒ ปัจจุบันเฉพาะหน้า…..….. ……………….. ประโยชน์ของการกาหนดปัจจุบัน……………….. ๑๑๓ ๑๑๓ การบริกรรม ………………... พระจุลปันถก………….….. วิธีบริกรรม ……………….. ……………….. ……………….. ……………….. ๑๑๕ ๑๑๖ ๑๑๘ พองยุบ ……………….. ธาตุลมในท้อง……..…….. ……………….. ……………….. ๑๒๐ ๑๒๒ วิธีกาหนดพองยุบ………. ……………….. ๑๒๕ ……………….. ความหมาย ……………….. ……………….. ……………….. ๑๒๗ ๑๒๗ หนอ แนวทางปฏิบัติธรรม [๑๑] สักแต่ว่า ……………….. ……………….. ๑๒๙ ประโยชน์ของหนอ.……. ……………….. ๑๓๐ ต้นจิต ………………... เป็นปัจจุบันธรรม.……..… เป็นฉันทะ ……………….. ……………….. ……………….. ……………….. ๑๓๑ ๑๓๒ ๑๓๒ เป็นกุศล ……………….. ……………….. ๑๓๓ ประโยชน์ ……………….. ……………….. ๑๓๔ วิธีการกาหนด…………….. ……………….. ๑๓๕ ปริเฉทที่ ๒ การปฏิบัติธรรม มหาสติปัฏฐานสูตร………….. มูลกาเนิดมหาสติปัฏฐาน ……………….. ……………….. ๑๓๗ ๑๓๙ นกแขกเต้า ………………. ……………….. ๑๔๑ อานิสงส์ ……………... ……………….. ๑๔๒ กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน ……………….. ๑๔๓ การยืนภาวนา………….. ……………….. ๑๔๕ การกาหนดอิริยาบถยืน ……………….. ๑๔๕ วิธีการปฏิบัติ ………….. สิ่งที่พึงเว้นขณะกาหนดยืน ……………….. ……………….. ๑๔๖ ๑๔๖ ประโยชน์ของการยืนกาหนด ……………….. ๑๔๗ พระอาตุมะบรรลุธรรมในขณะยืน………..…….. ๑๔๗ แนวทางปฏิบัติธรรม [๑๒] การเดินจงกรม ……………….. ……………….. ๑๔๙ ชนปทกัลยาณีสูตร………. ……………….. ๑๕๐ การกาหนดอิริยาบถเดิน อานิสงส์การเดินจงกรม ……………….. ……………….. ๑๕๒ ๑๕๕ การนั่งเจริญสติ ……………….. ……………….. ๑๕๖ ……………….. ……………….. ๑๕๗ วิธีปฏิบัติ ……………….. ……………….. ๑๕๘ สิ่งที่พึงเว้นขณะนั่ง ประโยชน์จากการนั่ง ……………….. ……………….. ๑๕๘ ๑๕๙ การกาหนดอิริยาบถนั่ง ……………….. ๑๖๐ การนอนกาหนด……………….. โทษของการนอนขาดสติ ……………….. ……………….. ๑๖๑ ๑๖๑ การนอน ๔ แบบ.……….. ปุณณทาสี ……………….. วิธีการปฏิบัติ………….….. ……………….. ……………….. ……………….. ๑๖๒ ๑๖๔ ๑๖๖ สิ่งที่พึงเว้นขณะนอน…… ……………….. ๑๖๗ อานิสงส์ ……………….. ……………….. ๑๖๗ ประโยชน์การนอนกาหนด ข้อควรระวัง ………….….. ……………….. ……………….. ๑๖๗ ๑๖๘ การนอนหลับแบบมีสติสัมปชัญญะ….……….. ๑๖๘ ท่านั่ง แนวทางปฏิบัติธรรม [๑๓] อิริยาบถย่อย ……………….. ……………….. ๑๖๙ วิธีการปฏิบัติ………….….. ……………….. ๑๗๑ พระอานนท์บรรลุธรรม ……………….. ๑๗๓ การกราบแบบมีสติ.………….. วิธีกราบสติปัฏฐาน…….. ……………….. ……………….. ๑๗๕ ๑๗๖ การกราบแสดงความเคารพ ……………….. ๑๗๙ อานิสงส์การกราบ ……………….. ๑๘๐ เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน เวทนา ๓ ……………….. ……………….. ……………….. ๑๘๑ ๑๘๒ สุขเวทนา ……………….. ……………….. ๑๘๒ ทุกขเวทนา ……………….. อุเบกขาเวทนา…….…….. ……………….. ……………….. ๑๘๓ ๑๘๖ จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน.…. รู้จกั จิต ……………….. รู้ทันจิต ……………….. ……………….. ……………….. ……………….. ๑๘๘ ๑๘๙ ๑๙๓ รู้การปลดปล่อยจิต….... ……………….. ๒๐๐ ธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน…. ……………….. ๒๐๒ ธรรมานุปัสสนา ๕ หมวด ……………….. ๒๐๒ วิธีปฏิบัติในฐานธรรม ……………….. ๒๐๓ แนวทางปฏิบัติธรรม [๑๔] เครื่องกั้นกุศลธรรม ……..… ……………….. ๒๐๕ นิวรณ์ ๕ ……………….. ……………….. ๒๐๕ กรรมฐานที่เหมาะสมแก่นิวรณ์ ……………….. การชาระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ……………….. กามฉันทะ ……………….. ……………….. ๒๐๗ ๒๐๘ ๒๑๑ อุปมาคนเป็นหนี้…..…..… ……………….. ๒๑๑ โทษแห่ง………….………….. ……………….. ๒๑๒ เหตุเกิด เหตุละ ……………….. ……………….. ……………….. ……………….. ๒๑๕ ๒๑๕ ธรรมสาหรับละ……...…… ……………….. ๒๑๖ วิธีการกาหนด…...………… พยาบาท ……………….. ……………….. ………………. ๒๑๗ ๒๑๙ อุปมาคนเป็นโรค……….. ………………. ๒๑๙ เหตุเกิด เหตุละ ……………….. ……………….. ………………. ………………. ๒๒๐ ๒๒๐ ธรรมสาหรับละ………….. ………………. ๒๒๑ วิธีกาหนด ……………….. ………………. ๒๒๓ ถีนมิทธะ ……………….. อุปมาคนติดคุก…….…….. ……………….. ………………. ๒๒๔ ๒๒๔ เหตุเกิด ……………….. ………………. ๒๒๕ เหตุละ ……………….. ………………. ๒๒๖ แนวทางปฏิบัติธรรม [๑๕] อุบายแก้ง่วง ๘ ประการ ………………. ๒๒๖ วิธีกาหนด …………….. ………………. ๒๒๖ อุทธัจจะกุกกุจจะ………….….. อุปมาคนเป็นทาส….…… เหตุเกิด ………….….. ……………….. ………………. ………………. ๒๒๘ ๒๒๘ ๒๓๒ …………….... ………………. ๒๓๓ ธรรมสาหรับละ…………. ………………. ๒๓๓ วิธีการกาหนด…………….. ………………. ลาดับการกาหนดรู้ ความฟุ้งซ่าน ………………. ๒๓๔ ๒๓๕ เหตุละ วิจิกิจฉา ……………….. ……………….. ๒๓๖ อุปมาคนหลงทาง……..… เหตุเกิด ……………….. ……………….. ……………….. ๒๓๖ ๒๓๗ เหตุละ ……………….. ธรรมสาหรับละ…….……. วิธีการกาหนด…………….. ……………….. ……………….. ………………. ๒๓๘ ๒๓๙ ๒๔๐ ขันธ์ ๕ ……………….. ความหมายต่างๆ ของขันธ์ ……………….. ……………….. ๒๔๑ ๒๔๑ วิธีกาหนดขันธ์ ๕……….. ……………….. ๒๔๖ อายตนะ ……………….. อายตนะภายใน……..… ……………….. ……………….. ๒๕๐ ๒๕๐ แนวทางปฏิบัติธรรม [๑๖] อายตนะภายนอก…….. ……………….. ๒๕๐ วิธีการกาหนด………….. ………………. ๒๕๒ ปริเฉทที่ ๓ บทสรุปส่งท้าย อานิสงส์สติปัฏฐาน……..….. ……………….. ๒๕๗ เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์ ……………….. ๒๕๗ เพื่อขจัดความเศร้าโศก เพื่อดับทุกข์โทมนัส ……………….. ……………….. ๒๖๐ ๒๖๐ เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทาพระนิพพานให้แจ้ง. ……………….. ……………….. ๒๖๒ ๒๖๓ ความเพียร …………………… เพียร ๒ ประการ…………… เพียร ๓ ประการ…….……. ……………….. ……………….. ……………….. ๒๖๔ ๒๖๕ ๒๖๕ เพียร ๔ ประการ…………… เหตุทาให้เกิดความเพียร ……………….. ……………….. ๒๖๖ ๒๗๐ อานุภาพความเพียร…….… ……………….. ๒๗๑ ภิกษุผู้ทาความเพียร ๔ ประเภท ……………….. ๒๗๒ ภาวนาต่อเนือ่ ง ……………… ภาวนาไปเถิดจะเกิดผล กิเลสลดเมื่อกาหนดต่อเนื่อง ……………….. ๒๗๕ ……………….. ……………….. ๒๗๕ ๒๗๘ แนวทางปฏิบัติธรรม [๑๗] องค์ธรรมแห่งการปฏิบัติ ……………….. ๒๘๐ ……………….. ……………….. ๒๘๐ สติมา ……………….. สัมปชาโน ……………….. องค์ธรรมแห่งการปฏิบัติ ……………….. ……………….. ……………….. ๒๘๑ ๒๘๑ ๒๘๒ การส่งอารมณ์ ……………….. ……………….. ๒๘๔ กัลยาณมิตร ……………….. ……………….. ๒๘๖ เป็นเพียงผู้บอก…………… พระพุทธเจ้าสอบอารมณ์ ……………….. ……………….. ๒๘๗ ๒๙๓ หลักการส่งอารมณ์………. ……………….. ๒๙๔ วิธีการส่งอารมณ์…………. ……………….. ๒๙๔ ทารุกขันโธปมสูตร …………………. ……………….. ๒๙๖ ฝั่งนี้และฝั่งโน้น……………. ดาดิ่งในวังวน……………….. จมลงตรงกลาง……………… ……………….. ……………….. ……………….. ๒๙๘ ๓๐๐ ๓๐๐ ติดเกาะกลาง……………….. ……………….. ๓๐๑ มนุษย์เก็บไว้……………….. ……………….. ๓๐๑ เทวดาเก็บไป……………….. เน่าในเสียก่อน……….… ……………….. ……………….. ๓๐๒ ๓๐๒ ………………. ……………….. ๓๐๖ รายนามเจ้าภาพผู้จัดพิมพ์หนังสือ ……………….. ๓๑๔ อาตาปี บรรณานุกรม [๑๘] แนวทางการปฏิบตั ิธรรม คาชี้แจงการใช้อักษรย่อและหมายเลขย่อคัมภีร์ พระไตรปิฎกที่ใช้ในการทาหนังสือเล่มนี้ คือ พระไตรปิฎกภาษา บาลีอักษรไทย ฉบับสยามรัฐ และพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวิ ท ยาลั ย เฉลิ ม พระเกี ย รติ ส มเด็ จ พระนางเจ้ า สิ ริ กิ ติ์ พระบรมราชินีนาถ, (กรุงเทพฯ : โรงพิม พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พุทธศักราช ๒๕๓๙) ฉบับบาลี อ้างอิงโดยระบุคัมภีร์ เล่มที่ ข้อที่ และ หน้าที่ เช่น ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๓๖/๖๙ = พระสุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวคฺคปาลิ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๑๓๖ หน้า ๖๙ เป็นต้น ส่วนฉบับไทย อ้างอิงโดยระบุเจ้าของลิขสิทธิ์ฉบับพระไตรปิฎ ก เล่มที่ ข้อ ที่ และหน้าที่ เช่น ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๓๖/๘๑ = พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๑๓๖ หน้า ๘๑ เป็นต้น พระวินัยปิฏก วิ.มหา. วิ.มหา. วิ.ป. วิ.ป. ที.สี. ที.สี. ที.ม. ที.ม. ที.ปา. ที.ปา. ม.มู. (บาลี) (ไทย) (บาลี) (ไทย) = = = = วินยฺปิฏก มหาวิภงฺคปาลิ วินยฺปิฎก มหาวิภังค์ วินยฺปิฏก ปริวารวคฺคปาลิ วินยฺปิฎก ปริวารววรรค พระสุตตันตปิฎก (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย สีลกฺขนฺธวคฺคปาลิ (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวคฺคปาลิ (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (บาลี) = สุตตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย ปาฏิกวคฺคปาลิ (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก มชฺฌิมนิกาย มูลปณฺณาสกปาลิ แนวทางการปฏิบตั ิธรรม [๑๙] ม.มู. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ม.ม. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก มชฺฌิมนิกาย มชฺฌิมปณฺณาสกปาลิ ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิปัณณาสก์ ม.อุ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก มชฺฌิมนิกาย อุปริปณฺณาสกวคฺคปาลิ ม.อุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ส.ส. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สยุตฺตนิกาย สคาถวคฺคปาลิ ส.ส. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ส.ข. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สยุตฺตนิกาย ขนฺธวารวคฺคปาลิ ส.ข. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ส.สฬา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตนิกาย สฬายตนวรรค ส.สฬา. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สยุตฺนิกาย สฬายตนวคฺคปาลิ ส.นิ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สยุตฺตนิกาย นิทานวคฺคปาลิ ส.นิ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ส.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ส.ม. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สยุตฺตนิกาย มหาวารวรรค องฺ.ปญฺจก. (บาลี) = สุตฺตนฺปิฏก องฺคุตฺตรนิกาย ปญฺจกนิปาตปาลิ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) = สุตตันปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิปาต องฺ.สตฺตก. (บาลี) = สุตฺตนฺปิฏก องฺคุตฺตรนิกาย สตฺตกนิปาตปาลิ องฺ.สตฺตก. (ไทย) = สุตตันปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิปาต ขุ.ธ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทปาลิ ขุ.ธ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท ขุ.เถร. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย เถรคาถาปาลิ ขุ.เถร. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา ขุ.ชา. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ชาตกปาลิ ขุ.ชา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ขุ.ม. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย มหานิเทสฺปาลิ ขุ.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิเทส [๒๐] แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ขุ.จู. ขุ.จู. ขุ.ป. ขุ.ป. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย จูฬนิเทสฺปาลิ (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ปฏิสมฺภิทามคฺคปาลิ (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค พระอภิธรรมปิฎก อภิ.สงฺ. (บาลี) = อภิธรรมปิฎก ธมฺมสังคณี อภิ.สงฺ. (ไทย) = อภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี อภิ.ก. (บาลี) = อภิธมฺมปิฏก กถาวตฺถปุ าลิ อภิ.ก (ไทย) = อภิธรรม กถาวัตถุ มิลินฺท. วิสุทฺธิ. ปกรณวิเสส (บาลี) = (บาลี) = มิลินฺทปญฺหปกรณ วิสุทฺธิมคฺคปกรณ ข.คาย่อเกี่ยวกับคัมภีร์อรรถกถา วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ใช้อรรถกถาภาษา บาลีฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในการอ้างอิงโดยระบุเล่ม/ข้อ/หน้า หลังคาย่อชื่อคัมภีร์ เช่น ที.ม.อ. (บาลี) ๕/๓๗๓/๓๕๘ หมายถึง ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินีมหาวคฺคอฏฺกถาภาษาบาลี เล่มที่ ๕ ข้อที่ ๓๗๓ หน้า๓๕๘ และคัมภีร์อรรถกถาภาษาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๕๒๕ เช่น องฺ. เอกก.อ. (ไทย) ๑/๕๓/๖๒ หมายถึง อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี เอกนิบาต อรรถกถา ภาษาไทย เล่มที่ ๑ ข้อที่ ๕๓ หน้า ๖๒ และ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๗๖ หมายถึง ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา เล่ม ๑ หน้า ๗๖. อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ที.สี.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี สีลกฺขนฺธวคฺคอฏฺ กถา แนวทางการปฏิบตั ิธรรม [๒๑] ที.สี.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี สีลขันธวครรคอรรถกถา ที.ม.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี มหาวคฺคอฏฺ กถา ที.ม.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี มหาวรรตอัฏ กถา ม.มู.อ. (บาลี) = มชฺฌิมนิกาย ปปญฺจสูทนี มูลปณฺณาสกอฏฺ กถา ม.มู.อ. (ไทย) = มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี มูลปัณณาสกอัฏ กถา ส.สฬา.อ.(บาลี)=สยุตฺตนิกาย สารตฺถปฺปกาสินี สฬายตนวคฺคอฏฺ กถา ส.ม.อ. (บาลี) =สยุตฺตนิกาย สารตฺถปฺปกาสินี มหาวคฺคอฏฺ กถา องฺ.เอกก.อ.(บาลี)=องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี เอกกนิบาตอฏฺ กถา องฺ.เอกก.อ.(ไทย)=อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณีเอกกนิบาตอรรถกถา องฺ.ติก.อ. (บาลี) =องฺคุตตรนิกาย ติกนิบาตอฏฺฐกถา องฺ.ติก.อ. (ไทย) =อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตอรรถกถา องฺ.อฏฺฐก.อ.(บาลี)=อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี อฏฺฐกนิบาตอรรถกถา องฺ.อฏฺฐก.อ.(ไทย)=อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี อัฏฐกนิบาตอรรถกถา ที.ม.อ. (บาลี) =ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี มหาวคฺคอฏฺ กถา ที.ม.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี มหาวรรคอรรถกถา ม.มู.อ. (บาลี) =มชฺฌิมนิกาย ปปญฺจสูทนี มูลปณฺณาสกอฏฺ กถา ม.มู.อ. (ไทย) = มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี มูลปัณณาสก์อรรถกถา ขุ.ขุ.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ปรมตฺถทีปนี อิติวุตฺตกอฏฺฐกถา ขุ.ขุ.อ. (ไทย) =ขุททกนิกาย ปรมัตฺถทีปนี อิติวุตฺตกอรรถกถา ขุ.ธ.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทอฏฺ กถา ขุ.ธ.อ. (ไทย) =ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา ขุ.เถร.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ปรมตฺถทีปนี เถรคาถาอฏฺ กถา ขุ.เถร.อ. (ไทย) =ขุททกนิกาย ปรมัตถทีปนี เถรอรรถกถา ขุ.ชา.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ชาตกอฏฺ กถา ขุ.ชา.อ. (ไทย) =ขุททกนิกาย ชาดกอรรถกถา ขุ.ป.อ (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ปฏิสมฺภิทามคฺคอฏฺ ขุ.ป.อ. (ไทย) = สุตฺตันตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ปฏิสัมภิทามครรคอรรถกถา [๒๒] แนวทางการปฏิบตั ิธรรม อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก อภิ.สงฺ.อ.(บาลี) = อภิธมฺมปิฏก ธมฺมสงฺคณี อฏฺฐาสาลินีอฏฺ กถา อภิ.สงฺ.อ.(ไทย) = อภิธมฺมปิฏก ธัมมสังคณี อัฏฐาสาลินีอรรถกถา อรรถกถาปกรณวิเสส สงฺคห. (บาลี) = อภิธมฺมตฺถสงฺคห ค. คาย่อเกี่ยวกับคัมภีร์ฎีกา วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ใช้ฎีกาภาษา บาลีฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในการอ้างอิงโดยระบุเล่ม /ข้อ/หน้า หลังคาย่อชื่อคัมภีร์ เช่น ที.สี.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๗๖/๓๗๓ หมายถึง ทีฆนิกาย สีนตฺถปฺปกาสินี สีลกฺขนฺธวคฺคฎีกา ภาษาบาลี เล่ม ๑ ข้อ ๒๗๖ หน้า ๓๗๓ ฉบับมหาจุฬาฎีกา เป็นฉบับที่สมบูรณ์ ส่วนภาษาไทยมีพิมพ์เผยแผ่ ๒ เล่ม คือ คัมภีร์สารัตถทีปนีฎีกาพระวินัย และคัมภีร์วิสุทธิมรรคมหาฎีกา ฎีกาพระสุตตันตปิฎก ที.ม.ฏีกา (บาลี) = ทีฆนิกาย ลีนตฺถปฺปกาสนี มหาวคฺคฏีกา ฎีกาปกรณวิเสส วิสุทฺธิ. ฏีกา วิสุทฺธิ.ฏีกา (บาลี) (ไทย) =ปรมตฺถมญฺชูสา วิสุทฺธิมคฺคมหาฏีกา =ปรมัตถมัญชูสา วิสุทธิมรรคมหาฏีกา แนวทางปฏิบัติธรรม ๑ ปริเฉทที่ ๑ ความเข้าใจเบื้องต้น แนวทางปฏิบัติธรรม ๒ การปฏิบัตธิ รรม การปฏิบัติธรรมคืออะไร? การปฏิบัติธรรม คือ กระบวนการพัฒนาตนให้ไปสู่ความพ้นทุกข์ ทางพุทธศาสนาเรียกว่าวิปัสสนา ซึ่งมุ่งเน้นให้มนุษย์ได้ใช้เป็นแนวทางในการ พัฒนาศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ เพื่อสร้างสรรค์สติและปัญญาให้เป็นไป ในทิ ศ ทางที่ ถู กต้ อ งเหมาะสม อั น จะน าไปสู่ ก ารหมดปั ญ หาหรื อดั บ ทุ ก ข์ ในทุก ระดั บ เป้ า หมายของการพั ฒ นาศั กยภาพของมนุษ ย์ ก็คื อ ความเป็ น อิสรภาพจากความทุกข์หรือปัญหาทั้งปวงนั่นเอง การปฏิบัติธรรม คือ การเป็นอยู่ด้วยธรรม สมเด็จ พระสั มมาสัม พุทธเจ้า ทรงตรัสถึ ง การปฏิบัติธ รรมว่ าไม่ใ ช่ เพียงแค่คิดหรือนึกถึงธรรมะต่างๆ ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา ดังพุทธดารัสว่า๑ “ภิกษุในธรรมวินัยนี้สาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้ เรียนมาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร เธอปล่อยให้วันคืนล่วงเลยไป ละการหลีกเร้นอยู่ ไม่ ป ระกอบความสงบใจภายใน เพราะการสาธยายธรรมนั้ น ภิ ก ษุ นี้ เราเรียกว่า เป็นผู้มากด้วยการสาธยายธรรม ไม่เรียกว่าเป็นผู้อยู่ด้วยธรรม ภิก ษุใ นธรรมวินั ย นี้ต รึก ตาม ตรองตาม เพ่ง ตามด้ว ยใจซึ่ง ธรรม ตามที่ ต นได้ ส ดั บ มา ตามที่ ต นได้ เ รี ยนมา เธอปล่ อ ยให้ วั น คื น ล่ ว งเลยไป ละการหลีกเร้นอยู่ ไม่ประกอบความสงบใจภายใน เพราะการตรึกตามธรรมนั้น ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มากด้วยการตรึกธรรมไม่เรียกว่าเป็นผู้อยู่ด้วยธรรม ภิก ษุ ใ นธรรมวิ นั ย นี้ เ รีย นธรรม คื อ สุ ต ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรม และเวทัลละ เธอไม่ปล่อยให้วันคืน ล่วงเลยไป ไม่ละการหลีกเร้นอยู่ ตามประกอบความสงบใจภายใน เพราะ การเรียนธรรมนั้น ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้อยู่ด้วยธรรมอย่างนี้แล ๑ องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๓-๕/๑๒๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๓ เราแสดงภิกษุผู้มากด้วยการเรียนธรรม ผู้มากด้วยการแสดงธรรม ผู้ ม ากด้ ว ยการสาธยายธรรม ผู้ ม ากด้ ว ยการตรึ ก ธรรม ผู้ อ ยู่ ด้ ว ยธรรม ด้ ว ยประการฉะนี้ แ ล ภิ ก ษุ กิ จ ใดที่ ศ าสดาผู้ ห วั ง ประโยชน์ เ กื้ อ กู ล อนุเคราะห์ อาศัยความเอ็นดู พึงทาแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้น เราได้ทาแล้ว แก่ เ ธอทั้ ง หลาย ภิ ก ษุ นั่ น โคนไม้ นั่ น เรื อ นว่ า ง เธอจงเพ่ ง อย่ า ประมาท อย่าเป็นผู้มีวิปปฏิสาร(ความร้อนใจ)ในภายหลังเลย นี้เป็นอนุสาสนีของเรา เพื่อเธอทั้งหลาย” การปฏิบัติธรรม...ทาอย่างไร? ปฏิบัติ ตามความหมายโดยตรง หมายถึง ทา คือ ทาทางกาย ทาทางวาจา และทาทางใจ ให้พร้อมกันเป็นองค์หนึ่งเดียว ทาทางกาย คือการยืน เดิน นั่ง นอน อย่ างมีสติ ด้วยการขยับ เขยื้อนเคลื่อนไหวช้าๆ (เหมือนคนถือประคองน้าที่เต็มแก้ว ระมัดระวั งไม่ให้ น้าหก)ด้วยการมีสติระลึกรู้ชัดทุกกิริยาอาการ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า๒ “ปุน จปร ภิกฺขเว ภิกฺขุ คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ , โต วา โตมฺหีติ ปชานาติ นิสินฺโน วา นิสินฺโนมฺหีติ ปชานาติ , สยาโน วา สยาโนมฺหีติ ปชานาติ, ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ ตถา ตถา น ปชานาติ.” “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอีกประการหนึ่งคือ ภิกษุเมื่อเดินอยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเดินอยู่ เมื่อยืนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่ายืนอยู่ เมื่อนั่งอยู่ ย่อมรู้ ชัดว่า นั่งอยู่ เมื่อนอนอยู่ ก็ย่อมรู้ชัดว่านอนอยู่ หรือว่า ภิกษุตั้งกายไว้ด้วยอาการ อย่างใดอยู่ ก็ย่อมรู้ชัดด้วยอาการอย่างนั้น ” ทาทางวาจา หมายถึง พูดในใจ สาธยาย บริกรรม อย่างถูกต้อง หมายถึง จิตของผู้ปฏิ บัติต้องพูด สาธยายหรือบริกรรมอยู่ในคาใดคาหนึ่ง โดยเฉพาะ ให้ตรงกับสภาวธรรมปัจจุบัน ตามที่ปรากฏตามความเป็นจริง ๒ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๓๔/๑๐๕, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๘/๑๐๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๔ การบริกรรม คือ สิ่งจาเป็นในการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ซึ่งจะคอย เป็นเครื่องเตือนจิต ให้รู้ว่าขณะนี้จิตมีหน้าที่ ที่จะต้องกระทา คือการระลึกรู้ เฝ้าดูอาการที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เพื่อไม่ให้จิตนั้นแอบออกไปท่องเที่ยว จนลืมกาหนดสภาวธรรมที่กาลังเกิดขึ้ น หรือลืมกายลืมใจของตน อุปมา เหมือนพี่เลี้ยงเด็กที่กาลังฝึก เด็กให้หัดเดิน พี่เลี้ยงมีหน้าที่ต้ องคอยประกบ ประคับประคองเด็กให้เดินได้คล่อง ไม่ให้หกล้มไป ฉันใด การบริกรรม ก็เป็น เครื่องประคับประคองจิตให้มีสติระลึกรู้ ซึ่งจะทาให้ผู้ปฏิบัติไม่เผลอ ไม่หลง ไม่เหม่อลอย หรือจมไปกับอารมณ์หรือความรู้สึกนั้นๆ ฉันนั้น เช่นเดียวกัน ทาทางใจ คือ การใช้จิตใจไปใส่ใจ(โยนิ โสมนสิการ)รู้สภาวธรรม อย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นการระลึกรู้สภาวธรรมโดยใช้จิตใจเป็นองค์กาหนดรู้๓ ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติที่แท้จริง คือ สภาวลักษณะของ ธาตุ ๔ และธรรมชาติที่ เ ป็น จริง คือ สามั ญญลั กษณะ รวมทั้ ง ธรรมชาติ ดั้งเดิม หมายถึง พระนิพพาน ซึ่งจักได้อธิบายต่อไป ธรรมชาติ ที่ แ ท้ จ ริ ง คื อ ลั ก ษณะของธาตุ ๔ ดิ น น้ า ลม ไฟ หมายถึง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง หนัก เบา ฯลฯ ธรรมชาติที่เป็นจริง คือ สามัญญลักษณะ หมายถึง อนิจจลักษณะ ลักษณะของความไม่เที่ยง ทุกขลักษณะ ลักษณะของความเป็นทุกข์ และ อนัตตลักษณะ ลักษณะของความที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ธรรมชาติดั้งเดิม หมายถึง พระนิพพาน คือ สภาวธรรมที่ดับทุกข์ หรือสภาวทีพ่ ้นจากทุกข์ ปฏิบัติธรรมไม่ได้...อะไร? มีคนถามพระพุทธองค์ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร พระพุทธองค์ตอบว่าไม่ได้อะไรเลย ๓ การกาหนดรู้ (Noting) หมายถึงการเจริญสติด้วยการตั้งสติระลึกรู้ในสิง่ ที่ กระทาอยู่ ทางกาย วาจา ใจ ดูที่หน้า ๑๐๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๕ ถามต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า ตถาคตสามารถบอกเธอ ถึง สิ่ง ที่หายไป นั้นก็คือความโกรธได้หายไป ความหม่นหมองวิตกกัง วลก็ หายไป ความเศร้าท้อแท้ก็หายไป ความวิตกกัง วลไม่สบายใจได้หายไป ค ว า ม เ ห็ น แ ก่ ตั ว โ ล ภ ะ โ ท ส ะ โ ม ห ะ พิ ษ ร้ า ย ทั้ ง ส า ม ก็ ห า ย ไ ป อวิชชา คือ ความไม่รู้ที่ปิดกั้นปุถุชนทั้งหลายก็ได้สูญสิ้นไป ปฏิบัติธรรมได้อะไร? การเข้าปฏิบัติธรรมจึงถือว่าเป็นสิ่งสาคัญในชีวิต๔ เหมือนกับบุคคล ผูถ้ ูกไฟไหม้บนศรีษะ สิ่งแรกที่เขาต้องทาคือดับไฟ หรือเสมือนกับบุคคลผู้ถูก ลูกธนูปักที่อกอยู่ สิ่งสาคัญอันดับแรกของเขาคือถอนลูกธนูออก ๕ ชีวิตสัตว์ ทั้งหลายเช่นเดียวกัน สิ่งสาคัญที่สุดคือ การปฏิบัติธรรม เพราะหลักปฏิบั ติ ตามแนวสติปัฎฐานสูตรเป็นวิธีการปฏิบัติที่มุ่งให้ไ ด้รับผลของการดับทุกข์ ซึ่งปรากฎอย่างชัดเจน ดังที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ ข้อ ๓๗๒-๔๐๕ หน้าที่ ๓๐๑-๓๔๐ มั ชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒ ข้อ ๑๐๕-๑๓๘ หน้าที่ ๑๐๑-๑๓๑ เป็นต้น ว่า “เอกายโน อย ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตาน วิสุทฺธิยา โสกปริเท วาน สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสาน อตฺถงฺคมาย ายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย, ยทิท จตฺตาโร สติปฏฺ านา.๖ “ภิกษุทั้งหลาย ! ทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า สัตว์ทั้งหลาย เพื่อล่วงโสกะปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญาย ธรรม เพื่อทาให้แจ้งนิพพานทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔”๗ ๔ Sayadaw U Jatila, Dhamma discourses, p 21. ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๕๑/๙๗, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๕๑/๑๑๑. ๖ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๙๐/๔๓. ๗ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑, ที.ม.อ. ๓๗๓/๓๖๘. ๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๖ ปฏิบัติธรรมได้รับความบริสุทธิ์ สตฺตาน วิสุทธิยา เพื่อความบริสุทธิ์ของหมู่สัตว์ จิตเดิมแท้ของเรา ทุกคนเป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใสโดยธรรมชาติแต่กิเลสเป็นอาคันตุกะที่จร เข้ามาครอบงาจิต ทาให้จิตเศร้าหมอง อุปกิเลสเหล่านี้จะละได้ด้วยมรรคญาณ ๔ ตามสมควร ดังคัมภีร์ อรรถกถากล่าวว่า (๑)โสตาปตฺติมคฺเคน มกฺโข ปฬาโส อิสฺสา มจฺฉริย มายา สาเ ยฺ ยนฺติ ฉ ปหียนฺติ. (๒) อนาคามิมคฺเคน พยาปาโท โกโธ อุปนาโห ปมาโทติ อิเม จตฺตาโร. (๓) อรหตฺตมคฺเคน อภิชฺฌาวิสมโลโภ ถมฺโถ สารมฺโถ มาโน อติมาโน มโทติ อิเม ฉ ปหียนฺติ.๘ ๑. อุปกิเลส ๖ เหล่านี้ คือ การลบหลู่ การตีเสมอ อิสสา มัจฉริยะ มายา และสาไถยละได้ด้วยโสดาปัตติมรรคญาณ ๒. อุปกิเลส ๔ เหล่านี้ คือ พยาบาท โกธะ ความผูกโกรธ และ ปมาทะ ละได้ด้วยอนาคามีมรรคญาณ ๓. อุปกิเลส ๖ เหล่านี้ คือ อภิชฌาวิสมโลภะ ความหัวดื้อ ความ แข่งดี มานะ อติมานะ และความมัวเมา ละได้ด้วยอรหัตตมรรคญาณ๙ ผลจากการปฏิบัติธรรมสามารถทาให้จิตบริสุทธิ์จากกิเลสเครื่ อง เศร้าหมอง มี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น โดยการพิจารณาจิต คือ ตามรู้จิต ตลอดกาลเวลา เมื่อเราตั้งใจพิจารณา ตามดูจิตแล้ว จะมองเห็นอาการของ จิตต่างๆ ทาให้เข้าใจจริตนิสัยของตัวเองมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจตัวเอง ยอมรับ ตัวเองตามความเป็นจริงก็จะเป็นพื้นฐานในการปรับปรุงพัฒนาตนเอง ๘ ม.อ. ๑/๑๘๓. พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปัสสนานัย เล่ม ๑, (นครปฐม : ห้าง หุ้นส่วนจากัด ซีเอไอ เซ็นเตอร์ จากัด, ๒๕๔๘), หน้า ๔๑๐,ที.อ. ๒/๓๖๒. ๙ แนวทางปฏิบัติธรรม ๗ ปฏิบัติธรรมได้ระงับความโศก โสกปริเทว สนฺติกมาย เพื่อล่วงโสกะปริเทวะ จิตที่มีความ เศร้าโศกครอบงาจะไม่สามารถคิดนึกสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ เพราะจิต ยังยึดติดผูกพันธ์กับอารมณ์ที่เศร้าโศกนั้นๆ ดังนั้น การก้าวล่วงความ เศร้าโศกได้จักต้องอาศัยการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เท่านั้น ดังพระบาลีว่า ยสฺ ม า ปน การยเวทนาจิ ตฺ ต ธมฺ เ มสุ กญฺ จิ ธมฺ ม อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ. ตสฺมา เตปิ อิมินาว มคฺเคน โสกปริเทเว สมติกฺกนฺตาติ เวทิตพฺพา. “อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าภาวนาย่อมไม่มีโดยมิได้กาหนดธรรมอย่างใด อย่างหนึ่งในกองรูป เวทนา จิต และสภาวธรรม ดังนั้นควรทราบ ว่าแม้สันตติอามาตย์และนางปฏาจาราเหล่านั้น ได้ล่วงพ้นความ เศร้าโศกและความคร่าครวญด้วยหนทาง นี้”๑๐ ปฏิบัติธรรมได้ดับความทุกข์ ทุกขโทมนสฺส อตฺถงฺคมาย เพื่อดับทุกข์และโทมนัส ทุกขสัจ คือ ความทุกข์ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ แบ่งออกเป็น ๗ ประเภทคือ ๑.) ทุ ก ข์ ทุ ก ข์ แ ท้ ที่ ท นได้ ย าก คื อ ความทุ ก ข์ ก าย อั น ได้ แ ก่ ความเจ็บปวด ความไม่สบายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ ๒.) วิปริณามทุกข์ ทุกข์แปรปรวน คือ ความสุขทางกายใจ ซึ่งมิได้ คงอยู่ตลอดไป เมื่อแปรปรวนไปก็ทาให้ผู้ที่ได้รับความสุขเกิดความทุกข์ ๓.) สังขารทุกข์ ทุกข์ประจาสังขาร คือ รูปนามทั้งหมดที่เป็นโล กิยธรรมพร้อมทั้งอุเบกขาเวทนา ยกเว้นตัณหา ๑๐ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปัสสนานัย เล่ม ๑, หน้า ๓๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๘ ๔.) ปฏิจฉันนทุกข์ ทุกข์ปกปิด คือ ทุกข์ที่คนอื่นรับรู้ไม่ได้ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ตัวร้อน ความลาบากกาย ความลาบากใจ ความโทมนัส น้อยใจ หรือทุกข์ไม่ปรากฏชัด ๕.) อปฏิจฉันนทุกข์ ทุกข์ไม่ปกปิด เช่น ความทุกข์กายที่เกิด จากแผลมีด แผลหอก แผลไม้ ฝี หรือทุกข์ปรากฏชัด ๖.) นิปปริยายทุกข์ ทุกข์โดยตรง คือ ทุกข์เวทนา ๗.) ปริยายทุกข์ ทุกข์โดยอ้อม คือ ชาติทุกข์เป็นต้น ชาติ ชรา มรณะ ความเศร้าโศก ความคร่าครวญ ความทุกข์ กาย ความทุ ก ข์ ใ จ และความคั บ แค้ น ใจ การพบกั บ อารมณ์ ที่ ไ ม่ ช อบ การพลั ด พรากจากอารมณ์ ที่ ช อบ และการไม่ ไ ด้ รั บ อารมณ์ ที่ ป รารถนา เป็นทุกข์ กล่าวโดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ ชื่อว่า ทุกข์๑๑ การเจริญสติเป็นการดับทุกข์จากการพลัดพราก ซึ่งพระพุทธองค์ กระทาให้เป็นตัวอย่างมาแล้วในครั้งพุทธกาล เช่น ทรงโปรดนางปฏาจารา ที่สู ญ เสีย ครอบครั ว โปรดนางกี สาโคตรมีที่ สู ญ เสีย บุ ต ร และบุ คคลอื่ น ๆ ทรงใช้ ธ รรมโอสถเป็ นเครื่ องหล่ อเลี้ ย งชโลมใจให้บ รรเทาความโศกและ ขจัดความทุกข์ให้หมดสิ้นได้อย่างยั่งยืน๑๒ ปฏิบัติธรรมได้พัฒนาปัญญา า สฺส อธิคมาย เพื่อบรรลุญายธรรม หมายถึง ธรรมที่ควรรู้ ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติธรรม ที่กาลังปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จะเกิดความรู้หรือ ปัญญาเหล่านี้ขึ้น เรียกว่า ญาณ ๑๖๑๓ ๑๑ ที. มหา. ๑๐/๓๘๗/๒๗๓ พุทธวิธีการแก้ปัญหาความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก, พุทธศาสตร มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, บทคัดย่อ, ๒๕๕๖. ๑๓ พระมหาพุทธโฆสเถระ, วิสุทธิ ญาณ นิเทส, ธนิต อยู่โพธิ์, หน้า ๑๔. ๑๒ แนวทางปฏิบัติธรรม ๙ ญาณ ๑๖ หรือ โสฬสญาณ (ความหยั่ง รู้ ในที่นี้หมายถึง ญาณที่ เกิ ด ขึ้ นแก่ ผู้ เ จริ ญ วิ ปั สสนาตามล าดับ ตั้ ง แต่ ต้ น จนถึ ง ที่ สุ ด — insight; knowledge) หรื อ หมายถึ ง ความรู้ สึ ก ด้ ว ยปั ญ ญาที่ ไ ด้ ม าจากการเจริ ญ วิปัสสนาหรือเจริญสติปัฏฐาน๑๔ ปฏิบัติธรรมได้มรรคผลพระนิพพาน นิพฺพานสฺส สจฺฉิกรณตฺถาย เพื่อทาให้แจ้งนิพพาน การปฏิบัติ ธรรมจะทาให้แจ้งซึ่งความดับทุกข์ ดังที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอานิสงส์ ของการเจริญ สติปัฏฐาน ๑๕ ไว้ในตอนท้ายของพระสูตรนี้ว่า บุคคลผู้เจริญ สติปัฏฐาน ๔ ประการนี้ แม้เพียง ๗ วัน เป็นอย่างน้อยก็หวังได้ว่า จะมีผล ในปัจจุบันอย่างใดอย่างหนึ่ง ในจานวนผล ๒ อย่าง คือ ๑. จะได้บรรลุอรหัตตผล ๒. ถ้ายังมีอุปาทิเหลืออยู่ จะบรรลุอนาคามิผล ถัดจากนั้น พระองค์ทรงตรัสเสริมอีกว่า ๗ ปีจงยกไว้ ๑๖ บุคคลผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอด ๖ ปี พึงหวัง ได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทาน เหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี๑๗ ๑๔ วิสุทธิ อ. ภาค ๓/๒๐๕. ที. มหา. ๑๐/๔๐๔/๓๓๘-๓๔๐ , ม. มู. ๑๒/๑๓๗/๑๒๘-๑๓๐ ๑๖ ๗ ปี จงยกไว้ หมายถึง อย่าว่าแต่จะเจริญสติ ปัฏฐานใช้ระยะเวลา ๗ ปีเลย แม้เจริญเพียง ๖ปี ลดลงมาตามลาดับถึง ๗ วัน ก็สามารถบรรลุอรหัตตผล หรืออนาคามิผลได้ (ที.ม.อ. ๒/๔๐๔/๔๒๒, ม.มู.อ. ๑/๑๓๗/๓๑๘) ๑๗ ที.ม. (ไทย) ๑๐/หน้า [๕๖], ม.มู. (ไทย) ๑๒/หน้า [๔๒]. ๑๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐ สรุปว่า สติปัฏฐาน ๔ ประการนี้ เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ ของเหล่าสัตว์ทั้ง หลาย เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุเญยธรรม (อริยมรรค) เพื่อทาให้แจ้งพระนิพพาน๑๘ ผลพลอยได้จากการปฏิบัติธรรม ปัจจุบันการปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติเพื่อพัฒนาปัญญา ได้รับ ความสนใจจากสังคมทั่วโลก เนื่องจากทั่วโลกมีคนเป็นทุกข์จากโรคซึมเศร้า ราว ๔๕๐ ล้านคน และองค์การอนามัยโลกได้พยากรณ์ไ ว้ว่า ในปี ๒๐๓๐ โรคซึม เศร้าจะเป็น ปัญหาใหญ่ ที่ ทาให้เ กิดการสูญ เสี ยทางเศรษฐกิจด้า น สุขภาพ มากกว่าโรคหัวใจและโรคมะเร็ง๑๙ ดังนั้น ปัญหาสุขภาพจิตของคน ในโลกนี้ กาลังเข้าขั้นวิกฤติ แต่การปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติทาให้เกิด ประสิทธิผลอันน่าพึงพอใจที่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ดังเช่น ศ.มาร์ค วิเลี่ยม (Mark Williams) จิตแพทย์แห่งศูนย์การเจริญสติ มหาวิทยาลัย อ๊อกซ์ฟอร์ด ได้ศึกษาวิจัยพบว่า การเจริญ สติไ ด้ผลดีในการ บ าบั ด โรคซึ ม เศร้ า ที่ เ ริ่ ม เป็ น ครั้ ง แรก และการเจริ ญ สติ ช่ ว ยป้ อ งกั น กา ร กลับมาเป็นซ้าในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเรื้อรังได้ถึงร้อยละ ๕๐๒๐ ดร.รีเบคกา เครน (Rebecca crane) ผู้อานวยการศูนย์การเจริญ สติ มหาวิ ท ยาลั ย แบงเกอร์ ได้ ใ ช้ ก ารเจริ ญ สติ บ าบั ด ในโรคเครี ย ดและ โรคซึมเศร้าอย่างได้ผลดี๒๑ ศ.วิล แลม ไคก็น (Willem kuyken) แห่ ง ศูน ย์ก ารเจริญ สติ มหาวิ ท ยาลั ย เอ็ ก เซทเตอร์ (www.exeter-mindfulness-network.org) ๑๘ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก, ธรรม โอวาทเรื่องตนอันเป็นที่รักยิ่งของตน. ๑๙ www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID= 9580000. ๒๐ www.oxfordmindfulness.org ๒๑ www.mindfulnessworks.com/Rebeccacrane1.php แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาคลินิก มีความเชี่ยวชาญในการใช้การเจริญ สติ บาบัดในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า สาหรับคนที่มีอาการซึมเศร้า การเจริญสติเป็น ประจาช่วยให้หายได้ โดยไม่ต้องกินยา และช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก๒๒ ดร.จุฑามาศ ได้ศึกษาวิจัยพบว่า ธรรมปฏิบัติด้วยวิธีการทาสมาธิ โดยวิธีอานาปานสติภาวนา(อยู่ในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฎฐาน) ซึ่ง เป็น หลักการสอนที่สาคัญในพุทธศาสนา ทาให้ภาวะความซึมเศร้าลดลง และ ทาให้คุณภาพชีวิตในมิติทางด้านร่างกายของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ดีขึ้น และอัตราการหายใจในกลุ่มที่สวดมนต์ร่วมกับทาอานาปานสติสมาธิ ลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ โดยดู จ ากผลทางสถิ ติ คื อก่ อ นเดิน และหลั ง นั่ง เป็ นระยะเวลา ติดต่อกันอย่างละ ๓๐ นาที ๔๕ นาที และ ๖๐ นาที มีค่าชีพจร (P) เฉลี่ย ลดลงอย่ า งมี นั ย ส าคั ญ ทางสถิ ติ , ก่ อนเดิ น และหลั ง นั่ ง เป็ นระยะเวลา ติดต่อกันอย่างละ ๔๕ นาที มี ค่า Pulse pressure เฉลี่ยลดลงอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติ และก่อนเดินและหลังนั่ง เป็นระยะเวลาติดต่อกันอย่างละ ๖๐ นาทีนั้น มีทั้งค่า ชีพจร (P) และ Systolic Blood Pressure เฉลี่ยลดลง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ จากผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติวิปัสสนา ถ้าจะ ให้ ผ ลดี ที่ สุ ด ควรปฏิ บั ติ ทั้ ง ระบบ คื อ การเดิ น จงกรมและนั่ ง สมาธิ อ ย่ า ง ต่ อ เนื่ อ งกั น และสามารถน าผลการปฏิ บั ติ วิ ปั ส สนากรรมฐานที่ ไ ด้ ไ ป ประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงซึ่งมีอยู่จานวนมากมาย อย่างไรก็ตามผลงานการจัยของ ดร.จุฑามาศ กาลังจะได้รับตีพิมพ์ เผยแพร่ในอเมริกา ซึ่งผลการวิจัยพิสูจน์เป็นที่ประจักษ์ให้ชาวโลกเห็นว่า ผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ของพระพุทธเจ้า ๒๒ www.youtube.com/mindfulness in political life-Chris Ruane M.P.at awake in the world. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒ ได้ผลในการลดความดันโลหิตและชีพจรอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อได้ปฏิบัติทั้ง เดิ น จงกรมและนั่ ง สมาธิติ ด ต่อ กั น ท าให้ สามารถใช้ย ารั กษาในจ านวนที่ น้อยลงทาให้เกิดผลข้างเคียงน้อยลงตามมา เป็นผลถึงค่าใช้จ่ายของประเทศ ไทยน้อยลง จึงทาให้เศรษฐกิจมวลรวมประเทศ และของโลกดีขึ้นตามมา การปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติในปัจจุบัน จึง เป็นกระแสหลัก ของโลกในการแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวงการแพทย์ วงการศึกษา วงการ การเมื อ ง ปั ญ หาสั ง คม ปั ญ หาสิ่ ง แวดล้ อ ม นิ ต ยสารไทม์ ฉบั บ เดื อ น กุมภาพันธ์ ๒๐๑๔ ให้ความสาคัญโดยลงภาพปกเป็นเรื่องการปฏิวัติสังคม อเมริกันด้วยการเจริญสติ หรือ Mindful Revolution๒๓ นอกจากนั้ น การปฏิบั ติธ รรมจะช่ว ยคลายความตึ ง เครี ยดของ ประสาท เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จะเป็นการฝึกให้จิตใจสงบระงับจากความ วิต ก กั ง วล ท าจิ ต ใจให้ เ ป็ น หนึ่ ง ตั้ ง มั่ น มี สติ ไ ม่คิ ด ฟุ้ ง ซาน จิ ต ใจละจาก ความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย เมื่อนั้น ร่างกายเราก็จะแข็งแรงไม่เจ็บป่วย สมองและประสาทส่วนต่างๆ ก็ได้รับการพักผ่อน จากความสงบนั้น ถัดจากนั้น การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้มีสติสัมปชัญญะ คือเมื่อจิตมี สมาธิ แ ล้ ว จะท าให้ มี อ ารมณ์ เ ยื อ กเย็ น สุ ขุ ม มี ส ติ ก ากั บ ให้ รู้ สึ ก ตั ว อยู่ ตลอดเวลา การปฏิบัติงานก็ จะมีความรับผิ ดชอบต่อการงานสูง สามารถ แก้ปัญ หาการงานและปัญหาชีวิตได้อย่างถูกวิธี เป็นการป้ องกันไม่ให้เกิด ความผิ ด พลาดเสี ย หายต่ อ งาน จึ ง ท าให้ เ ป็ น คนที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพใน การทางาน ขณะเดียวกัน จะทาให้ไม่เป็นคนเผอเรอ เหม่อลอย สติเลื่อนไหล ไม่อยู่กับตัว เป็นการพัฒนาบุคลิกภาพของคนให้มีจิตใจสงบ เป็นปรกติสุข หน้าตาผ่องใส มีความสง่างาม น่าคบหาสมาคม ๒๓ นพ.แพทย์ พงษ์ วรพงศ์ พิเ ชษฐ, นิต ยสารธรรมลีลา ฉบับ ที่ ๑๗, ๑ มีนาคม ๒๕๕๘ . แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓ ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้มีจิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่น ไม่ลังเลสงสัย คือ สามารถสงบจากความคิดที่ฟุ้งซ่านด้วยความคิดที่เป็นหนึ่ง ที่จะวิเคราะห์พิจารณาความเหมาะสมของงาน ทาให้มีเป้าหมายที่แน่นอน จึงเกิดความมุ่งมั่นเพียรพยายามที่จะทางานให้สาเร็จอย่างแน่วแน่ ด้วยความ ว่องไว กระฉับกระเฉง และเมื่อพบปัญหาเฉพาะหน้า ก็สามารถมีสติยั้งคิด ด้วยอาการที่ไม่ตื่นตระหนกตกใจ จึงทาให้สามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้ จากที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ของประโยขน์ที่ไ ด้รับจาก การปฏิบัติธรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นมีผลอันมากมาย ซึ่งคุ้ม ค่าที่มนุษย์ทุกคนจะเข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่ พระพุทธเจ้า ได้ทรงวางไว้ ทุกคนมีสิทธิได้รับผลแห่งความยอดเยี่ยมนี้ทุกคน เพราะเป็น มรดกธรรมของธรรมชาติที่ถูกค้นพบโดยพระพุทธเจ้า แล้วนามาบอกต่อให้ มนุษย์ทุกคนที่ต้องการพ้นจากความทุกข์ได้ประพฤติปฏิบัติตามแล้วได้รับผล แห่งความสุขเท่ากันนั่นเอง ปฏิบัติธรรม นาใจ ใสสะอาด ปฏิบัติธรรม สามารถ เป็นสุขสันต์ ปฏิบัติธรรม พ้นทุกข์ สุขอนันต์ ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรม นาชีวัน นาตน ให้ร่มเย็น ให้พ้นทุกข์ เชิญรีบลุก ในเบื้องต้น กาลต่อมา ปฏิบัติ ถือศีล สมาธิ ตัดตัณหา หัดดัดจรรยา ตริในใจ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔ ความยาก ๔ ประการ ของประเสริฐ เกิดยากยิ่ง สี่สิ่งหนอ ใคร่จะขอ อ้างพุทธธรรม นามาไข พระพุทธเจ้า หลายอสงไขย ตรัสรู้ยาก เพียรสร้างสม เหนือสิ่งใด พระบารมี นมตฺถุ รตฺตนตฺตยสฺส ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรั ย ในเบื้องต้น เป็นการทาความเข้าใจธรรมะ เพราะการที่เราจะได้ปัญ ญานั้น ต้องพิจารณาถึงเนื้อหาต่างๆ ด้วยสติปัญญา พยายามใส่ใจให้ละเอียด จึงจะ นาไปสู่ความเข้าใจในการปฏิบัติธรรมได้ การที่เราท่านทั้งหลายได้มีโอกาสเข้าสู่การประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ไม่ใช่เหตุบังเอิญ หากตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว จะทาให้เกิด ความก้ าวหน้ า เกิดการพัฒ นาจิตใจ มีค วามเจริญ ของปัญ ญา ย่อมสามารถเข้าใจสภาวธรรมต่างๆ ไปตามลาดับ ไม่ว่าจะเป็นสภาวธรรม ทางกาย หรือทางจิตใจ ซึ่งจะพบประสบสภาพธรรมเหล่านี้ด้วยการประจักษ์ รู้ชัดด้วยตนเอง ทาให้เ กิดกาลัง ใจในการประพฤติปฏิบัติ เนื่องจากได้รั บ ประสบการณ์ต่างๆ โดยตรง จึงมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นไป ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติได้ดีเป็นเพราะมีศรัทธา มีความเชื่อ มีความเลือ่ มใส ในการประพฤติปฏิบัติธรรม เรียกว่าตั้งใจมาปฏิบัติตั้งแต่แรก เมือ่ ได้ลงมือประพฤติปฏิบัติ ทาตามคาแนะนาที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงตรัสไว้ ก็ได้พบเจอกับสภาวธรรมจริงๆ จึงเกิดกาลังใจขึ้น หรือเรียกว่า มีศรัทธา ความศรัทธาพอมีกาลังขึ้นมา จะเป็นเหตุทาให้เกิดวิริยะ ความขยัน ในการตามรู้ตามกาหนด เมื่อมีวิริยะแล้ว สติย่อมระลึกรู้ได้ตามความเป็นจริง สมาธิตั้ง มั่นรู้ชัดได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้ น ปัญญาจึ ง เห็น สภาวธรรมต่างๆ เกิด แล้วก็ดับไป เกิดแล้วเปลี่ยนไปทุกๆ ขณะในขณะที่กาหนดรู้นั่นเอง แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕ บางท่านเมื่อปฏิบัติใหม่ๆ จะรู้สึกว่าการปฏิบัตินี้ ยากเย็นแสนเข็ญ เหลือเกิน เดิน จงกรมก็รู้สึกเบื่อ รู้สึกเซ็ง รู้สึกหงุดหงิด ท้อแท้ท้อถอย นั่ง ก็ ฟุ้งซ่านคิดอยูเ่ รื่อยไป บางทีก็ง่วงเหงาหาวนอน บางท่านอาจจะมาปฏิบัติใน ลักษณะที่มาด้วยหน้าที่ บางท่านถูกเกณฑ์มาเข้าปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติ ก็เลยรู้สึกว่าช่างยากเย็นเสียเหลือเกินจริงๆ แต่ความเป็นจริง แล้วการปฏิบัติ นี้ไ ม่ยาก ดัง ที่หลวงปู่ดุลย์ท่านได้กล่ าวว่า“การปฏิบัตินี่ไม่ยาก ยากตรงที่ ไม่ได้ปฏิบัติ”๒๔ ลองพิจารณาดู คาที่หลวงปู่ดุลพูด เป็น จริง หรือเปล่า ถ้าหากเรา ปฏิบัติจริง ไม่ยาก เรามาเดินจงกรม นั่งเจริญสติ พยายามตั้งใจที่จะกาหนดรู้ ทุกๆ สภาวะอาการความรู้สึกที่เกิด ขึ้นมาตามความเป็นจริง พอจิตใจตั้งมั่น ได้ดี เราจะสนุกกับการกาหนด เพราะว่ามีสภาวธรรม ความรู้สึก หรืออาการ ต่างๆ ที่ทาให้เราได้เรียนรู้ ได้ศึกษา ได้รู้จัก ในส่วนของกาย ในส่วนของใจ แต่ ถ้ า ตรงกั น ข้ า ม หากว่ า เราขาดศรั ท ธาในการประพฤติ ป ฏิ บั ติ ธ รรม การปฏิบัติของตน จึง รู้สึกว่ายากเนื่องจากปฏิบัติหรือเจริญ สติไม่ต่อเนื่อง คือท าบ้า งไม่ ทาบ้ าง กาหนดบ้ างไม่ก าหนดบ้า ง ปฏิบัติ บ้างไม่ป ฏิบัติ บ้า ง จึงรู้สึกว่า การปฏิบัตินี้ยาก แท้จริงแล้วสิ่งที่ยากกว่านี้ เราได้ทามาหมดแล้ว ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉ มจฺจาน ชีวิต กิจฺฉ สทฺธมฺมสฺสวน กิจฺโฉ พุทฺธานมุปปาโท ” ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก๒๕ ๒๔ พระโพธินันทมุนี, หลวงปู่ฝากไว้, บริษัท พี.เอ.ลีฟวิ่ง จากัด กรุงเทพ, ๒๕๕๓, หน้า ๑๒๖. ๒๕ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๒/๙๐, ขุ.ธ.อ (บาลี) ๒๕/๒๔/๓๙, ขุ.ธ.อ (ไทย) ๑/ ๑๕๐/๓๒๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖ อย่ า งไรก็ ต าม ในเมื่ อ เราได้ เ กิด มาเป็ น มนุ ษ ย์ แ ล้ ว แสดงว่ า ใน อดีตชาติเราได้ทาบุญไว้เป็นอันดี เพียงแต่ว่า พอได้ความเป็นมนุษย์มาอีก ครั้งหนึ่งอย่างนี้ เราก็อาจจะเกิดความประมาทมัวเมาในความเป็นมนุษย์แล้ว ละเลยการทากุศลไปเสียอีกเท่านั้น ซึ่ง หากว่าเป็นอย่างนี้ หลังจากตายแล้ว ยากนักที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ อุปมาเหมือนเขาโค ส่วนคนที่ตายแล้ว ไปเกิดในนรกนั้นมีจานวนมากมายนัก มีอุปมาเหมือนขนโค ปริมาณของสัตว์ที่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีจานวนน้อยมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงรับรอง ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงใช้ปลาย พระนขาช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว รับสั่ง เรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเข้าใจ ความข้อนั้นว่าอย่างไร ฝุ่นเล็กน้อยนี้ที่ เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้อย่างไหนจะมากกว่ากัน” ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แล มากกว่ า ฝุ่ นที่ พระองค์ท รงใช้ ปลายพระนขาช้อนขึ้น มามีเ พีย งเล็ก น้อ ย เมื่อเทียบกับแผ่นใหญ่แล้ว คานวณไม่ได้เทียบเคียงกันไม่ได้หรือไม่ถึง ส่วน เสี้ยว” จากนั้น พระองค์จึงตรัสว่า “เอวเมว โข ภิกฺขเว อปฺปกา เต สตฺตา เย มนุสฺสา จุตา มนุสฺเสสุ ปจฺจาชายนฺติ”๒๖ “ภิกษุทั้งหลายข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติจากมนุษย์กลับมา เกิดในหมูม่ นุษย์มีจานวนน้อย ส่วนสัตว์ที่จุติจากมนุษย์แล้วไปเกิดในนรกมี จานวนมากกว่า” ดังนี้ พระบาลี ชี้ให้เห็นว่า สัตว์ผู้ได้เกิดเป็นมนุษย์ หลังจากตายไปเกิด เป็นสัตว์ในทุคติ มีนรกเป็นต้นนั้น มีจานวนมากมายนัก ที่ ได้กลับมาเกิดเป็น มนุษย์อีก มีเพียงนิดหน่อย เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นธรรมดาว่า จานวนสัตว์ใน ทุคติย่อมมีมากกว่าจานวนสัตว์ในสุคติ อย่างไม่อาจจะเทียบกันได้ ๒๖ ส.ม (บาลี) ๑๙/๑๗๕๗/๕๗๘, ส.ม (ไทย) ๑๙/๖๔๐/๑๑๓๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗ เกิดมาเป็นมนุษย์แสนยาก ขอให้พิจารณาดูภายในบ้านเราเพียงหลังเดียวเท่านั้น จะพบว่า สัตว์เดรัจฉาน เช่นว่ามดประเภทเดียวเท่านั้นก็มีจานวนมากกว่ามนุษย์ผู้ ที่ อาศัยอยู่ในบ้านมีเพียง ๑๐ คน ๒๐ คน หรือแม้มากกว่านั้น แต่ไม่อาจเทียบ กันได้ ที่กล่าวถึงนี้ ก็มดประเภทเดียวเท่านั้น ยังไม่พูดถึงสัตว์ประเภทอื่นเลย พลโลกที่เป็นมนุษย์ทั้งโลก เรายังสามารถสารวจแล้วประมาณจานวนกันได้ แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานนั้น เราไม่อาจสารวจจานวนโดยประมาณได้เลย จานวน รวมกันทั้งสัตว์บก ทั้งสัตว์น้านั้น มากมายมหาศาล ทีนี้ก็พอจะปลงใจเชื่อได้ ว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นของยากแน่นอน ไม่มีเหตุบังเอิญ เราเคยได้ ยิ น ค าว่ า สั ต ว์ แ ต่ ล ะชนิ ด หากได้ เ กิ ด เป็ น อะไรแล้ ว จะต้องเกิดเป็นอย่างนั้นอีกถึง ๕๐๐ ชาติด้วยกัน กว่าที่จะพัฒนาหรือกว่าที่ จะสามารถเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ ลองสังเกตดูสุนัข ที่อยู่ใกล้ๆ ตัวเรา อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้านเรา สุนัขบางตัวมันก็ดุ บางตัวมันก็ดี บางตัวมั นก็เชื่อฟัง อย่างตัวที่ มันดุ มันเห่าและกัดไม่เลือกหน้า อย่างนั้นสันนิษฐานว่ายังต้องเกิดเป็นสุนัข อีกหลายภพหลายชาติ ส่วนสุนัขตัวที่เชื่อฟัง เรียกให้เข้ ามาหาก็เดินเข้ามา ให้นั่งลงก็นั่งลง ให้ยืนขึ้นก็ยืนขึ้น แสดงให้เห็นว่าจิตได้มีการพัฒนา การเกิด มาเป็นสุนัขใกล้ที่จะได้จบสิ้น เขาจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วนั่นเอง เหตุปัจจัยที่ทาให้การเกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเราได้พิจารณา จะเห็นได้ว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากจริงๆ ทั้ง นี้เป็นเพราะเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ในสัง คมปัจจุบัน นี้ ที่มีอัตรา การเกิดน้อย เนื่องจากการควบคุมปริมาณของการเกิด ของมนุษย์ ในบาง ประเทศ การคุมกาเนิด แม้แต่เหตุปัจจัยต่างๆ ที่ทาให้การเกิดมาเป็นมนุษย์ นี้ยากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นชายรักชายหรือ หญิง รักหญิง เป็นต้น การเกิด เป็นมนุษย์ จึง เป็นไปได้ยาก เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์ไ ด้ นั้นอาศัย ตาม หลักของวิทยาศาสตร์ คือ ๑.พ่อแม่จะต้องอยู่ด้วยกัน และ ๒ แม่ต้องมีระดู แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘ ส่วนใน หลักของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มีเหตุอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑. พ่อแม่อยู่ด้วยกัน ๒. แม่มีระดู และ ๓. ต้องมีวิญญาณมาจุติ ถ้าไม่มีวิญญาณมาจุติก็เกิ ดมาไม่ได้ ถึงพ่อแม่จะอยู่ ด้วยกันมานาน บางคู่ยัง ไม่มีลูกก็มี๒๗ อุปมาเต่าตาบอด พระองค์ยังทรงตรัสอุปมาว่ าการเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากเหมือนกับ เต่าตาบอดตัวหนึ่งที่อยู่ในท้องมหาสมุทรอันลึกล้า ๑๐๐ ปี จะโผล่หัวขึ้นมา สักครั้งหนึ่ง แล้วบนพื้นผิวน้าลมทั้งสี่ทิศก็เป็นลมพายุที่พัดแรง ในระยะเวลา ๑๐๐ ปี บนท้ อ งฟ้ า จะมี แ อกหล่ น ลงมาซึ่ ง มี รู แ อกเท่ า กั บ หั ว เต่ า ก็ ล อง พิจารณาดูว่า ๑๐๐ ปี หล่นมาทีหนึ่ง ลมก็พัดแรง เต่าก็ตาบอด จะยากหรื อ ง่ายที่เต่าจะเข้ารูแอกพอดี แต่การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากกว่า๒๘ ศีลไม่บริสุทธิ์ สิ่งสาคัญที่ทาให้เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์คือการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ศีลในที่นี้คือความเป็นปกติ การเกิดมาเป็นมนุษย์ได้จะต้องรั กษาศีล ๕ ข้อ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดโกหกหลอกลวงหรือ พูดเพ้อเจ้อ พูดเหลวไหล ไม่เสพสิ่งเสพติดของมึนเมาทุกชนิด ศีล ๕ เหล่านี้ จึงจะนาทางให้เราได้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าหากว่าเราทาผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งด้วยกาย วาจา ใจ การกลับมา เกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก เพราะหลังจากตายไปจากมนุษย์ในชาตินั้ นจะต้อง ไปตกในนรก๒๙ มีอยู่ ๘ ขุมด้วยกัน๓๐ ขุมแรกเรียกว่า “สัญชีวนรก” ขุมที่ ๒ เรียกว่า “กาลสุตะ” ขุมที่ ๓ “สังฆาตะ” ขุมที่ ๔ คือ “โรรุวนรก” ขุมที่ ๕ ๒๗ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๔๕๒/๔๘๗, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๐๘/๔๔๓ – ๔๔๔. ส.ม. (บาลี) ๑๙/๑๗๔๓/๕๖๘, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๑๑๗/๖๓๐. ๒๙ ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๔๗๒/๓๑๔, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๔๘/๒๙๓. ๓๐ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๘/๙๒/๓๙, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๘/๙๒/๒๕. ๒๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙ ก็คือ “มหาโรรุวนรก” ขุมที่ ๖ คือ “ตาปนนรก” ขุมที่ ๗ คือ “มหาตาปน นรก”ขุมที่ ๘ คือ“อเวจีมหานรก”รวมขุมบริวารทั้งสิ้น ๔๕๗ ขุม สัตว์ทั้งหลายในนรกจะถูกนายนิรยบาลทรมานด้วยหอกด้วยดาบ ต่างๆ นรกขุมแรก มีอายุอยู่ ๕๐๐ ปีนรก ตามคัมภีร์กล่าวว่า ๑ วันของนรก ขุมนี้เท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ เป็นต้น ฉะนั้น ถ้าเราทาผิดศีล ต้องตกนรกที่มี แต่ความเร่าร้อนมีแต่เสียงทรมานเสียงร้องของสรรพสัตว์ทั้งหลาย คือสัตว์ นรกที่ ถู ก นายนิ ร ยบาลทรมาน จะร้ อ งโหยหวนด้ ว ยความเจ็ บ ปวดอยู่ ตลอดเวลา๓๑ เหมือนกับเสียงหมูที่ถูกเชือดตามโรงฆ่าสัตว์ ตัวอย่างของโทษ แห่งการผิดศีลข้อ ๓ การผิดลูกผิดเมียคนอื่น เมื่อตกนรกแล้วจะต้องกลับมา เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก ๓ ชาติ จากนั้นเกิดเป็นผู้หญิงอีก ๗ ชาติ เกิดมา เป็นบุคคลไม่มีเพศ คือเพศชายก็ไม่ใช่ หญิงก็ไม่เชิง อีก ๑ ชาติ แล้วจึงจะได้ เกิดมาเป็นผู้ชาย นี้คือ เป็นต้น๓๒ การเกิดมาเป็นมนุษย์จึงเป็นการยาก ศีลบริสุทธิ์ ในทางตรงกันข้ามถ้าเรารักษาศี ลได้บริสุทธิ์ รักษาศีล ๕ ได้ครบ ส่วนใหญ่จะไปเกิดเป็น เทวดา เมื่อเราไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ จะมีแต่ ความสุขสนุกรื่นเริง มีสวนดอกไม้ มีเทพธิดา มีเทพบุตร มีทรัพย์สมบั ติอัน เป็นทิพย์ต่างๆ๓๓ มีอยู่ ๖ ชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเรียกว่า จาตุมหาราชิกา ชั้นที่ ๒ เรียกว่า ดาวดึงส์ ชั้นที่ ๓ เรียกว่า ยามา ชั้นที่ ๔ เรียกว่า ดุสิต ชั้นที่ ๕ เรีย กว่ า นิม มานรดี และชั้ นสุ ดท้ าย ชั้น ที่ ๖ เรีย กว่า ปรนิ มมิต วสวัต ดี จึงทาให้เทพบุตร เทพธิดาหลงยินดีและยึดติดอยู่กับความสุขเหล่านั้น๓๔ ๓๑ ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๕๒๒ – ๕๒๓/๓๔๔, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๗๐/๓๑๗, ความ ทุกข์ท รมารในนรก ดูใน พระภาวนาพิศาลเมธี, วิปัสสนาภาวนาที่ไม่ถูกเขียนไว้ใ น พระไตรปิฎก, ประยูรสาส์นไทยการพิมพ์, หน้า ๒๗๑ - ๒๘๒. ๓๒ ขุ.ชา. (บาลี) ๒๘/๘๖๓/๓๐๓, ขุ.ชา. (ไทย) ๒๘/๑๒๗๓/๓๗๙. ๓๓ ขุ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๑๑. ๓๔ องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๘๘ – ๒๘๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐ พอจะจุติคือตายจากสวรรค์ในชั้นนั้นๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้กลั บมาเกิด เป็นมนุษย์ แต่กลับไปตกอยู่ในนรก เพราะอกุศลกรรมเก่าที่เคยทาไว้ในอดีต ให้ผล ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้ ยาก พระพุทธเจ้าทรงตรัส ว่า๓๕ “กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ” ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก กรรมที่ ตนเคยทาไว้ จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้อยู่ในดวงจิต ใต้สานึ ก ของตน เช่น เราลองระลึกดูสิว่าตอนเป็นเด็กเราจาได้ไหมว่า เราเคยศึกษา เล่าเรียนที่ไ หน เคยทาอะไรมาบ้าง พ่อเราหน้าตาอย่า งไร แม่เราหน้าตา อย่างไร ญาติพี่น้องเรามีใครบ้าง เราก็สามารถจาได้ การที่เราจาได้ นั่นแหละคือการบันทึกกรรมของจิต กรรมทุกๆ อย่างที่เรากระทาไป รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี จะมีคนเห็นก็ดี ไม่มีคนเห็นก็ดี จิตจะ ทาหน้าที่บันทึกเป็นเหมือน Memory Card รอวันตามเหตุตามปัจจัยส่งผล สนองให้ได้รับผลแห่งกรรมนั้นๆ เมื่อทากรรมดี กรรมดีเหล่านั้น จะสนองให้ ท่านได้ในสิ่งที่ดี ถ้าทาในสิ่งที่ไม่ดี กรรมจะส่งผลให้ได้รับกับผลที่ไม่ดีไปด้วย ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก ประการที่ ๒ พระองค์ ท รงตรั สว่ า “กิ จฺ ฉ มจฺ จ าน ชี วิ ต ” คื อ การดารงชีวิตอยู่ของเหล่าสัตว์ก็นับว่ายาก ๓๖ โดยเฉพาะในสัง คมปัจจุบัน เพราะเป็ นไปได้ ย ากที่ ก ารใช้ ชีวิ ต อยู่ จ ะไม่เ บี ยดเบี ยนตน (เช่น กิ นเหล้ า ทาลายสติของตน) หรือไม่เบียดเบียนคนอื่นเลย เช่น การฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร การพู ด โกหก การเล่ น การพนั น การเสพสุ ร าเสพของมึ น เมาต่ า งๆ เบียดเบียนกันจนกลายเป็นความเคยชิน ดังนั้น การมีชีวิตอยู่จะไม่ประพฤติ ผิดศีลก็จัดว่าเป็นของยาก ๓๕ ๓๖ ขุ.ธ.อ (บาลี) ๒๕/๒๔/๓๙, ขุ.ธ.อ (ไทย) ๑/๑๕๐/๓๒๙. ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๒/๙๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑ ตัวอย่างเช่น หากท่านเกิดมายากจน (เพราะไม่เคยทาบุญทาทาน มาตั้งแต่อดีตชาติ) พอเห็นเพื่อนบ้านเขามีรถ มีบ้าน มีโทรศัพท์ มีทีวี ตู้เย็น มีทรัพ ย์สินเงินทอง แต่ของตนไม่มี เมื่อ เห็นคนอื่น มี ตนก็อยากได้อยากมี อยากเป็นอย่างเขาบ้าง จึงพยายามขวนขวายที่จะทางานทุกอย่าง เพื่อที่จะ ได้สิ่งเหล่านั้นมา ทาดีบ้าง ทาไม่ดีบ้าง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ สิ่งที่ ตัวเองปรารถนามาครอบครองให้ได้ บางครั้งไม่ทันใจจึงต้องทาบาปอกุศล ทาความชั่ว ทุจริต เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมาเร็วๆ เช่น ทุจริตในหน้าที่ เป็นต้น กิเลส กรรม วิบาก เมื่อทากรรมชั่ว หรือแม้ทากรรมดีก็ตาม ทุกอย่างจัดว่าเป็นกรรม ต้องได้ รับผลแห่ง การกระทาหรื อกรรมนั้น ๆ เขาเรี ยกว่ า “วิ บากกรรม” ในขณะที่ได้รับวิบากกรรม อาจหลงทากรรมใหม่เข้าไปอีกด้วยความไม่รู้ เช่น วิบากกรรมนาให้ท่านเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น เสือ (ชนกกรรม) กรรมก็ จะสนับสนุนให้ท่านมีนิสัยดุร้าย เรียกว่า “อุปถัมภ์กรรม” ทาให้ท่านต้องฆ่า สัตว์ อื่น กินเป็นอาหาร (ตามสัญชาตญาณ) ท่านจึง ต้อ งทากรรมอยู่บ่อยๆ กรณีเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน เมื่อทากรรมชั่วแล้วจะไม่ทาอีก ก็เป็นการยาก เพราะได้หลงทาไปแล้ว จึงมีสานวนที่ว่า ขึ้นหลังเสือแล้วลงได้ยาก จึงต้องตก บันไดพลอยโจนทาบาปอกุศลบ่อ ยๆ ดัง นั้ น จะเห็น ได้ว่า การใช้ ชีวิต ที่จ ะ ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนคนอื่น สัตว์อื่น เป็นสิ่งที่เกิดได้ยาก พระองค์ จึงทรงตรัสว่า “กิจฺฉ มจฺจาน ชีวิต” ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก ผู้รู้ในที่นี้ คือ พระพุทธเจ้า เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระองค์ทรง ตรัสว่า “กิจฺโฉ พุทฺธานมุปปฺ าโท” การที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเสด็จอุบัติ ขึ้นก็ยิ่งยาก๓๗ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ต้องสั่งสมพระบารมีมานานเป็น อสงไขย ๓๗ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๒/๙๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒ อะ แปลว่า ไม่ สงไขย มาจากคาว่า “สังขะยา” แปลว่า การนับ อสงไขย จึง หมายความว่า นับไม่ได้ คือ นับไม่ไ ด้ว่าเกิดมาแล้ว กี่ภพกี่ชาติ ไม่สามารถนับได้ หากนับไม่ได้ถึง ๒๐ ครั้ง เป็นลักษณะของพระพุทธเจ้าที่ สะสมในด้านปัญญา ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าสะสมในด้านศรัทธา ต้องบาเพ็ญ บารมี ๔๐ อสงไขย คือปฏิบัติความดีตามคาแนะนาของท่านผู้รู้ พยายาม ประพฤติปฏิบัติ ตามจนในที่สุด บารมีเต็ม จึง บัง เกิดชาติสุด ท้ายบรรลุเป็ น พระพุทธเจ้า แต่ถ้าปฏิบัติ ด้วยความเพียรคือวิริยะ ต้องสะสมบารมีถึง ๘๐ อสงไขย คื อปฏิ บั ติ ธ รรม ท าความดี เ รื่ อ ยไป บางที ข าดผู้ แนะน าสั่ ง สอน ปฏิบั ติไ ปตามความคิ ดของตนๆ อย่า งถูก ต้อ ง ไม่ว่า จะเป็น สมถวิปัส สนา ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว อย่างนี้ก็ใช้เวลานานหน่อย๓๘ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ต้องสั่งสมบารมีมากมายหลายชาติ เช่น บางชาติเกิดเป็นนกกระจาบ บางชาติเป็นพญานกยูงทอง บางชาติเป็นพญา ช้างฉัทฑัณ หรือแม้แต่เกิดเป็ นพระฤาษีเป็นดาบส บางชาติถึง กับต้องสละ ชีวิตเลือดเนื้อเพื่อต้องการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เช่น ในชาติหนึ่งพระองค์ เกิดเป็นฤาษี เห็นแม่เสือกับลู กเสือที่อยู่ด้านล่างเหว แม่เ สืออดอาหารมา หลายวันแล้ว ฤาษีดาริขึ้นและรู้ได้ว่าแม่เสื อกาลังจะกินลูกเสืออย่างแน่นอน ฤาษีพระโพธิสัตว์จึงได้สละชีวิต โดยการโดดลงไปที่เหวด้านล่างเพื่อให้เสือได้ กินเป็นทานเพื่อหวังสั่งสมบารมี เพียงเพื่อต้องการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ พระฤาษีโพธิสัตว์ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณมากกว่าชีวิตของตัวเอง ในทศชาติชาดก คือ การเกิดอีก ๑๐ พระชาติสุดท้ายของพระองค์ จะเห็นได้ว่าการสั่งสมบารมีแต่ละชาติของพระองค์นั้น การบาเพ็ญบารมีนั้น ยากมาก อย่ า งชาติ ที่ เ กิ ด เป็ น พระเตมี ย์ ใ บ้ “สั่ ง สมเนกขั ม มะบารมี ” ปรารถนาออกบวช จึงไม่พูดไม่คุย ไม่สนทนากับใครเลยเป็นระยะเวลา ๙ ปี ไม่ว่าภยันตรายต่างๆ เข้ามาแวดล้อมพระองค์ ก็ ทรงนิ่งอยู่ทาตนให้เหมือน ๓๘ ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๒/๓/๑/๑๘, ขุ.อป.อ. (ไทย) ๘/๑/-/๒๖๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓ เป็นใบ้ ตั้ง แต่ อายุ ๗ ขวบ จนถึงอายุ ๑๖ อดทนอยู่ขนาดนั้น อยากพูด ก็ อยากพูด แต่ก็ไม่พูด เพราะอะไร เพราะอยากจะบวช ต้องอดทนขนาดนั้น แม้แต่ในพระชาติที่พระองค์ทรงบาเพ็ญในเรื่องของศีลบารมี เกิด เป็น พญานาคภูริทัตตะ มีอิทธิฤทธิ์ร้ายสามารถที่จะฆ่าหมองูได้ แต่พระองค์ ก็ไม่ทา เพราะทรงรักษาศีล โดนหมองูเป่ามนต์ทาให้ร้อนเหมือนโดนไฟเผา ทั่ว ร่า งกาย เฆี่ย นตีแ ล้ว เฆี่ย นตีอี ก ตี แล้ วตี อี ก บั ง คั บแล้ ว บัง คับ อี ก แต่ พระองค์ก็ทรงอดทน บาเพ็ญศีลบารมีคือ ไม่ทาร้ายสัตว์ แม้แต่ในพระชาติที่ ทรงเสวยเป็น พระเวชสันดร พระองค์ก็เสียสละทานบารมีเยอะแยะมากมาย เสียสละทรัพย์สินเงินทอง เสียสละแม้กระทั่งบุตรหรือภรรยา พระองค์ทรง สละทั้งหมดซึ่งเป็นสิ่งที่ทาได้ยากยิ่ง ในพระชาติสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะบรรลุธรรม เสวยชาติเป็น เจ้ า ชายสิท ธั ตถะ พระองค์ ต้อ งทนทุ กข์ ท รมานอยู่ ใ นป่ า ถึง ๖ ปี ด้ว ยกั น ทรมานตนเองด้วยวิธีการต่างๆ คือเอาฟันกดฟัน เอาลิ้นดันเพดาน จนลม ออกหู สองทรงการกลั้ นลมหายใจเข้า กลั้นลมหายใจออก จนทาให้รู้สึ ก ทรมานร่ างกาย และสุดท้ าย ทรงอดข้าวอดน้ า ๓๙ โดยความเป็น จริง แล้ ว พระพุทธเจ้า ทรงทามากกว่านั้น ทาในสิ่งที่มนุษย์นี่ทาไม่ได้ ไม่ว่าจะนั่งบน ตะปู ยืนขาเดียว เปลือยกาย ยืนกลางแดด ฯลฯ กว่าที่พระองค์จะบรรลุเป็น พระพุ ท ธเจ้ า ได้ ต้ อ งอาศั ย บ าเพ็ ญ บารมี ม าถึ ง ๖ ปี จึ ง ได้ บั ง เกิ ด เป็ น พระพุท ธเจ้า ขึ้น มา ฉะนั้น พระพุท ธเจ้ าจึ งทรงตรั สว่ า “การบั งเกิด ของ พระพุทธเจ้าเป็นของยาก” บัดนี้ พระพุทธเจ้าของเรายังทรงอยู่ ทรงอยู่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ขันธ์ที่ทรงอยู่ แต่หมายถึงความเป็น พุทธภาวะ เป็นความรู้ เป็นความตื่ น เป็นความเบิกบานในจิตในใจของเราท่านทั้งหลาย ฉะนั้น การที่เราได้เข้ามา ประพฤติปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนา เจริญสติปัฏฐาน เจริญความรู้สึกตัวอยู่ ๓๙ มู.ม. (ไทย) ๑๒/๑๕๕/๑๕๘, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๑/๔๐๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔ จักได้พบกับพระพุทธเจ้า หรือความเป็นพุทธะ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสกับ พระวักกลิว่า“โย โข วกฺกลิ ธมฺม ปสฺสติ โส ม ปสฺสติ”แปลว่าผู้ใดเห็น ธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม๔๐ ฉะนั้น พุทธภาวะยังมีอยู่ใน จิตในใจของนัก ปฏิบั ติธรรมทั้ งหลาย จึง ควรพยายามที่จ ะเจริญ สติเ จริ ญ ปัญญาเพื่อเข้าไปค้นพบพุทธภาวเหล่านี้ด้วยการปฏิบัติธรรม การได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้ายาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิจฺฉ สทฺธมฺมสฺสวน การได้ยินได้ฟังธรรมของ พระพุทธเจ้ายาก เพราะประกอบด้วยอุปสรรคขัดข้องหลายอย่าง ดังนี้ คือ ๑. พระสั ท ธรรมเองเกิ ด ได้ ย าก โดยเกี่ ย วกั บ การที่ เริ่ ม แรก ภายหลังที่พระศาสดาตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาเห็นว่า ธรรมะเป็นของลึกซึ้ง ยากที่ผู้มีกิเลสหนา มีปัญญาน้อยทั้งหลายจะเข้าถึงได้ ไม่อาจจะหยั่งรู้ตามได้ ทรงเห็นอย่างนี้แล้ว จึงทรงเกิดท้อพระทัย ไม่ขวนขวายในธรรมอันจะแสดง ดังที่ตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง ว่า๔๑ “กิ จฺ เ ฉน เม อธิ ค ต หลนฺ ท านิ ปกาสิ ตุ ราคโทสปเรเตหิ นาย ธมฺโม สุสมฺพุโธ ปฏิโสตคามึ นิปุณ คมฺภีร ทุทฺทส อณณ ราครตฺตา น ทกฺขนฺติ ตโมกฺขนฺเธน อาวุตาติ” แปลว่า“‘บัดนี้ เรายังไม่ควรประกาศธรรมที่เราบรรลุด้วยความ ลาบากเพราะธรรมนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ถูกราคะและโทสะครอบงาจะรู้ไ ด้ง่าย แต่ เป็นสิ่งที่พาทวนกระแส ละเอียด ลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยาก ประณีต ผู้กาหนัดด้วย ราคะ ถูกกองโมหะหุ้มห่อไว้ จักรู้เห็นไม่ได้’ ดังนี้ ท่านท้าวมหาพรหม เมื่อได้ ทราบพระดาริ จะไม่แสดงธรรมของ พระองค์แล้ว เกิดพระทัยสั่นไหวด้วยกรุณา เกรงไปว่า สัตว์ผู้มีกิเลสน้อย ๔๐ ส.ข. (บาลี) ๑๗/๒๑๗/๑๔๗, ส.ข. (ไทย) ๑๗/๘๗/๑๕๙. ๔๑ ม.ม. (บาลี) ๑๓/๕๐๙/๔๖๒, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๓๗/๔๐๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕ มีปัญญามาก ซึ่งพอมีอยู่บ้าง ไม่ได้ฟังธรรม เพราะพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะพลาดจากประโยชน์ไปเสีย จึงเสด็จลงมาจากพรหมโลก ทูลขอร้องให้ พระพุทธเจ้าทรงกลับพระทัยใคร่แสดงธรรมอีก พระพุทธเจ้าผู้มีน้าพระทัย กรุณาต่ อสัตว์ทั้ ง หลายอยู่ก่อนแล้ว เมื่อท่า นท้าวมหาพรหมมาทูล ขอร้อ ง อย่างนั้น พระมหากรุณาของพระองค์ก็ลุกโพลงขึ้นอีกครั้ง ทรงยอมรับคาทูล ขอร้องของท่านท้าวมหาพรหม ต่อจากนั้น ก็เสด็ จจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อโปรดสัตว์ พระสัทธรรมจึงปรากฏขึ้นมาในโลก เป็นอันว่า พระสัทธรรมที่ มีความดีง าม สมบูรณ์โดยอาการทั้งปวงนี้ จะมี ไ ด้ก็ต่อเมื่อมีพระสัมมาสัม พุทธเจ้าทรงอุบัติในโลก แล้วประกาศให้ทราบเท่านั้น ซึ่งโอกาสนี้ มีได้ยาก.. ๒. เพราะเหตุที่คนส่วนมากมีกิเลสมาก มีปัญ ญาน้อย ไม่อาจ รองรับพระสัทธรรมส่วนที่ประณีตสุขุมนี้ได้ คนที่มีกิเลสน้อย มีปัญญามาก ที่แสวงหาอยู่เ ท่า นั้น ได้ ฟังแล้ว รองรับ ไว้ ได้ เพราะฉะนั้น พระสัท ธรรมนี้ จึงกล่าวได้ว่า คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ช่วยกันรักษาอยู่ จึงไม่ปรากฏแพร่หลาย ทั่ว ไป เมื่ อเกิ ดมี ค นใคร่ ต้อ งการจะฟัง ก็ไ ม่ ท ราบว่า จะไปหาฟั ง ได้ที่ ไ หน ต้องไปฟังจากใคร นี่คือความเป็นเรื่องยากอีกประการหนึ่ง ๓. เนื่องจากเข้ายุคเข้าสมัยที่นับว่าเป็นกาลวิบัติ ผู้คนมีจิตใจ ค่อยๆ โอนลาดไปทางต่าเรื่อย ๆ หมกมุ่นอยู่ แต่วัตถุ เครื่องมอมเมาจิตใจ ทั้งหลาย มักมากใคร่ได้ ไม่รู้จักพอ ทาโดยประการต่างๆ ที่เห็นว่าจะเป็นเหตุ ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ ไม่คานึงว่าสุจริตหรือทุจริต เพราะฉะนั้น อย่าว่า แต่จะฟังพระสัทธรรมอันมีเนื้อหาสาระทวนกระแสกิเลสเลย แม้แต่ความคิด จะฟังก็ไม่เกิดขึ้น แม้พวกที่ดีกว่านี้หน่อย มีผู้มาชี้แนะประโยชน์ของการฟัง ธรรมให้รั บทราบ เกิด เห็น ดีเ ห็น งามขึ้น มาบ้า ง ก็ ไ ม่ ถึง กับ ให้ค วามส าคั ญ จริงจังอะไรนัก ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายที่เขาเห็นว่าสาคัญกว่า ต้องเป็นเวลา ว่าง ไม่มีกิจอะไรๆ จะให้ทาเลยเท่านั้น จึงใช้เวลาในคราวนั้นฟังธรรม ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ไม่มีการฟังอย่างเคารพหนักแน่น ไม่มีการฟังติดต่อพอมีเรื่องที่เห็น ว่าน่าสนใจอย่างอื่นเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีสาระประโยชน์ เพียงแต่เป็นเรื่องที่ตน ชอบใจมากกว่า เท่า นั้น ย่อมทิ้ง การฟังได้ฉั บพลั น หากมีผู้ ท้ว งติง เกี่ ย วกั บ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖ การไม่ไปฟังธรรมคนพวกนี้จะกล่าวอ้างเพียงเท่านี้ว่า“ยังไม่มีเวลา” ที่ว่ามานี้ เป็นเหตุผลที่แสดงว่าการฟังพระสัทธรรม เป็นเรื่องยาก๔๒ ๔. เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงไม่สามารถที่จะฟังธรรมให้เข้าใจได้ หากได้ฟังก็ฟังไม่รู้เรื่อง ถึงรู้เรื่องแต่จักไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ๕. เกิ ด ไกลจากพระพุ ท ธเจ้ า คื อ ไม่ ไ ด้ เ กิ ด ในสถานที่ มี พระพุ ทธศาสนาประดิษ ฐานอยู่ ไม่ ได้ เกิ ด ในสถานที่ ที่ พ ระพุท ธเจ้ าทรง บังเกิดอยู่ จึงไม่สามารถที่จะได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้ ๖. เป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้แต่จะอยู่ใกล้กับพระองค์แต่ไม่เชื่อ ไม่นับถือ ไม่เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้า มีความเห็นผิด เช่น ในโลกนี้มีพระพุทธเจ้าที่ไหนกัน ตายแล้วก็ต้องเกิด ของนี้เป็นของเที่ยง เกิดแล้วก็ต้องตายอีก ตายแล้วก็ต้อง เกิดอยู่อย่างนี้ ตายแล้วก็ดับสูญอย่างนี้ บางคนก็เชื่อแบบนั้น จึงไม่สามารถ ได้ยินได้ฟังธรรม เพราะใจไม่ยอมรับนั่นเอง คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ในพระไตรปิฎก หากเรา ศึกษา และนามาประพฤติปฏิบัติ เราจะสามารถเห็นจริงตามที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสเอาไว้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นอกาลิโก ปฏิบัติเมื่อไหร่รู้เมื่อนั้น ปฏิบัติ เมื่อไหร่เห็นเมื่อนั้น ปฏิบัติเมื่อไหร่เข้าใจเมื่อนั้น นี่คือคาสั่งสอนของพระผู้มี พระภาคเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้บังเกิดขึ้นมาในโลกนี้เราจะไม่รู้เลยว่าแท้ที่ จริงสิ่งที่เรายึดถือเป็นตัวเป็นตนของเรานี่มันเป็นเพียงแค่รูปนาม เป็นเพียง แค่ขันธ์ ๕ เป็นเพียงแค่ธาตุ ๔ ที่ประกอบกันเข้า ที่ทาให้เราหลงยึดมั่นถือมั่น เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาในโลก พระองค์ทรงบอก ทรงกล่าว ทรงแสดง อย่างไม่มีปิดบังซ่อนเร้น แบบเปิดเผยทั้งหมด ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการได้ยิน ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย การปฏิบัติเป็นสิ่งที่ไม่ยากเย็น เพียงแต่ว่าเราต้องมีความขยัน และ มีความเชือ่ มั่นในพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในพระธรรมคาสั่งสอนว่าสามารถที่จะ ๔๒ อาจารย์ไชยวัฒน์,http://www.raksa-dhamma.com/topic_10.php แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗ ดับทุกข์ได้จริง เชื่อมั่นในพระอริยสงฆ์ คือ เราสามารถเป็นพระอริยสงฆ์ไ ด้ สิ่งที่ยากเหล่านี้จะกลับกลายเป็นง่ายไปทั้งหมด การยากทั้ง ๔ อย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงดาริ หรือทรงปรารภใน เรื่ อ งของพระภิ ก ษุ รู ป หนึ่ ง ที่ เ กิ ด มาในสมั ย ของพระพุ ท ธเจ้ า พระนามว่ า พระกัสสปะ แล้วทาผิดศีลจึงต้องไปเกิดเป็นพญานาคอยู่ ๑ พุทธันดร พอไป เกิดเป็นพญานาคราลึกนึกได้ว่าตนเองพยายามรักษาศีลมาตลอดหลายหมื่น ปีแต่ทาผิดศีลนิดเดียวต้องกลับกลายมาเป็นพญานาคอยู่ถึ ง ๑ พุทธันดรจึง เกิดความเสียใจ ก็เลยอยากจะพบพระพุทธเจ้า อยากจะหาพระพุทธเจ้ า อยากจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้ถามปัญหาที่จะทาให้หลุดพ้นจาก อั ต ภาพนี้ ไ ป แต่ ต้ อ งเฝ้ า รอคอยเป็ น เวลานานแสนนาน กว่ า จะได้ พ บ พระพุทธเจ้า ๔๓ เพราะการบังเกิดขึ้น ของพระพุทธเจ้ายาก ดัง ที่ไ ด้อธิบาย มาแล้วนั่นเอง น สนฺติ ปุตฺตา ตาณาย น ปิตา นปิ พนฺธวา อนฺตเกนาธิปนฺนสฺส นตฺถิ าตีสุ ตาณตา. เอตมตฺถวส ตฺวา ปณฺฑิโต สีลสวุโต นิพฺพานคมน มคฺค ขิปฺปเมว วิโสธเย. ขุ.ธ. ๒๕. ๑๘๘-๘๙. ๖๖ “ บุ ต รก็ ป้ อ งกั น ไม่ ไ ด้ บิ ด า หรื อ ญาติ ก็ ป้ อ งกั น ไม่ ไ ด้ คนเราเมื่อถึงคราวจะตาย หมู่ญาติก็ป้องกันไม่ได้ เมื่อรู้ความ จริง ข้อนี้แล้ว คนฉลาดผู้ส ารวมในศีล ควรรีบช าระทางไปสู่ พระนิพพานโดยพลัน ” ๔๓ ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๒๕/๒๔/๓๙, ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๓/๓๒๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘ กิจเบื้องต้นแห่งการปฏิบตั ิ ๑. ข้อที่ผู้ปฏิบัติ ขาดไม่ได้ ๓ อย่าง คือ ๑) อุปนิสฺสย อยู่ในสานักของอาจารย์ผู้มีความสามารถ ๒) อารกฺข รักษาอินทรีย์ ๖ ให้บริบูรณ์ ๓) อุปฺนิพทฺธ ผูกจิตไว้ในสติปัฏฐาน ๔ ๒. หน้าที่ควรปฏิบัติ ๑) เพียรในการกาหนดให้ต่อเนื่อง ๒) กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ๓) สารวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๔) ขณะเคลื่อนไหวอิริยาบถให้เคลื่อนไหวช้า ผูป้ ฏิบัติต้องประกอบด้วยองค์คุณ คือ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา มีความเพียรในการกาหนดสติระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมออยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน ๓. ข้อปฏิบัติที่ควรละเว้น ๑) กมฺมารามตา มากด้วยธุระการงาน ๒) นิทฺทารามตา ไม่เห็นแก่นอน ๓) ภสฺสารามตา คุยมาก พูดมาก ๔) สงฺคณิการามตา พอใจคลุกคลีอยู่กับหมู่คณะ ๕) อคุตฺตทฺวารตา ไม่สารวมอินทรีย์ ๖) โภชเน อมตฺตญฺญุตา ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค ๔. กิจที่ควรทาก่อนเข้าปฏิบัติ ๑) ปลิโพธ คือ อุปสรรคที่คอยขัดขวางการเจริญกรรมฐาน นักปฏิบัติธรรมควรตัดปลิโพธ ความกังวล ๑๐ ประการ ได้แก่ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙ (๑) อาวาสปลิโพธ ห่วงที่อยู่อาศัย (๒) กุลปลิโพธ ห่วงตระกูล (๓) ลาภปลิโพธ ห่วงลาภ (๔) คณปลิโพธ ห่วงหมู่คณะ (๕) กมฺมปลิโพธ ห่วงการงาน (๖) อทฺธานปลิโพธ ห่วงการเดินทาง (๗) าติปลิโพธ ห่วงญาติพี่น้อง (๘) อาพาธปลิโพธ ห่วงโรคภัยไข้เจ็บ (๙) คนฺถปลิโพธ ห่วงการศึกษาเล่าเรียน (๑๐) อิทฺธิปลิโพธ ห่วงฤทธิ์อันมีอยู่ในตน ๒) ควรเลือกหาสถานที่ ที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติ ๓) เลือกหากัลยาณมิตรหรือวิปัสสนาจารย์ผู้ให้กรรมฐาน อาจารย์ผู้ใ ห้ กรรมฐานต้องมีคุณ สมบัติ คื อ ท่านใดก็ ตามที่ให้กรรมฐานทั้ง ๒ อย่างคือ สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานได้ ท่านผู้นั้น ชื่อว่า ผู้สามารถให้ กรรมฐาน ผู้ประสงค์จะเจริญ กรรมฐานพึง เข้าหาท่านผู้สามารถให้ กรรมฐานได้ ส่วนคาว่า กัลยาณมิตร หมายถึง อาจารย์ผู้ใ ห้ ก รรมฐาน หรื อมิ ตรดารงตนอยู่ในฝ่า ยดีมี จิต มุ่ง ในสิ่ ง ที่ เป็ น ประโยชน์ ซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติประจาตน ดังนี้ ปิโย ครุ ภาวนีโย วตฺตา จ วจนกฺขโม คมฺภีรญฺจ กถ กตฺตา โน จฏฺ าเน นิโยชโก๔๔ “เป็นที่รักที่พอใจ เป็นที่เคารพ เป็นที่ยกย่อง เป็นนักพูดที่ดี เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคา เป็นผู้พูดถ้อยคาลึกซึ้งได้ไม่ชักนาในอฐานะ” ๑. มีคุณสมบัติเป็นที่รัก น่าเลื่อมใส เพราะมีศีลบริสุทธิ์ ๒. มีคุณสมบัติเป็นที่น่าเคารพ เพราะประกอบด้วยคุณธรรม มีศีล สมาธิ และการถือธุดงค์ ๔๔ องฺ.สตฺตก. (บาลี) ๒๓/๓๗/๘๗, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๓๗/๕๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๐ ๓. มี คุ ณ สมบั ติ เ ป็ น ที่ น่ า สรรเสริ ญ เพราะมี จิ ต ใจที่ เ ที่ ย งธรรม ไม่ลาเอียงในบรรดาสหธรรม และ ศิษย์ ๔. เป็นผู้สามารถว่ากล่าวตักเตือน อบรมลูกศิษย์ให้ดี ๕. เป็นผู้อดกลั้นต่อถ้อยคาต่าๆ สูงๆ ได้ยอมรับคาตักเตือนจาก สหธรรมิก และลูกศิษย์ ๖. เป็นผู้สามารถชี้แจงถ้อยคาและธรรมที่สุขุมลุ่มลึก ในรูปนาม ขันธ์ ๕ สัจจะ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ไตรลักษณ์ ๗. เป็นผู้ไม่แนะนาในทางที่ไม่สมควร๔๕ ๔) การถือกรรมฐานหรือการสมาทานกรรมฐาน การสมาทานกรรมฐาน หมายถึง การมอบกายถวาย ชีวิตแด่พระพุทธเจ้าว่า “อิมาห ภควา อตฺตภาว ตุมฺหาก ปริจฺจชามิ . ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนไตรคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” และมอบกายถวายตัวต่อวิปัสสนาจารย์ว่า “อิมาห ภนฺเต อตฺตภาว ตุมฺหาก ปริจฺจชามิ๔๖ ข้าแต่ท่านอาจารย์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายตัวแด่ท่าน” ถัดจากนั้น ควรกราบพระโดยระลึกถึงพระพุทธคุณ จากนั้น แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ สุดท้าย เจริญมรณานุสติ (พิจารณาถึงความตาย เป็นอารมณ์) ซึ่งจะได้อรรถาธิบายเป็นลาดับต่อไป ๔๕ วิสุทธิมัคค ปฐมภาค กัมมัฏฐานทายกวัณณนา หน้า ๙๔., นิโยชโกติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), แปลเรียบเรียง คัมภีร์วิสุทธิมรรค. พิมพ์ ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพฯ : บริษัท ประยูรวงศ์พริ้นติ้ง จากัด,๒๕๔๖), หน้า ๑๖๑., พระเทพ โสภณ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) และคณะ แปลจากฉบับภาษาอังกฤษ ของพระเอฮารา พระ โสมเถระ และพระเขมินทเถระ, วิมุตติมรรค. (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทาลัย - ๒๕๔๘), หน้า ๔๙ -๕๐., พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, เรื่อง เดียวกัน, หน้า ๔๒., วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๖๕-๖๖. ๔๖ อ้างแล้ว, ๑/๑๒๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๑ ขั้นตอนการสมาทานกรรมฐาน วิธีสมาทานกรรมฐาน เมื่อจะปฏิบัติ กรรมฐาน ปฏิบตั ิตามขั้นตอน ดังนี้:- ผู้ปฏิบัติต้องสมาทานกรรมฐานโดย ๑. ถวายสักการะพระอาจารย์ผู้ให้กรรมฐาน ๒. จุดเทียน ธูป บูชาพระรัตนตรัย ๓. หากเป็นพระให้แสดงอาบัติก่อน หากเป็นคฤหัสให้รับศีล ๔. สมาทานกรรมฐาน คาสมาทานกรรมฐาน ๑. มอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย “อิมาห ภควา, อตฺตภาว, ตุมฺหาก, ปริจจฺ ชามิ” ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้ าพระองค์ ขอมอบกาย ถวายชีวิตแด่พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ๒. มอบกายถวายตัวต่อพระอาจารย์ “อิมาห อาจะริยะ, อตฺตภาว, ตุมฺหาก, ปริจฺจชามิ” ข้าแต่ พระอาจารย์ ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายตัวต่อครูบาอาจารย์ เพื่อ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ๓. ขอพระกรรมฐาน “นิพพานฺสส เม ภนฺเต, สจฺฉิกรณตฺถาย, กมฺมฏฺ าน เทหิ” ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้ กรรมฐานแก่ข้าพเจ้า เพื่อกระทาให้แจ้ง ซึ่งมรรคผลนิพพานในอนาคตกาลต่อไป แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๒ ๔. คาแผ่เมตตาให้ตนเอง “อห สุขิโต โหมิ” ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข “นิทฺทุกฺโข โหมิ” ปราศจากทุกข์ “อเวโร โหมิ” ไม่มีเวร ไม่มีภัย “อพ๎ยาปฺชโฌ โหมิ” ไม่มีความเบียดเบียน “อนีโฆ โหมิ” ไม่มีความเดือดร้อน “สุขี อตฺตาน ปริหรามิ” ขอให้มีความสุข รักษาตนอยู่เถิด ๕. คาแผ่เมตตาให้ผู้อื่น สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิด ~แก่~เจ็บ~ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น อเวรา โหนตุ จงเป็นสุข ๆ เถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อพ๎ ย าปชฺ ฌ า โหนตุ จงเป็ น สุ ข ๆ เถิ ด อย่ า ได้ พ ยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุข ๆ เถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ สุขี อตฺตาน ปริหรนฺตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้น จากทุ ก ข์ ภั ย ทั้ ง สิ้ น เถิ ด ท่ า นทั้ ง หลาย ที่ มี ค วามทุ ก ข์ ขอให้ พ้ น จากทุ ก ข์ ท่านทัง้ หลายที่มีสุข ขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด ๕. คาเจริญมรณานุสสติ อทฺธุว เม ชิวิต, ธุว เม มรณ, อวสฺส มยา มริตพฺพ, มรณปริ โยสาน เม ชีวิต , ชีวิต เม อนิยต , มรณ นิ ยต” ชีวิ ตของเราไม่ยั่ ง ยื น ความตายยั่งยืน เราจะต้องตายแน่ เพราะว่าชีวิตของเรา มีความตายเป็น ที่สุด อันชีวิตไม่แน่นอน ความตายแน่นอนที่สุด เป็นโชคอันดี ที่เราได้มา ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ในโอกาสบัดนี้ ไม่เสียทีที่ไ ด้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๓ ๖. คาตั้งสัจจะอธิษฐาน “เยเนว ยนฺติ นิพฺพาน, เอกายเนน มคฺเคน, พุทธฺ า เตสญฺจ สาวกา, สติปฏฺ านสญฺ นา” พระพุ ท ธเจ้ า และเหล่ า พระอริ ย สาวก ทั้งหลาย ได้ดาเนินไปสู่พระนิพพานด้วยทางสายนี้ อันเป็นทางสายเอก ที่ให้ถึงความสิ้นทุกข์ ประสบ แต่สันติสุข ซึ่งได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ ด้ ว ยสั จ จะที่ ก ล่ า วอ้ า งมานี้ ข้ า พเจ้ า ขอตั้ ง สั จ จะอธิ ษ ฐาน ปฏิ ญ าณตนต่ อ พระรั ต นตรั ย และครู บ าอาจารย์ ว่ า “จะตั้ ง อกตั้ ง ใจ ประพฤติปฏิบัติจริงๆ เท่าที่สามารถ เท่าที่มีโอกาสจะปฏิบัติไ ด้ เพื่อให้ไ ด้ บรรลุบรรลุ มรรค~ผล~นิพพาน เจริญรอยตามพระพุทธองค์” ๗. ตั้งความปรารถนา “อิมาย ธมฺมานุธมฺม ปฏิปตฺติยา รตนตฺตย ปูเชมิ” ข้าพเจ้าขอบูชาพระรัตนตรัย ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อันสมควรแก่มรรค~ผล~นิ พพานนี้ ด้วยสัจจะวาจาที่กล่าวอ้างมาแล้ว นี้ ขอเทพบุต รเทพธิดาทั้งหลายอมนุษย์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้ง หลาย มารทั้งหลาย จงอย่าเป็นอุปสรรคขัดข้อง ต่อการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ของข้าพเจ้า ขอจงได้อนุโมทนาสาธุการ รับเอาส่วนบุญส่วนกุศล ที่พึงมีจาก การปฏิบัติของข้าพเจ้า ซึ่งอุทิศให้นี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาพระธรรมวิเศษทั้ง หลายทั้ง สิ้น พระขณิกะ สมาธิ พระอุ ป จาระสมาธิ พระธรรมปี ติ ทั้ ง ห้ า และพระวิ ปั ส สนาญาณ ทั้ง โสฬสะญาณ จงบังเกิดมี ในขันธสันดานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตั้ง สติ กาหนดไว้ ที่สติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ขอให้ข้าพเจ้า ได้บรรลุ มรรค~ผล~นิพพาน โดยเร็วพลัน...ในกาลอันไม่ช้านี้ด้วยเทอญ แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๔ ๘. คาขอขมา ระตะนัตตะเย ปะมาเทนะ, ทวาระตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะ ราธัง ขะมะตุ โน ภันเต, อาจะริเย ปะมาเทนะ, ทวาระตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง, ขะมะตุ โน ภันเต,มาตาปิตะเร ปะมาเทนะ ทะวาระตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุโน ภันเต, กรรมชั่ วอันใด ที่เป็ นบาปอกุศล อันข้า พเจ้า (เอ่ย ชื่อ นามสกุล ) ได้ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อคุณพระรัตนตรัย , และครูบาอาจารย์ , ด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จาได้หรือจาไม่ได้ก็ดี ทั้งที่มีเจตนา และไม่มีเจตนา ขอคุณพระรัตนตรัย, และครูบาอาจารย์ จงลุแก่โทษ โปรด อโหสิกรรม ให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อไม่ให้เป็นบาป เป็นเวร เป็นกรรมต่อไป จบพิธีรับพระกรรมฐาน จากนั้นก็เริ่มสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ดังนี้ (พระพุ ทธคุ ณ ) “อิติปิ โส ภะคะวา อะระหั ง สัม มาสั มพุ ทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.” (พระธรรมคุณ ) “ส๎ วากขาโต ภะคะวะตา ธั มโม สั นทิ ฏฐิ โ ก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติง” (พระสังฆคุณ) “สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิ ปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสัง โฆ ญายะปะฏิ ปันโน ภะคะวะโต สาวะ กะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุ คานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญ ญักเขตตัง โลกัสสาติ.” จบแล้วกราบ ๓ ครั้ง แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๕ ความกังวล ๑๐ ประการ การปฏิบัติ ธรรมต้องอาศัยจิตที่ ตั้งมั่นมีสมาธิ จึง จะสามารถรู้ ชั ด ตามความเป็นจริงของกายใจได้ ดังนั้น อุปสัคที่ขัดขวางจิตไม่ให้ตั้งมั่น ทาจิต ให้ซัดส่าย คือ ความกังวล หรือมหาปลิโพธ ๑๐ ประการ ดังมีบทพระบาลีว่า อาวาโส จ กุล ลาโภ คโณ กมฺมญฺจ ปญฺจม อทฺธาน าติ อาพาโธ คนฺโถ อิทฺธีติ เต ทสาติ ฯ๔๗ แปลความว่า เครื่องก่อกวนให้เกิดความกังวลมีอยู่ ๑๐ ประการ คือ ที่อยู่ ๑๐ ประการ คือ ที่อยู่ ที่อาศัย มีวัด กุฎี บ้าน เป็นต้น ทายก ทายิกา ลาภสักการะ หมู่คณะ นวกรรม การงานที่จัดซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ขึ้น ใหม่ ซึ่ง เป็น ที่ ๕ การเดิ น ทาง ญาติโ ยม อาพาธ การศึ กษา การสอนพระ ปริยัติธรรม การแสดงอิทธิฤทธิ์ มีคาอธิบาย ดังนี้ กังวลที่อยู่ ความกังวลเรื่องที่อยู่อาศัยนั้น หมายถึง ความห่วงกังวลสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่ตัวสะสมไว้ การงานที่คั่งค้างอยู่ หรือความสะดวกสบาย ที่ตนได้รับจากการอยู่ในอาวาสนั้น เหล่านี้เรียก อาวาสปลิโพธ ผู้ปฏิบัติธรรมพึงสละความห่วงกังวลสิ่งต่างๆ ด้วยการจัดการธุระ ของตนๆ ให้สาเร็จลุล่วงให้เรียบร้อยเสียก่อนการเข้าปฏิบัติ นอกจากนั้น พึง ทาไว้ในใจอย่างแยบคายว่า สถานที่นี้คือสถานที่ปฏิบัติ สิ่งที่ต้องสละคือกาย คือใจนี้ เพราะกายเป็นที่อยู่อาศัยของใจ (หทัยวัตถุ) และใจเป็นที่อาศัยของ จิต ฉะนั้น จะต้องเสียสละความเห็นผิดว่ามีกายด้วยการกาหนดรู้ตามความ เป็นจริง คือ การยืน จะต้องกาหนดว่า ยืนหนอ การเดิน การนั่ง การนอน การคู้เข้า การเหยียดออก การก้ม การเงย การหันซ้าย การแลขวา การหยิบ การจับ การวาง จะต้องกาหนดรู้ตามอาการนั้นๆ เพื่อตัดความกังวล ๔๗ พระพุทธโฆษาจารย์, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, ๓/๑/๑๔๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๖ แม้กายภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะต้องเสียสละ ด้วยการกาหนดรู้ว่า เห็นหนอ ได้ยินหนอ ได้กลิ่นหนอ รสหนอ เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตามอาการที่ได้รับการสัมผัสหรือสัมผัสหนอ เพื่อป้องกันความเห็น ผิดว่า ตนเห็น ฯลฯ ตนรู้ จึงได้ชื่อว่าสละทั้งกายภายในและกายภายนอกอยู่ กังวลตระกูล ความกังวลเรื่องตระกูล หมายถึง ความห่วงกังวลตระกูลญาติหรือ ตระกูลอุปัฏฐากที่ตนเองชอบคลุกคลีด้วย เพราะความห่วงใยในความทุกข์ สุขของตระกูลนั้นทาให้ไม่สามารถไปไหนได้ แม้แต่การจากไปเพื่อหาสถานที่ อันสงบวิเวกปฏิบัติธรรมก็ไม่อาจทาได้ นี้เรียกว่า กุลปลิโพธ ในทางปฏิบัติให้นักปฏิบัติธรรมทาไว้ในใจอย่างแยบคายว่า กุล คือ ตระกูล นี้ เป็ น ของพระอริ ย เจ้ า ดั ง พระบาลี ว่ า “เยเนว ยนฺ ติ นิพฺ พ าน พุทธา เตสญฺจ สาวกา ฯลฯ” ทางสายนี้เป็นทางแห่งพระอริยเจ้าทั้งหลาย ได้ดาเนินมาแล้ว ควรตั้งใจในการกาหนดเดินทางตามทางแห่ง พระอริยเจ้า ทั้งหลาย ด้วยการมีสัมมาทิฏฐิ คือ เห็นรูปนามตามความเป็นจริงต่อไป กังวลลาภ ความกังวลเรื่องลาภสักการะ หมายถึง ความห่วงกังวลถึงปัจจัย ๔ ที่ตนเคยได้รับเมื่ออยู่ในอาวาสนั้น เช่น มีกิจนิมนต์มาก มีญาติโยมมาถวาย ภัตตาหาร ถวายสังฆทาน และปัจจัย ๔ อื่นๆ เป็นประจาและจานวนมาก จนเกิดความเสียดายไม่อยากจากไปไหน เพราะกลัวจะสูญเสียลาภเหล่านั้น นี่เรียกว่า ลาภปลิโพธ ในบางครั้งนักปฏิบัติมักจะคาดหวังว่าเมื่อปฏิบัติแล้วควรได้ญาณ มรรค ผล นิพพานดังนี้เป็นต้น จึง จาเป็นต้องสละความคิดเหล่านี้อ อกเสีย ด้วยการโยนิโสมนสิการว่า ลาภ คือ มรรคผลที่จะเกิดขึ้นนั้น อยากได้ก็ตาม ไม่อยากได้ก็ตาม ผลย่อมปรากฏแก่ผู้ ปฏิบัติเสมอ เหมือนกินข้าว อยากอิ่ม หรือไม่อยากอิ่มก็ตาม เมื่อกินไปแล้วผลคือความอิ่มย่อมปรากฏเสมอ แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๗ กังวลหมู่คณะ ความกังวลเรื่องหมู่คณะ หมายถึง ความห่วงหมู่คณะเพื่อนฝูง ที่ รู้จักมักคุน้ หรือความห่วงกังวลในการสอนหนังสือ หรือการแสดงธรรม การ อบรมสั่งสอนหมู่คณะต่าง ๆ ที่ตนต้องรับผิดชอบอยู่ จนไม่อาจตัดใจละทิ้ง หมู่คณะเหล่านั้นไปได้ นี่เรียกว่า คณปลิโพธ บางครั้งนักปฏิบัติกังวลเกี่ยวกับเพื่อนนักปฏิบัติที่มาด้วยกัน คอย มองแต่เพื่อนและคนอื่น ๆ ว่าเดินอย่างไร นั่ง อย่างไร ทาอะไรกันอยู่หนอ เลยไม่ได้ดูตนเองขาดการกาหนดสติไป หรือเจริญสติอยู่ก็กังวลว่าคนอื่นจะ มองตนอย่างไร คนอื่นจะราคาญตนหรือไม่ ทุกๆ อย่างที่ทาให้รู้สึกกังวลนี้ นักปฏิบัติต้องสละไปให้หมด โดยการโยนิโสมนสิการว่า คณ คือ หมู่คณะ หรือผู้ปฏิบัติที่กาลังปฏิบัติกันอยู่นี้ ไม่สามารถทาให้เราบริสุทธิ์ไ ด้ คนจะ บริสุทธิ์ได้ด้วยตัวของตนเอง ดังที่พระพุทธจ้าทรงตรัสว่า ๔๘ “สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺต แปลว่า บุคคลจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ด้วยตนเอง” กังวลการงาน ความกังวลเรื่องการงาน หมายถึง ความห่วงกังวลในเรื่องงานที่ตน ทาอยู่ เช่น การซ่อม การก่อสร้าง การดูแล การบูรณะ การปรับปรุงอารามที่ ตนอยู่ หรือที่ตนต้องรับผิดชอบ ความรับผิดชอบต้องคอยกากับดูแลหรือ ลง มือทางานต่างๆ ทาให้ไม่มีเวลาในการปฏิบัติธรรม นี้เรียกว่า กัมมปลิโพธ นักปฏิบัติจะต้องสละความกังวลนี้ด้วยการโยนิโสมนสิการว่าการ งานในสถานที่นี้คือ การปฏิบัติธรรม หน้าที่ที่ต้องกระทา คือการกาหนดให้ ต่อเนื่อง โดยกาหนดอารมณ์ที่การเคลื่อนไหวของเท้าในขณะเดิน กาหนด ความเคลื่อนไหวของท้องในขณะนั่ง เมื่อมีอารมณ์อย่างอื่นชัดกว่าให้กาหนด รู้อารมณ์นั้น เมื่อกาหนดต่อเนื่องจึงชื่อว่าทางานตามหน้าที่ของผู้ปฏิบัติธรรม ๔๘ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๒๓/๓๗, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๖๕/๘๔, ดูเทียบใน ขุ.ม.(ไทย) ๒๙/๘/๔๑, ขุ.จู. (ไทย) ๓๐/๓๓/๑๖๖, อภิ.ก. ๓๗/๗๔๓/๔๓๕-๔๓๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๘ กังวลกาลเวลา ความกังวลเรื่องการเดินทาง หมายถึง มีความจาเป็นจะต้องเดินทาง ไปท ากิ จ อย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง เช่ น เดิ น ทางไปท างาน เดิ น ทางไปหาญาติ เดินทางไปตามที่ต่างๆ จนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม นี้เรียกว่า อัทธานปลิโพธ นัก ปฏิ บั ติจ ะต้ อ งสละความกั ง วลนี้ ด้ วยการโยนิ โ สมนสิ ก ารว่ า การเดินทางในวัฏฏสงสารนี้ช่างยาวนาน ยิ่งถ้าหากเราขาดการกาหนดรู้กาย รู้ใจตามความเป็นจริงจะทาให้การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น เพราะมี อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ฉะนั้นจึงต้องสละการเดินทางในวัฏฏไปเสียด้วย การทาวิชชาให้แจ้ง รู้ชัดตามความเป็นจริงของรูปนาม ด้วยการกาหนดสติรู้ ไม่ปล่อยใจให้เดินทางไปตามอายตนะทั้ง ๖ การเดินทางของตนจึงสั้นลงไป กังวล าติ ความกังวลเรื่องญาติ ได้แก่ พระอุปัชฌาย์ สัทธิวิหาริก อันเตวาสิก ภิกษุผู้รว่ มอุปัชฌาย์ ญาติในบ้าน เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติเหล่านี้ที่เจ็บป่วย เป็นเหตุแห่งความกังวลของภิกษุ นี้เรียกว่า ญาติปลิโพธ นักปฏิบัติจะต้องสละความกังวลนี้ด้วยการโยนิโสมนสิการว่าญาติ ทั้ง หลายทุ กๆ คนมีก รรมเป็ นของๆ ตน ยิ่ งกว่า นั้ นเราก าลั ง เป็ นญาติ กั บ พระพุทธศาสนา สิ่งสาคัญที่เราต้องทาคือ การประพฤติตนให้อยู่ในระเบียบ ในวินัย ด้วยความตั้งใจปฏิบัติธรรม กังวลการเจ็บป่วย ความกังวลเรื่องการเจ็บป่วย หมายถึง ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในตน ทาให้เกิดความกังวลในการรักษา หรือทุกข์เวทนาจากความเจ็บป่วย ทาให้ เกิ ด อุป สรรคในการปฺ ฎิ บัติ ธ รรม นี้เ รี ยกว่ า อาพาธปลิ โ พธ เพราะฉะนั้ น พึงตัดด้วยการประกอบเภสัชรักษา แต่ถ้าเมื่อประกอบเภสัชรักษาอยู่ชั่วกาล หนึ่ง แล้ว มันยั ง ไม่หาย แต่นั้ นพึงตาหนิอัตภาพว่า “ฉันไม่ใ ช่ทาสของเธอ ไม่ใช่ผู้เลี้ยงดูเธอ เมื่อฉันขืนเลี้ยงดูเธอต่อไป ก็จะประสบทุกข์ในสัง สารวัฏ แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๙ อันไม่ทราบเบื้องต้นและที่สุดเท่านั้ น ” จากนั้น เอาความเจ็บป่วยนั้นเป็น อุปกรณ์ในการพิจารณา ก็สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน ดังพระเถระรูปหนึ่ง ขณะอาพาธเป็นทุกข์ขนาด เจริญสติพิจารณาถึงโรคนั้น จนได้บรรลุอรหัต๔๙ นัก ปฏิ บั ติ จ ะต้ อ งสละความกั ง วลนี้ ด้ ว ยการโยนิ โ สมนสิ ก ารว่ า อาพาธ คื อ โรคภั ย ไข้ เ จ็ บ หรื อ ความเจ็ บ ป่ ว ยนี้ เกิ ด ขึ้ น กั บ ร่ า งกายเรา ตลอดเวลา หมายถึงโรคแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เป็นสภาวธรรมทุกอย่าง ทีไ่ ด้กาหนดรู้ จะเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง คือแก่และเจ็บ ดับไปในที่สุด คือ ตายในที่สุดตลอดเวลา แล้วพึงมีสติตามกาหนดเพื่อความ พ้นไปจากโรคแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้ กังวลการศึกษา ความกังวลเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน หมายถึง ผู้ที่กาลังศึกษา เล่าเรียนอยู่ต้องเอาเวลาทั้งหมดมาดูหนังสื อ ทารายงาน ค้นคว้าตารับตารา ต่างๆ จนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ต้องกังวลอยู่กับการศึกษาเล่าเรียน นี้เรียกว่า คัน ถปลิ โ พธ แต่ ส าหรั บ บางคน การศึ ก ษาเล่า เรี ย นมิ ไ ด้ เ ป็ น อุป สรรคแก่ การปฏิบัติ กับเกื้อกูลแก่การปฏิบัติอีกด้วย โดยเฉพาะการศึกษาปริยัติธรรม ทาให้ผู้ศึกษามีความรู้ความเข้าในหลักธรรมยิ่งขึ้น จนเกิดปัญ ญาญาณเห็น แจ้งในสัจจธรรมบรรลุมรรคผลนิพพานได้เช่นกัน คันถะ คือการรักษาปริยัติธ รรม ย่อมไม่เป็นเครื่องกัง วลสาหรับ ภิกษุทั้งหลายผู้มีคุณสมบัติเห็นปานดังนี้ ด้วยประการฉะนี้ ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมจะต้องสละความกังวลเรื่องการศึกษานี้ด้วย การโยนิโสมนสิการว่าคันถะในการปฏิบัติธรรมนี้คือ การศึกษากาย ศึกษาใจ ของตนเอง กายเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไร ให้มีสติกาหนดระลึกรู้ มีสภาว ลักษณะ อาการเป็นอย่างไร ต้องพยายามศึกษาให้รู้อย่างแจ้งชัด ๔๙ พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค,แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), พิมพ์ครั้งที่ ๑๐, ปริเฉทที่ ๑ สีลนิเทศ, หน้า ๖๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๐ กังวลอิทธิฤทธิ์ ความกั ง วลเรื่ อ งการแสดงฤทธิ์ หมายถึ ง พระภิ ก ษุ ที่ ไ ด้ ฌ าณ อภิญญาจนสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ เช่น ดาดิน เหาะไปในอากาศ หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้น บางท่านที่มี ต้องกังวลในการระวังรักษาฤทธิ์นั้นไม่ให้เสื่อม จนต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ จนไม่มีเวลาเจริญวิปัสสนา ความกัง วลในการ รักษาฤทธิ์ที่มีในตนมิให้เสื่อม นี้เรียกว่า อิทธิ ปลิโพธ หรือ บางท่านที่ไม่มี ความกังวลว่าปฏิบัติแล้วตนจักได้มีฤทธิ์ดังกล่าวหรือไม่ นักปฏิบัติจึงต้องสละความกังวลเหล่านี้ด้วยการโยนิโสมนสิการว่า อิทธิ คือปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ วิโมกข์ ๘ เหล่านี้หากเราได้สั่งสมบารมีมา จักเกิดมีกับตนได้อย่างแน่นอน เหมือน พระจูฬปันถกได้ฤทธิ์ทางใจ๕๐ ปลิโพธทั้ง ๑๐ หรือ เครื่องกังวลต่างๆ เหล่านี้ บุคคลผู้ต้องการ ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจะต้องกาจัดให้หมดไปเสียก่อนเป็นเบื้องแรก เพราะ มิฉะนั้นจะเป็นเครื่องขัดขวางการปฏิบัติธรรม ทาให้ไม่เกิดความก้าวหน้าใน การปฏิ บั ติ และในที่ สุ ดก็ ต้ องเลิก ล้ มการปฏิ บัติ ล งเสี ยกลางคั น เป็น การ เสียเวลาเปล่าอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น หลวงปู่ดุลย์จึงกล่าวว่า “การไม่กังวล การไม่ยึดถือ นั่นแหละคือวิหารธรรมของนักปฏิบัติ”๕๑ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปป์ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ๕๐ ๕๑ เห็นชอบ ตรึกตรองดี เจรจาชอบ จิตมุ่งไป เลี้ยงชีวี พยายามประกอบ กาหนดรู้ ตั้งมั่นผ่าน อริยสัจจ์ เป็นนิสสัย อยู่ที่ใจ ทาการงาน เป็นที่ชอบ จิตห้าวหาญ ปัจจุบันกาล ไม่หวั่นเลย ขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๓๕/๑๐๗, ขุ.ธ.อ (ไทย) ๑/๓/๓๓๒. พระโพธินันทมุนี, หลวงปู่ฝากไว้, หน้า ๔๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๑ วางความรูเ้ ก่า การฝึกใจ มาล้างสาด จิตสกาว เป็นบุญล้น เหมือนตัก เพื่อชาระ ขาวผ่อง ควรทา น้าสะอาด อกุศล ไม่หมองมล เช้าค่าเอย การปฏิบัติไม่มีทางไหนที่ผิด มีแต่เทคนิคที่จะทาให้ถูกตามคาสอน ของพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ต่างๆ จึงได้คิดค้นเทคนิควิธีการที่จะทาให้ ผู้ปฏิบัติธรรมได้เกิดความรู้ความเข้าใจง่ายๆ โดยที่ครูบาอาจารย์เหล่านั้นได้ นาตนเองเข้าไปทดลองก่อนและเห็นผลแห่งการปฏิบัติจึงได้นามาถ่ายทอด สอนแก่ลูกศิษย์ต่อไป การปฏิ บั ติทุ ก สายจึง ไม่มี ผิ ด เพราะครู บาอาจารย์ ท่ านมี ความ ชานาญในการปฏิบัติอย่างนั้น จึงสอนอย่างนั้น เหมือนกับการเดินทางมา กรุงเทพฯ บางท่านมาจากทางทิศเหนือ บางคนมาจากทางทิศใต้ บางท่าน มาจากทิศอื่นๆ มาคนละเส้นทางด้วยวิธีการเดินทางต่างกันอาจจะขึ้นรถยนต์ มาบ้าง นั่งเครื่องบินมาบ้าง นั่งรถโดยสารมาบ้างแต่ก็ ถึงกรุงเทพเหมือนกัน ฉันใด ฉันนั้นเช่นเดียวกัน เทคนิคการสอนธรรมนาปฏิบัติของครูบาอาจารย์ เหล่านั้นก็มีการสอนตามแนวทางที่แตกต่างกันไป เพราะท่านมีความชานาญ ไม่เหมือนกัน แต่มีจุดมุ่งหมายปลายทางคือมรรคผล พระนิพพานเหมือนกัน ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสอุปมาให้พราหมณ์ท่านหนึ่งที่มีความสงสัย ในการประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุแต่ละรูปซึ่งปฏิบัติไม่เหมือนกันว่า “อุ ป มาเหมื อ นนั ก เดิ นทาง ๓ คนที่ เ จอต้ นไม้ ต้ น ทางในเวลาที่ ต่างกัน คนแรกมาเจอต้นไม้ที่ยังเล็กอยู่ ไปถึงปลายทางมี บุรุษคนหนึ่งถามว่า “ต้นทางมีต้นไม้ไหม มีลักษณะอย่างไร” เขาตอบ “มี” เป็นต้นไม้ที่ยังเล็กอยู่ ต้นแค่เอวเท่านั้น ” พอคนที่สองเดินทางมาอีกในเวลาผ่านไปหลายปี ไปถึง ปลายทาง บุรุษคนเดิม จักถามเขาว่า “ท่านเคยเห็นต้นไม้ต้นเล็กๆ ไหม” เขากลับ บอกว่ า เห็ นแต่ต้ นใหญ่ ผลดก ใบหนา ไม่ มีต้ นเล็ ก พอคนที่ส าม แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๒ เดินทางมาอีกในเวลาผ่านไปอีกหลายปี ไปถึงปลายทาง คนเดิมถามเขาว่า ต้นทางมีต้นไม้มีลักษณะอย่างไร เขากลับบอกว่าเห็นแต่ต้นไม้ที่แห้งตายอยู่ พระองค์ถามว่าต้นไม้นี้เป็นต้นเดียวกันไหม พราหมณ์ทูลตอบว่าต้นเดียวกัน พระพุทธเจ้าค่ะ ฉันใดฉันนั้น พราหมณ์ ภิกษุทั้งหลายต่างก็มีความชานาญ ในการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกันแต่ได้บรรลุอรหัตตผลเช่นเดียวกัน” การปฏิบัติทุกสาย(สติปัฏฐาน ๔)จะมีปลายทางแห่งการปฏิบัติใน ที่เดียวกัน คือ มรรคผลพระนิพพาน ส่วนครูบาอาจารย์ที่ มีความชานาญใน การปฏิบัติตามแนวทางมหาสติปัฏฐานสี่ โดยมีอารมณ์ความเคลื่อนไหวของ ท้องคือพ้องยุบเป็นองค์กาหนด เป็นเครื่องอยู่ เป็นวิหารธรรม การจะให้ สอนในเทคนิคการปฏิบัติแนวอื่น อาจจะไม่ค่อยชานาญ ฉะนั้น นักปฏิบัติ ธรรมจึงจาเป็นที่จะต้องวางความรู้เก่าๆ ไว้ก่อน (ชั่วคราว) คือ - วางความรู้ทางโลก ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก - วางความรู้ทางธรรม นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เปรียญธรรมต่างๆ - วางความรู้ในการปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านจะอุปมาเหมือนการปรารถนาจะเรียนรู้วิชาใน สานักเส้าหลิน การจะได้เรียนวิชานพเก้าอันเป็นสุดยอดวิชานั้น มีกฎเหล็ก อยู่ว่า ผู้ที่จะสามารถฝึกได้นั้นจักต้องสลายพลังยุทธ์ออกไปให้หมดเสีย ก่อน มิฉะนั้น ธาตุไ ฟจะเข้าแทรก ทาให้ธาตุแตกเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ ฉันใด การปฏิบั ติก็เ ช่นเดียวกัน ฉันนั้ น ต้องวางความรู้ ที่ เคยปฏิบั ติเก่ าๆ ก่อ น ชั่วคราว เพราะอาจจะทาให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าหรืออาจจะมีสภาวธรรม แทรกซ้อนมาได้หากปฏิบัติรวมกัน เช่น ดูลมหายใจ แล้วดูพองยุบไปด้วย จะ ทาให้ เกิ ด อาการแน่ นหน้ า อก หายใจไม่ อ อก เป็ นต้ น ฉะนั้ น นัก ปฏิ บั ติ จะต้องวางความรู้ในการปฏิบัติแบบเดิมไว้เสียก่อน จากนั้น จึงวางความรู้ เก่า ซึ่งเป็นความรู้ดั้งเดิมของมนุษย์ คือ การมีตัวมีตน ดังจะได้อธิบายต่อไป แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๓ วางความรู้เก่า (ความรูท้ ี่มีอัตตา) นักปฏิบัติธรรมจักต้องวางความรู้ว่ามีตัวมีตน หมายถึง วางความรู้ ว่า ร่างกายนี้มีเรา เป็นของเรา มีตัวเราในร่างกาย มีเรายืน มีเรานั่ง เรานอน เรากิน เราดื่ม เราพูด เราคิด เราเห็นสิ่งนั้น เราได้ยินเสียงนี้ เรารู้รสอร่อย เรารู้สึกดี เป็นต้น นักปฏิบัติจักต้องวางความรู้เหล่านี้ ซึ่งเป็นความรู้ที่เห็น บัญญัติอัตตา เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นั่นเอง เพราะเกิดจากการรู้ผิด เห็นผิด พระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวว่า “บุคคลดูสิ่ง ใด ไม่ชื่อว่าเห็นสิ่ง นั้น เห็นสิ่งใดไม่ชื่อว่าดูสิ่งนั้น เมื่อไม่เห็นย่อมหลงติด เมื่อติดอยู่ย่อมไม่หลุดพ้น” เดิมทีมนุษย์ไม่รู้ว่าตัวตนที่ตนยึดถือไว้ ไม่มีจริง ซึ่งความจริงเป็น เพียงกระแสของรูปธรรม นามธรรม ที่อาศัยเหตุปัจจัยทาให้เกิดขึ้นและ เสื่อมสลายเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เมื่อไม่รู้หรือรู้ผิด (จิตตวิปลาส) เช่นนี้ จึง ยึ ด ถื อ เอาความรู้ สึ ก นึ ก คิ ด ความปรารถนา ความเคยชิ น ทั ศ นคติ ความเชื่อถือ และการรับรู้ เป็นต้น ที่เป็นอดีตและอนาคต (สัญญาวิปลาส) ในขณะนั้นๆ ว่าเป็นตัวตนของตน (ทิฏฐิวิปลาส) รู้สึกว่าฉันเป็นนั่นฉันเป็นนี่ ฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันรู้สึกอย่างนี้ ฯลฯ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การถูกความรู้สึ ก นึกคิด (จิตตวิปลาส) อันเป็นนามธรรม ส่วนย่อยเหล่านี้หลอกลวงเข้า จึง เป็นจุดตั้งต้นของความคิดที่ผิดพลาด (สัญญาวิปลาส) ถูกบัง คับให้คิดเห็น รู้สึ ก และท าการต่ า งๆ ไปตามอานาจของสิ่ ง ที่ต นยึ ดว่ า เป็ น ตั วตน (ทิ ฏ ฐิ วิปลาส) ในขณะนั้น เนื่องจากรับรู้ไม่ได้ว่าขันธ์ ๕ ล้วนตกอยู่ภายใต้กฏแห่ง ธรรมชาติหรือกฎแห่งพระไตรลักษณ์นั่นเอง จึงต้องวางความรู้ เหล่านี้ด้วย การรับความรู้ใหม่และกาหนดสติในอารมณ์ปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ๕๒ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า๕๓ ๕๒ พระครูพิสิฐสรภาณ (นิรันดร์ ศิริรัตน์ ), การศึกษาวิเคราะห์หลักการ ปฏิ บั ติ ธ รรมในภั ท เทกรั ต ตสู ต ร, วิ ท ยานิ พ นธ์ พุ ท ธศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต (วิ ปั ส สนา ภาวนา), หน้า ๓๘. ๕๓ ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๑๒๕/๑๐๓, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๘๗/๙๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๔ “ปุ ถุ ช นผู้ ไ ม่ ไ ด้ ส ดั บ แล้ ว ในโลกนี้ เป็ น ผู้ ไ ม่ ไ ด้ เ ห็ น พระอริ ย ะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ไ ด้เห็น สัตบุรุษ ไม่ฉลาดใน ธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษ ย่อม เล็งเห็นรูปโดยความเป็น อัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง เล็งเห็นรูปใน อัตตาบ้าง เล็ง เห็นอัตตาในรูป บ้าง ย่อมเล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอั ตตา บ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตา ในเวทนาบ้าง ย่อมเล็งเห็นสัญญา โดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามี สัญ ญาบ้าง เล็ง เห็นสัญญาในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสัญ ญาบ้าง ย่อม เล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็น อัตตาว่ามีสังขารบ้าง เล็งเห็น สังขารในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง เล็งเห็นวิญญาณโดยความ เป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง” รับความรู้ใหม่ สิ่งที่จะทาให้นักปฏิบัติได้เกิดสัมมาทิฏฐิคือรู้เห็นตามความเป็นจริง ของรูปนามได้นั้น คือ การกาหนดสติระลึกรู้ตามสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย - มีสติรู้อาการยืน เดิน นั่ง นอน ทา กิน ดื่ม พูด เวทนา - มีสติรู้ความรู้สึกที่เป็นสุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เฉยๆ จิต - มีสติรู้อาการความคิด การนึกฟุ้งซ่าน จิตมีราคะ โทสะ โมหะ หรือจิตไม่มี จิตตั้งมั่นหรือจิตไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้นหรือจิตไม่หลุดพ้น ธรรม - มีสติรู้อาการของขันธ์ ๕ เช่น เท้าเป็นรูปขันธ์ จาได้ว่า การเดิน เป็นสัญญาขันธ์ รู้สึกทุกข์ สุข เฉยๆ เป็น เวทนาขันธ์ กายหรือเท้ า ทีเ่ คลื่อนไปเป็นสังขารขันธ์ ใจรู้ว่าการก้าวเท้าไปเป็นวิญญาณขันธ์ แม้ในการ เห็น เป็นต้น มีรูปที่เห็นกับใจที่รู้ จึงมีแต่สิ่งที่ถูกรู้ (รูป) กับผู้รู้ (นาม) เป็น ธรรมที่อาศัยกันเกิด (ปฏิจจสมุปบาท) และทุกอย่างที่กาหนดรู้มีการเกิดขึ้น และดับไป (ทุกขอริยสัจจ์) ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาเรียกว่า ธรรม แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๕ การปฏิบัติธรรมด้วยการกาหนดรู้อย่างนี้จะทาให้นักปฏิบัติหยั่ง เห็นถึงรูปนามตามความเป็นจริงได้ เช่น ในขณะกาหนดว่าพองหนอยุบหนอ จักมีเพียงแค่รูปและนามที่รู้เท่านั้น กล่าวคือ การเคลื่อนไหวของท้อง เป็นรูป การที่รับรู้ถงึ การเคลื่อนไหวของท้องได้ คือนาม ในการเดินเช่นเดียวกัน เรา กาหนดว่ า ซ้ ายย่ างหนอ ขวาย่างหนอ เป็นต้ น ในขณะนั้ นนัก ปฏิบั ติจ ะ สามารถรับรู้ได้เพียงสองอย่างหรือสองอาการเท่านั้น คือ เท้าที่เคลื่อนไหว เป็น รูป กับใจที่รู้สึก คือ นาม จึงกล่าวได้ว่าเป็นการรับรู้รูปและนามนั่นเอง วางความรู้ปัจจุบัน ในขณะที่กาหนดรู้อยู่ไม่ว่าสภาวธรรมใดปรากฏก็ตาม เมื่อรู้แล้วก็ ให้สักแต่ว่ารู้ไป ไม่ต้องเสียดายความรู้ ไม่ต้องอาลั ย เพราะบางคนพบเจอ นิมิตแสงสีต่างๆ บางคนมีความรู้มากมายปรากฏ บางคนพบพระอริยสงฆ์ พระพุทธเจ้า (วิปัสสนูปกิเลส) แล้วยึดความรู้ตรงนั้นไว้ ไม่ปล่อย เมื่อยึดอยู่ ก็ติดอยู่ เมื่อติดอยู่ก็ข้องอยู่ในวัฏฏสารนี้๕๔ การปฏิบัติธรรมจึงไม่ก้าวหน้า เพราะไม่เห็ นตามความเป็น จริ งคือ รูปนาม แต่ กลับ เห็น เป็ นบัญ ญัติไ ปว่ า เป็นสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้ จึงหยุดกาหนดรู้ ไม่วางความรู้ จึงติดรู้นั่นเอง ดังนั้น นักปฏิบัติจึงต้องกาหนดอารมณ์ปัจจุบันด้วยการรู้แล้วละ๕๕ รู้แบบไม่ยึดติ ด ดัง ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “อเสสวิราคนิโ รโธ จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติอนาลฺ โย” แปลว่าความดับตั ณหาไม่เหลือด้วยวิราคะ ความสละ ความสละทิ้ง ความพ้น ความไม่อาลัยในตัณหา๕๖ ดัง นั้น การกาหนดวางความรู้ ปัจจุบัน คือพยายามกาหนดตาม ความเป็นจริงที่ปรากฎ เช่น เมื่อเห็น ให้กาหนดว่า เห็นหนอๆๆ เมื่อคิด ให้ กาหนดว่า คิดหนอๆๆ เป็นต้น โดยไม่ต้องสนใจว่าสภาพธรรมนั้นเป็นอะไร ๕๔ ดูเทียบใน ที.อ. ๒/๓๗๑ รู้แล้วละ ส.สฬา. (ไทย) ๒๓/๒๕/๒๓. ๕๖ วิ.มหา. (บาลี) ๔/๑๔/๑๙, วิ.มหา. (ไทย) ๔/๑๔/๒๒. ๕๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๖ อย่างไร จนกว่าจะดับไป จึงจะเห็นความจริงว่า สรรพสิ่งเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ย่อมเปลี่ยนแปลงไป เพราะทนอยู่ในสภาพเดิมๆ ไม่ได้ และไม่สามารถบังคับ บั ญ ชาให้ เ ป็ น ไปตามต้ อ งการได้ เมื่ อ นั ก ปฏิ บั ติ ธ รรมสามารถหยั่ ง เห็ น ลักษณะทั้ง ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปัญญาจะเป็นเหตุทาให้ดาเนินไปสู่ จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง คือ มรรค ผล นิพพาน ดังที่พระองค์ตรัสว่า๕๗ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺ าย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา” เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้ง ปวงไม่เที่ย ง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นั่นแหละเป็นทางแห่ง ความบริสุทธิ์ อรรถกถา อธิบายว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ สพฺเพ เตภูมกสงฺขารา อนิจฺจา. สพเพ ธมฺมา อนตฺตาติ สพเพ จตุภูมกธมฺมา อนตฺตา(ส.อ. ๒/๓๔๖) แปลว่า: " สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงหมายความว่า สังขารใน ภูมิ ๓ (กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ) ทั้งปวง ไม่เที่ยง พุท ธพจน์ ว่ า ธรรมทั้ งหลายทั้ง ปวงเป็ น อนั ตตา หมายความว่ า ธรรมในภูมิ ๔ (กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิ คือ มรรค ผล นิพพาน) ทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา " ปเร สนฺทิฏฺ ปรามาสี อาธานคฺคาหี ทุปฺปฏินิสฺสคฺคี ภวิสฺสนฺติ. มยเมตฺถ อสนฺทิฏฺ ปรามาสี อนาธานคฺคาหี สุปฺปฏินิสฺสคฺคี ภวิสสฺ ามาติ สลฺเลโข กรณีโย. วิสุทฺธิ. ๑.๓๙ “ เธอทั้งหลายพึงขัดเกลาตนในข้อนี้ว่า ชนเหล่าอื่นแม้จักเป็นคนยึดมั่น ความเห็นของตน ยึดถืออย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยยาก แต่พวกเราจักไม่เป็น ผู้ยึดมั่นความเห็นของตน ไม่ยึดถืออย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยง่าย ” ๕๗ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๐/๕๑ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๗๗/๑๑๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๗ เครื่องป้องกันรักษาจิต เครื่องป้องกันรักษาจิตสาหรับผู้ปฏิบัติธรรม เรียกอีก คาหนึ่งว่า จตุรารักขกรรมฐาน เมื่อเจริญแล้วทาให้เกิดกาลังกับจิต มี ๔ ประการ คือ หนึ่ง การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เรียกว่าพุทธานุสติ สอง การพิจารณาร่างกายของเราเป็นของไม่สวยไม่งาม เรียกว่า อสุภกรรมฐาน ประการที่สาม มรณานุสติ การระลึกนึกถึงความตาย ประการที่สี่ การเจริญเมตตา ก็คือการแผ่เมตตาภาวนา อานิสงส์ เครื่องรักษาจิตทั้งสี่ประการนี้ เป็นเครื่องคุ้มครอง ป้องกัน ผู้ปฏิบัติ ถ้าเราดูตามอานิสงส์แล้ว พุทธานุสติ ทาให้จิตใจของผู้ปฏิบัติธรรม ไม่สะดุ้ ง ไม่กลัว เมื่อมีสภาวธรรมต่างๆ เกิดขึ้น มีนิมิตที่น่ากลัว เป็นต้น ก็จะไม่กลัว ใจที่หดหู่ ท้อถอย เมื่อเจริญพุทธานุสติก็แช่มชื่น มีปิติ เมื่อนึกถึงพระพุทธเจ้า ข้อที่สอง อสุภกรรมฐาน นี้ ป้องกันจิตของเราไม่ให้ไหลไปสู่กาม ราคะ ความติดใจในรูป ในเสียง ที่เราถูกต้องสัมผัสมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โยมผู้ชาย หรือโยมผู้หญิงที่เป็นฆราวาส ถ้าไม่ได้เจริญตรงนี้ มาปฏิบัติธรรม ก็ร้อนเหมือนกัน แต่ถ้าเจริญตรงนี้ก็จะยับยั้งไม่ให้ไหลไปสู่ตรงนั้นได้ ข้อ ที่ ส าม มรณานุ สติ เป็น เครื่อ งป้ องกั น สติ ข องผู้ ป ฏิ บัติ ธ รรม ไม่ให้มองไปข้างหน้าบ้าง คิดไปข้างหลังบ้าง หรือมัวประมาทอยู่ ถ้าเจริญ มรณานุสติก็จะทาให้เรานั้นตื่นตัว รีบเร่งที่จะทาความเพียรมากขึ้น ข้อสุดท้าย เมตตาภาวนา เป็นสิ่งป้องกันจิตของเรา ไม่ให้ใครมา ทาร้าย อยู่ตรงไหนปฏิบัติธรรมตรงไหนก็ปลอดภัย ทั้ง อันตรายจากคนและ จากอมนุษย์ ไม่ใช่คน ก็จะอยู่ปลอดภัย มีคนรักคนชอบ ไม่มีคนเกลียด แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๘ พุทธานุสติ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ผู้ปฏิบัติอาจจาต้องพบเจอกับสภาวธรรม ต่างๆ มากมาย ไม่ ว่าจะเป็นอารมณ์ท างจิ ตใจ ความเบื่อ ความหงุด หงิ ด ความท้อแท้ ความท้อถอย เพราะจะต้องยืน เดิน นั่ง นอน ต้องกาหนดซ้าๆ ทาอยู่บ่อยๆ เหมือนการเดินทางไปไม่มีจุดหมาย เนื่องจากตั้งความหวังไว้ว่า การปฏิบัติจะต้องพบเจอกับสภาวธรรมที่ดีอย่างที่ตนตั้งใจไว้ จึงมีทั้งผิดหวัง ไม่สมหวัง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดความท้อแท้ทางด้านจิตใจ นักปฏิบัติธรรมจึงควรราลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าจักทาให้เกิดกาลังใจ ในการปฏิบัติธรรม ดังนี้ ว่า พระองค์ทรงปฏิบัติและทรงพบประสบปัญ หา เหล่านี้มาก่อนเรา แต่พระองค์ไม่ทรงย่อท้อ ยังคงประกอบความเพียรต่อไป ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะพบพระสัมมาสัมโพธิญาณ ดังปรากฏเรื่องราวต่อไปนี้ วาระแรก พระองค์ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (ใช้ฟันบนฟัน ล่า งขบกั น ให้ แน่ น ) และกดพระตาลุ ด้ ว ยพระชิ ว หาให้ แ น่น (ใช้ ลิ้ น ดั น กด เพดานปาก) ทรงกระทานานเข้า บังเกิดทุกขเวทนาแรงกล้าจนเหงื่อไหลออก จากรักแร้ แม้พระวรกายจะปวดร้าวเพียงใด พระองค์ยังคงรักษาพระหฤทัย ไว้ได้มั่นคง ทรงมีพระสติตั่งมั่น วาระที่สอง พระองค์ทรงกลั้นลมอัสสาสะ และปัสสาสะ คือ การ ผ่อนลมหายใจเข้าออกให้ลมเดินได้ทีละน้อย เมื่อลมหายใจออกทางจมูกและ ปากไม่สะดวก ถูกอั้นไว้นานเกิดแรงดันดังอู้ ในช่องหู เกิดอาการปวดศีรษะ เสียดท้อง เกิดความเร่าร้อนกายเป็นกาลัง กระนั้นยังมีสติอันสมบูรณ์ วาระที่สาม ทรงทรมานอย่างยิ่งยวดด้วยอดพระกระยาหาร โดย การเสวยให้น้อยลงทุกวัน จนไม่เสวยเลย มีพ ระวรกายแห้ง เหี่ยว พระฉวี เศร้ าหมอง จนมองเห็นพระอัฐิป รากฏทั่ วพระวรกาย เมื่ อทรงเอามื อลู บ พระวรกาย พระโลมาก็ร่วงหล่นลงมากาลังอ่อนล้า แต่ยังคงมีพระสติมั่น๕๘ ๕๘ ทุกกรกริยา ม.ม.(บาลี)๑๓/๔๙๕/๔๕๒, ม.ม.(ไทย) ๑๓/๓๓๒/๔๐๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๔๙ เมื่อนักปฏิบัติธรรมระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าบ่อยๆ จะทาให้เกิด กาลังใจ ไม่ย่อท้อต่ออุปสัคต่างๆ มีความเพียรในการกาหนดเพิ่มขึ้น เพราะ เล็งเห็นประโยชน์ที่พึงจะได้คือ การบรรลุธรรมหรือการสิ้นสุดแห่งความทุกข์ ทาให้หายจากความกลัว บางครั้งนักปฏิบัติอาจพบสภาวธรรมที่เป็นทุกขเวทนา ชา เหน็บ เจ็บปวด ทุกข์ทรมาร จงใส่ ใจในอาการของเวทนานั้นๆ ตามความเป็นจริง อย่าได้อยากหาย หรือต่อ สู้เอาชนะเป็นอันขาด เพราะจะทาให้เวทนานั้น ยั ง คงเกิ ด ขึ้ น อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง และเป็ น เหตุ ใ ห้ เ กิ ด สมาธิ ม าก ท าให้ นิ มิ ต มี ประการต่างๆ ทั้งที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้น ซึ่งอาจทาให้เกิดความกลัวขึ้นได้ เช่น กายโยกเอน สั่นไหว (เพราะจิตหนีเวทนา) ให้นักปฏิบัติธรรมมีสติ ระลึ ก รู้ ด้ ว ยใจที่ เ ป็ น กลาง ไม่ ห วั่ น ไหว ไม่ ไ หลเอน หรื อ โยกเอนไปตาม ความรู้สึกนั้นๆ เพราะกายโยกเอนมาจากความรู้สึกของจิตที่หมุนเอนภายใน หากขาดกาหนดระลึกรู้ตามความเป็นจริงจะทาให้เกิ ดความเพลิดเพลินต่อ การโยกเอน สั่นไหวนั้นซึ่งจะทาให้สภาวธรรมนั้นเกิดอยู่นาน เมื่อปรารถนา ให้ ห าย แต่ การโยกเอนเหล่ านั้ น มิ อ าจหายไป ยัง คงเป็ น เช่น นั้ น อยู่ และ อาจจะเป็นสาเหตุที่ทาให้นักปฏิบัติธรรมเกิดความกลัวต่อสภาวธรรมนั้น บางครั้งนักปฏิบัติธรรมอาจเห็นนิมิตต่างๆ เกิดจากจิตที่มีสมาธิ ใน การจดจ่อ พึงอย่าได้สนใจ อย่าใส่ใจในนิมิตทั้งหลายเหล่านั้น เพราะอาจจะ ทาให้หลงทางแห่งการปฏิบัติ เนื่องจากนิมิตทั้ง หลายมีทั้ง สภาพที่ชอบใจ และไม่ชอบใจ นักปฏิบัติธรรมจึงควรกาหนดสติให้เพียงรู้ว่า สภาวนิมิตนั้นๆ มีอยู่และมีสติกาหนดระลึกรู้ปล่อยให้ผ่านไป หากเกิดความยินดีพอใจในนิมิต ทั้งหลาย นิมิตทั้งหลายอาจจะเปลี่ยนไปในรูปแบบที่ไม่น่าพอใจและปรากฏ อยู่ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งอาจทาให้จิตของนักปฏิบัติธรรมเกิดความกลัว และหวั่นไหวเป็นอย่างอื่นเสียได้ ดัง นั้น ไม่ ว่ากรณีใดๆ ให้ นักปฏิบัติธ รรมได้พยายามกาหนดสติ ระลึกรู้ตามความเป็นจริง หากเกิดความเกรงกลัว หวั่นไหว ในสภาวธรรม แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๐ ทั้ ง หลาย ให้ พ ยายามร าลึ ก นึ ก ถึ ง พระพุ ท ธเจ้ า จะท าให้ ค วามเกรงกลั ว เหล่านั้นหมดไป ทาให้เกิดความกล้าหาญในการกาหนดสติต่อไปได้ มหานามสูตร๕๙ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ความสะดุ้งกลัวมีแล้ว ขนพองสยองเกล้า มีแล้ว ธาตุจะตีลังกาเปลี่ยนภพ ในระหว่างนั้น นับว่าขวัญเสีย แต่ให้ระลึกถึง ตถาคตเรื่อยๆ ความกลัวจะหายไป ดังนี้” “สังขารทั้งหลายเกิดมาแล้ว หันไปหาความตายอย่างเดียว ไม่ว่า สัตว์มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน และต้นไม้ภูเขาก็ดุจเดียวกัน หันไปหาความตาย ด้วยธาตุขันธ์แปรปรวนดังนี้” มหานาม ! เธอ พึงตามระลึกถึงตถาคตว่า"แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์ เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่าง แจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครู ผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจาเริญ จาแนกธรรมสั่งสอนสัตว์" ดังนี้ มหานาม ! สมัยใด อริยสาวกตามระลึกถึงตถาคตอยู่ ; สมัยนั้นจิต ของอริยสาวกนั้น ไม่มีราคะกลุ้มรุม ไม่มีโทสะกลุ้มรุม ไม่มีโมหะกลุ้มรุมสมัย นั้นจิ ตขอเธอนี้ เป็น จิตด าเนินไปตรงที เดีย ว มหานาม ! อริ ยสาวกผู้ มี จิ ต ดาเนินไปตรงเพราะปรารภตถาคต ย่อมได้ความรู้สึกต่ออรรถ (อตฺถเวท) ย่อมได้ความรู้สึกต่อธรรม (ธมฺมาเวท) ย่อมได้ปราโมทย์อันประกอบด้วย ธรรม เมื่อปราโมทย์แล้ว ปีติย่อมเกิด ; เมื่อใจมีปีติ กายย่อมรางับ ; ผู้มีกาย ระงับย่อมเสวยสุข ; เมื่อมีสุข จิตย่อมเป็นสมาธิ ๕๙ อ.ปญฺจ. (บาลี) ๒๒/๒๘๑/๓๑๗, อ.ปญฺจ. (ไทย) ๒๒/๑๐/๔๒๑-๔๒๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๑ มหานาม ! เธอพึงเจริญพุทธานสสตินี้ แม้เมื่อเดินอยู่ พึงเจริญ แม้ เ มื่ อ ยื น อยู่ พึ ง เจริ ญ แม้ เ มื่ อ นั่ ง อยู่ พึ ง เจริ ญ แม้ เ มื่ อ นอนอยู่ พึ ง เจริ ญ แม้เมือ่ กาลังทางานอยู่ พึงเจริญ แม้เมื่อนอนเบียดบุตรอยู่บนที่นอน ในธชัคคสูตร๖๐ พระพุทธองค์ตรัสถึงการระลึกถึงพระองค์จะทาให้ ความกลัวหายไป โดยทรงเล่าเรื่องเทวาสุรสงครามระหว่างเทพ ซึ่ง มีท้าว สักกะเทวราชหรือพระอินทร์เป็นจอมทัพกับเหล่าอสูร ซึ่งถูกท้าวสักกะและ เทพบริวารขับลงไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วยึดสวรรค์ ครอบครองแทน เหล่าอสูรเคยอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้เคยได้ทราบว่าสวรรค์ชั้นนี้ มีต้น “ปาริชาต” ซึ่งเป็นดอกไม้ทิพย์ที่มีกลิ่นหอม อันเกิดจากบุญกุศลของท้าวสักกะ ในขณะที่ อสูรนครก็มีต้นไม้ชื่อ “จิตตปาตลิ” เหมือนต้นปาริชาตแต่ ไม่มีกลิ่นหอมเลย ดังนั้น เมื่อดอกจิตตปาตลิบาน พวกอสูรก็ระลึกถึง ดาวดึงส์ เทวโลก ก็เกิด ความแค้นยกทัพขึ้นมาบนสวรรค์จะรบเพื่อชิงแดนคืน ในการรบครั้งนี้ เทพ นักรบทั้งหลายก็อาจเกิดความกลัว ขนพองสยองเกล้าได้ ดังนั้น ท้าวสักกะจึง ขอให้เทพทั้งหลายมองดูยอดธง (ธชัคคะ) ของท้าวสักกะจอมเทพ หรือยอด ธงของแม่ทัพเทพอื่น ๆ อาทิ วรุณเทวราช อีสาณเทวราช ความหวาดกลัวก็ จะหายไป๖๑ แต่พระบรมศาสดาตรั สต่อไปว่า แม้เทวดาจะดูยอดธง (ธชัคคะ) ของจอมเทพแล้ว ความกลัวก็อาจหายไปบ้าง ไม่หายบ้าง เพราะท้าวสักกะ ยัง ไม่หมดกิเลส คือ ราคะ โมหะ โทสะ ยังเป็นผู้หวาดกลัว ยัง เป็นผู้สะดุ้ง ยังเป็นผู้หนี แต่ถ้าภิกษุทั้งหลายเกิดความกลัวเมื่ออยู่ป่า หรืออยู่ตามบ้านร้าง แล้วน้ อมระลึก ถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เสมือนมองดู ธงชัยแห่ง พระรัตนตรัยแล้ว ความหวาดกลัวจะหายไปหมดสิ้น เกิดความ อาจหาญแกล้วกล้า ขึ้น เพราะพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ า เป็นผู้ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ เป็นผู้ไม่หวาดกลัว ไม่สะดุ้ง เป็นผู้ไม่หนี ๖๐ ๖๑ ส.ส. (บาลี) ๑๕/๘๖๓/๓๒๐, ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๙/๓๕๙. ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิตใน / อิสริยาภรณ์ อุวรรณ แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๒ ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมควรระลึกถึงพุทธานุสสตินี้อยู่เสมอ จักทาให้ จิตใจแกล้วกล้า ร่าเริง แจ่มใส ไม่กลัวภัยภยันอันตรายใดๆ เป็นผู้กาจัดเสีย ได้ซึ่งโทษภัยอันน่ากลัว อดกลั้น ต่อทุกขเวทนาได้ การกาหนดสติระลึกรู้ใน สภาวธรรมต่างๆ จะเป็นไปได้ด้วยดี๖๒ ทาให้จิตเกิดวามสงบตั้งมั่น พุทธานุสสตินี้ เมื่อผู้ปฏิบัติระลึกถึงพุทธคุณอยู่เนื่อง จิตจะไม่ถูก ราคะโทสะ โมหะรบกวน มีจิตตรงดิ่งถึงพระตถาคตเจ้าเกิดเป็นองค์ฌาน คือ วิตกและวิจารอันโน้มเอียงไปในพระพุทธคุณย่อมดาเนินไป เมื่อตรึกและ พิจารณาถึง พระพุทธคุณอยู่ปีติย่อมเกิดขึ้น เมื่อมีใจประกอบด้ว ยปีติความ กระวนกระวายกายและใจย่อมสงบลงด้วยความสงบอันมีปีติเป็นปทัฏฐาน ความสุขทางกายทางใจย่อมเกิดขึ้นเมื่อมีความสุขจิตที่มี พุทธคุณเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นสมาธิ องค์ฌานทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นในขณะเดียวกันโดยลาดับ จากข้อความดังกล่าว อธิบายว่า เมื่อนักปฏิบัติธรรมนั้น ระลึกถึง พระพุทธคุณ จิตของเธอย่อมไม่เป็นจิตที่ราคะกลุ้มรุม ไม่เป็นจิตที่โทสะกลุ้ม รุม ไม่เป็นจิตที่โมหะกลุ้มรุมเลยทีเดียว ในสมัยนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิต ดาเนินไปตรงแน่วแน่ ปรารภคุณพระตถาคตเจ้า เมื่อเธอข่มนิวรณ์ได้โดยที่ ไม่มีปริยุฏฐานกิเลสมีราคะเป็นอาทิอย่างนั้น ชื่อว่ามีจิตดาเนินไปตรง เพราะ ความที่มีจิตมุ่ง ต่อพระกรรมฐานอยู่ ฉะนี้ วิตกและวิจารอั นโน้มไปในพระ พุทธคุณย่อมเป็นไป เมื่อตรึกเมื่อตรองพระพุทธคุณร่าไปๆ ปีติย่อมเกิดขึ้น ความกระวนกระวายกายจิ ต ของเธอผู้ มี ใ จกอปรด้ ว ยปี ติ ย่ อ มระงั บ โดยปัสสัทธิอันมีปีติเป็นปทัฏฐาน สุขทั้งทางกายทั้งทางจิต ย่อมเกิดแก่เธอผู้ มีความกระวนกระวายอันระงับแล้ว จิตของเธอผู้มีสุข เป็นจิตมีพระพุทธคุณ เป็นอารมณ์ ย่อมเป็นสมาธิ องค์ฌานย่อมเกิดขึ้น ได้โดยลาดับในขณะเดียว ดังกล่าวมาฉะนี้ แต่เพราะความที่พระพุทธคุณทั้ง หลายเป็ นอารมณ์ลึกซึ้ง ๖๒ พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), หน้า ๓๖๘ – ๓๖๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๓ หรือเพราะความที่จิตน้อมไปในการระลึกถึงพระคุณมีประการต่างๆ ฌานนี้ จึงเป็นฌานที่ไม่ถึงอัปปนา ถึงเพียงอุปจารเท่านั้น (และ) ฌานนี้ก็ถึงซึ่งความ นับ ( คือได้ชื่อ ) ว่าพุทธานุสสตินั่น เอง เพราะเป็นฌานที่เกิดขึ้นด้วยอานาจ การระลึกถึง ทาให้จิตเกิดภาวะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธานุสสตินี้สาเร็จเพียงอุปจารฌาน เพราะเกิดขึ้นด้วยอานาจ แห่งการระลึกถึง พระพุทธคุณนั่นเอง ๖๓ แต่ถ้าหากว่าเราต่อยอดด้วยการรู้ ความหมายของพุทธานุสสติ คือรู้ตื่นเบิกบาน แล้วได้ประพฤติปฏิบัติตาม ด้วยการรู้สภาวธรรมทั้งปวงด้วยความรู้สึกตัว (สัมปชัญญะ) รู้ตื่นตัวอยู่เสมอ ด้วยการเจริญสติ (สติ ธมฺม ชาคโร สติเป็นธรรมเครื่องตื่นเสมอ) เบิกบาน ด้วยธรรมคือความสงบใจ ไม่ปรุ งแต่งต่อสภาวธรรมทั้งปวง ย่อ มยังจิตให้นี้ มีพละ มีกาลัง ทาให้จิตผู้รู้๖๔ ได้ตื่นขึ้นมา ดังบาลีที่ว่า โพเธตา ปชายาติ พุทฺโธ ทรงพระนามว่า พุทฺโธ เพราะทรงยังหมู่สัตว์ ให้ตื่นรู้๖๕ วิธีเจริญพุทธานุสติ นักปฏิบัติธรรมผู้ประกอบไปด้วยความเลื่อมใสนั้น ใคร่จะเจริญ พุทธานุสติ พึงไปในที่ลับคน เร้นอยู่ในเสนาสนะอันสมควร แล้วระลึ กถึง พระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าเนืองๆ โดยนัยที่มาในพระบาลี อย่างนี้ว่า อิติปิ โส ภควา อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน พุทฺโธ ภควา ๖๓ พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), หน้า ๓๖๖ – ๓๖๗ ๖๔ จิตผู้รู้ คือ ธาตุรู้ ที่ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง ดูรายละเอียดใน ธรรมเทสนา ชุด โอวาทหลังปาติโมกข์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, เรื่องที่ ๒๔ ธาตุรู้. ๖๕ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๘๙๓/๕๖๐, ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๒/๕๕๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๔ พระพุทธเจ้าที่โลกนับถือ ซึ่งเสด็จดับขันธปรินิพ พานไปแล้วนั้น พระองค์เป็นผู้ไม่มีกิเลสเป็นผู้รู้ดีเอง ไม่มีใครสั่ง สอน เป็นผู้เต็มเปี่ยมด้วย ความรู้และความประพฤติอันดีงาม เป็นผู้ทรงดาเนินไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แก่โลก แจ่มแจ้ง เป็นผู้ฝึกบุคคลให้ดีอย่างไม่มีผู้เปรียบ เป็นครูของเทวดา และมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้ปลุกสัตว์โลกให้ตื่น เป็นผู้แจกความรู้แก่สัตว์โลก” พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นได้พระนามว่า อรห เพราะ (๑) เป็นผู้ไกลจากกิเลสทั้งหลาย (๒) เป็นผู้กาจัดอริทั้งหลาย (๓) เป็นผู้หักซึ่งกาทั้งหลาย (๔) เป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น (๕) ไม่มีที่ลับในการทาบาป นักปฏิบัติธรรมควรเป็นผู้ไกลจากกิเลส เมื่อกิเลสเกิดขึ้นในใจจึงควร พยายามที่จะออกจากกิเลสเหล่านั้นเสียให้ได้ ด้วยการการกาหนดสติระลึกรู้ อธิบายบทว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธไว้ ดังนี้ (๑) สิ่งที่ควรรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง พระองค์ทรงรู้แล้วด้วยปัญญา (๒) สิ่งที่ควรละพระองค์ทรงละแล้ว (๓) สิ่งที่ควรทาให้แจ้ง พระองค์ได้ทาให้แจ้งแล้ว (๔) สิ่งที่ควรทาให้เจริญ พระองค์ได้ทรงเจริญแล้ว นักปฏิบัติธรรมควรจะเป็นผู้รู้กายรู้ใจของตนด้วยตนเอง ควรทาให้ เกิดความรู้ยิ่งๆ ขึ้นไปในกระบวนการทางานของร่างกายและจิตใจ อธิบายบทว่า วิชชาจรณสมฺปนฺโน ไว้ดังนี้ (๑) วิชชา ๓ แสดงไว้ในภยเภรวสูตร (๒) วิชชา ๘ แสดงไว้ในอัมพัฏฐสูตร (๓) อภิญญา ๖ (๔) วิปัสสนาญาณ และมโนมยิทธิ แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๕ (๕) จรณะ ๑๕ นักปฏิบัติควรจักมีความประพฤติที่ดี มีอินทรีย์สังวร มีศีลสังวร รูจ้ ักประมาณในการบริโภค ประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่เสมอ อธิบายบทว่า สุคโต ไว้ในขุททกนิกาย ดังนี้ (๑) ทรงดาเนินไปงาม (๒) เสด็จไปสู่ฐานะอันดี (๓) เสด็จไปโดยชอบ (๔) ตรัสโดยชอบ นักปฏิบัติธรรมควรดาเนินไปในทุกสถานที่ด้วยสติทุกๆ ย่างก้าว จึงเรียกว่าเดินไปด้วยดี ไม่ขาดการกาหนดรู้ ไม่เผลอ ไม่หลง ไม่ปล่อ ยใจไป ตามอานาจของกิเลส อธิบายบทว่า โลกวิทู แสดงไว้ในอังคุตตรนิกายจตุกกนิบาต ดังนี้ (๑) โลก ๒, โลก ๓, โลก ๔, โลก ๕, โลก ๖, โลก ๗, โลก ๘, โลก ๙, โลก ๑๐, โลก ๑๑, โลก ๑๒ และโลก ๑๘ คือ ธาตุ นักปฏิบัติธรรมควรรู้แจ้งในโลก คือ กายของตนเองที่กว้างศอก ยาววาหนาคืบของตนนี้ ซึ่งโลกที่ประกอบไปด้วยกายกับจิตใจ พึง กาหนด ระลึกรู้ว่ากระบวนการทางานของกายกับใจ (โลก) มีลักษณะอาการอย่างไร อธิบายบทว่า อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ไว้ดังนี้ (๑) เลิศด้วยศีล (๒) เลิศด้วยสมาธิ (๓) เลิศด้วยปัญญา (๔) เลิศด้วยวิมุตติ (๕) เลิศด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๖ นักปฏิบัติธรรมควรมีความเป็นปกติในการกาหนดรู้ มีจิตที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ มีปัญญารู้เท่าทันตามความเป็นจริง รู้ จิตของตนมี ความหลุดพ้นจากอารมณ์หรือยังไม่หลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นจากอารมณ์ใดๆ ก็ตามย่อมต้องตามรู้ตามเห็นด้วยการกาหนดสติระลึกรู้ อธิบายบทว่า สตฺถา เทวมนุสฺสาน ไว้ในขุททกนิกาย ดังนี้ ทรงเป็ น เหมื อ นนายกองของเทวดา และมนุ ษ ยทั้ ง หลาย คื อ พระองค์ทรงนาหมู่สัตว์ทั้งหลายให้ข้ามชาติกันดารไปได้ ทรงบอกหนทางให้รู้ ทาเป็นตัวอย่างให้ดู อยู่อย่างสงบให้เห็น เย็นให้ได้สัมผัส นักปฏิบัติควรพึงระลึกถึงคาสอนที่ทรงบอกให้รู้ทั่วของการกาหนด สติ โดยระลึกรู้ที่ฐานทั้ง ๔ ด้วยการลงกาหนดสติที่การยืน เดิน นั่ง นอน หรืออยู่ในกิริยาอาการ ท่าทางอย่างไร ให้มีสติกาหนดระลึกรู้อยู่เสมอ อธิบายบทว่า พุทฺโธ ไว้ดังนี้ เพราะรู้อริยสัจ ๔ ซึ่งปรากฏในคัมภีร์ขุททกนิกาย นักปฏิ บัติธ รรมควรกาหนดสติระลึ กรู้ด้ วยจิ ตที่รู้ ตื่นเบิกบานใน สภาวธรรมทั้งปวงอย่างจดจ่อต่อเนื่อง จนหยั่งเห็นความจริงของสภาวธรรม ทั้งหลายว่า มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง ดับไปในที่สุด มีแต่ เกิดและดับไปทุกๆ สภาวธรรม(ทุกขสัจ) เมื่ออยากให้อารมณ์ที่ชอบนั้นคงอยู่ หรือต้องการให้อารมณ์ที่ไม่ชอบนั้นหายไป (สมุทยสัจ ) ยิ่งจะทาให้เกิดทุกข์ ควรมีสติด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง(มรรคสัจ)จึงทาให้ทุกข์ดับได้(นิโรธ) อธิบายบทว่า ภควา ไว้ในคัมภีร์ขุททกนิกาย ดังนี้ (๑) เพราะเป็นผู้มีโชค (ภคี) (๒) เพราะเป็นผู้ส้องเสพ (ภชี) (๓) เพราะเป็นผู้มีส่วน (ภาคิ) (๔) เพราะเป็นผู้จาแนก (วิภตฺตวา) (๕) เพราะได้ทรงทาการหักกิเลส เพราะทรงบุญบารมี(ภาคฺยวา) แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๗ นักปฏิบัติธรรมต้องเป็นผู้รู้สภาวธรรมที่ปรากฏขึ้นทั้งปวง ด้วยการ ตื่นตัว ตื่นรู้ และกาหนดสติ อยู่เสมอ หยั่งเห็นถึงรูป ถึงนาม ตามที่ปรากฏ สามารถรู้แยกแยะตามความเป็นจริงว่านี้คือรูป นี้คือความเกิดของรูป นี้คือ ความดับของรูป นี้คือความเกิดความดับของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อานิสงส์ของการเจริญพุทธานุสสติ ผู้บาเพ็ญพุทธานุสสติย่อมได้รับอานิสงส์ ๘ ประการ คือ (๑) ย่อมเป็นผู้มีความเคารพ มีความยาเกรงในพระศาสดา (๒) ถึงความไพบูลย์งอกงามแห่งศรัทธา สติปัญญาและบุญ (๓) เป็นผู้มากด้วยปี ติปราโมทย์ (๔) มีความอดทนอดกลั้นต่อทุกขเวทนาได้ (๕) มีความไม่หวั่น ไหวแม้จะประสบกับอารมณ์ที่น่ากลัว (๖) ได้ความสาคัญตนว่ากาลังอยู่ร่วมกับพระศาสดา (๗) เมื่อประสบกับเหตุอันอาจทาให้ละเมิดศีลก็ย่อมเกิดหิริ โอตตัปปะดุจเห็นพระศาสดาประทับอยู่เบื้องหน้าย่อมระงับ ความชั่วได้ (๘) เมื่อได้ปรารภวิปัสสนาต่อแม้จะไม่สาเร็จมรรคผลในชาตินี้ ก็ย่อมเป็นผู้มีสุคติเป็นที่หวังได้ในภพชาติหน้า อสุภกรรมฐาน ประการที่สอง การเจริญอสุภ กรรมฐาน อสุภกรรมฐานนี้ ครูบา อาจารย์สายวัดป่านี้นิยมทากันมาก เป็นการแก้อารมณ์ เรียกว่าแก้กามราคะ กามฉันทะที่เกิดขึ้นในใจของเรา วิธีการทาไม่ยาก ให้นึกถึงความสกปรกใน ร่างกายเรา เรียกว่าอสุภกรรมฐานสิบ ที่อยู่ในหลักกรรมฐานสี่สิบ หรือว่าใน เรื่ องของซากศพเก้า ประการ ที่ อ ยู่ ในป่า ช้ าเก้า อยู่ ในสติ ปัฏ ฐานของเรา แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๘ เช่นกันว่าพิจารณาศพที่ตายวันนี้ ศพที่ตายในวันต่อ ๆ ไป ศพที่เน่า ศพที่ขึ้น อืดแล้ว ศพที่มีน้าเหลือง ศพที่เป็นกระดูก เป็นต้น พิจารณาแล้วว่า คนตาย ไปแล้วก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะน่ารัก น่าชอบใจเลย เมื่อพิจารณาอย่างนี้ แล้ว กิเลสที่อยู่ในใจเราจะค่อยเหี่ยวลง แห้งลง นี่เป็นประการหนึ่ง อีกวิธีหนึ่งให้น้อมเข้ามาอยู่ในกายของเรานี้หมายถึงว่ากายของเรา มีอะไรบ้างที่เป็นของสะอาด พิจารณาดูสิ ว่ากายของเรานี้มีสะอาดตรงไหน ว่ากายสะอาด ไม่สะอาดดูตรงไหน เสื้อผ้าของเราเองก็ดี จีวรก็ดี อัง สะก็ดี เราซักสะอาด ยังไม่เปื้อนเลย พอมาใส่สักวัน สักครึ่งวัน กลิ่นเหงื่อกลิ่นไคล ถอดมาดูก็กลิ่นมันเหม็นเหลือเกิน เสื้อของโยมก็เหมือนกัน ในลักษณะนี้ก็ พอจะอนุมานได้เช่นกัน ว่าร่างกายนี้มันไม่สะอาดเลยจริง ๆ ผ้าสะอาดดี แต่ เมื่อมาถูกกายที่ไ ม่สะอาด ก็กลับเป็นของไม่ สะอาดไป เราเคยสวดบทธาตุ กรรมฐานตอนเช้าก็จะมีส่วนนี้ ส่วนที่ว่ากายไม่สะอาดอย่างไร อาหารดี ๆ อร่อย ๆ มองดูข้างนอก น่ากินเหลือเกิน พอเข้าไปในปากแล้ว คายออกมา ทาไมเป็นของไม่สะอาดไปได้ หรือว่าไม่คายออกมา ออกจากตัวของเราไปก็ กลายเป็นของไม่สะอาด แสดงว่าตัวของเรานี้ เป็นสิ่งที่ไม่สะอาดจริง ๆ เราก็ น้อมใจ พิจารณากลับไปกลับมา คือการเจริญอสุภกรรมฐานแบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งคือต้องพิจารณาว่าร่างกายของเรานี้ มีสิ่งอะไรที่ไม่ดี ไหลออกมาบ้าง มีขี้อะไรออกจากตา ขี้ตาก็ไหลจากตา ขี้มูกก็ไหลออกจาก จมู ก ทั้ ง สองข้ า ง ขี้ ฟั น ขี้ ป าก ขี้ อ ะไรต่ า งๆ ก็ จ ะไหลออกจากที่ ต รงนั้ น ปัสสาวะก็จะไหลออกจากช่องหนึ่ง อุจจาระก็จะไหลออกจากอีกช่องหนึ่ง ทั้ง เก้าช่องนี้ ไม่มีช่องไหนหอม มีแต่ ช่องที่เหม็นเท่านั้น เมื่อเราพิจารณา กลั บ ไปกลั บ มา กามราคะที่ มี อ ยู่ เกิ ด ขึ้ น นั้ น ก็ ค่ อ ยๆ จื ด จางไป เบาไป หายไป เพราะเมื่ อตัวเราพิ จ ารณาอยู่ เห็นอย่างนี้แล้ว ของคนอื่นก็คงจะ ไม่ต่างกันหรอก ใครที่บอกว่าสวย ใครที่บอกว่าหล่อ เมื่อเราพิจารณากลับไป กลับมาแล้วก็เห็นเป็นอย่างนี้หมด ตรงนี้จะทาให้เราแก้กิเลสกามราคะได้ บางทีปฏิบัติธรรมไป เกิดขึ้นมา กาหนดแล้วว่าราคะหนอ ราคะหนอ ก็ไม่ลง แนวทางปฏิบัติธรรม ๕๙ ก็ไม่ยอม ยังเป็นอยู่ ก็ต้องมาพิจารณาอสุภกรรมฐานแก้ พิจารณาดังกล่าวก็ ถือว่าเป็นการแก้อารมณ์ได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีวิธีต่างๆ อีกหลายวิธี ในเรื่องของอสุภกรรมฐาน ไม่ใช่ว่าจะมีแค่นี้ หากท่าน ให้พิจารณาว่า ร่างกายของเรานี้เป็นรังของโรคบ้าง เป็นส้วมที่ไม่ได้ล้างบ้าง ใครมีอายุสิบปี ก็มีส้วมที่ไม่ได้ล้างมาสิบปี ใครมีอายุยี่สิบปี ก็มีส้วมที่ไม่ไ ด้ ล้างมายี่สิบปี หรือว่าร่างกายของเรานี้เป็นเหมือนป่าช้า เป็นที่ทิ้งของซากศพ ซากปู ซากไก่ ซากหมู ลงปากของเรา ไปอยู่ในท้องตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ พอนึ กได้ อย่า งนี้ก็ เกิด ความไม่ งามขึ้น มาในที่ต รงนั้ น ความรู้สึก ชอบก็จ ะ หายไป นี่ก็เป็นส่วนที่เราควรที่จะพิจารณา เพราะว่ากามราคะนี้มีด้วยกัน ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นโยม แม้แต่พระก็ไม่เลือก เพราะว่ากิเลสก็ยังมีในใจอยู่ เมื่อเรามาเจริญอสุภกรรมฐานตรงนี้ เป็นเครื่องป้องกันจิตของเรา ไม่ให้กาม ราคะเกิดขึ้นได้ เช่น เรื่องภิกษุหนุ่มติดใจในรูปโฉมของนางสิริมา จนทาให้จิต ฟุ้งซ่าน ภายหลังนางตาย ภิกษุหนุ่มได้เพ่งดูซากศพของนางสิริมาจนทาให้ เกิดการบรรลุธรรมได้๖๖ ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายควรเจริญอสุภสัญญาเพื่อป้องกัน รักษาจิตของตนไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อานาจแห่ งกามราคะ จึงจะทาให้จิตใจ สามารถพัฒนาไปสู่มรรค ผล พระนิพพานได้ ผู้โง่เขลา อยากได้สุข อยากได้สุข หยุดอยากหา ๖๖ เมาเปลือก อื่นจากจิต กลับมีทุกข์ สุขเกิดมี เกลือกกลั้วทุกข์ คิดเที่ยวหา เพิ่มเข้ามา อยู่ที่ใจ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๔๗/๗๗, ขุ.ธ.อ (ไทย) ๑/๒/๑๕๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๐ มรณานุสติ ประการต่อไป มรณานุสติ พระพุทธเจ้ าได้ ตรัส ถึง การระลึ กถึ ง ความตาย โดยทรงมีพุทธประสงค์ให้บุคคลได้รีบเร่งขวนขวายประกอบความ เพียรในการปฏิบัติเพื่อละบาปอกุศลธรรม ๖๗ เพราะการระลึกถึงความตาย ชื่อว่ามีสติ๖๘ ซึ่งจะทาให้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต๖๙ รีบเร่งขวนขวายในการ ทาความเพี ยรอย่างต่อ เนื่อ งเพื่ อความสิ้นอาสวะ ๗๐ ดัง ข้ อความว่า “สตรี บุรุ ษ คฤหั สถ์ หรื อบรรพชิ ตควรพิจ ารณาเนื องๆ ว่า ‘เรามี ความตายเป็ น ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้’ . . . เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ ย่อ มละความมั ว เมาในชีวิ ต นั้น ได้โ ดยสิ้ นเชิ ง ”๗๑ จั กเป็น ผู้ ไ ม่ ป ระมาทอยู่ จักเจริญมรณัสสติอย่างแรงกล้าเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย๗๒ การระลึกถึงความตายจะเป็นเหตุที่ทาให้เกิดวิริยะ คือความเพียร เพราะเป็น อุ บ ายปลุ ก เร้ า คุณ ธรรม หรื อ โยนิ โ สมนสิก ารแบบเร้ า กุ ศ ล ๗๓ เป็ น ความคิ ด เชื่ อ มโยงให้ เ กิ ด การลงมื อ กระท าด้ ว ยความรู้ สึ ก ตื่ น ตั ว ไม่ประมาท เร่งขวนขวายในการปฏิบัติต่อไป ๖๗ องฺ.อฏฺฐก. . (บาลี) ๒๓/๗๔/๒๖๗, องฺ.อฏฺฐก. . (ไทย) ๒๓/๗๔/๓๘๖. ขุ .จู . (ไทย) ๓๐/๘/๗๑, ชื่ อ ว่ า มี สติ เพราะระลึ กถึ งความตายที่ จะต้องมีเป็นธรรมดา - ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๓/๑๓. ๖๙ วิสุทฺธิ. (ไทย) ๒/๑/๒๔. ๗๐ อาสวะทั้งหลาย ในที่นี้หมายถึงอาสวะทั้ง ๔ คือ กามาสวะ ภวา สวะ ทิฎฐาสวะ อวิชชาสวะ - ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๕๓-๖๒/๑๔, ส.สฬา.อ. (ไทย) ๔/ ๒/๙๖, องฺ.ฉกฺก.อ. (บาลี) ๓/๕๘/๑๔๐, องฺ.ฉกฺก.ฏีกา. (บาลี) ๓/๕๘/๑๕๔-๑๖๒, การพิจารณาเห็นภัยต่างๆ ทาให้เกิดวิริยะ ดูใน พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), พุทธ ธรรม, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖, หน้า ๘๘๒๘๘๓. ๗๑ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๕๗/๑๐๐. ๗๒ องฺ.ฉกฺก. (บาลี) ๒๓/๗๔/๒๖๕, องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๑๙/๔๔๗. ๗๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หน้า ๖๙๖. ๖๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๑ หลักการระลึกถึงความตายโดยชีวิต ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาว่า ความตายนั้นเป็นความวิบัติของร่างกาย โดยร่างกายนี้เป็นของสาธารณะแก่สัตว์ทั้งหลาย และปัจจัยที่ทาให้ถึงความ ตายนั้นก็มีจานวนมาก เดินไปเดินมาก็มีโอกาสที่จะโดนงู ฉกก็ตายได้ โดน ตะขาบกัดก็ตายได้ กินอาหารแล้วไม่ย่อย สาลักตายก็ได้ แล้วย้อน กลับมา พิจารณาตนเองว่ายังมีกิจที่จะต้องละบาปอกุศลอยู่หรือเปล่าเมื่อยังมีอยู่ ควร รีบเร่งทาความเพียรโดยไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง โดยการเดินจงกรม นั่งสมาธิ เจริญสติสัมปชัญญะเพื่อละบาปอกุศลธรรม ดังข้อความว่า๗๔ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันผ่านไป กลางคืนย่างเข้ามา พิจารณาดังนี้ว่า ‘ปัจจัยแห่งความตายของเรามีมากแท้ คือ งูพึง กัดเราก็ไ ด้ แมงป่ องพึง ต่อ ยเราก็ ได้ หรื อตะขาบพึ ง กั ดเราก็ไ ด้ เพราะเหตุนั้น เราพึงตาย เราพึงมีอันตราย ๗๕นั้น เราพึงพลาดหก ล้มก็ได้ ภัตตาหารที่เราฉันแล้วไม่พึงย่อยก็ได้ ดีของเราพึงกาเริบก็ ได้ เสมหะของเราพึงกาเริบก็ได้ ลมมีพิษดังศัสตราของเราพึงกาเริบ ก็ได้ พวกมนุษย์พึงทาร้ายเราก็ได้ หรือพวกอมนุษย์พึงทาร้ายเราก็ ได้ เพราะเหตุนั้น เราพึงตายเราพึงมีอันตรายนั้น ฯลฯ ดังนี้ ดัง นั้ น ผู้ป ฏิบัติ จึง ควรระลึกความตายดั ง กล่ าวนี้ เพื่อ ความไม่ ประมาท เพราะความตายไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมายแต่อย่างใดเลย กล่าวคือ ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า ชีวิตนี้จะอยู่นานสักปานใดจึงจะตาย (ชีวิตัง) ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า จะตายด้วยโรคอะไร (พยาธิ) ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า จะตายเวลาไหน (กาโล) และ ไม่มีนิมิตให้รู้ว่า จะตายที่ตรงไหน (เทหะนิกเขปนัง) ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติจึงควร ไม่ประมาทรีบเร่งทาความเพียรเพื่อทากิเลสให้สิ้นไป ๗๔ องฺ.อฏฺฐก. (บาลี) ๒๓/๗๓/๒๖๗, องฺ.อฏฺฐก. (ไทย) ๒๓/๗๔/๓๘๖. อันตราย มี ๓ อย่าง คือ (๑) อันตรายต่อชีวิต (๒) อันตรายต่อ สมณธรรม (๓) อันตรายต่อสวรรค์และ อันตรายต่อมรรคสาหรับผู้ที่ ตายอย่างปุถุชน - องฺ.ฉกฺก.อ. (ไทย) ๓/๒๐/๑๐๘. ๗๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๒ หลักการระลึกถึงความตายโดยอายุ ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาว่า ชีวิตของเรานี้เป็นชีวิตที่น้อย มนุษย์ ที่มี อายุยืนยาวมากที่สุด อย่างมากก็เป็นอยู่ได้ เพียงแค่ ๑๐๐ ปี เกินกว่า ๑๐๐ ปีไปก็มีบ้าง แต่ก็มีน้อย เปรียบเหมือน หยาดน้าค้างที่ยอดหญ้า เมื่อดวง อาทิตย์ขึ้น ก็เหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว อยู่ได้ไม่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของ มนุ ษ ย์ ทั้ ง หลายที่ เ ปรี ย บด้ ว ยหยาดน้ าค้ า งก็ ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น เป็ น ของ เล็กน้อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ผู้ปฏิบัติพึงรู้ด้วยปัญญา แล้วตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ควรรีบเร่งประพฤติพรหมจรรย์ ดังนั้น พระผู้ มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อย สัมปรายภพ (เล่า) ก็จะต้องไป จึงควรทากุศล ประพฤติพรหมจรรย์ ความไม่ต าย แห่งสัตว์ ผู้เกิดแล้วหามีไม่ ดูกรภิกษุทั้งหลายผู้ใดเป็นอยู่ยืน ผู้นั้นก็ เป็นอยู่สัก ๑๐๐ ปี เกินนั้นไปก็มีบ้าง แต่ (เป็นส่วน) น้อย” ๗๖ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติจึงควรระลึกความตายดังกล่าวนี้ โดยระลึกถึงว่า อายุของมนุษย์นี้น้อยนัก อย่างมากไม่ใคร่ถึง ๑๐๐ ปี ก็จะต้องตายไปแล้ว จึง ควรทาความดี ประกอบการกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ตั้ง อยู่ในความ ประมาท เพราะความตายจักมาถึงเราในบัดนี้ก็ได้ หลักการระลึกถึงความตายโดยขณะ ผู้ปฏิบัติควรพิจารณาว่า ระยะกาลแห่ง ชีวิตนี้สั้นจนไม่น่าวางใจ ชั่ ว ขณะหนึ่ ง ความตายจะเกิ ด ขึ้ น กั บ เราในทุ ก ๆ ขณะ หายใจเข้ า แล้ ว ไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้าก็ตาย หรือแม้แต่จิตของ เรานั้นมี การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในแต่ละขณะๆ ชีวิตของเราเหมือน ตายแล้วในแต่ละขณะๆ แต่ว่ามันเกิดขึ้นมาใหม่อีก ถ้าจิตดับไปแล้ว ไม่เกิด ขึ้นมา ก็ถือว่าตายไปแล้ว ก็มีโอกาสที่จะตายได้ เปรียบเหมือน เมื่อฝนเม็ด ๗๖ ส.ส. (บาลี) ๑๕/๑๔๕/๑๓๐, ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๔๕/๑๘๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๓ ใหญ่ตก ฟองน้าย่อมแตกหายไปอย่างรวดเร็ว คงอยู่ได้ไ ม่นาน แม้ฉันใด ชีวิตของมนุ ษย์ทั้ งหลายที่เปรียบด้วยฟองน้า ก็ ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของ เล็กน้อย รวดเร็ว มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ผู้ปฏิบัติพึงรู้ด้วยปัญญา พึง รีบเร่ ง ทากิจคือกุศล ทาความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่ง อาสวะ ดัง นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ภิ ก ษุ รู ป ใดเจริ ญ มรณั ส สติ อ ย่ า งนี้ ว่ า ‘โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้เพียงชั่วขณะลมหายใจเข้าหายใจออก หรือหายใจออกหายใจเข้า เราพึงมนสิการถึง คาสอนของพระผู้มี พระภาค เราพึงทากิจให้มากหนอ’ ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเป็น ผู้ไม่ประมาทอยู่ เจริญมรณัสสติเฉียบพลันที่จะสิ้นอาสวะ” ๗๗ ดัง นั้น ผู้ปฏิบัติจึงควรระลึกความตายดัง กล่าวนี้ โดยระลึกถึง ว่า ชีวติ นี้ เป็นอยู่ มีอยู่ คงอยู่ ชั่วขณะนิดเดียว กล่าวโดยทางปรมัตถ์ ก็ปรากฏ อยู่ชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นเอง เมื่อจิตเกิดขึ้นก็ได้ชื่อว่า สัตว์เกิดแล้ว จิตตั้งอยู่ ก็ได้ชื่อว่าสัตว์นั้นเป็นอยู่ และเมื่อจิตดับไป จิตไม่เกิดสืบต่อไปอีกในภพนี้ ก็ ได้ชื่อว่า สัตว์นั้นตายเสียแล้ว การพิจารณาเห็นโลกและชีวิตตามความเป็นจริง แล้วเกิดสังเวช สลดใจ จึงเป็นสาเหตุทาให้เกิดวิริยะ ในคัมภีร์วิสุทธิ์มรรคใช้คาว่า “ผู้สังเวช แล้วย่ อมทาความเพียรโดยแยบคาย ๗๘ ค าว่า “สัง เวช” ในที่นี้ หมายถึ ง สังเวชในชีวิตต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร แล้วทาความเพียรเพื่อให้ พ้นจากทุกข์ในวัฏฏสงสาร ในนิทเทสสังเวคทุกะอธิบายว่า “เห็นชาติเป็นภัย โดยความตั้ ง อยู่ แ ละเสื่ อมไปเพราะชรามรณะ” ๗๙ ท าความเพี ย รเพื่ อ ไม่ ต้องการเกิดอันจะเป็นเหตุให้แก่เจ็บตายต่อไป ๗๗ องฺ.อฏฺฐก. (บาลี) ๒๓/๗๔/๒๖๗, องฺ.อฏฺฐก. . (ไทย) ๒๓/๗๔/๓๘๕. วิสุทธิ. (ไทย) ๓/๑/๗๒. ๗๙ อภิ.ส.อ. (ไทย) ๑-๒/๕๔๔. ๗๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๔ การมีสติระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึง ตนเป็นธรรมดา อยู่ ทุกๆ ขณะ เป็นการระลึกถึงความตายอย่างมีสติ ย่อมจะทาให้เกิดสติ สมาธิ ปัญ ญาที่ หนั ก แน่ น มั่ น คง และไม่เ ป็ น ผู้ป ระมาทในชี วิ ต ไม่ ป ระมาทใน ทางการปฏิบัติ รีบเร่งขวนขวายในการสร้างคุณธรรมความดีเพื่อจะได้เป็น ประทีปส่องทางชีวิตให้แก่ตนให้พ้นทุกข์ได้๘๐ ผู้ปฏิบัติที่เจริญมรณัสสตินี้อย่างสม่าเสมอ จะสามารถกาจัดความ ฟุ้งซ่านได้ เช่นในขณะที่ปฏิบัติธรรม เกิดความคิด ว่าจะไปทากิจอย่างอื่น ก็ สามารถเลิกคิดได้ เพราะพิจารณาว่าชีวิตของเรานี้มีน้อยนัก ความดีต้อง พยายาม กุศลต้องเจริญ เพราะเราไม่สามารถล่วงรู้ความตายได้เลยว่าความ ตายจะมาถึงเราเมื่อไหร่ ดังที่พระองค์ตรัสถามธิดาช่างหูกว่า ‘เธอทราบหรือ (ว่าจะตายเมื่อไหร่)’ ธิดาช่างหูกตอบว่า ‘มิทราบเจ้าค่ะ’ ๘๑ นอกจากนั้น ไม่มีใครเลยที่สามารถผลัดเพี้ยนกับความตายได้ จึง ควรรี บเร่ง ความเพีย รเพื่อประโยชน์ อันสูงสุด คือ ความพ้นทุก ข์ ดัง นั้ น พระองค์จึง ตรัสในภัทเทกรัตตสูตรว่า “บุคคลควรทาความเพียรตั้งแต่วันนี้ ทีเดียว ใครเล่าจะรู้ว่า ความตายจักมี ในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าความผลัดเพี้ยน กับมัจจุราชผู้มีเสนามากนั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย” ดังนี้ ฉะนั้น การเจริญมรณานุสตินี้ สามารถกาจัดความฟุ้งซ่าน คิดจะ ไปทานั่นทานี่ ก่อสร้างตรงนั้นตรงนี้ ในขณะที่จะปฏิบัติธรรมก็ไ ม่คิดแล้ว เพราะพิจารณาว่าชีวิตของเรานี้มัน ก็น้อยนะ ความดีต้องพยายาม ถึงจะทา ทรัพย์สมบัติมากเท่าไหร่ มีคนรักมากมายเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถที่จะนาติดตัว ไปได้ การเจริญมรณานุสติก็ให้เจริญในแนวนี้ คิดกลับไปกลับมา เจริญแล้ว เจริญอีก จนใจของเราสงบ เมื่อสงบแล้วก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐานได้ ๘๐ พระณัฐกิตติ อนารโท (ผุยเหง้า),“ศึกษาหลักมรณสติในพระไตรปิฎก”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย), ๒๕๕๑, หน้า ๒๓. ๘๑ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๒๔๘-๒๕๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๕ เมตตาภาวนา ประการสุ ด ท้ า ย เรี ย กว่ า การเจริ ญ เมตตา ก็ คื อ การส่ ง ความ ปรารถนาดีไ ปหาบุคคลอื่น เราเคยได้ยินได้ฟังกัน ก็เฉพาะแต่ว่า เวลาแผ่ เมตตาก็แผ่ให้บุคคลอื่น บุคคลอื่น ก็คงจะได้รับเป็นส่วนมาก โดยจริง ๆ แล้ว เรื่องของเมตตานี้ได้กับตัวเองทั้งนั้นเลย การแผ่เมตตาในหนังสือวิสุทธิมรรค ท่านจะบอกว่า มีอานิสงส์อยู่ ๑๑ ประการ อานิสงส์เมตตา ประการแรก ท่านบอกว่าทาให้บุคคลที่เจริญเมตตา ทาความรักให้ เกิดในตัวเอง ทาความเมตตาให้เกิดในตัวเองนั้น จะเป็นบุญที่ หลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๒ ไม่ฝันร้าย ๓ ทั้งสามประการนี้เป็นอานิสงส์ชุดแรกสาหรับ คนที่นอนไม่หลับ นอนแล้วกระสับกระส่าย นอนแล้วพลิกไปพลิกมา ถ้ามา เจริญเมตตาแล้ว จะได้อานิสงส์ในส่วนนี้ บางครั้งในการปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติ อาจนอนไม่หลับ ก็ไปสงสัยว่านอนไม่หลับเกิดจากการไปกาหนดยุบหนอ พองหนอ มากไปหรือเปล่า ไปเพ่งมากเกินไปหรือเปล่า หรือกาหนดธรรมดา บางทีก็ไม่กาหนด ก็ยังนอนไม่หลับอีก ผลสุดท้ายก็ต้องใช้เมตตากรรมฐานเข้าแก้ ก็บอกให้แผ่เมตตาแก่ ตัวเอง ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข อย่าได้มี ความทุกข์กายทุกข์ใจเลย ท่องไป เรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ เมื่อแนะนาไปแล้ว ทาตาม จิตใจวางแล้วปรากฏว่า ได้ผลพอสมควร วันรุ่งขึ้นต่อไปก็นอนหลับสบายดี เป็นอานิสงส์จริง ๆ เมื่อ นอนหลับแล้ว ตื่นก็เป็นสุข เพราะเมื่อนอนหลับสนิท เวลาตื่นก็ตื่นมาสดชื่น ไม่งัวเงีย ระหว่างที่หลับก็เกิดอานิสงส์ไม่ฝันร้ายด้วย ไม่ใช่สะดุ้งตื่นขึ้นมา กลางคืน เหมือนกับผีไล่ ผีอา แสดงว่าไม่ได้เจริญเมตตา ใครนอนแล้วสะดุ้ง นอนแล้วผีอา ก็ ลองแก้ดู ให้เจริญเมตตากรรมฐานดู ในช่วงที่ตนเองหลับ ก่อนที่จะนอนก็ลองเจริญดู ก็จะได้อานิสงส์ตรงนี้ ประการต่ อไป ท่ านบอกว่า เป็น ที่ รัก ของมนุ ษย์ เป็ นที่ รั กของ อมนุษย์ เทวดารักษา เป็นที่รักของมนุษย์ก็คือคนด้วยกัน ถ้าเราเจริญเมตตา แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๖ บ่อยๆ เขาเห็นหน้าเรา รู้สึกชอบใจเหลือเกิน โยมคนนี้ พระองค์นี้ มีสีหน้า ผ่องใส หน้ามีเมตตาจังเลย เกิดความรักขึ้นมา เป็นความรักแบบมีความ ศรัทธามากขึ้น อมนุษย์รักก็หมายความว่ามีความศรัทธา เป็นเทวดาก็ดี เปรตก็ดี ประเภทอืน่ ก็ดี ก็จะเกิดความรัก ในที่นี้ก็อยากจะกล่าวถึงในธรรมบทนิดหนึ่ง เรื่องที่ภิกษุห้าร้อย เรียนกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เข้าไปในราวป่า ในป่าก็มีต้นไม้ใหญ่ เห็นว่าต้นไม้ใหญ่ดีจังเลย น่าผูกกลดปฏิบัติธรรม ไม่มี ลางสังหรณ์นิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าที่นี้ต้นไม้ใหญ่มักจะมีเทวดาอยู่ ไม่ได้นึกถึงตรงนั้น ไปผูกกลดอยู่ตรงนั้นตรงนี้ พวกรุกขเทวดาอยู่ที่ต้นไม้ก็อุ๊ยพระมาแล้ว มากัน เยอะเลย เราก็มีศีลน้อยด้วย จะไปอยู่บนต้นไม้ก็คงไม่ดี มานึกถึงตรงนี้แล้วก็ ต้องลงมากันหมด ใครมีลูกก็เอาลูกลงมา ใครมีหลานก็เอาหลานลงมา มาอยู่ พื้นดินกัน คิดว่าพระก็คงอยู่ไม่นาน วันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ยัง ไม่ไปสักที มะรืนนี้ก็คงจะกลับ ก็บอกลูกบอกหลานให้ทนเอาหน่อย อยู่กับ พื้นดินตั้งเจ็ดแปดวัน รุกขเทวดาก็ทนไม่ไหว ถ้าพระคุณเจ้าจะปักหลักตรงนี้ พวกเราก็คงจะแย่แน่ๆ ก็ปลอมตัวเป็นผีมาหลอกพระ ท่านบอกว่าบางทีก็ทา เป็นเสียงดัง ครางก็ดี อะไรก็ดี พองหนอ ยุบหนอ สะดุ้งไปเลย ต่อไปก็เ กิด ความกลัว บางทีขณะเดินจงกรมขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ หัวกะโหลกก็ โผล่ออกมา หรือว่าเดินไปเดินมา มองไปทางนั้นที ทางนี้ทีก็เห็นว่าใครมานั่ง มาเดินอยู่ที่ตรงนั้น พระก็กลัวกัน บางทีทาให้พระองค์นั้นไอบ้าง พระองค์นี้ จามบ้าง เกิดเดือดร้อนไปหมด ไม่มีสมาธิ พระทั้งห้าร้ อยรูปก็มาประชุมกัน ว่าคงจะอยู่ไม่ได้ กลับไปหาพระพุทธเจ้าดีกว่า เมื่อมาเฝ้ า พระพุท ธเจ้า พระองค์ ก็ต รัสว่ าเธอไม่ไ ด้เอาอาวุธไป อาวุ ธก็ คือ บทสวดมนต์นั่น เอง ที่เราเคยได้ยิ นว่ า เมตฺ ตญฺ จ สพฺพ โลกสฺ มึ นั่นเอง พระองค์ทรงให้เรียนบทสวดนี้ แล้วบอกให้เริ่มสวดมนต์ตั้งแต่เ ข้าสู่ ราวป่า ก็ให้สวดมนต์บทนี้ไป พระทั้งหลายกลับไป ก็สวดมนต์บทนี้ไป เจริญ เมตตาไป เทวดาทั้งหลายก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ ได้รับกระแสจิตตรงนี้ เกิด ความรักพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดเลย ยินดีที่จะให้อยู่ นอกจากนั้นยังคอยปกปัก แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๗ รักษาพระด้วย นกก็ดี สัตว์ร้ายทั้งหลายก็ดี ที่จะเข้ามาในบริเวณ เทวดาจะ ไล่ ไ ปทางอื่ น เพื่ อ ให้ ที่ นั่ น เป็ น ที่ สงบ พระทั้ ง หมดก็ ตั้ ง ใจเจริ ญ วิ ปั ส สนา กรรมฐาน และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ตัวอย่างแสดงให้ เห็น ว่า เมื่อเจริญเมตตาแล้วก็จะเป็นที่รักของ เทวดา ทาให้เทวดาปกปักรักษากัน สมัยนี้เวลาจะเดินทางไปไหน พระธุดงค์ ก็จะเจริญเมตตา หรือว่าสวดมนต์บทว่า “เมตตญฺ จ สพฺพโลกสฺมึ” ในบท กรณียเมตตาสูตร เป็นการแผ่เมตตาส่วนหนึ่ง ต่อไปท่านบอกว่าผู้ที่เจริญเมตตา จะไม่ตายด้วยยาพิษ จะไม่ตาย ด้วยไฟ จะไม่ตายด้วยศาสตราวุธ สามอย่างนี้จะไม่ตาย ตรงนี้มีเรื่องเล่าไว้ ในหนังสือวิสุทธิมรรค ท่านพูดถึ งแม่โคลูกอ่อน กาลังยืนให้นมลูกอยู่ คร่อม ลูกก็กินนมอยู่ ขณะนั้นมีนายพรานอยู่ในป่า โผล่ออกมาเห็นลูกวัวพอดี ก็ ประสงค์ร้าย พุ่งหอกไปถูกแม่วัว ปรากฏว่าเหมือนกับถูกหิน ถูกตัวแม่วัวก็ กระดอนกลับ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าในขณะที่ให้นมอยู่นั้น แม่วัวมีเมตตา จิตต่อลูก ศาสตราวุธก็ทาอันตรายไม่ได้ มีอีกหลายเรื่องในหนังสือธรรมบท ที่ว่า ด้วยการเจริญเมตตา เช่น นางอุ ตตราที่ถู กน้ าร้อ นลวก แต่ไ ม่เป็ นไร เพราะเจริญเมตตา เจริญเมตตานี้ก็สามารถป้องกันศาสตราวุธได้๘๒ อีกข้อหนึ่ง ท่านบอกว่าผู้ที่เจริญเมตตานั้น ใบหน้าผ่องใส คนที่ เจริญเมตตาเวลาเห็นใบหน้าก็จะรู้สึกได้ทันที ว่าใครมีเมตตา ใครไม่มีเมตตา ใครน่า กลั ว เพราะว่าจิ ตคนเราจะแสดงออกมาซึ่ ง เราสามารถรับ คลื่ นได้ เหมือนคลื่นวิทยุ ใครคิดดี ใครคิดไม่ดี บางทีก็รู้สึก บางทีเรานั่งอยู่ดีๆ ใครมา มองด้วยความประสงค์ร้าย เราจะรู้สึกได้ทันที บางทีเราก็รู้สึกว่าใครกาลัง จ้อ งเราด้ ว ยสายตาที่ดี ไม่ ดีบ้ า ง เราก็ สัม ผั สได้ คนที่ เ จริ ญ เมตตาบ่ อย ๆ ใบหน้าผ่องใส ถ้า เป็นโยมผู้หญิงก็บอกว่าไม่ต้องใช้แป้ง แล้ว เจริญ เมตตา บ่อยๆ คิดดีกับผู้อื่น ใบหน้าของเราจะผ่องใส ๘๒ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๔/๔๔๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๘ ประการต่อไป เป็นสิ่งที่สาคัญ ครูบาอาจารย์ท่านใช้เมตตาเข้า มา ในส่วนนี้ ท่า นบอกว่าผู้ที่ เจริญ เมตตาแล้ว จิตจะเป็นสมาธิไ ด้ง่าย เจริ ญ เมตตาแผล็บเดียว จิตจะตั้งมั่นได้ง่าย อาศัยข้อนี้ ครูบาอาจารย์ท่านจึงเอามา เป็นเทคนิคของการปฏิบัติธรรม ถ้าใครฟุ้งซ่านท่านก็จะให้ทาเมตตาก่อน ๑๕ นาทีเท่านั้น บัลลังก์แรกของการปฏิบัติ จิตจะเป็ นสมาธิ ยกขึ้นสู่วิปัสสนา พองหนอ ยุบหนอได้ทันที ครูบาอาจารย์สายพม่าจะนิยมกัน ท่าจะแนะนา ให้ลูกศิษย์แก้อารมณ์ที่ตรงนี้ อานิสงส์ข้อที่สิบ ท่านบอกว่า เป็นผู้ที่ไม่หลงตาย คือตายแบบมี สตินั่นเอง ย่อๆ ว่า คนที่ก่อนที่จะตายจะไม่เห็นสิ่งที่ไม่ดี เห็นวัว เห็นเปลวไฟ คตินิมติ ที่คนที่ก่อนตายจะเห็น จะไม่เห็น คือไม่หลงตาย ตายแบบมีสติ ประการสุดท้าย ท่านบอกว่าคนที่เจริญ เมตตา ถ้าได้ฌานจะไป เกิดเป็นพรหมเป็นอานิสงส์ทั้ง ๑๑ ประการของการเจริญเมตตา๘๓ การจริญเมตตามี ๒ ประเภท ประเภทที่หนึ่งก็คือเจริญแบบเจาะจง เจาะจงบุคคล คนนั้นคนนี้ ชื่อนั้น ชื่อนี้ เจาะจงสถานที่ สถานที่ข องวั ดก็ดี ที่นั่น ที่นี่ บุคคลที่อ ยู่ที่นั่ น เรียกว่าเจาะจงกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่อยู่ในศาลานี้ก็เรียกว่าเจาะจง อีกแบบหนึ่งก็ไม่เจาะจงนั่นเอง เช่น ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงอยู่เป็น สุขๆ เรียกว่าแผ่ครอบจักรวาล การแผ่ทั้งสองอย่างนี้ ถ้ากระจายก็เหมือนกับ ไฟที่กระจายไปทั่ว ไม่สว่างพอ ยิ่งกาลังของเราไม่พอ ยิ่งไม่สามารถทาให้เกิด สมาธิได้ การแผ่เมตตาตรงนี้ ส่วนใหญ่จะแผ่แบบเฉพาะเจาะจง หลักการแผ่ เมตตา ท่านบอกว่า จะต้องเมตตาให้ตนเองก่อน จากนั้นจึงแผ่ไปยังบุคคลที่ เราเคารพ แผ่ให้กับบุคคลที่เรารัก ไปตามลาดับ ๘๓ พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), หน้า ๕๓๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๖๙ แผ่เมตตาให้ตนเอง หนึ่ง ต้องแผ่ให้ตัวเองก่อน เพื่อเป็นสักขีพยานว่าตัวเรานั้นรักสุข เกลีย ดทุ กข์ อย่ างไร คนอื่ นก็ เช่ นกั น เมื่อ นึก ถึง ตรงนี้ แล้ ว การแผ่ก็ ขอให้ ข้าพเจ้าจงมีความสุข ปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ แบบที่เราเคยสวดกัน แต่ให้เป็นภาษาที่ง่าย ๆ สั้น ไม่ยาว ถ้าเลี่ยงภาษาบาลีได้ก็จะดี เพราะอะไรที่ บอกว่าเลี่ยง ก็เพราะว่าเราไม่รู้ความหมาย ยิ่งโยมที่เป็นชาวบ้านก็แย่หน่อย มหาเปรียญก็พอรู้บ้าง ก็ว่าได้ อห สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข อห สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข นึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับน้อม ใจไปด้วย เพื่อให้เกิดความเมตตา เพื่อให้ความเมตตาเกิดขึ้นในใจของเรา นึกบ่อยๆ นึกซ้าแล้วซ้าอีกจนเกิดความเมตตาขึ้นในใจของเรา ไม่ต้องไปนึก ถึงสิ่งใด แล้วก็เปลี่ยน สักห้านาทีก็เปลี่ยนคาใหม่ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข กายสุขใจ ว่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกยิ้มจากข้างในจิตของตน แผ่ให้บุคคลที่เราเคารพ เมื่อแผ่ให้ตัวเองแล้ว ต่อไปท่านให้แผ่ถึงบุคคลที่ ตนเคารพนับถือ เบื้องแรกท่านก็ยังจากัด ว่าต้องเพศเดียวกับตนเอง ถ้าเป็นผู้ชาย คนที่เราจะ แผ่ให้ต้องเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องเป็นผู้หญิง เพราะอะไร เพราะว่า ตอนนั้นจิตใจของเรายังไม่มั่นคง ถ้าไปนึกถึง เพศตรงกันข้ามก่อน บางทีกาม ราคะจะเกิ ด ขึ้ น ได้ ฉะนั้ น การแผ่ เ มตตาในตอนนี้ ต้ อ งเป็ น บุ ค คลที่ เ พศ เดียวกัน ที่แนะนาผู้ปฏิบัติธรรมก็คือ ถ้าเป็นผู้ชายก็ให้แผ่ให้ในหลวงก่อน หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็แผ่พระให้พระราชินี ครู ผู้ชาย ครูผู้หญิง การแผ่เมตตา ตรงนี้มีเทคนิคอยู่นิดหนึ่ง คือว่า ให้เรานึกถึงคุณงามความดีของบุคคลที่เรา จะแผ่ก่อน ประมาณหนึ่งนาที ว่าคนนี้เคยทาความดีอะไรกับเราบ้าง ถ้าไม่ เคยทาความดีกับเราก็จริง แต่ว่าทาดีกับประเทศชาติ แก่สังคมส่วนรวม หรือ แก่วัด มีศีล มีความดีในด้านอื่น นึกถึงตรงนั้น แล้วเราจะแผ่เมตตาให้ท่านได้ ง่ายขึ้น ถ้านึกถึงแบบนี้แล้วจะปฏิบัติได้ดี ลองปฏิบัติแล้วก็ได้ผลดีจริง ๆ ว่า จะทาให้เมตตาของเรานั้นเกิดได้ดีพอสมควร แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๐ แผ่ให้บุคคลอันเป็นที่รัก เมื่อเราเจริญเมตตาให้กับบุคคลที่เราเคารพนับถือได้แล้ว บุคคล ต่อไปก็คือคนที่เรารัก อาจจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ หรือว่าใครต่างๆ ที่เรารั ก บุคคลต่อไปก็คือบุคคลที่เราเฉยๆ หรือว่าเป็นศัตรูของเราในต่อไปเกิดเมตตา ง่ายขึ้น ในปัจจุบันนี้เราจะได้ยินเสมอว่า โกรธใครก็ให้แผ่เมตตาให้คนนั้น จริงๆ แล้วแผ่ไม่ได้หรอก ตามหลักของการแผ่เมตตาจริง ๆ เป็นไปไม่ได้ ยิ่ง นึกถึงหน้าเขาก็ยิ่งโกรธ ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่า ไม่ให้แผ่เป็นคนแรก คนที่ เราเกลียด คนที่เรารัก ศัตรูของเรา ถ้าแผ่ไปแล้วไม่มีกาลัง ของเมตตา จะ กลายเป็ น ราคะก็ ดี เป็ น โทสะก็ ดี นึ ก ถึ ง คนที่ เ ราเคยโกรธ แทนที่ จ ะ อโหสิกรรมให้เขา กลับโกรธเขามากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเมตตาของเรายังไม่มี ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้หลักปฏิบัติไว้ ว่าให้แผ่เมตตาแก่ตนเอง ก่อน แล้วก็แผ่ให้บุคคลที่ เราเคารพนับถือ จนเกิ ดเมตตาจริง ๆ แล้วถึง จะ ให้กับบุคคลที่เป็นศัตรูกับเรา บุคคลที่เป็นอริกับเรา บุคคลที่เคยล่วงเกินเรา จะให้ได้ง่าย เมตตาธรรมก็จะเกิดได้โดยง่าย นี่ก็เป็นวิธีง่ายๆ ในการกาหนด การปฏิบัติ เมตตาตรงนี้ถ้าจะแผ่ในเรื่องของการปฏิบัติจตุรารักขกรรมฐานก็ ประมาณ ๑๐ นาที รวมแล้วก็เป็น ๒๕ นาที ก่อนปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมควรเจริญจตุรารักขกรรมฐานก่อน เป็นกรรมฐานที่จะปกป้องจิตใจผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีตรงนั้นตรงนี้ นั่นก็เป็นประโยชน์สาหรับผู้ที่เข้าปฏิบัติ เทคนิคที่ใช้กัน ท่านบอกว่าบัลลังก์ แรก ถ้าตื่นตีสี่ ถ้าจิตเราไม่สงบก็ให้ทาจตุรารักขกรรมฐานเสียก่อน ๒๕ นาที เสร็จแล้วก็ปฏิบัติธรรม ถ้ารู้สึกว่าสภาวธรรมดี แก้ไขอารมณ์ต่างๆ ได้ดี ท่าน บอกว่าต่อไป บัลลังก์แรกให้เจริญจตุรารักขกรรมฐานเสียก่อน เป็นกรรมฐาน เป็นเครื่องป้องกันจิตใจของเรา จริงอยู่ว่าเป็นสมถกรรมฐาน แต่ก็เป็นเครื่อง อุดหนุนทาให้จิตใจของเราปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ไม่อย่างนั้นเราก็จะฟุ้ง เรื่องนั้นเรื่องนี้ แทนที่จะหนอไปได้ กลับหนอไม่ไ ด้ อาจารย์ท่านจึงอุปมาว่า เมตตากรรมฐานตรงนี้ เหมือนกับบ้านพักริมทาง คนที่เดินทางมายาวไกล แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๑ มีแ ต่ป วดตรงนั้ น เจ็ บตรงนี้ เดี๋ ยวก็คิ ดเรื่อ งนั้ น เรื่ องนี้ จิต ใจฟุ้ง ซ่า นไม่ มี ความสุขเลย เดินไปๆ เจอร่มไม้ก็ดี เจอบ้านพักเสียหน่อย เข้าไปพักก็คงดี พักเสร็จแล้วก็มีแรง มีแรงแล้วก็มาเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อ ปฏิบัติธรรม ต่อได้ ท่านอุปมาเมตตากรรมฐานเช่นนั้น จึงเป็นที่นิยมของพระในสายพม่า วันแรกจะเจริญเมตตากรรมฐาน สิบวันก็จะเจริญเมตตากรรมฐาน สองวัน เพื่อปรับจิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมให้หายฟุ้งซ่าน เสร็จแล้วก็มาปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน จะได้ผลดีกว่า เท่าที่ติดตามสังเกตดูการสอนอย่างนี้รู้สึก ว่าจะได้ผล แต่เมืองไทยรู้สึกจะไม่ค่อยนิยมเท่าไหร่ ก็แล้ว แต่ครูบาอาจารย์ แต่ละท่าน ที่สอนอยู่ ส่วนใหญ่จะเคยปฏิบัติในแนวนี้ ถ้ามองเป็นประโยชน์ก็ เป็นประโยชน์ และเมตตากรรมฐานนี้เป็นเครื่องแก้โทสะ พยาปาทนิวรณ์ได้ อย่างดี คนขี้โกรธ ขี้โมโหก็ต้องมาเจริญเมตตากรรมฐานตรงนี้แล้ว เมื่อเจริญ แล้วจิตใจก็จะเย็นลง เคยขี้โกรธ ขี้โมโหก็ลดลง การกาหนดก็กาหนดได้ แต่ บางครั้งกาหนดไม่ไหว ก็ต้องเอาตรงนี้มาปรับจิตปรับใจของเรา จตุรารักข กรรมฐาน เป็นเครื่องปกปักรักษาเราให้พ้นจากกิเลสและภัยต่างๆ ได้๘๔ ขอสรรพสัตว์ ปราศจากทุกข์ สมสาเร็จ ในทุกห้อง ขอสรรพสัตว์ บริบูรณ์ ได้กอร์ปก่อ ถึงนิพพาน ๘๔ ทั้งปวง ได้รับสุข กายใจ ภัยทั้งผอง สิ่งมุ่งหวัง ตั้งใจปอง ที่สถาน กาลเวลา ทั้งหลาย ได้พร้อมพรั่ง พูนประดัง ทรัพย์มากหลาย ทาน ศีล ภาวนา สะดวกสบาย สมหมาย ด้วยวิปัสสนา พระมหาทองมั่น สุทฺธจิตฺโต, ธรรมบรรยาย ณ วัดภัททันตะอาสภาราม. แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๒ ความปกติของศีล รักษาศีล หมั่นทาทาน จิตบริสุทธิ์ ญาณปัญญา เถิดหนา ให้คล่อง ด้วยปฏิบัติ แก่กล้า อย่าให้พร่อง บุญหนักหนา วิปัสสนา ถึงนิพพาน ศีล เป็นบาท เป็นพื้นฐาน เป็นเบื้องต้นของกุศลธรรมทั้งหลายที่ยัง ไม่เกิด ศีลจะทาให้เกิดขึ้น มีขึ้นและเจริญขึ้น เหมือนกับการเดินทาง เพราะมี พื้น มีถนน มีทางที่สามารถมาได้โดยปราศจากอุปสัคขัดขวางฉันใด ศีลจึง จัดเป็นพื้น ฉันนั้น ที่ทาให้ได้ทากุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้ เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะ ศีลเป็นให้เหตุเกิดสมาธิ สมาธิเป็นให้เหตุเกิ ดปัญญา ปัญญาเป็นให้เหตุเกิดวิชชา วิชชาเป็นให้เหตุเกิด วิมุตติ ศีล คือ ความปกติ กาย วาจา ใจ ถ้ากาย วาจา ไม่ปกติ เป็น เครื่องชี้วดั ได้ว่า ใจของผู้ปฏิบัติธรรมไม่ปกติ เพราะพฤติกรรมทางกาย วาจา สาเร็จมาจากใจ ดังพระบาลีว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฎฺ า มโนมยา ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า ทุกอย่างสาเร็จมาจากใจ ถ้าเราไม่รักษาศีล หรือมีศีลไม่บริสุทธิ์ ไม่รักษาใจให้เป็นปกติ ใจ จะยังหยาบด้วยกิเลสตัณหา การที่จะรู้เห็นธรรมของพระบรมศาสดาก็เป็นไป ได้ย าก เพราะธรรมของพระองค์ เป็น ธรรมที่ ละเอีย ด ลึ กซึ้ง และประณี ต เหมาะสาหรับใจของผู้ปฏิบัติธรรมผู้ปฏิบัติที่ละเอียดประณีต พอที่จะรองรับ ธรรมได้ ฉะนั้น จิตของตนต้องมีความเป็นปกติ จึงต้องสมาทานศีล รักษาศีล เจริญศีลให้มีความปกติของกาย วาจา และใจ ในที่นี้แบ่งศีลไว้เป็น ๒ ระดับ - โลกียศีล (สาหรับมนุษย์) = ศีล ๕ ศีล ๘ (ขั้นบัญญัติ) - โลกุตตรศีล (เพื่อการหลุดพ้น) = ปาริสุทธิศีล (ขั้นปรมัตถ์) แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๓ ไม่ฆ่าสัตว์ ปาณสัตว์ ให้ตัดสัย ข้าวของ ใครไม่ลัก ถือศักดิ์ศรี ไม่ละเมิด พูดคาที่ ไม่ดื่มเหล้า กาเม สัจจริง เมามัว ประเพณี ทุกสิ่งอัน ตัวประมาท ทาให้ขาด สติตั้ง พลั้งเผลอได้ รวมห้าข้อ ถือให้มั่น ทุกวันไป ใครถือได้ ไร้เวร เป็นสุขเอย กรรมวิบากของศีล ๕ ในพระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าทรงตรัส ถึงผลของ การล่วงละเมิดศีลไว้ว่า๘๕ ผู้ที่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่ ๑ คือ ประพฤติปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์) ย่อมได้รับกรรมวิบาก ๕ สถาน ได้แก่.๑. ย่อมเกิดในนรก ๒. ย่อมเกิดในกาเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ๓. ย่อมเกิดในกาเนิดเปตวิสัย (แดนแห่งเปรต) ๔. ย่อมเป็นผู้มีอวัยวะพิการ ๕. โทษเบาที่สุด หากเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นผู้มีอายุสั้น ผู้ที่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่ ๒ คือ ประพฤติ อทินนาทาน (ถือเอา สิ่ ง ของที่ เ จ้ า ของไม่ ไ ด้ ใ ห้ ด้ ว ยอาการแห่ ง ขโมย/ลั ก ทรั พ ย์ ) ย่ อ มได้ รั บ กรรมวิบาก ๕ สถาน ได้แก่.๘๕ ๓๐๑. ดูเทียบใน องฺ.ปญฺจ. (บาลี) ๒๓/๑๓๐/๒๕๑, องฺ.ปญฺจ. (ไทย) ๒๓/๔๐/ แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๔ ๑. ย่อมเกิดในนรก ๒. ย่อมเกิดในกาเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ๓. ย่อมเกิดในกาเนิดเปตวิสัย ๔. ย่อมเป็นผู้ยากจนเข็ญในไร้ที่พึง ๕. โทษเบาที่สุด หากเกิดเป็นมนุษย์ ทรัพย์ย่อมฉิบหาย ผู้ที่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่ ๓ คือ ประพฤติผิดในกาม ย่อมได้รับ กรรมวิบาก ๕ สถาน ได้แก่ ๑. ย่อมเกิดในนรก ๒. ย่อมเกิดในกาเนิดสัตว์เดรัจฉาน ๓. ย่อมเกิดในกาเนิดเปตวิสัย ๔. ย่อมเป็นผู้มีร่างกายทุพลภาพ ขี้เร่ มากไปด้วยโรค ๕. โทษเบาที่สุด หากเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นผู้มีศัตรูรอบด้าน ผู้ที่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่ ๔ คือประพฤติมุสาวาท พูดเท็จ ย่อม ได้รับกรรมวิบาก ๕ สถาน ได้แก่.๑. ย่อมเกิดในนรก ๒. ย่อมเกิดในกาเนิดสัตว์เดรัจฉาน ๓. ย่อมเกิดในกาเนิดเปตวิสัย ๔. ย่อมเป็นผู้มีวาจาไม่เป็นที่เชื่อถือ มีกลิ่นปากเหม็นจัด ๕. โทษเบาที่สุด หากเกิดเป็นมนุษย์ จะถูกกล่าวตู่อยู่เสมอ ผู้ที่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่ ๕ สุ ราเมรยมั ชชปมาทัฏ ฐานนา คื อ ผู้ดื่มสุราเมรัย ย่อมได้รับกรรมวิบาก ๕ สถาน ได้แก่.๑. ย่อมเกิดในนรก ๒. ย่อมเกิดในกาเนิดสัตว์เดรัจฉาน ๓. ย่อมเกิดในเปตวิสัย ๔. ย่อมเป็นผู้มีสติไม่สมประกอบ ๕. โทษเบาที่สุด หากเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นบ้า แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๕ อานิสงส์แห่งการรักษาศีล ๕ สิกขาบทที่ ๑ ย่อมได้รับอานิสงส์ ๗ ประการ ได้แก่.๑. มีร่างกายสมส่วน ไม่พิการ ๒. เป็นคนแกล้วกล้าว่องไว มีกาลังมาก ๓. ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ไม่เศร้าหมอง ๔. เป็นคนอ่อนโยน มีวาจาไพเราะ เป็นเสน่ห์แก่คนทั้งหลาย ๕. ศัตรูทาร้ายไม่ได้ ไม่ถูกฆ่าตาย ๖. มีโรคภัยเบียดเบียนน้อย ๗. ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน สิกขาบทที่ ๒ ย่อมได้รับอานิสงส์โดยย่อ ๗ ประการ ได้แก่ ๑.ย่อมมีทรัพย์สมบัติมาก ๒.แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรมได้โดยง่าย ๓. โภคทรัพย์ที่หามาได้แล้วย่อมมั่นคงถาวร ๔. สมบัติไม่ฉิบหายเพราะโจรภัย อัคคีภัย และอุทกภัย เป็นต้น ๕. ย่อมได้รับอริยทรัพย์ ๖. ย่อมไม่ได้ยินและรู้จักคาว่า "ไม่มี" ๗.อยู่ที่ไหนก็ย่อมเป็นสุข เพราะไม่มีใครเบียดเบียน สิกขาบทที่ ๓ ย่อมมีอานิสงส์โดยย่อ ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไม่มีศัตรูเบียดเบียน ๒. เป็นที่รักของคนทั้งหลาย ๓. มีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ ๔. ไม่ต้องเกิดเป็นหญิงหรือเป็นกระเทยอีก ๕. เป็นผู้สง่า มีอานาจมาก ๖. มีอินทรีย์ ๕ บริบูรณ์ ๗. มีความสุข ไม่ต้องทางานหนัก แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๖ สิกขาบทที่ ๔ คือ ย่อมมีอานิสงส์โดยย่อ ๗ ประการ ได้แก่ ๑. มีอินทรีย์ ๕ ผ่องใส ๒. มีวาจาไพเราะ มีไรฟันสม่าเสมอเป็นระเบียบดี ๓. มีร่างกายสมส่วนบริบูรณ์ ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ๔. มีกลิ่นปากหอมเหมือนกลิ่นดอกบัว ๕. มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เชื่อถือของคนทั่วไป ๖. ไม่เป็นอ่าง ไม่เป็นใบ้ ๗. มีริมฝีปากแดงระเรื่อและบาง สิกขาบทที่ ๕ มีอานิสงส์โดยย่อ ๖ ประการ ได้แก่ ๑. รู้จักอดีต อนาคต ปัจจุบันได้รวดเร็ว ๒. มีสติตั้งมั่นทุกเมื่อ ๓.มีความรู้ มีปัญญามาก ๔. ไม่บ้า ไม่ใบ้ ไม่มัวเมาหลงใหล ๕. มีวาจาไพเราะ มีน้าคาเป็นที่น่าเชื่อถือ ๖. มีความซื่อสัตย์ สุจริตทั้งกาย วาจา ใจ นักปฏิบัติพึงรักษาศีลให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ เมื่อรักษาได้ดีแล้วศีลจักนา ความสุขมาให้ ดังบาลีว่า สีเลน สุขฺคตึ ยนฺติ ส่วนการรักษาศีลที่จะนาพระ ๘๖ นิพพานมาให้นั้น ต้องรักษาศีลปรมัตถ์ หมายถึง สังวรศีล ๕ ประการ ดังนี้ ศีลปรมัตถ์ การรักษาศีลโดยปรมัตถ์ เพื่อให้เกิดพระนิพพาน ดังบาลีว่า สีเลน นิพพฺ ุตึ ยนฺติ ศีลนาพระนิพานมาให้ หมายถึง การเจริญสติเช่น ในขณะที่เรา กาหนดอยู่ “ขวาย่างหนอ” เราก็รู้สึกอาการเดิน ก็รู้ชัดอาการเดิน เป็นต้น ๘๖ สังวร ๕ อย่าง คือ ปาฏิโมกขสังวร สติสังวร ขันติสังวร วิริยสังวร และ ญาณสังวร ดูใน พระพุทธโฆษาจารย์, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๑๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๗ สติสังวรศีล “สติสังวรศีล” คือการสารวมระวังด้วยสติ พระพุทธโฆษาจารย์ได้ กล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า การสารวมระวังชื่อว่าศีล ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติต้อง มีสติ ด้วยการระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่ว่า จะย่างก้าวไปไหน ให้กาหนดสติอยู่ ตลอดเวลา “ขวาย่างหนอ” “ซ้ายย่างหนอ”หรือ “ยกหนอ” “ตักหนอ” “คิ ด หนอ” “เห็ น หนอ” “ได้ ยิ น หนอ” เป็ น ต้ น ผู้ ป ฏิ บั ติ ก็ จ ะมี ส ติ อ ยู่ ตลอดเวลา จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รักษาศีล ด้วยความมีสติเป็นปกติ หรือแม้ใน ขณะที่ผู้ปฏิบัติเสวยทุกขเวทนาอยู่ เช่น “ปวดหนอ” “เจ็บหนอ” “ชาหนอ” ต้องพยายามกาหนดสติให้เป็นปกติอยู่ตลอดเวลา แม้เกิดความไม่พอใจขึ้น ต้องกาหนดว่า “ไม่พอใจหนอ” จึงจะขึ้นชื่อว่ารักษาศีลด้วยสติ คือ สติสังวร ขันติสังวรศีล ขันติ คือ ความอดทน ความอดกลั้น อด ในสิ่งที่ชอบ คือ นักปฏิบัติธรรมต้องอดในการชอบความ เป็นอยูท่ ี่สบายของตน ไม่ปล่อยกาย ไม่ปล่อยใจ ไม่ทาตามใจตนเอง ทน ในสิ่งที่ไม่ชอบ คือ นักปฏิบัติต้องทนในการเดินหรือนั่งนานๆ ทนในการการกาหนดซ้าๆ ไม่ลุอานาจแห่งความอยากของตนเอง ความอดทน จึงหมายถึง อดทนต่อสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ ความอดกลั้น หมายถึง อดกลั้นต่อความรู้สึกต่างๆ เช่น ความ เจ็บใจ ความทุกข์ใจ หรือ ความทรมารจิตใจ ขันติสังวรศีล คือ ความเป็นปกติในการอดทนต่อการปฏิบัติธรรม หมายถึง ความอดทนในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง อากาศร้อน อากาศ หนาว ฝนตก ความอดทนในสภาพสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวเรา ทั้ง พอใจ และไม่พอใจ มีความอดทนในการยืน การเดิน การนั่ง การกาหนด อดกลั้น ต่อทุกขเวทนา ต่อความเจ็บใจที่เกิดขึ้น ก็เรียกว่ามี “ขันติสังวรศีล” แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๘ ขันติอยู่ที่ใด ในชาดกมีเรื่องราวที่เน้นหลักขันติดังกล่าว อาทิ ขันติวาทีชาดก๘๗ ซึ่งเป็นเรื่องของดาบสชื่อขันติวาทีซึ่งถูกพระราชาทาทารุณกรรม พระราชา นั้ น ไม่ พ อใจที่ น างสนมพากั น ไปสนทนากั บ ดาบสในอุ ท ยาน จึ ง ต้ อ งการ ทดสอบว่าดาบสผู้นี้จะมีขันติสมชื่อหรือไม่ สิ่งที่พระราชาทากับดาบสผู้นี้ก็คือ ตัดมือ เท้า ใบหู และจมูก แต่ไม่ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด ขันติวาทีมิไ ด้โกรธ แค้ น หรื อ มี จิต ประทุ ษ ร้า ยพระราชาแม้แ ต่ น้อ ย กลั บ ให้อ ภั ยและอวยพร พระราชาว่า “พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า ใบหู และจมูกของ ข้า พเจ้ า ขอให้พ ระราชาพระองค์ นั้ นจงมี พ ระชนมายุ ยิ่ง ยื นนาน บัณ ฑิ ต ทั้งหลายเช่นอาตมาไม่โกรธเคืองเลย” นักปฏิบัติธรรมจึงจาต้องอดทนกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาเสมือนว่าเป็น บททดสอบจิตใจของตนให้เข้มแข็ง มีสติ ทั้งสภาพธรรมภายนอก ที่เป็นรูป เสียง กลิ่น รส ต่างๆ ทั้งที่เป็นสภาพธรรมภายใน มีกิเลสนิวรณ์ เป็นต้น หรือ ทุกขเวทนาที่แรงกล้า เพื่อทดสอบจิตใจที่จะตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ วิริยสังวรศีล วิริยสังวรศีล คือ ความปกติในการตามกาหนดรู้ด้วยความเพียร ความขยัน ความเอาใจใส่ ความไม่ทอดธุระในระหว่าง ขณะที่เรากาหนด “พองหนอ ยุ บ หนอ” ใจเกิ ด คิ ด ขึ้ น มา พึ ง รี บ ก าหนดว่า “คิ ด หนอ ๆๆ” “นึกหนอ ๆๆ” หรือ “ฟุ้งซ่านหนอ ๆๆ” พอกาหนดความคิดความนึก ความ ฟุ้งซ่านดับไป เกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกก็ให้กาหนดว่า “ปวดหนอ เจ็บ หนอๆๆ” พอเจ็บยังไม่หายแล้วมีเสียงมาแทรกก็กาหนดว่า “ได้ยินหนอ ๆๆ” เกิดเห็นภาพขึ้นมาก็กาหนดว่า “เห็นหนอ ๆๆ” เราเพียรกาหนดตามฐานทั้ง ๔ หรือตามอารมณ์ที่กาลังปรากฏชัดนี้ ชื่อว่ามีศีลด้วยความเพียรคือ “วิริย สังวรศีล” มีศีลด้วยการมีความเพียร เพียรที่จะกาหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ๘๗ ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑๗๑/๔๙/๒๐๘, ขุ,ธ.อ. (ไทย) ๓/๒/๖๑๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๗๙ ญาณสังวรศีล ขณะที่มีความเพียรกาหนดรู้อยู่ตลอดเวลา เราจะสามารถรู้ได้ว่า สภาวธณรรมเหล่านั้นมีอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เช่น กาหนด “พองหนอ ยุบหนอ” จากพองกลายเป็นยุบ จากยุบกลายเป็นพอง พอเห็นก็กาหนดได้ เท่าทันว่า “เห็นหนอ” เห็นก็ดับไป พอคิดก็กาหนดว่า “คิดหนอๆ” ความคิด ก็ดับไป เรียกว่าปัญญาที่เกิดขึ้นจากการกาหนดรู้ คือ รู้ว่าพอง รู้ว่ายุบ เป็น อย่างไร ซึ่ง เมื่อ ก่อนเราไม่ได้ เจริญสติ เราก็ไม่รู้ เลยว่าท้องมีอาการพองมี อาการยุบ พอเราเจริญสติ กาหนดรู้ชัด เราจะเห็นอาการต่างๆ ของท้องที่ พองที่ ยุบเหล่านี้ ตามความเป็น จริง ปัญญาที่เ กิดขึ้น ที่นี้ก็ เรียกว่า “ญาณ สังวรศีล ” คื อเห็ นอาการต่า งๆ ตามความเป็ นจริง เนื่อ งจากเห็ นสภาวะ ลักษณะความเคลื่อนไหวของรูป ไม่ใช่ติดเพียงแค่บัญญัติ คือ สัณฐานท้อง สภาวะในขณะยืน คือ ลักษณะของรูปนามตามความเป็นจริง เรา จะรู้สกึ ได้ว่าขาเริ่มแข็งขึ้นๆ รู้สึกเกร็งขึ้นๆ เป็นต้น หรืออาจจะรู้สึกถึงความ นุ่มที่ฝ่าเท้าของเราเป็นต้น เรียกว่ารู้ลักษณะของรูปนามตามความเป็ นจริง เวลาความปวดเกิดขึ้น “ปวดหนอๆ” เราพยายามกาหนดเรื่อยไป มีขันติ สังวรศีล จะสามารถเห็นอาการต่างๆ ตามความเป็นจริงของเวทนาได้ ซึ่ง มี ความเจ็บ มีความร้อน มีความอ่อน มีความแข็ง เรียกว่า ลักษณะของรูปนาม นักปฏิบัติธรรมไม่ควรติดเพียงแค่คาบัญ ญัติคือคาว่าปวด เพราะ ปั ญ ญาที่ ก าหนดจะพั ฒ นาเข้ า ไปรู้ ใ นสิ่ ง ที่ เ ป็ น ปรมั ต ถ์ ม ากขึ้ น เรี ย กว่ า รู้ อารมณ์ปรมัตถ์ เห็นอารมณ์ปรมัตถ์ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา จากเย็นเป็นร้อน จากร้อนเป็นแข็ง จากแข็งเป็นปวด เป็นชา จากชาเป็นเหน็บ จากปวดมาก เป็นปวดน้อย ในความรู้สึกจะมีแข็งมากแข็งน้อยเป็นต้น เป็นตึ งเป็นหย่อน นักปฏิบัติธรรมจะเห็นในสภาวธรรมนี้ได้ ฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมต้องพยายาม ที่จะกาหนดสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการยืน การเดิน การนั่ง การนอน การคู้เข้าเหยียดออก ก้มเงย หันซ้ายแลขวา กาหนดตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับไป ชื่อว่ามีศีลที่บริบูรณ์ ในที่สุดจะสามารถเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๐ การสารวมอินทรีย๘๘ ์ อินทรีย คืออะไร อินทรีย์ คือสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ ความเป็น ใหญ่ของสภาพธรรม คือ เหนือการควบคุม เป็นสภาพธรรมที่ เหนือบุคคล สัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา ทั้งปวง จึงชื่อว่า อินทรีย์ธรรม เช่น เป็นใหญ่ใน การเห็น คือ ตา เป็นใหญ่ในการได้ยิน คือ หู เป็นใหญ่ในการได้กลิ่น คือ จมูก เป็นใหญ่ในการลิ้มรส คือ ลิ้น เป็นใหญ่ในการสัมผัสคือ กาย เป็น ใหญ่ในการรับรู้คือจิตใจ สังวร คือความสารวมหรือความระวัง พระพุทธองค์ทรงตรัสถึง การสารวมไว้ ดังปรากฏข้อความว่า๘๙ “ภิกษุในธรรมวินัยนี้เห็นรูปทางตา แล้ว ไม่ยินดีในรูปที่น่ารัก ไม่ยินร้ายในรูปที่ ไม่น่ารัก เป็นผู้ตั้งมั่นกายคตา สติ มีอัปปมาณจิตอยู่ และรู้ชัดเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติตามความเป็น จริง อันเป็นที่ดับไปโดยไม่เหลือแห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้ นที่เกิดขึ้น แล้วแก่เธอ ฯลฯ ลิ้มรสทางลิ้น ฯลฯ รู้ แจ้งธรรมารมณ์ทางใจแล้ว ไม่ยินดีใน ธรรมารมณ์ที่น่ารัก ไม่ยินร้ายในธรรมารมณ์ที่ไม่น่ารัก เป็นผู้ตั้งมั่นกายคตา สติ มีอัปปมาณจิตอยู่ และรู้ชัดเจโตวิมุตติและปัญ ญาวิมุตติตามความเป็น จริง อันเป็นที่ดับไปโดยไม่เหลือแห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นที่เกิดขึ้น แล้วแก่เธอ อินทรียสังวร คือ การสารวมตา สารวมหู สารวมจมูก สารวม ลิ้น สารวมกายและการสารวมใจนั่นเอง เมื่อสารวมแล้วการเห็นรูปเป็นต้น ย่อมไม่เกิดความรู้สึกยินดีพอใจในรูปหรือการเห็นนั้นๆ มีสติตั้งมั่นรู้สึกตัว อยู่ จึ ง สามารถล่ว งพ้น จากความยึด ถือรูป ล่ว งพ้น จากบ่ว งของมารไปได้ อุปมาเหมื อนหยาดน้ าบนใบบั วย่อ มไม่ติ ดใบบัวฉั นใด อารมณ์ท างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเข้ามาจิตใจย่อมไม่ยึดติดฉันนั้น ๘๘ ๘๙ อภิ.สงฺ. (บาลี) ๓๔/๘๖๓/๓๓๔, อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๓๕๔/๓๓๘. สงฺ.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๓๐/๒๓๐, สงฺ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๓๑/๒๔๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๑ หากผู้ปฏิบัติธรรมขาดการสารวมระวัง กิเลสจะอาศัยเกิดขึ้นได้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น เมื่อตาเห็นรูปแล้วขาดสติในการกาหนด รู้ จึงทาให้รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นอะไร เป็นรูปสวยงาม รูป ผู้หญิงหรือรูปผู้ชาย เป็นรูปที่น่ารักน่าใคร่น่าปรารถนา เป็นเหตุให้เกิดความยินดี ผูกพัน ยึดติดใน รูปนั้นๆ และเกิดการแสวงหาอยากให้เกิดขึ้นในคลองแห่งจักษุอีก เพราะจิต เกิดจากความรู้สึกอยากเห็นอีก ความโลภคือกิเลสก็อาศัยเกิดขึ้น๙๐ ในทางตรงข้ ามเมื่อ เห็ นรู ปแล้ วเกิด รู้สึ กไม่ ดี ไม่ช อบใจ ไม่ น่ า ปรารถนา แต่ยัง เห็น รูป นั้นอี ก จึ งรู้สึ กไม่ อยากเห็น เมื่อ เห็น จึง รู้ สึกโกรธ เรียกว่าโทสะก็อาศัยเกิดขึ้น ทั้งโลภะและโทสะทั้งสองที่เกิดขึ้นมาได้เพราะ เราขาดสติ ขาดการกาหนดรู้ ขาดการระลึกรู้ เรียกว่าความหลงหรือโมหะ นั่นเอง กิเลสจึงอาศัยเกิดได้ตลอดเวลาในขณะที่ตาเห็นรูป หูไ ด้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้ถูกกระทบสัมผัส และใจได้รับรู้ถึงอารมณ์ ทางใจ ที่ เ ป็ น เช่ น นั้ น เนื่ อ งจากจิ ต ใจของเรามี ค วามอยากรู้ อ ยากเห็ น ตลอดเวลา และอุปกรณ์ที่จะส่งความรู้ออกไปคืออายตนะหรืออินทรีย์ทั้ง ๖ ของตน ท่านจึงอุปมาอินทรีย์ทั้ง ๖ เปรียบเหมือนดังสัตว์ได้ ดังนี้ อุปมาอินทรีย์๙๑ ตา เหมือ น งู เพราะสายตาไม่ เคยอยู่นิ่ง (ยกเว้น ตอนหลับ ) คอยสอดส่ายไปมาตลอดเวลา หู เหมือน จระเข้ เพราะจระเข้ชอบอยู่ในวังวน น้าเย็น หูชอบ ฟังเสียงเย็นๆ เสียงอันไพเราะ จมูก เหมือน เหยี่ยว เพราะเหยี่ยวเมื่อเห็นเหยื่อจะเข้าไปจับได้ อย่างแม่นยา จมูกเมื่อได้กลิ่นก็จับกลิ่นได้ทันทีอย่างรู้ทันทีว่ากลิ่นของอะไร ๙๐ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๔๗/๓๗๘. สงฺ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๗/๑๘๕ อ้างใน พระโสภณมหาเถระ, มหาสติปัฎ ฐานสูตร ทางแห่งพระนิพพาน, หน้า ๒๘๔. ๙๑ แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๒ ลิ้น เหมือน สุนัขบ้าน เพราะชอบอาศัยอยู่ตามบ้าน บ้านไหนมี อาหารจะไปบ้านนั้น ลิ้นชอบรสชาติอร่อย ของอร่อยอยู่ที่ไหนจะไปกินที่นั่น กาย เหมือน สุนัขจิ้งจอก เพราะชอบกินศพในป่าช้าทาให้ร่างกาย อบอุน่ ร่างกายของมนุษย์เองก็ต้องอบอุ่นอยู่เสมอ ใจ เหมือน ลิง เพราะลิงไม่เคยอยู่นิ่ง ไปต้นไม้นั้นที ต้นโน้นที จิตก็ไม่เคยอยู่นิ่งคิดอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า “ในสมัยใด สัตว์ ๖ ชนิด ซึ่งมีวิสัย ต่างกัน มีโคจรต่างกัน มีที่อยู่ต่างกัน ต่างฝ่ายจะพยายามออกไป งูก็จะไป ด้วยการคิดว่า เราจักเข้าไปสู่จอมปลวก จระเข้ก็จะไปด้วยการคิดว่า เราจัก ลงน้า นกก็จะไปด้วยการคิดว่าเราจักบินขึ้นสู่อากาศ สุนัขบ้านก็จะไปด้วย การคิดว่า เราจักเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกก็จะไปด้วยการคิดว่า เราจักไปสู่ป่าช้า ลิงก็จะไปด้วยการคิดว่า เราจักเข้าไปสู่ป่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล สัตว์ ๖ ชนิดเหล่านั้น ต่างก็จะไปตามวิสัยของตนๆ พึงลาบาก เมื่อนั้น บรรดาสัตว์ เหล่านั้น สัตว์ใดมีกาลังมากกว่าสัตว์ทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นพึงอนุวัตรคล้อย ตามไปสู่อานาจแห่งสัตว์นั้น แม้ฉันใด นักปฏิบัติที่ไม่ได้อบรมจิต ไม่กระทาให้มากซึ่งกายคตาสติก็ฉันนั้น เหมือนกัน จักษุย่อมฉุดท่านนั้นไปในรูปอันเป็นที่พอใจ รูปอันไม่เป็นที่พอใจ ย่ อ มเป็ น ของปฏิ กู ล ฯลฯ ใจย่ อ มฉุ ด ไปในธรรมารมณ์ อั น เป็ น ที่ พ อใจ ธรรมารมณ์อันไม่เป็นที่พอใจ ย่อมเป็นของปฏิกูล กิเลสจึงเกิดขึ้น ” ดังเรื่อง ภิกษุหนุ่มกับนางสิริมา๙๒ หากนักปฏิบัติธรรมขาดการกาหนดระลึกรู้สึกตัว จิตจะถูกส่งออก นอกกาย (รู้แต่คนอื่น เพ่งโทษผู้อื่น) ออกจากการมีสติรู้ (ถึงจะรู้ก็รู้แบบหลง รู้ หลงเห็ น เป็น ต้ น ) ออกจากการก าหนดรู้ (ขาดการบริก รรมในจิ ตใจ) ดังนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมจักต้องเป็นผู้สารวมอายตนะของตนๆ ให้อยู่กับกายของ ๙๒ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๔๗/๗๗, ขุ.ธ.อ (ไทย) ๑/๒/๑๕๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๓ ตนเองให้มากที่สุด โดยรวมอายตนะทั้ง ๖ ให้อยู่กับกายเหมือนจับมัดไว้กับ เสาหลัก ดังที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสแนะนาว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุรุษจับสัตว์ ๖ ชนิดซึ่ง มีที่อยู่ต่างกัน มีที่หากิน ต่ า งกั น แล้ ว ผู ก ด้ ว ยเชื อ กที่ เ หนี ย ว คื อ จั บ งู แ ล้ ว ผู ก ด้ ว ยเชื อ กที่ เ หนี ย ว จั บ จระเข้ แ ล้ ว ผู ก ด้ ว ยเชื อ กที่ เ หนี ย ว จั บ นกแล้ ว ผู ก ด้ ว ยเชื อ กที่ เ หนี ย ว จับสุนัขแล้วผูกด้วยเชือกที่เหนียวจับสุนัขจิ้งจอกแล้วผูกด้วยเชือกที่เหนียว จับลิงแล้วผูกด้วยเชือกที่เหนียว แล้วผูกติดไว้ที่หลักหรือเสาอันมั่นคง ลาดับนั้น สัตว์ทั้ง ๖ ชนิดซึ่งมีที่อยู่ต่างกัน มีที่หากินต่างกัน เหล่านัน้ พึงดึงไปสู่ที่หากินและที่อยู่ของตน ๆ คือ งูดึงไปด้วยต้องการว่า “จักเข้าจอมปลวก” จระเข้ดึงไปด้วย ต้องการว่า “จักลงน้า” นกดึงไปด้วยต้องการว่า “จักบินขึ้นสู่อากาศ” สุนัขดึงไปด้วย ต้องการว่า “จักเข้าบ้าน” สุนัขจิ้งจอกดึงไปด้วยต้องการว่า “จักเข้าป่าช้า”ลิงดึงไปด้วย ต้องการว่า “จักเข้าป่า” เมื่อ ใดสัต ว์ทั้ ง ๖ ชนิ ดนั้ นต่ างก็จ ะไปตามใจของตน พึง ลาบาก เมือ่ นั้นสัตว์เหล่านั้นพึงยืนพิง นั่งพิง นอนพิงหลักหรือเสานั้น แม้ฉันใด ข้อนี้ ก็ฉันนัน้ เหมือนกันกายคตาสติที่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเจริญ ทาให้มากแล้ว ตาย่อมไม่ฉุดภิกษุนั้นไปในรูปที่น่าพอใจ รูปที่ไม่น่าพอใจ ย่อมไม่ น่าเกลียด ฯลฯ ลิ้นย่อมไม่ฉุด ฯลฯ ใจย่อมไม่ฉุดภิ กษุนั้นไปในธรรมารมณ์ที่น่าพอใจ ธรรมารมณ์ที่ ไม่น่าพอใจ ย่อมไม่น่าเกลียด ภิกษุทั้งหลาย ความสารวมเป็นอย่างนี้แล”๙๓ ๙๓ ส.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๔๖/๒๔๕, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๗/๒๖๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๔ คาว่า หลักหรือเสาอันมั่นคง นี้เป็นชื่อของกายคตาสติ เพราะ เหตุนั้น เธอทั้ง หลายพึงสาเหนียกอย่างนี้ว่า “กายคตาสติเราทั้ง หลายจั ก เจริญ ทาให้มาก ทาให้เป็นดุจยาน ท าให้เป็นที่ตั้ ง ตั้ง ไว้เนืองๆ สั่ง สมแล้ ว ปรารภเสมอดีแล้ว” “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงสาเหนียกอย่างนี้แล”๙๔ ผู้ปฏิบัติธรรมจึงควรสารวมอินทรีย์ของตนให้อยู่กับกายตนมาก ทีส่ ุดโดยการสารวมด้วยสติกาหนดอยู่ตลอดเวลาเช่น ยืนหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขยับหนอ หันหนอ แลหนอ พองหนอ ยุบหนอ ฯลฯ เวลาเห็น ให้กาหนดรู้ชัดว่า เห็นหนอ เวลาได้ยิ น กาหนดรู้ชัดว่า ได้ยินหนอ เวลาได้ กลิ่นให้กาหนดรู้ชัดว่า กลิ่นหนอ เวลารู้รสให้กาหนดรู้ชัดว่า รสหนอ เวลาถูก กระทบสัมผัส ให้กาหนดรู้ชัดตามอาการว่า เย็นหนอ ร้อนหนอ แข็งหนอ เป็นต้น หากกาหนดรู้ได้เช่นนี้ เรียกว่ากาหนดรู้แบบไม่หลงลืม ความยินดียิน ร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ย่อมเกิดขึ้นในจิตใจไม่ได้ เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ใน การกาหนดสติ จิตไม่หลุดลอยไปตามอารมณ์ที่เข้ามากระทบ กิเลสก็เกิดขึ้น ไม่ได้ ดังเช่น เรื่องพระจิตตคุตตเถระ เรื่องพระจิตตคุตตเถระ๙๕ ได้ยินว่า ในถ้าใหญ่กุรัณฑกะ ได้มีจิตกรรมเกี่ยวกับเรื่องเสด็จออก ทรงผนวช ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายถึง ๗ พระองค์ เป็นสิ่งที่หน้าจับใจ ภิกษุ เป็นจานวนมาก พากันเที่ยวจาริกชมเสนาสนะ มองเห็นจิตกรรมแล้ว เรียน พระเถระว่า “จิตรกรรมเป็นสิ่งที่หน้าจับใจมาก ขอรับ ” พระเถระพูดว่า “ท่านผู้ มีอายุ ทั้ง หลาย ฉั นอยู่ใ นถ้าเกินหกสิบปีม าแล้ว ไม่ท ราบดอกว่า มี จิตรกรรมหรือไม่มี อาศัยพวกเธอซึ่งมีตาจึงทราบในวันนี้เดี๋ยวนี้เอง”ได้ยินว่า ๙๔ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๗/๒๖๒. พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), เล่ม ๑ ภาคศีล ปริเฉทที่ ๑ สีลนิเทศ, หน้าที่ ๕๑ – ๕๕. ๙๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๕ พระเถระถึ ง จะอยู่ ตลอดกาลเท่ านั้ น ก็ ไม่ เคยลื ม ตาขึ้น มองดู ถ้ าเลย อนึ่ ง ตรงที่ปากถ้าของพระเถระนั้น ได้มีต้นกากะทิงใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แม้ต้นไม้นั้น พระเถระก็ไม่เคยมองขึ้นดูเลย ครั้นเห็นเกสรร่วงลงมาที่พื้นดินตามลาดับปี จึงทราบว่าต้นไม้นั้นบาน พระราชาทรงสดับคุณสมบัติของพระเถระแล้ว มีพระราชประสงค์ เพื่อจะทรงนมัสการ จึงได้ทรงส่งราชบุรุษไปนิมนต์ถึง ๓ ครั้ง ครั้นพระเถระ ไม่ม า จึง ทรงรับสั่ งให้ผูก ถัน ของสตรีผู้ มีลูก อ่อ นทั้ง หลายในบ้ านนั้ น แล้ ว ประทั บตราพระราชลัญ จกรไว้ ได้ มีพ ระราชโองการว่ า “ทารกทั้ง หลาย อย่าได้ดื่มน้านม ตลอดเวลาที่พระเถระยังไม่มา” พระเถระจึ ง ได้ ม าสู่ ห มู่ บ้ า นใหญ่ เพราะความเอ็ น ดู แ ก่ ท ารก ทั้ ง หลาย พระราชาทรงทราบแล้ ว ทรงรั บ สั่ ง ให้ พ าไปในพระราชวั ง ว่ า “พนาย พวกเธอจงพาพระเถระเข้าไป ฉันจักรับศีล ” ครั้นทรงนมัสการทรง ให้ฉั นเสร็จแล้ว ทรงมีพระราชดารัสว่ า “พระคุ ณเจ้ า วั นนี้ยั ง ไม่ มีโอกาส พรุ่งนี้หม่อมฉันจึงจักรับศีล” ครั้นแล้วทรงรับบาตรพระเถระ เสด็จตามส่งไป หน่อยหนึ่งแล้ว พร้อมด้วยพระราชเทวีทรงนมัสการแล้วเสด็จกลับ พระราชา จะทรงไหว้ก็ช่าง พระราชเทวีจะทรงไหว้ก็ช่าง พระเถระคงถวายพระพรว่า “ขอพระมหาราชาจงทรงเกษมสาราญเถิด” เป็นทานองนี้ล่วงไปถึง ๗ วัน พวกภิกษุจึงเรียนถามว่า “ท่านขอรับ เมื่อพระราชาทรงไหว้อยู่ก็ดี ทาไมท่าน จึงถวายพระพรเพียงอย่างเดียวว่า ขอพระมหาราชาทรงพระเกษมสาราญ เถิด” พระเถระตอบว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ฉันไม่ได้ทาความกาหนดแยก ว่า พระราชาหรือพระราชเทวี” โดยล่วงไปได้หนึ่งสัปดาห์ พระราชาทรงดาริ ว่า “การที่ พ ระเถระอยู่ ณ ที่ นี้ เป็ น ความล าบาก” จึ ง ทรงพระกรุ ณ า ปลดปล่อยไป พระเถระไปถึงถ้าใหญ่กุรัณฑกะ ได้ขึ้นสู่ที่จงกรมในส่วนแห่ง ราตรี เทวดาที่ สิ ง อยู่ ที่ ต้ น กากะทิ ง ได้ ยื น ถื อ ประที ป ตามให้ อ ยู่ ครั้ ง นั้ น กรรมฐานของท่านได้ปรากฏบริสุทธิ์ยิ่งนัก พระเถระดีใจว่า “วันนี้ทาไมหนอ กรรมฐานของเราจึงปรากฏชัดเสียเหลือเกิน”แล้วทาภูเขาให้สะเทือนสะท้าน ไปทั้งลูก ได้บรรลุพระอรหัตแล้วในลาดับแห่งมัชฌิมยาม แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๖ เพราะฉะนั้น แม้กุลบุตรอื่นๆ ผู้ใคร่ต่อประโยชน์ของตน ไม่พึงเป็น ผู้มีหน่วยตาลอกแลก เหมือนลิ งในป่า เหมือนมฤคาตกใจตื่นในวนา และ เหมื อ นทารกาอ่ อ นสะดุ้ งกลั ว พึ ง ทอดจั ก ษุ พึ ง แลดู ชั่ ว แอก อย่ า พึ ง ไปสู่ อานาจของจิตอันมีปกติหลุกหลิกเหมือนลิงในป่า ผู้ปฏิบัติธรรมจักต้องพึงระมัดระวังอินทรีย์ของตนเอง ด้วยการ สารวมระวังด้วยการกาหนดสติอยู่ตลอดเวลา เช่น เวลาเห็นให้กาหนดรู้ชัด ว่า เห็นหนอ เวลาได้ยิน กาหนดรู้ชัดว่า ได้ยินหนอ เวลาได้กลิ่นให้กาหนดรู้ ชัดว่า กลิ่นหนอ เวลารู้รสให้กาหนดรู้ชัดว่า รสหนอ เวลาถูกกระทบสัมผัสให้ กาหนดรู้ชัดตามอาการว่า เย็นหนอ ร้อนหนอ แข็งหนอ เป็นต้น เพราะสติ เป็นเหตุให้อินทรียสังวรสาเร็จ สติจักส่งผลถึงความพ้นทุกข์ได้ วิธีการสารวม (กุมโมปมสูตร)๙๖ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแนะนาถึงวิธีการสารวมอินทรีย์ไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้ง หลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีเต่าตัวหนึ่ง เที่ยวหากินอยู่ที่ริมฝั่ง แม่น้าน้อยแห่งหนึ่งในเวลาเย็น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งก็ได้เที่ยวหากินอยู่ ที่ริมฝั่ง แม่น้าน้อยแห่ง หนึ่งในเวลาเย็น เต่าได้แลเห็นสุนัขจิ้ง จอกซึ่ง เที่ยวหากินอยู่ แต่ ไ กลแล้ ว ก็ หดอวั ยวะ ๕ ทั้ งหั ว (หดขาทั้ง ๔ มี ค อเป็ น ที่ ๕) เข้ าอยู่ ใ น กระดองของตนเสีย มีความขวนขวายน้อย นิ่งอยู่ ดูกรภิกษุทั้ง หลาย ฝ่าย สุนัขจิ้ง จอกก็ไ ด้แลเห็นเต่าซึ่งเที่ยวหากินอยู่แต่ไ กลแล้ว เข้าไปหาเต่าถึง ที่ แล้วได้ยืนอยู่ใกล้เต่าด้วยคิดว่า เวลาใดเต่าตัวนี้จักเหยียดคอหรือขาข้างใด ข้างหนึ่ ง ออกมา เวลานั้น เราจั กงับมั นฟาดแล้วกัด กินเสี ย เวลาใด เต่าไม่ เหยียดคอหรือขาข้างใดข้างหนึ่งออกมา เวลานั้นสุนัขจิ้ง จอกก็หมดความ อาลัย ไม่ได้โอกาส จึงหลีกไปจากเต่าฉันใด ๙๖ สงฺ.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๒๐/๒๒๒, สงฺ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๐/๒๔๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๗ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารผู้ใจบาปอันท่านทั้งหลายเข้าใกล้อยู่เสมอๆ แล้วก็คิดว่า บางทีเราจะพึงได้โอกาสทางจักษุ หู จมูกลิ้น กายหรือใจของ ภิกษุเหล่านี้บ้าง เพราะฉันนั้นแล ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ ทั้ง หลายอยู่ เห็ น รูป ด้ ว ยจั ก ษุแ ล้ ว อย่า ถื อนิ มิ ต อย่ าถื อ อนุ พ ยัญ ชนะ จง ปฏิบัติเพื่อการสารวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สารวมแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้อกุศล ธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงานั้น ชื่อว่า รักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสารวมในจักขุนทรีย์ฟังเสียงด้วยหู... ดมกลิ่นด้วยจมูก... ลิ้ม รส ด้วยลิ้น... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว อย่าถือ นิมิต อย่าถืออนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสารวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สารวมแล้ว จะพึงเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงาได้นั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสารวมในมนินทรีย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวลาใด ท่านทั้งหลายจักเป็นผู้คุ้มครองทวารใน อินทรีย์ทั้งหลายอยู่ เวลานั้นมารผู้ใจบาปก็จักหมดความอาลัย ไม่ได้โอกาส หลีกจากท่านทั้งหลายไป ดุจสุนัขจิ้งจอกหมดความอาลัยหลีก หนีไปจากเต่า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ ภิกษุผู้มีใจตั้งมั่นในมโนวิ ตก อันตัณหามานะและทิฐิไ ม่อิง อาศัย ไม่เบียดเบียนผู้อื่นดับกิเลสได้แล้ว ไม่ติเตียนผู้ใดผู้หนึ่ง เหมือนเต่าหดคอและ ขาอยูใ่ นกระดองของตน ฉะนั้น ฯ” ดัง นั้น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องพยายามสารวมสายตาให้ทอดลงต่า ตลอดเวลา ไม่มองซ้ายมองขวา หน้าหรือหลัง สารวมหูไม่ส่งจิตออกไปทาง หู เมื่อได้ยินเสียง เมื่อได้กลิ่นต้องสารวมไม่ปล่อยจิตให้ออกไปปรุง แต่งกับ กลิ่น เมื่อได้ลิ้มรสต้องสารวมไม่ปล่อยจิตให้ปรุง แต่ง เพลิดเพลินไปตามรส เมื่อได้รับการกระทบสัมผัสต้องสารวมไม่ปล่อยจิตให้ไหลไปนอกกาย สารวม ใจไม่ส่งจิตออกนอกจากการกาหนดรู้ เมื่อรู้สึ กถึงอาการใดหรือความรู้สึกใด ต้องสารวมจิต ไม่ปล่อยจิตให้ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่รู้สึก แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๘ สติ การปฏิ บั ติ ธ รรมนั้ น สิ่ ง ส าคั ญ ที่ สุ ด คื อ การเจริ ญ สติ ใ ห้ บ ริ บู ร ณ์ เพราะการตรัสรู้ธรรมต้องอาศัยการเจริญสติ ๙๗ ดังนั้นสติจึงเป็นองค์ธรรมที่ สาคัญ ดังที่พระองค์ทรงตรัสในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า อาตาปี สมฺปชาโน สติมา แปลว่า มีความเพียร มีสัมปชัญญะ และมีสติ ดังนี้ “สติ” มีรูปวิเคราะห์ว่า สรติ จินฺเตตีติ สติ (กิริยาที่ระลึกได้) สร ธาตุในความหมายว่าคิด ระลึก ติ ปัจจัย ลบ ร ที่สุดธาตุ หรือ สรติ เอตายาติ สติ (ธรรมชาติเป็นเหตุให้ระลึกได้) สร+อ หรือ ปมาท สรติ หึสตีติ สติ (ธรรมชาติผู้เบียดเบียนความประมาท) สร ธาตุในความหมาย ว่าเบียดเบียน อ ปัจจัย ลบ ร ที่สุดธาตุ ๙๘ สาเร็จรูปศัพท์เป็นคาว่า สติ TP PT สติ แปลว่ า กิ ริ ย าที่ ร ะลึ ก ได้ ธรรมชาติ เ ป็ น เหตุ ใ ห้ ร ะลึ ก ได้ ธรรมชาติผู้เบียดเบียนความประมาทหรือความตามระลึก ความหวนระลึก กิริยาที่ระลึก ความทรงจา ความไม่เลื่อนลอย ความไม่หลงลืม ๙๙ หรือ ความรู้สึก ความรู้สึกตัว ความระลึกได้ ๑๐๐ สติ หมายถึง ความระลึกได้ นึกได้ สานึกอยู่ไม่เผลอ คือระลึกได้ ก่อนทา พูด คิด ก่อนขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่เผลอจากการระลึกรู้สึกตัว ตลอดเวลา ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย สัมมาสติเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิ จ ารณาเห็ น เวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ พิ จ ารณาเห็ น จิ ต ในจิ ต อยู่ ฯลฯ TP ๙๗ PT ดูใน อภิ.วิ.อ. (บาลี) ๗๗๐/๔๔๑ – ๔๔๓. พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเดโช ป.ธ.๙. ราชบัณฑิต), พจนานุกรม เพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด ศัพท์วิเคราะห์ เล่ม ๒, ( ม.ป.ท.), หน้า ๖๕๕. ๙๙ อภิ.สงฺ. (บาลี) ๓๔/๕๒/๒๙, อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๕๒/๓๖. ๑๐๐ พจนานุ ก รมฉบั บ ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ ๑, ( กรุงเทพมหานคร : นามมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖ ), หน้า ๑๑๑๕. ๙๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๘๙ พิ จ ารณาเห็ น ธรรมในธรรมอยู่ มี ค วามเพี ย ร มี สั ม ปชั ญ ญะ มี ส ติ ก าจั ด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ ในที่นี้มุ่ง หมาย การระลึกรู้สึกตัวในขณะที่เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้น ลักษณะของ คนมีสติต้องมีการระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ ชื่อว่ามีสติ ในขุททกนิกาย มหานิเทส ได้ให้คาจากัดความของคาว่า มีสติ ด้วยเหตุ ๔ อย่าง๑๐๑ คือ ๑. ชื่อว่ามีสติ เมื่อเจริญสติปัฏฐานพิจารณากายในกาย ๒. ชื่อว่ามีสติ เมื่อเจริญสติปัฏฐานพิจารณาเวทนาในเวทนา ทั้งหลาย ๓. ชื่อว่ามีสติ เมื่อเจริญสติปัฏฐานพิจารณาจิตในจิต ๔. ชื่อว่ามีสติเมื่อเจริญสติปัฏฐานพิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย มีสติด้วยเหตุอีก ๔ อย่าง คือ ๑. ชื่อว่ามีสติ เพราะเว้นจากความเป็นผู้ไม่มีสติ ๒. ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้กระทาสิ่ง ทั้งหลายที่ควรทาด้วยสติ (หมายความว่า นักปฏิบัติธรรมต้องมีสติกาหนดกิริยาอาการทุกๆ อย่าง) ๓. ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้กาจัดสิ่งทั้งหลายที่เป็นฝ่ายตรงข้าม กับสติ (หมายความว่า หากนักปฏิบัติธรรม มีความเผลอ ความหลงเกิดขึ้น จักต้องรีบกาหนดสติระลึกรู้ เพื่อละความเผลอ ความหลงนั้นๆ) ๔. ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้ไม่หลงลืมธรรมทั้งหลายที่เป็นมูลเหตุ แห่งสติ (นักปฏิบัติธรรมต้องมีสติอยู่กับกาย เวทนา จิต และธรรม) ๑๐๑ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๓/๑๒ – ๑๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๐ มีสติด้วยเหตุอีก ๔ อย่าง คือ ๑. ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสติ (หมายความว่า นักปฏิบัตธิ รรมต้องสามารถตามระลึกได้ในฐานทั้ง ๔) ๒. ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้ชานาญในสติ (หมายความว่า แม้ เวทนาจะปรากฏอย่างรุนแรง นักปฏิบัติธรรมก็จะไม่ขาดการกาหนดสติ) ๓. ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้คล่องแคล่วในสติ (หมายความว่า หากมีอารมณ์แทรกเข้ามา นักปฏิบัติสามารถกาหนดสติรู้ได้ทันที) ๔. ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้ไม่หวนกลับจากสติ (หมายความว่า นักปฏิบัติธรรมจะไม่ขาดการกาหนดรู้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานใดๆ จะสามารถ กาหนดรู้ได้อย่างอัตโนมัติ) มีสติด้วยเหตุอีก ๔ อย่าง คือ ๑. ชื่อว่ามีสติ เพราะมีอยู่ตามปกติ (หมายความว่า นักปฏิบัติ ธรรมต้องมีการกาหนดรู้ตลอดเวลาให้เป็นปกติ) ๒. ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้สงบ (หมายความว่า นักปฏิบัติธรรม ต้องเป็นผู้สงบกาย สงบวาจา และ สงบใจ) คาว่า <ทุกเมื่อ> ในคาว่า <ภิกษุมีสติทุกเมื่อ พึง ศึกษาเพื่อ กาจัดตัณหาเหล่านั้น>ได้แก่ ทุกเมื่อ คือ ในกาลทั้งปวง ตลอดกาลทั้ง ปวง ตลอดกาลเป็นนิจ ตลอดกาลยั่งยืน ตลอดกาลต่อเนื่องกัน ตลอดกาลสืบเนื่อง ตลอดกาลติ ดต่ อกัน ตลอดกาล เป็นล าดั บ ตลอดกาลติ ดต่ อกัน เหมือ น ระลอกคลื่ น ตลอดกาลเป็ น ไปต่ อ เนื่ อ งไม่ ข าดสาย ตลอดกาลสื บ ต่ อ กั น กระชั้นชิด ตลอดกาลก่ อนภัต หลังภัต ตลอดปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิม ยาม ตลอดข้างแรม ข้างขึ้น ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อนตลอดปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย๑๐๒ ๑๐๒ ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๕๑/๔๑๔.-๔๑๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๑ คุณสมบัติของสติ พระโสภณมหาเถระได้อธิบายถึงสติว่ามี ๔ ลักษณะด้วยกัน๑๐๓ อภิลาปนลกฺขณา สติ คือต้องรู้แบบไม่เลื่อนลอย เป็นลักษณะ คือต้องรู้ชัดตามฐาน ๔ ดังที่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า “ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา ตถา น ปชานาติ” กายของภิกษุดารงอยู่โดยอาการใดๆ ก็กาหนดรู้กายนั้นโดยอาการนั้นๆ ๑๐๔ พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวเสริมว่า การรู้ชัดไม่ใช่การรู้เ ฉยๆ เพราะสุนัข บ้า นมั นเดิน ยัง รู้ว่ ามั น เดิน ฉะนั้ น ผู้ป ฏิบั ติธ รรมต้ องรู้ใ ห้ชั ดเจน คื อ รู้ใ น ลักษณะอาการของเท้าที่เคลื่อนไปตั้งแต่ การยกเท้า การยื่นเท้าไปข้างหน้า การวางเท้า การสัมผัสพื้น เป็นต้น การรู้ชัดในหมวดกาย นักปฏิบัติธรรมต้องมีสติรู้ชัดในการยืน คือ ต้องมีสติรู้ว่าเท้ายืนอยู่ บนพื้นอย่างไร ต้องมีสติรู้ขาตั้งอย่างไร ต้องมีสติรู้กายอยู่อย่างไร ต้องมีสติรู้ชัดในการเดิน คือ ต้องรู้ว่าเท้าเหยียบพื้นอย่างไร ต้องมี สติรู้เท้ายก ต้องมีสติรู้เท้าย่าง ต้องมีสติรู้เท้าลงพื้น ต้องมีสติรู้ถูกพื้นอย่างไร ต้องมีสติรู้ชัดในการนั่ง คือ ต้องมีสติรู้ก้นสัมผัสพื้น ต้องมีสติรู้กาย ส่วนบนตัง้ ตรง ต้องมีสติรู้กายส่วนล่างพับกันอย่างไร ต้องมีสติรู้ชัดในการนอน คือ ต้องมีสติรู้หลังสัมผัสที่นอนหรือพื้น ต้องมีสติรศู้ รีษะ แขน ลาตัว ขา อาการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกาย การรู้ชัดในหมวดเวทนา นักปฏิบตั ิธรรมต้องมีสติระลึกรู้ชัดในการเสวยสุข ทั้งที่เกิดจากสิ่ง ที่ทาให้เกิดขึ้น คือ อารมณ์ต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน ที่เรียกว่าสิ่ง เร้า ๑๐๓ ๑๐๔ พระโสภณมหาเถระ, โพชฌงค์ ๗ เฉพาะหมวดสติ ,๒๕๕๔, หน้า ๑๙. ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๕/๓๗๒, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๒ หรือสิ่ง กระตุ้นทาให้เกิดความรู้สึก เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกโล่ง เบา หรือปลอดโปร่ง สุข สบาย ชอบใจ พอใจ เย็นใจ ต้ อ งมี สติ รู้ ชั ด ในการเสวยทุ ก ข์ ท างกาย ที่ เ กิ ด จากมี สิ่ ง ที่ ท าให้ เกิดขึ้น อาการที่ปรากฏทุกข์ทางกายเป็นอย่างไร ชาเหน็บ เจ็บ ปวด ต้องมีสติรู้ชัดในการเสวยทุกข์ทางใจ ทรมาน ดิ้นรน กวัดแกว่ง ต้องมีสติรู้ชัดในการเสวยอารมณ์เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ นิ่งๆ ว่างๆ การรู้ชัดในหมวดจิต นักปฏิบัติธรรมต้องมีสติ รู้ชัดจิต ที่มีความโลภ จิตที่มีความโกรธ จิตที่มีค วามหลง จิตที่มี หรือไม่มี จิตที่มีร าคะ จิตที่มี โทสะ จิตที่ มีโมหะ จิตที่ตั้งมั่นหรือจิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้นหรือยัง ไม่หลุดพ้น ให้รู้ชัดว่าจิตมี ลักษณะอาการ กิริยา ของจิตนั้นๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอย่างไร เพียงแค่ รู้เท่านั้น ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือพัวพันทั้งอาการและความรู้สึกของจิตนั้นๆ การรู้ชัดในหมวดธรรม นักปฏิ บัติธ รรมต้องมีสติ รู้ ชัดถึ ง ขัน ธ์ ๕ อายตนะ นิว รณ์ ๕ คื อ ความพอใจหรือ ความไม่พอใจ ความง่วงซึม ความคิดฟุ้ ง ซ่าน ความลัง เล สงสัย ที่เกิดขึ้น ทั้งโพชฌงค์ องค์แห่งการตรัสรู้ เป็นธรรมที่อาศัยกันเกิด ระหว่างรูปและนามเท่านั้น (ปฏิจจสมุปบาท) สภาพธรรมเหล่านั้นไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อสมฺโมหรสา สติมีการรู้แบบไม่หลงลืม เป็นหน้าที่ คือไม่หลงกาย ลืมใจ ว่าตอนนี้กายอยู่อย่างไร ใจเป็นอย่างไร กายเดินอยู่ต้องรู้ว่ากายเดินอยู่ ในขณะที่เดินอยู่ใจแอบออกไปคิดระลึกรู้ว่าใจแอบออกไปคิดด้วยการกาหนด อย่าปล่อยจิตให้คิดเพลินไปเหมือนนกบินไปไม่กลับรัง ดังเช่น สามเณรหลาน พระจักขุบาล ปล่อยใจไปตามเสียง ศีลเลยวิบัติ เพราะกิเลสครอบงาจิต๑๐๕ ๑๐๕ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๓ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตรัสไว้ในสฬายตนวรรคว่า ๑๐๖ “บุ คคลแทงโสติน ทรี ย์ด้ วยหลาวเหล็ กที่ ร้อ น ไฟติด ลุก โชน โชติช่ วงยั ง ประเสริฐกว่า ส่วนการถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในเสียงที่พึงรู้แจ้งทางหูนั้น ไม่ประเสริฐเลย วิญญาณที่ เนื่องด้ว ยความยิ นดีในนิมิ ตหรือความยินดีใ น อนุพยัญ ชนะเมื่อตั้งอยู่ พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลกระทากาลกิริยาในสมัยนั้ น เป็นไปได้ที่บุคคลนั้นจะพึงถึงคติอย่าง ๑ ใน ๒ อย่างคือ นรกหรือกาเนิด สัตว์ดิรัจฉาน เราเห็นโทษนี้แลจึงกล่าวอย่างนี้” นักปฏิบัติเช่นเดียวกันต้องพยายามคิดอย่างนี้ไว้ว่า หากปล่อยให้ กิเลสเข้ามาครอบงาจิตใจ เพราะขาดการกาหนด จะเหมือนกับมี หอกแทงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วั นละ ๓๐๐ เล่ม ผู้ปฏิบัติ ธรรมจึง ควรกาหนดสติอ ยู่ ตลอดเวลา เช่น เวลาเห็นให้กาหนดรู้ชัดว่า เห็นหนอ เวลาได้ยิน กาหนดรู้ชัด ว่า ได้ยินหนอ เวลาได้กลิ่นให้กาหนดรู้ชัดว่า กลิ่นหนอ เวลารู้รสให้กาหนดรู้ ชัดว่า รสหนอ เวลาถูกกระทบสัมผัสให้กาหนดรู้ ชัดตามอาการว่า เย็นหนอ ร้อนหนอ อ่อนหนอ แข็งหนอ เป็นต้น หากกาหนดรู้ได้เช่นนี้ เรียกว่ากาหนด รู้แบบ ไม่หลงลืม ความยินดียินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ย่อมเกิดขึ้น ในจิตใจไม่ไ ด้ เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในการกาหนดสติ ไม่หลงลืมกาย ไม่หลงลืมใจ รักษาจิตไม่หลุดลอยไปตามอารมณ์ที่เข้ามากระทบ กิเลสก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ อารกฺขปจฺจุปฏ นา สติมีการคุ้มครองใจ เป็นผล คือคุ้มครองใจ จากกิเลสนั่นเอง หากผู้ปฏิบัติธรรมขาดสติในการกาหนดระลึกรู้ กิเลสจะ อาศัยเกิดขึ้นตลอดเวลา คือ ความหลงยืน หลงเดิน หลงนั่ง หลงเห็น ฯลฯ ว่าเป็นเรายืน เราเดิน เรานั่ง เราเห็น เป็นต้น ฉะนั้น เมื่อเราเจริญสติกาหนด รู้ชัดอยู่ กิเลสจั กเข้า มาสู่จิต ใจไม่ไ ด้ เหมือนเรื่ องพระมหาติ สสเถระที่มีส ติ คุ้มครองใจ กิเลสไม่สามารถเข้ามาได้๑๐๗ ๑๐๖ สงฺ.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๐๔/๒๑๒, สงฺ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๓๕/๒๓๒. พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ), เล่ม ๒ ภาคสมาธิ ปริเฉทที่ ๘ อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ หน้าที่ ๗๖ – ๗๙” ๑๐๗ แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๔ พระมหาติสสเถระ มีเรื่องเล่าว่า หญิงสะใภ้แห่งตระกูลคนใดคนหนึ่ง ทะเลาะกั บสามี ตกแต่งและประดับกายเสียสวย ราวกะเทพกัญญา ออกจากอนุราธปุระแต่ เช้าตรู่ เดินไปสู่เรือนญาติ ในระหว่างทางได้พบพระมหาติสสเถระนั้น ผู้เดิน จากเจติ ย บรรพตมาสู่ อ นุ ร าธปุ ร ะ เพื่ อ เที่ ย วบิ ณ ฑบาต เกิ ด มี จิ ต วิ ป ลาส หัวเราะดั ง ขึ้น ฝ่ายพระเถระแลดูว่า นี่อะไร กลับได้อสุภสัญญาในฟันของ หญิงนั้น แล้วได้บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ (เป็นคาถา) ว่า พระเถระเห็นฟันของหญิงนั้นแล้วหวนระลึกถึงสัญญาเก่า ท่านยืน อยู่ในที่นั้นนั่นเอง ได้บรรลุ พระอรหัต ข้างฝ่ายสามีของนางเดินติดตามมา พบพระเถระเข้าจึง ถามว่า " ท่านผู้เจริญ ท่านเห็นหญิงบ้างหรือ?" พระเถระกล่าว (เป็นคาถา) กะเขาว่า ฉันไม่ทราบว่าหญิงหรือชายเดินไปจากที่นี้ แต่ว่าร่างกระดูกนั่นกาลังเดินไปในทางใหญ่ ผู้ป ฏิ บั ติ ธรรมจึ ง ควรคุ้ ม ครองจิ ต ใจของตนด้ว ยการกาหนดสติ ระลึกรู้อยูต่ ลอดเวลาคือการสารวมด้วยสติ เช่น เวลาเห็นให้กาหนดรู้ชัดว่า เห็นหนอ เวลาได้ยิน กาหนดรู้ชัดว่า ได้ยินหนอ เป็นต้น มิให้เลยไปเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ผู้หญิง ผู้ชาย สติที่เกิดขึ้นจากการกาหนดรู้จะเป็นเสมือนนายประตูคอยขัดขวาง มิให้ศัตรูเข้ามาทาร้ายพระราชาภายในพระราชวังได้ ย่อมคัดสรรบุคคลที่ควร เข้าไปเฝ้าพระราชา คนนี้เป็นเศรษฐี คหบดี ติดต่อราชการจึงอนุญาตให้เข้า ฉันใด สติก็เหมือนอย่างนั้นคอยคัดสรรสิ่งใดควรเสพ สิ่งใดไม่ควรเสพ สิ่งใด เป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล สติจะคอยขัดขวางอธรรมที่ เป็นอกุศลมิให้เข้า ไปสู่จิตใจตนได้ สิ่งใดเป็นธรรมเป็นกุศล สติจะปล่อยให้เข้าไปสู่จิตใจได้เพื่อ การพัฒนาให้ธรรมที่เป็นกุศลเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ฉันนั้น แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๕ กายาทิ สติป ฏ านปทฏฺ านา สตินั้น มีส ติปั ฏฐาน ๔ คื อ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเหตุใกล้ให้เกิด๑๐๘ โดยการกาหนดรู้ฐานกายให้มาก เพราะกายเป็นเป็นสิ่งหยาบสามารถกาหนดรู้ชัดได้ง่ายกว่าฐานอื่น ๆ เช่น กายยืน กาหนดรู้อาการของกายยืนว่า ยืนหนอ กายเดิน กาหนดรู้อาการ ของกายเดินว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ กายนั่ง กาหนดรู้อาการของกาย ทีน่ ั่งอยูว่ ่า นั่งหนอ กายนอน กาหนดรู้อาการของกายนอนว่า นอนหนอ เมื่อคู้แขนหรือขาเข้า กาหนดรู้อาการของแขนหรือขาที่เคลื่อนไปว่า คู้หนอ เคลื่อนหนอหรือไปหนอ เมื่อเหยียดแขนหรือขาออก กาหนดรู้อาการของ แขนหรือขาที่เคลื่อนไปว่า เหยียดหนอ เคลื่อนหนอหรือมาหนอ การก้ม การเงย การหันซ้าย การแลขวา สุข ทุกข์ เฉยๆ คิด นึก ฟุ้งซ่าน ราคะ โทสะ โมหะ การเห็น ได้ยิน ก็กาหนดไปตามของอาการนั้นๆ สติจึงจะเกิดขึ้นได้ ในคู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะ ๑๐๙ ได้กล่าวถึงเหตุใกล้ที่ทาให้เกิด สติเพิ่มเติมอีกว่า ถิรสญฺ าปทฏฺ านา สติมีการจดจาเป็นเหตุใกล้ให้เกิด นักปฏิบัติจึงต้องกาหนดรู้บ่อยๆ เช่น พองยุบก็ต้องกาหนดพองยุบอยู่บ่อยๆ จิตจึงจะจดจา เมื่อรู้อีกครั้งก็สามารถระลึกรู้ได้ทันที อุปมาเหมือนการเรียน หนังสือ กว่าที่เราจะอ่านออกเขียนได้และรู้ความหมายเราต้องพยายามท่อง ศั พ ท์ เ รี ย นรู้ บ่ อ ยๆ ตั้ ง แต่ ตั ว อั ก ษร ผสมค า ฝึ ก อ่ า นออกเสี ย ง อ่ า นในใจ เรียนรู้ความหมาย จึงสามารถจาได้ เมื่ อเห็นตัวอักษรอีกครั้ง จึงสามารถรู้ ตัวอักษรได้ หรือรู้ความหมายได้ทันที สภาวธรรมเฉกเช่นเดียวกัน นักปฏิบัติธรรมจึงจาเป็น ต้องกาหนดรู้ บ่อยๆ เพื่อทาให้จิตได้จดจาสภาวธรรมที่เกิดขึ้น เมื่อจิตสามารถจดจาสภาพ ธรรมได้ แ ล้ว เมื่อ สภาพธรรมนั้ น เกิ ด ขึ้น อี ก จิ ต จะสามารถระลึ ก ได้ ทั น ที จึงกล่าวว่าการจาบ่อยๆ เป็นสาเหตุที่ทาให้สตินั้นเกิดขึ้น ๑๐๘ ๑๐๙ ปรมัตถธรรม ๔, หน้า ๑๘๕. คู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๒ หน้า ๓๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๖ สัมปชัญญะ สัมปชัญญะคือ ความรู้ตัว ความรู้ชัด เข้าใจชัดตามความเป็นจริง รู้โดยประการต่างๆ แยกออกเป็น ๔ ศัพท์ คือ ส+ป+ชัญญะ+ปัพพะ ส แปลว่า พร้อม แปลว่า พร้อม ป แปลว่า ทั่ว แปลว่า ยิ่ง ชัญญะ แปลว่า รู้ แปลว่า เข้าใจ ได้แก่ปัญญา ปัพพะ แปลว่า ข้อ แปลว่า หมวด แปลว่า ตอน เมื่อต่อกันเข้าได้รูปเป็น สัมปชัญญปัพพะ แปลว่า หมวดที่ว่าด้วย การก าหนดรู้ทุก ๆ ขณะ หมายความว่า หมวดนี้ พระพุท ธองค์ทรงชี้แจง แสดงไขบอกถึงวิธีปฏิบัติไว้อย่างละเอียดละออชัดเจนแจ่มแจ้งมาก ถ้าปฏิบัติ ได้ตามนี้ กิเลสจะไม่มีโอกาสเข้ามาย่ายีโจมตีจิตใจได้เลยแม้แต่น้อย๑๑๐ พระพุทธองค์ทรงตรัสการปฏิบัติในหมวดสัมปชัญญะปัพพะว่า๑๑๑ ปุน จปร ภิกขฺ เว ภิกฺขุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี โหติ ภิกษุย่อมเป็นผู้ทาความเป็นผู้รู้ตัวทั่วพร้อมในการก้าวไปข้างหน้า และถอย กลับมาข้างหลัง อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้รู้สึกตัวในการแลไปข้างหน้า แลเหลียวไปข้างซ้าย ข้างขวา สมิญชฺ ิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้สึกตัวในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก ๑๑๐ พระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ), วิปัสสนากัมมัฏฐาน (มหา สติปัฎฐาน), สหธรรมิก จากัด, กรุงเทพ, ๒๕๓๒,หน้า ๒๑๑. ๑๑๑ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๓๔/๑๐๕, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๙/๑๐๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๗ สงฺฆาฏิ ปตฺต จีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้สึกตัวในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และวีจร อสิเต ปิเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้สึกตัวในการกิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม อุจจฺ ารปสฺสาว กมฺเม สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ คเต เต นิสินฺเน สุตฺเต ชาคริเต ภาสิเต ตุณหฺ ีภาเว สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้ สึกตัวในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และความเป็น ผู้รู้ตัวในการนิ่งอยู่ สัมปชัญญะจึงเป็นตัวปัญญาที่เข้าไปรู้อนิจจะลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตะลักษณะ เพราะเห็นแจ้งธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง ลักษณะของสัมปชัญญะ ในพระอภิธัมมัตถสังคหะแสดงลักษณะของสัมปชัญญะ ดังนี้๑๑๒ - มีการแทงตลอดสภาวธรรมเป็นลักษณะ คือ การแทงตลอด อริยสัจจ์ - มีการส่ องให้เห็ นสภาวของอารมณ์ตามความเป็ นจริง คื อ ย่อมสามารถหยั่งเห็นสภาวลักษณะของนามรูป - มีการไม่ลุ่มหลงเป็นผล คือ จิตย่อมไม่ยึดติดสภาพธรรมนั้นๆ - มีสมาธิอันมั่นคงเป็นเหตุใกล้ คือ มีการจดจ่อทุกๆ อาการและ ความรู้สึก ๑๑๒ วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี, คู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๒ ชื่อ เจตสิกสังคหวิภาค, หน้า ๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๘ สัมปชัญญะ ๔ ประเภท๑๑๓ สาตถกสัมปชัญญะ นั ก ปฏิ บั ติ ธ รรมควรพิ จ ารณาและรู้ ชั ด ว่ า การกระท าใดที่ มี ประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ในการปฏิบัติต่อความรู้สึกตัว เช่น - การคลุกคลีหรือไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ จะเป็นประโยชน์หรือ ไม่เป็นประโยชน์ต่อความรู้สึกตัว - การกินมากมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ต่อการรู้สึกตัว - การนอนมากเกินความจาเป็น มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ต่อ การรูส้ ึกตัว - การพูด การคุย การสนทนา หรือการงดพูดจะเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อความรู้สึกตัว สัปปายสัมปชัญญะ นักปฏิบัติธรรมควรพิจารณาและรู้ชัดว่า สิ่ง แวดล้อมเป็นสัปปายะ หรือไม่เป็นสัปปายะ หมายถึงอย่างไหนที่จะเป็นที่สบายต่อการรู้สึกตัว เช่น - อาหารมากหรือน้อยเกินไปเป็นที่สบายต่อความรู้สึกตัวหรือเปล่า - อาวาส ที่อ ยู่ ที่ป ฏิบั ติ มี ค นมากเกิน ไป เป็น ที่ส บายต่ อความ รูส้ ึกตัวหรือเปล่า - บุคคลกัลยาณมิตร ครูบ าอาจารย์ พระวิปัสสนาจารย์ ผู้รู้ หรื อ เพื่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อความรู้สึกตัวหรือไม่ - ธรรมะ เป็นหัวข้อธรรมที่เกี่ยวข้องและเอื้อเฟื้อกับการปฏิบัติหรือ เป็นที่สบายต่อความรู้สึกตัวหรือเปล่า ๑๑๓ ม.มู.อ. (ไทย) ๑๗/๑๓๕/๖๘๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๙๙ โคจรสัมปชัญญะ นักปฏิบัติธรรมควรกาหนดรู้ ที่โคจร (ของจิต) คือสติที่กาหนดรู้ กรรมฐาน หมายถึง กาย เวทนา จิต ธรรม ของตนและกาหนดรู้สถานที่ (จิต) ควรไปและไม่ควรไป ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาวรรคสังยุตต์ว่า๑๑๔ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปในหนทางที่บิดาของเธอ เคยเที่ยวไปเถิด ฯลฯ แม้พวกเธอก็จงอย่าเที่ยวไปในที่อโคจรที่ไม่เหมาะสม เลย เพราะถ้าเธอทาดังนั้น มารย่อมได้โอกาสที่จะครอบงาเธอได้... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่อันไม่เหมาะสมอันเป็นอโคจรของภิกษุคือ กามคุณ ๕ นั่นเอง อันได้แก่ รูปที่รับรู้ได้ด้วยตา เสียงที่รับรู้ได้ด้วยหู กลิ่นที่ รับรู้ได้ด้วยจมูก รสที่รับรู้ได้ด้วยลิ้น สิ่งที่มาถูกต้องที่รับรู้ได้ด้วยกาย ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย นี่เองที่เราเรียกว่าอโคจรอันเป็นแดนที่ไม่เหมาะสมของภิกษุ” เรานั้นเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยกลอุบาย ยินดีแล้วในที่อยู่เดิมของพ่อ เห็นอยู่ซึ่งประโยชน์ของตนจึงสามารถหนีพ้นจากศัตรูเบิกบานใจ” เพื่อให้นักปฏิบัติได้มีสติอยู่กับกรรมฐาน จึงใช้คาว่า ให้เที่ยวไปใน โคจรอันเป็นวิสัยแห่งบิดา หมายถึง สติปัฏฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และธรรมเท่านั้น จะก่อให้เกิดปัญญารู้เท่าทันอารมณ์ไม่ตกเป็นทาสกิเลส อสัมโมหสัมปชัญญะ นักปฏิบัติธรรมควรมีความรู้สึกตัวชัด ไม่หลงลืมในขณะทากิจใดๆ เช่น ในอิ ริย าบถทั้ งหลาย มี การก้ าวไปข้า งหน้า เป็ นต้ น พระอรรถกถา จารย์๑๑๕ จึงได้กล่าวถึงลักษณะของธาตุต่างๆ ในขณะยกเท้า การก้าวเท้าใน ระยะหนึ่งๆ สามารถแบ่งออกเป็น ๖ ส่วน ดังปรากฏข้อความว่า ๑๑๔ ส.ม. (บาลี) ๑๙/๖๙๘/๑๙๖., ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๗๒/๒๑๗. พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๑๔/๑๗๓ – ๑๗๔, ส.ม.อ. (บาลี) ๓/๓๖๔/๒๖๑., อภิ.วิ.อ. (บาลี) ๑/๕๑๓/๓๘๐. ๑๑๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๐ ๑. การยกขึ้นจากพื้น เรียกว่า อุทฺรณ - ยก ทางปฏิบัติกาหนดว่า “ยกส้นหนอ” เกิดจากธาตุไฟเป็นหลัก และธาตุลมคล้อยตาม เพราะธาตุไฟ มีสภาพเบากว่าธาตุลม ตามอาการปรากฏ (ปัจจุปัฏฐาน) ของธาตุไ ฟว่า มทฺทวานุปฺปาทนปจฺจุปฏฺ านา (มีการให้ถึงความอ่อน/การพุ่ง ขึ้นสูงเป็น เครื่องปรากฏ) ๒. การยื่นเท้าไปข้างหน้า เรียกว่า อติหรณ - ย่าง ทางปฏิบัติ กาหนดว่า “ยกหนอ” เกิดจากธาตุลมเป็นหลัก ธาตุไฟคล้อยตาม เพราะมี สภาพผลักดัน ตามอาการปรากฏของธาตุลมว่า อภินีหารปจฺจุปฏฺ านา (มี การผลักดันเป็นเครื่องปรากฏ) ๓. ครั้นเห็นตอ เห็นหนาม (หรือ) เห็นทีฆชาติ (งู) เป็นต้นอย่างใด อย่างหนึ่ง แล้ว ก้าวเท้า (เลี่ยง) ไปข้างโน้นและข้างนี้ เรียกว่า วีติหรณะ ย้าย ทางปฏิบัติกาหนดว่า “ย่างหนอ” เกิดจากธาตุลมเป็นหลัก ธาตุไ ฟ คล้อยตาม เพราะมีสภาพผลักดัน ๔. การหย่อนเท้าต่าลง เรียกว่ า โวสฺสชฺชน - ลง ทางปฏิบั ติ กาหนดว่า “ลงหนอ” เกิดจากธาตุน้าเป็นหลัก ธาตุดินคล้อยตามเพราะธาตุ น้ามีสภาพหนักกว่าธาตุดิน ตามลักษณะของธาตุน้าว่า ปคฺฆรณลกฺขณา (มีลักษณะไหลหรือเกาะกุม) เนื่องด้วยธาตุน้ามีลักษณะไหลไปสู่ที่ต่าจึงหนัก กว่าธาตุดิน ๕. การวางเท้า ลงบนพื้นดิน เรี ยกว่า สนฺ นิกฺเขปน - เหยีย บ ทางปฏิบัติกาหนดว่า “ถูกหนอ” เกิดจากธาตุดินเป็นดินเป็นหลัก ธาตุน้า คล้อยตาม เพราะมีสภาพสัมผัสความแข็งหรืออ่อน ตามลักษณะของธาตุดิน ว่า กกฺขฬตฺตลกฺขณา (มีลักษณะแข็งหรืออ่อน) และตามหน้าที่ของธาตุดิน ว่า ปติฏฺ านารสา (มีหน้าที่ตั้งไว้) ๖. การกดเท้าลงกับพื้นในเวลาจะยกเท้าอีกข้างหนึ่งขึ้น เรียกว่า สนฺนิรุมภน - กด ทางปฏิบัติกาหนดว่า “กดหนอ” เกิดจากธาตุดินเป็นหลัก ธาตุน้าคล้อยตาม แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๑ สัมปชัญญะ ๔ ประเภท๑๑๖ ๑. สาตถสั มปชั ญญะ การก าหนดว่า อารมณ์ ที่ พิจ ารณานี้เ ป็ น ประโยชน์หรือไม่ ? เห็นไตรลักษณ์ได้หรือไม่ ? สาตถสัมปชัญญะคือปัญญาที่ รู้ถึง ประโยชน์ของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ว่าเป็นวิธีการฝึกจิตเพื่อให้ไ ปถึง เป้าหมายคือ พระนิพพาน แล้วจากนั้นเริ่มลงเจริญ สติปัฏฐาน หรือเจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ที่เป็นหนทางเดียว ในการพ้นจากทุกขอริยสัจ และเข้าถึง ความสุขสูงสุดของพระพุทธศาสนา ๒. โคจรสัมปชัญญะ การกาหนดว่า อารมณ์ที่พิจารณานี้ปรากฏ ในปัจจุบัน เกิดขึ้นเอง หรือได้นึกคิดปรุงแต่งสร้างขึ้น เห็นปัจจุบันหรือไม่ ? การกาหนดเจริญสติตามการรับรู้หรืออารมณ์ของจิตที่เกิดขึ้นได้ทันปัจจุบัน จากอารมณ์ หนึ่ ง ไปอีก อารมณ์ห นึ่ ง ได้ อ ย่า งต่อ เนื่อ งตลอดเวลาที่ เจริ ญ กรรมฐาน ในอิริยาบถย่อย เดินจงกรม และนั่งสมาธิ โดยไม่ได้เกิดความคิด ปรุงแต่ง หรือพิจารณาด้วยความคิด ๓. สัปปายะสัมปชัญญะ การกาหนดว่า อารมณ์ที่พิจารณานี้เป็นที่ สบายแก่จิตแก่จริตหรือไม่ ? เป็นการพยายามควบคุมการกาหนดสติ จดจ่อ เกินไปเคร่งเครียด หรือปล่อยรู้สบายตามธรรมชาติ สัปปายะสัมปชัญญะเป็น เพียงการมีสติระลึกรู้อารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โดยไม่เพ่ ง จี้ บังคับ กด อารมณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงแต่เจริญสติกาหนดได้ต่อเนื่องเท่าทัน ตามจิต ที่ไปรับอารมณ์อย่างเป็นธรรมชาติ ๔. อสัมโมหะสัมปชัญญะ การกาหนดว่า อารมณ์ที่พิจารณานี้เป็น สมมติบญ ั ญัติ หรือเป็นปรมัตถ์ เห็นรูปนามหรือไม่ ? อสัมโมหะสัมปชัญญะ เป็นปัญญาที่เจริญสติระลึกรู้ได้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่เผลอ มึน นิ่ง หรือ คิดฟุ้งซ่าน ด้วยอารมณ์โมหะ เพียงเจริญสติให้ทันปัจจุบันขณะ ๑๑๖ https://th.wikipedia.org. ม.มู.อ. (ไทย) หน้า ๖๘๘-๗๑๕, พระโสภณ มหาเถระ, มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน, หน้า ๑๑๓ -๑๑๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๒ การกาหนด คาว่า “ก าหนด” น ามาจากข้ อความในบทสวดธัม มจักกัปวัต น สูตร ว่า อิท ทุกข อริยสจฺจ ปริญฺเ ย ยนฺติ แปลว่า ทุกขอริยสัจจ์นี้ควร กาหนดรู๑๑๗ ้ ทุกข์ในที่นี้คือ ขันธ์ ๕ ปัญจุปาทานักขันธาทุกขา เพราะฉะนั้น การกาหนดจึงเป็นการกาหนดแค่ขันธ์ ๕ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา และ การกาหนดรู้ทาให้ราคะ โทสะ โมหะสิ้นไป๑๑๘ การกาหนดรู้ (Noting) หมายถึง การเจริญสติด้วยการตั้งสติระลึก รู้ในสิ่งที่กระทาอยู่ ทางกาย วาจา ใจ เป็นการระลึกรู้ว่าเรากาลังทาอะไรอยู่ ในขณะนั้นๆ เช่น เวลานึกคิด ก็ระลึกรู้ตัวอยู่ว่า กาลังคิด เวลาพูด ก็ระลึกรู้ ว่ากาลังพูด และเวลากระทาสิ่งใดอยู่ก็ตาม ก็ระลึกรู้ว่ากาลังทาสิ่งนั้นๆ อยู่ ชีวิตประจาวันที่ขาดการกาหนดรู้ การกาหนดรู้ ต้องฝึกให้เกิดความคุ้นเคยในการกาหนดสิ่งต่างๆที่ กระท าอยู่ เ สมอในชี วิ ต ประจ าวั น จึ ง จะสามารถเกิ ด สติ ใ ห้ รู้ เ ท่ า ทั น ได้ เนื่องจากในชีวิตประจาวันนั้นเรากระทาสิ่งต่างๆมากมาย จนในบางครั้ ง บางขณะเราเผลอทาสิ่งนั้นๆด้วยใจที่ปราศจากสติ คือสักแต่ทาทาไปแต่ใจไม่ อยู่ในสิ่งที่ทา เช่นกวาดบ้านไปคิดไป กินข้าวไปคิดไป จนไม่รู้ว่าตนกาลังทา สิ่งใดอยู่ในขณะนั้น ภาวะเช่นนี้ เรียกว่า ไม่มีสติ การไม่มีสติรับรู้ในสิ่งที่เรากาลังทาอยู่ นั้น เป็นแค่การกระทาที่สัก แต่พูดหรือทาเท่านั้น ไม่มีการรับรู้ทางใจ คือไม่ล่วงรู้ได้ว่าในขณะนั้นๆ กาลัง พูดหรือทาอะไรอยู่ เป็นแค่อาการทางกาย วาจา เท่านั้น จึง เป็นอาการที่ ปราศจากการรับรู้ด้วยสติ ก่อให้เกิดผลเสียติดตามมา เช่น พูดโดยไม่คิดหรือ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้นจริงๆ และอาจก่อให้เกิดภัยหรือวิบากกรรมที่ไม่ดีได้ ๑๑๗ ส.ม. (บาลี) ๑๙/๑๑/๑๖๖๖, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๒๙. กตมา จ ภิกฺขเว ปริญฺญา โย ภิกฺขเว ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย อย วุจฺจติ ภิกฺขเว ปริญญ ฺ าติ ดูใน ส.ข. (บาลี) ๑๗/๕๕/๓๓, ส.ข. (ไทย) ๑๗/๒๔/๓๖. ๑๑๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๓ ความรู้ ๓ แบบ ๑. รู้แบบวิญญาณรู้ เช่น รู้ว่าเห็น คือรู้ว่ าเห็นเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นต้น อุปมาเหมือนเด็กน้อยรู้ว่าเงินเป็นสิ่งมีค่าเท่านั้น ๒. รู้แบบสัญญารู้ เช่น รู้ว่ายืน รู้ว่าเดิน รู้ว่านั่ง รู้ว่านอน คือ จาได้ว่าที่ยืนอยู่คือเรายืน เราเดิน เรานั่ง เรานอน เป็นต้น อุปมาเหมือน ผู้ใหญ่รู้แบบจาได้ว่าเงินเป็นสิ่งมีค่าและสามารถใช้แลกเปลี่ยนได้ ๓. รู้แบบปัญญารู้ คือ ความรู้ที่เกิดจากการกาหนด โดยมีสติรู้ อาการยืน เดิน นั่ง นอน เห็น เจ็บ ปวด คิด นึก ฯลฯ โดยรู้เพียงแค่สิ่งที่ถูกรู้ คือรูป และใจที่รู้คือนาม เป็นเพียงแค่อาการและความรู้สึกเท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา (ไม่ประกอบด้วยบัญญัติ) อุปมาเหมือนนายธนาคาร ย่อมรู้และแยกแยะได้ว่าเงินเป็นของแท้หรือของปลอม องค์ประกอบ ๓ ประการของการกาหนด การกาหนด คือการเจริญสติที่จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ ๓ ประการคือ อาการหรือความรู้สึกที่เป็นปัจจุบัน ๑ ใจที่เข้าไปรับรู้ ๑ และการบริกรรมหรือคาพูดในใจ ๑ รวมเรียกว่า การกาหนด เช่น ในขณะที่ เท้าขวากาลังก้าวออกไป ใจรับรู้ถึงอาการเคลื่อนไปของเท้า และพูดในใจว่า “ขวาย่างหนอ” กิริยาทั้ง ๓ อย่างให้เป็นไปพร้อมกันในขณะเดียว เช่น การ ยกมือ ขึ้น มา มือ ท าอาการเคลื่ อนยกขึ้ นมา มี องค์บ ริ กรรมคือ พู ดออกมา ค่อยๆ ในใจว่า ยกหนอๆๆๆ พร้อมกับมีใจเข้าไปรู้ คือใจจดจ่อรู้อยู่ที่มือกาลัง ทาอาการยกอยู่ในแต่ละขณะ ทั้งสามประการนี้เกิดขึ้นและเป็นไปพร้อมกัน ไม่ก่อนหน้าหรือหลัง จึงเรียกว่ากาหนดรู้เป็นปัจจุบันขณะ การบริกรรมเป็นการปฏิบัติกรรมฐานเบื้องต้น (ตั้งแต่เริ่มกาหนด อารมณ์กรรมฐาน เนื่องจากยังข่มนิวรณ์ไม่ได้) เรียกว่า บริกรรมภาวนา คือ การเจริญสมาธิขั้นต้น ได้แก่การกาหนดถือเอานิมิตในสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ กรรมฐาน (ในที่นี้หมายถึงกาย เวทนา จิต ธรรม) เรียกว่า บริกรรมนิมิต แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๔ การกาหนด จึงเป็นการเจริญสติให้ รู้เท่าทันในสิ่งที่เรากระทาอยู่ และรู้ชดั ด้วยใจที่เป็นปัจจุบันขณะ คือรู้อาการที่เกิดขึ้นในขณะนั้นทันทีและ รู้ชัดว่าอาการนั้นเป็นไปอย่างไร หากสามารถกาหนดได้บ่อยๆ และต่อเนื่อง จะสร้า งคุณภาพจิตมี รู้ชัดมากยิ่ง ขึ้น เรี ยกว่า “สัมปชัญ ญะ” จนพัฒนา กลายเป็นจิตที่รู้ชัดในขณะที่กาลังคิด พูด หรือทากิจอะไรอยู่ อุปมาเหมือน บุรุษผู้มี นัยน์ตาดี (มี สติ) เดินถือ คบไฟ (มีสัม ปชัญ ญะ) มาในความมืด มิ ด ย่อมเดินทางได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยฉะนั้น การก าหนดเพื่ อ ต้ องการให้ จิ ตของนัก ปฏิ บัติ ไ ด้ รู้จั ก ทุ กขสั จ จะ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้กาหนดรู้ทุกข์ ดังพุทธพจน์ที่ว่า อิท ทุกฺข อริยสจฺจ ปริญฺ เ ยยนฺติ๑๑๙ ทุกข์อริยสัจจ์นี้ ควรกาหนดรู้ ดัง นั้น คาว่า กาหนด จึงมาจากคาว่า “ปริญเฺ ยยนฺติ” ในธรรมจักรกัปปวัตนสูตรนั่นเอง การกาหนดสามารถตัดภพชาติได้ การกาหนดรู้อยู่ตลอดเวลานั้น นอกจากจะทาให้เราเกิดสติเกิด ปั ญ ญากั บ จิ ต กั บ ใจของตนเองแล้ ว ครู บ าอาจารย์ ท่ า นยั ง ได้ ก ล่ า วไว้ ว่ า สามารถที่จะตัดภพ ตัดชาติ ตัดการเวียนว่ายตายเกิดได้ถึง ๗ ชาติด้วยกัน ดังบทวิเคราะห์ว่า วฏฺฏสสาร ตาเรตีติ วโต (ธมฺโม) ธรรมใด ย่อมยังสรรพ สัต ว์ ให้ ข้ า มซึ่ ง วั ฏฏสงสาร ฉะนั้ น ธรรมนั้ น ชื่ อ ว่า หนอ ๑๒๐ เพราะค าว่ า “หนอ” จะทาให้ใจเราไม่คิดปรุงแต่งต่อไปในสิ่งที่เราเห็น ในสิ่งที่เราได้ยิน เป็นต้น ทาให้เป็นเพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น อย่างที่พระองค์ทรงตรัสให้ ท่านพระพาหิยะได้ศึกษาไว้ว่า “เอว สิกฺขิตพฺพ ทิฏฺเ ทิฏฺ มตฺต ภวิสฺสติ” เป็นต้น “เธอจงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นให้สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่า ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส ถูกต้องสัมผัส หรือแม้แต่รู้อารมณ์ทางใจ ให้เพียงสักแต่ ว่ารู้เท่านั้น เมื่อนั้น ท่านจะพ้นบ่วงของมารได้” ๑๒๑ ๑๑๙ ส.ม. (บาลี) ๑๙/๑๑/๑๖๖๖, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๒๙. ธนิต อยู่โพธิ์, วิปัสสนานิยม, หน้า ๓๓. ๑๒๑ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๔๙/๘๓, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๘๖. ๑๒๐ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๕ กาหนดแล้วทาให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญา กาหนดแล้วทาให้เกิดสติ เพราะสติจากเกิดขึ้นได้ด้วยการกาหนด สภาพธรรมปัจจุบันนั้นบ่อยๆ ดังข้อความในคัมภีร์อัฏฐสาลินี กล่าวถึง เหตุ ใกล้ที่ทาให้เกิดสติว่า ถิรสญฺ าปทฏฺ านา มีการจดจาสภาพธรรมเป็นเหตุ ใกล้ใ ห้เ กิด สติ ขึ้ นมา พร้ อมกั บ ท าให้เ กิด ขณิ ก สมาธิ ด้ว ย เพราะในขณะที่ กาหนดรู้นั้น มีการจดจ่ออยู่ในอาการต่างๆ หรือความรู้สึกปัจจุบันขณะนั้นๆ ในแต่ละขณะๆ ที่กาหนดรู้ กาหนดแล้วทาให้เกิดปัญญารู้ ๔ ระดับ ระดับที่ ๑. ปัญญาขั้นรู้จักสภาวลักษณะรูปนามตามฐาน ๔ สามารถกาหนดรู้ในอารมณ์ทางใจและอาการทางกายได้ เรียกว่า กาหนดรู้ในรูปและนาม เป็นขั้นตอนแรกที่ผู้ปฏิบั ติฝึกการกาหนดรู้ในทวาร ต่างๆ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นการฝึกการกาหนดรู้ ในการรั บ อารมณ์ทางอายตนะ สร้างการรับรู้ที่รู้ว่า การรับอารมณ์นั้นต้องผ่านทาง ทวาร ๖ และต้องตั้งต้นกาหนดรู้ทันทีเมื่อรับอารมณ์ จากทางทวารนั้นๆ คือ เห็นหนอ ได้ยินหนอ ได้กลิ่นหนอ ได้รสหนอ ได้สัมผัส(ถูกหนอ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง) การรับรู้ในระดับนี้ยังเป็น บัญญัติธรรมและมีการปรุง แต่ง เช่น เมื่อเห็นคนเดินมา ก็กาหนดว่าเห็นหนอ แต่ก็รู้ว่าเห็นคน ชื่ออะไร หรือ อยากรู้จัก หรือชอบใจไม่ชอบใจ เป็นต้น ระดับที่ ๒. ปัญญาขั้นแยกแยะอารมณ์ (สังขตลักษณะเหตุผล) เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถกาหนดรู้จักอารมณ์ที่รับตามทวารต่างๆได้ พอสมควรแล้ว ผู้ปฏิบัติจะสังเกตได้เองว่าอารมณ์ที่รับรู้ตามทวารต่างๆ นั้น มีลักษณะที่แตกต่างกันตามธรรมชาติของมันและเริ่มรู้จักลักษณะของ “รูป” และ “นาม” ตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น เช่น รู้ ว่าการเห็นทางตา ต่างกับรูปที่ ถูกเห็น ต่างจากจิตที่รู้ เป็นต้น แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๖ ในระยะแรกๆ ของการกาหนดรู้ระดับนี้ ผู้ปฏิบัติยัง มีความรู้สึ ก พอใจและไม่พอใจในอารมณ์ที่กาหนดรู้นั้นๆ ยังเกิดความรู้สึกอยากได้หรือไม่ อยากได้อารมณ์นั้นๆอยู่ เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ที่สบายเป็นสุขเวทนาก็ ยังติดใจ ในอารมณ์นั้น ถึงจะกาหนดรู้แต่ยังกาหนดและปรุงแต่งเป็นชอบใจ อยากได้ อารมณ์เช่นนั้นอีกและหลงยึดติดในอารมณ์นั้นว่าเป็นสภาวธรรมที่ดี หรือ เมื่อมีเวทนาเกิดอารมณ์เจ็บปวดเป็นทุกข์รุนแรง ถึงจะกาหนดรู้ได้ แต่การ กาหนดรู้นั้นหนักไปทางไม่ชอบใจ ไม่อยากได้ และหลงคิ ดว่าอารมณ์นั้นเป็น สภาวธรรมที่ไม่ดี ในบางครั้งจิตเมื่อกาหนดรู้ในอารมณ์ใด หากยังปรุงแต่งเป็นไปกับ อารมณ์นนั้ ๆ อยู่ ก็รู้ผลว่าเป็นความทุกข์ คือ เกิดสภาวะจิตตกเป็นอกุศลจิต ผู้ปฏิบัติจึง พยายามขัดเกลาจิตด้วยการหมั่นตั้งสติกาหนดรู้รู้ใหม่ด้วยสติที่ แข็งแรงและสามารถกาหนดรู้ตามความเป็นจริงได้บ่อยครั้งมากยิ่งขึ้น เรียก ได้ว่ามีสติและความเพียรในการรู้อารมณ์ว่า อารมณ์ใดเป็นกุศล อารมณ์ใด เป็นอกุศล เมื่อรู้ว่าอกุศลเกิดจึงเพียรขจัดออกไปจากจิต และสังวรระวังมิให้ อกุศลที่ยังไม่เกิดมาเกิดอีก เมื่อรู้ว่าอารมณ์ใดเป็นกุศลจึงเฝ้าเพีย รรักษามิให้ กุศลนั้นขาดหายไป และเพียรถนอมกุศลนั้นให้เกิดสืบต่อเป็นดวงกุศลจิต แข็งแรงยิ่งๆขึ้น เรียกว่าจิตมีสัมมัปธาน ๔ การกาหนดรู้ในระดับนี้จัดเป็นอารมณ์บัญญัติและปรมัตถ์ปะปนกัน คือ มีทั้ง รับและรู้ปรุงแต่งอารมณ์และเห็นความเป็นจริง ของอารมณ์ต่างๆ โดยสรุป คือการกาหนดที่มีรูปและนามเป็นอารมณ์ชัดเจน รู้ว่าอารมณ์ใด เป็นกุศลหรืออกุศลและสามารถกาหนดรู้และขจัดอารมณ์ปรุงแต่งที่เป็นเหตุ แห่งทุกข์ได้ในขณะที่จิตรู้ชัดนั้น ระดับที่ ๓. ปัญญาขั้นขัดเกลาจิต (รู้สามัญญลักษณะ) เมื่ อผู้ ปฏิ บัติ สามารถก าหนดรู้อ ารมณ์ต่ างๆ ที่เ ข้ ามาตามทวาร ต่างๆ ได้ดีพอสมควรแล้ว ผู้ปฏิบัติจะสามารถกาหนดรู้และเห็นตามความ เป็นจริงได้ในบางขณะว่า อารมณ์ที่กาหนดรู้นั้นมีช่วงเวลาที่ตั้งอยู่ไม่ได้นาน แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๗ คือตั้งอยู่ชั่วขณะเดียวก็ดับไป อารมณ์ใหม่ก็เข้ามาสู่การรับรู้และการกาหนด รู้ใหม่อีก ในระดับนี้ผู้ปฏิบัติสามารถพัฒนาการกาหนดรู้ได้ดีในบางขณะ คือ กาหนดรู้ แ ละเห็ น อารมณ์ ที่ ก าหนดนั้ น เกิ ด ขึ้ น ตั้ ง อยู่ และดั บ ไปได้ บาง อารมณ์ก็รู้ชัดตอนเกิดขึ้น บางอารมณ์ก็รู้ชัดตอนตั้ง อยู่ บางอารมณ์ก็รู้ชัด ตอนดับไป หากผู้กาหนดรู้มีสติว่องไวและสมาธิแนบแน่นในอารมณ์นั้นจะ สามารถกาหนดรู้ได้ทั้งสามขณะ เรียกว่ารู้เห็นความเป็นไปของอารมณ์ใน สามขณะ คื อ ก าหนดรู้ ไ ด้ ใ นอารมณ์ ที่ เกิ ด ขึ้ น ตั้ ง อยู่ และดั บ ไป เรี ย กว่ า สามารถรับรู้ “สามัญญลักษณะ”คือ อนิจจัง ทุกขังและอนัตตาของรูปนาม ต่อเมื่อพยายามกาหนดรู้ต่อไปจะรู้เห็นอาการอนิจจลักษณะ คือ การเปลี่ยนไปของทุกขลักษณะในอาการต่างๆ และเมื่อเกิดปัญญารู้เห็นใน อาการทุกขังและอนิจจังที่เกิดขึ้นต่างๆพอสมควรแล้ว จึงเกิดปัญ ญารู้เห็น ขึ้นมาว่ าสิ่ง ที่เ กิดขึ้น นั้นๆล้ว นเป็น ธรรมดาธรรมชาติที่ เกิดขึ้ นเอง เกิดขึ้ น ชั่วขณะแล้วดับไปเอง จึงรู้ว่าอารมณ์นั้นๆไม่อยู่ในบัง คับบัญ ชาใดใดทั้ง สิ้น และล้วนไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ระดับที่ ๔. ปัญญารู้ความเป็นจริงของรูปนามและรู้ดับทุกข์ การกาหนดรู้ในระดับนี้ เป็นการกาหนดที่มีคุณภาพ ประกอบด้วย สติที่มีกาลัง คือความว่องไว รู้คมชัดและพลังสมาธิที่จับอารมณ์นั้นชัดเจน เมื่ อ สามารถจั บ อารมณ์ ก าหนดรู้ ใ นรู ป และนามได้ เ นื อ งๆ จิ ต จะรู้ เ ห็ น “อาการ” ของรูปนามที่ล้วนมีลักษณะล้วนมีความเสื่อมไป สิ้นไป ดับไป เหมือนน้าที่ตกไปในกระทะร้อนๆ ย่อมเหือดแห้งไปในพริบตา ฉันใด รูปนาม ที่กาหนดรู้นั้นเมื่อกาหนดรู้ก็มีความดับปรากฏขึ้น ฉันนั้นไม่ว่าจะกาหนด อาการใด อาการนั้นดับไป พลันเป็นทุก ข์ ยิ่งกาหนดยิ่งปรากฏความดับไป ชัดมากกว่าสภาวธรรมอื่นๆ จนผู้ปฏิบัติไม่อยากกาหนดรู้อีกต่อไปหรือขยาด กลัวในการปฏิบัติได้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๘ ประกอบกับคุณภาพของการกาหนดรู้นั้นมีความรวดเร็วของสติ สามารถจับอารมณ์ได้ทันในช่วงขณะต้นๆของอารมณ์ที่เกิดขึ้น จึง เห็นว่า อารมณ์นั้นๆ เกิดขึ้นและตั้งอยู่เดี๋ยวเดียว ชั่วขณะสั้นๆแล้วดับไป จิตจึงไม่ยึด มั่นในอารมณ์ใดใดเหมือนก่อน และสามารถกาหนดรู้ในช่วงความดับไปของ อารมณ์นั้นๆ ได้มากกว่าก่อน การก าหนดเช่ น นี้ จึ ง เป็ น การก าหนดที่ มี คุ ณ ภาพสู ง ส่ ง ให้ จิ ต รู้ เฉพาะความเป็นจริงของรูปนาม คือไม่ว่าจะกาหนดรู้ในอารมณ์ใด อารมณ์ นั้นก็ล้วนแสดงอาการของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น คือ อาการอนิจจลักษณะ อาการ ทุกขลักษณะและอาการอนัตตลักษณะ ผู้ปฏิบัติจึงเกิดสติและปัญญาเข้าถึง พระไตรลักษณ์ การกาหนดรู้ชัดเช่นนี้เรียกว่ารู้ปรมัตถ์อารมณ์ อย่างชัดเจน เป็นการกาหนดที่สามารถนาไปสู่ปัญญาญาณระดับสู ง และสามารถพัฒนา ไปสู่ญาณปัญญาในระดับมรรค ผล พระนิพพานได้ ตสฺมาติห พาหิย เอว สิกฺขิตพฺพ. ทิฏฺเ ทิฏฺ มตฺต ภวิสสฺ ติ , สุเต สุตมตฺต ภวิสฺสติ , มุเต มุตมตฺต ภวิสฺสติ , วิ าเต วิญฺ าตมตฺต ภวิสฺสติ. เอวญฺหิ เต พาหิย สิกฺขิตพฺพ. ขุ.อุ. ๒๕. ๑๐. ๑๐๑ “ ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษาอย่าง นี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นเพียงแต่เห็น เมื่อ ได้ยิน จักเป็ น เพียงแต่ได้ยิน เมื่อรู้อารมณ์ทางจมูก ลิ้น กาย จักเป็น เพียงแต่รู้อารมณ์ทางจมูก ลิ้ น กาย เมื่อรู้อารมณ์ทางใจ จักเป็นเพียงแต่รู้อารมณ์ทางใจ ดูกรพาหิยะ เธอพึงศึกษา อย่างนี้ ” แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๐๙ ปัจจุบัน วันพรุง่ นี้ ชั่งมันเถิด วันวานนี้ อย่าเอาใจ ถ้าวันนี้ อย่าไปคิด สิ่งที่แล้ว สิ่งที่ฝัน ดูรูปนาม ได้ขณะ สันตติ เห็นพระไตร อยู่ไกล อย่าร้อน ดับแล้ว ไปข้อง สดชื่น หน้าหลัง แล้วไป ไม่ผ่านมา ขันธ์ห้า ปัจจุบัน ขาดฉับ ลักษณะ ยังไม่เกิด ไปก่อนไข้ ให้แล้วไป ทั้งสองวัน ระรื่นจิต มาคลั่งฝัน ให้แล้วกัน อย่าอาวรณ์ สภาวะ ไม่หวั่นไหว ตัดดับไป ชนะมาร การปฏิบัติธรรม ต้องเป็นการระลึกรู้เท่าทันสภาวธรรมปัจจุบัน เท่านั้น ผู้ปฏิบัติต้องทาความเข้าใจในปัจจุบันธรรมที่มีความสาคัญต่อการ ปฏิบตั ิ คือ อภิชฌา-โทมนัส จะเกิดขึ้นได้ หรือไม่ได้ อยู่ที่ว่าผู้ปฏิบัติสามารถ กาหนดได้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงหรือไม่ หากกาหนดได้ทันว่ามี รูปอะไร นามอะไร เกิดขึ้นในอารมณ์ปัจจุบัน ขณะนั้นอภิชฌา และโทมนัส ย่อมเกิ ดขึ้นไม่ไ ด้ เท่ากับว่าในขณะนั้นสมุทัย อันเป็นเหตุที่ทาให้เกิดทุกข์ ย่อมถูกละไป (เป็นการทาลายตัณหา) ดังนั้น ความสาคัญ จึง อยู่ตรงที่ว่า ผู้ปฏิบัติจะต้องคอยสังเกตให้ได้ทันในปัจจุบันอารมณ์ สภาวธรรมปัจจุบันเป็นสิ่งที่กาลังเกิดขึ้นภายในร่างกายและจิตใจ ที่ ป รากฏทางทวารทั้ ง ๖ ซึ่ ง จ าแนกเป็ น ปั จ จุ บั น ขณะ คื อ ปั จ จุ บั น ใน ขณะหนึ่ ง ๆ ที่ กาลัง เกิ ดขึ้ นเฉพาะหน้า และสัน ตติ ปัจ จุบั น คือ ปั จจุ บัน ที่ ต่อเนื่องจากอดีตที่เพิ่งดับไป หากผู้ปฏิบัติขาดสติในธรรมปัจจุบัน ย่อมหลง เข้าใจผิดไปว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัว เป็นตน ดังนี้เป็นต้น แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๐ การเจริญสติกาหนดรู้รูปนามปัจจุบันจึงทาให้นักปฏิบัติสามารถจะ หยั่งเห็นลักษณะพิเศษและลักษณะทั่วไปได้อย่างชัดเจน เปรียบเสมือน คนที่ แหงนดู ท้อ งฟ้า เมื่อ เกิด ฟ้ าแลบ เขาย่ อ มเห็ นสถานที่ ฟ้า แลบและรู ปร่ า ง สัณฐานของฟ้าแลบได้อย่างชัดเจนดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในวชิรสูตรว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลมีจิตเหมือนฟ้าแลบเป็นไฉน บุคคล บางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกข นิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุรุษผู้มีจักษุเห็นรูปในขณะฟ้าแลบ ในเวลา กลางคืนซึ่งมืดมิด ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่าบุคคลผู้มีจิตเหมือนฟ้าแลบ”๑๒๒ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมต้องทาความเข้าใจในปัจจุบันที่มีความสาคัญ ต่อการปฏิบัติ ซึ่งแบ่งปัจจุบันออกเป็น ๕ อย่าง ดังนี้ ปัจจุบันกาล ปัจจุบันกาล ปัจจุบันระยะการตลอดชีวิต ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึง บัดนี้ นักปฏิบัติธรรมต้องคานึงถึงว่ากาลนี้เราเป็นนักปฏิบัติ มีหน้าที่ในการ กาหนด ต้องกาหนดอย่างเดียวตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไปจนกว่ากิเลส จะหมดจากจิตใจของตน ถึงหมดลมหายใจก็จะไม่ขาดการกาหนดรู้ จนกว่า จะได้บรรลุธรรมเหมือนสมณเทพบุตร๑๒๓ ปัจจุบันธรรม พระองค์ ท รงตรั สในภั ท เทกรั ต ตสู ต รว่ า “บุ ค คลไม่ ง่ อ นแง่ น ไม่คลอนแคลน ในธรรมปัจจุบันเป็นอย่างไร” คือผู้ปฏิบัติจะต้องมีการมั่นคง ๑๒๒ องฺ.ติก. (บาลี) ๒๐/๔๖๓ – ๔๖๔/๑๕๕., องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๒๕/๑๗๓. ๑๒๓ พระโสภณมหาเถระ, หนังสือธัมมจักกัปปวัตนสูตร, หจก.ประยูรสาส์น ไทย การพิมพ์ (กรุงเทพ), ๒๕๕๔, หน้า ๒๐๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๑ ในธรรมปัจ จุ บั น หมายความว่า ต้ อ งมีก ารระลึ กรู้ ใ ห้ชั ด และเข้า ใจชั ด ใน สภาวธรรมที่กาลังปรากฏในขณะปัจจุบันอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง เพื่อรู้ชัด เข้าใจชัดสภาวธรรมอย่างแจ่มแจ้ง ดังพระดารัสว่า “บุคคลใดเห็นแจ้งธรรม ที่เป็นปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ บุคคลนั้นควรเจริญ ธรรมนั้นให้แจ่มแจ้ง” ดัง นั้ น นั ก ปฏิบั ติ ต้ องก าหนดให้ ได้ ปั จ จุบั น ธรรม เช่ น เราจะ กาหนดพองหนอ ยุบหนอ เป็นต้น คาที่กาหนดว่าพองยุบกับท้องที่พองยุบ ต้องให้พร้อมกัน อย่าให้ก่อนให้หลังกัน การเดินก็เช่นเดียวกัน ขณะที่เรา กาหนดว่าขวาต้องยกเท้าขวาขึ้นทันที ขณะที่เรากาหนดว่าย่ างต้องก้าวเท้า ย่างไปทันที ขณะที่เรากาหนดว่าหนอต้องให้เท้าลงถึงพื้นพอดี อย่างนี้จึงจะ เรียกว่า ได้ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันธรรมนี้ มีความสาคัญ ต่อการปฏิบั ติมาก เพราะถ้ากาหนดให้ได้ปัจจุบันธรรมแล้ว ขณิกสมาธิจะรวมตัวเมื่อขณิกสมาธิ รวมตัวมากขึ้น ๆ จะทาให้อินทรีย์พละคือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา มีกาลังแข็งกล้าขึ้น แข็งแรงขึ้น มีกาลังกายดีขึ้น เหมือนลับมีดไว้ คมดีแล้ว ย่อมใช้ประโยชน์ได้ทุกขณะ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันในที่หมายถึงปัจจุบันขณะ หรือขณะปัจจุบัน คือ ปัจจุบัน ขณะหนึ่งๆ ที่กาลังเกิดขึ้น เพียงแค่ขณะหนึ่งๆ เท่านั้น เหมือนหยาดน้าที่ตก ลงบนเหล็กร้อนๆ เกิดและดับไป นักปฏิบัติจึงควรใส่ใจกาหนดอารมณ์ที่เป็น ปัจจุบันเท่านั้น จักเกิดสติปัญญาหยั่งเห็นถึงรูปนามตามความเป็นจริง เช่น รูปที่ เป็ นไปในขณะเดิน ไปข้า งหน้า ยังไม่ทั นถอยกลั บก็ดั บไปขณะเดิ นไป ข้างหน้านั่นเอง, รูปที่เป็นไปในขณะถอยกลับยังไม่ทันแลดูก็ดับไปในขณะ ถอยกลับ, รูปที่เป็นไปในขณะแลดูยังไม่ทันเหลียวดูก็ดับไปในขณะแลดู, รูป ที่เป็นไปในขณะเหลียวดูยังไม่ทันคู้เข้าก็ดับไปในขณะเหลียวดู , รูปที่เป็นไป ในขณะคู้เข้ายังไม่ทันเหยียดออกก็ดับไปในขณะคู้เข้า ดังนั้น รูปดั ง กล่าว ข้างต้นจึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๒ สันตติปัจจุบัน ปัจจุบันสันตติ ปัจจุบันต่อเนื่องจากอดีตที่พึ่งดับไป จากกาหนด พองยุบในฐานกาย มีอาการของเวทนาคือ ชาเหน็บเจ็บปวดเข้ามาแทรกให้ กาหนดที่เวทนา เมื่อจิตแอบไปคิดว่าทาไมจึงมีเวทนา ให้กลับไปกาหนดรู้ ที่ ฐานจิต คือ ความคิด หรือมีอารมณ์อย่างอื่นมาแทรกในขณะนั้น เช่นเสียง ให้ย้ายฐานสติไปกาหนดรู้ที่เสียงอย่างต่อเนื่อง การก าหนดติ ด ต่ อ ให้ ต่อ เนื่ อ งกั น คื อ การตามรู้ ชั ด สภาวธรรม (ขันธ์ ๕) ปัจจุบันโดยไม่ขาดจังหวะ ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะเกิดขึ้นทางใดก็รู้ชัด ได้ ทั น ปั จ จุ บั น จะไม่ ป ล่ อ ยให้ อ ารมณ์ เ หล่ า นั้ น หลุ ด ออกไปจากปั จ จุ บั น พยายามกาหนดรู้ชัดสภาวธรรมทุกอย่างที่มาปรากฏอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่น นอนจนกระทั่งถึงหลับ แม้อิริยาบถย่อยต่างๆ ผู้ปฏิบัติก็ต้องพยายามรู้ชัดให้ ได้เป็นปัจจุบันธรรมอย่างต่อเนื่อง จึงจะประสบความก้าวหน้ าในการปฏิบัติ นอกจากนั้น การกาหนดติดต่ออย่างต่อเนื่อง ยังสามารถทาให้อาสวะกิเลส ต่างๆ ลดน้อยถอยลงไปตามลาดับอีกด้วย เหมือนด้ามมีดที่สึกไปเพราะใช้ งานมาก ดังข้อความในภาวนาสูตรว่า๑๒๔ ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรอยนิ้วมือ หรือรอยนิ้วหัวแม่มือที่ ด้ามมีด ปรากฏแก่ช่ างไม้ หรือ ลูกมือ ช่ างไม้ แต่เขาไม่รู้อย่ างนี้ว่ า ‘วัน นี้ ด้ามมีดของเรากร่อนไปเท่านี้ เมื่อวานนี้เท่านี้ เมื่อวานซืนเท่านี้ ’ ก็จริง แต่ เมื่อด้ามมีดกร่อนไปเขาก็รู้ว่า กร่อนไปแล้วนั่นเอง แม้ฉันใด ภิกษุทั้ง หลาย เมื่อภิกษุห มั่นประกอบภาวนาอยู่ก็ฉันนั้ นเหมือนกัน แม้จะไม่รู้ อย่างนี้ว่ า ‘วันนี้ อาสวะของเราสิ้นไปแล้วเท่านี้ เมื่อวานนี้เท่านี้ เมื่อวานซืนเท่านี้’ก็จริง แต่เมือ่ อาสวะสิ้นไปแล้ว เธอก็รู้ว่า ‘สิ้นไปแล้ว’ นั่นเอง ๑๒๔ องฺ.สตฺตก. (บาลี) ๒๓/๖๘/๑๒๘, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๗๑/๑๕๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๓ ปัจจุบันเฉพาะหน้า (อารมณ์แทรก) การตามรู้สภาวธรรมปัจจุบันโดยไม่ขาดจังหวะไม่ว่าอารมณ์นั้น จะเกิ ด ขึ้ น ทางทวารใดก็ ก าหนดรู้ ไ ด้ ทั น ปั จ จุ บั น กล่ า วคื อ ในขณะที่ กาหนดรู้ที่กายคือพองยุบอยู่ มีอารมณ์แทรกเข้ามาไม่ว่าจะเกิดที่จักขุ ทวาร คือ ตา โสตทวาร คือ หู ฆานทวาร คือ จมูก ชิวหาทวาร คือ ลิ้น กายทวาร คือ กาย หรือ มโนทวาร คือ ใจ นักปฏิบัติธรรมจะไม่ปล่อยให้ จิตใจหลุดออกไปตามอารมณ์นั้น ต้องพยายามกาหนดสติระลึกรู้สภาวธรรม ทุกอย่างที่มาปรากฏอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นเริ่มจนกระทั่งดับไป ประโยชน์ของการกาหนดปัจจุบัน การกาหนดอารมณ์ปัจจุบันสามารถละกิเลสได้ชั่วคราว หมายถึง ตทงฺคปหาน กล่าวคือ กิเลสที่เรียกว่า อารัมมณานุสัยคือ อนุสัยที่นอนเนื่อง อยู่ ใ นอารมณ์ ย่ อ มเกิ ด ขึ้ น เมื่ อ มิ ไ ด้ เ จริ ญ สติ รู้ เ ท่ า ทั น การเจริ ญ สติ ใ น สภาวธรรมปัจจุบัน จึงเป็นการละกิเลสโดยตทังคปหาน คือ ละได้ ชั่วขณะใน เวลาเจริญสติกาหนดรู้ กิเลสย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เมื่อสันตติอามาตย์ฟังธรรมพร้อมทั้งเจริญสติโดยกาหนดรูป นามปัจจุบันที่ปรากฏชัดอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง กิเลสที่หวนคิดถึง อดีต หรือใฝ่ฝันอนาคตจึงไม่เกิดขึ้น และหยั่งเห็นสภาวธรรมรูปนามที่เกิดดับตาม ความเป็นจริง กิเลสต่างๆ จึงลดน้อยถอยลงไป จนกระทั่งบรรลุมรรคญาณ ทั้ง ๔ ตามลาดับ ในที่สุด ได้บรรลุอรหัตตผล เพราะไม่ยึดมั่นด้วยตัณหา และทิฏฐิ เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสข้อความว่า “อุปสนฺโต จริสฺสสิ (ก็จักเป็นผู้สงบไปได้)” ๑๒๕ ๑๒๕ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๔๙/๘๓, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๘๖,พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน, แปลโดยพระคันธสาราภิวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจากัด ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๑๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๔ สันตติมหาอามาตย์ ลาดับนั้น พระศาสดาตรัสกะสันตติอามาตย์ว่า "ท่านมาสู่สานัก ของผู้สามารถเพื่อดับความโศกได้แน่นอน , อันที่จริง น้าตาที่ไหลออกของ ท่านผู้ร้องไห้ในเวลาที่หญิงนี้ตาย ด้วยเหตุนี้นั่นแล มากกว่าน้าของมหาสมุทร ทั้ง ๔" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า ย ปุพฺเพ ต วิโสเสหิ ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจน มชฺเฌ เจ โน คเหสฺสสิ อุปสนฺโต จริสฺสสิ ฯ"๑๒๖ กิเลสเครื่องกังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจง ยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น ให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่อง กังวล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง, ถ้าเธอจักไม่ยึด ถือขันธ์ ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป." ในกาลจบพระคาถา สันตติม หาอ ามาตย์ บรรลุ พระอรหัต แล้ ว พิจารณาดูอายุสังขารของตน ทราบความเป็นไปไม่ได้แห่งอายุสังขารนั้นแล้ว จึงกราบทูลพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาต การปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด." นักปฏิบัติเช่นเดียวกันย่อมไม่กังวลหรือคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ ผ่านมา ย่อมไม่กังวลหรือคาดหวังถึงอนาคตที่ยัง มาไม่ถึง และมีสติอ ยู่กับ ปัจจุบันและย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่นในสภาวธรรมปัจจุบันด้วย จะสามารถ บรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน ๑๒๖ หน้า ๓๐. ขุ.ป. ๓๑/๑๕๓/๑๗๔. อ้างใน พระโสภณมหาเถระ, วิปสั สนานัย เล่ม ๑, แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๕ การบริกรรม จงเตือนตน ของตน ให้พ้นผิด ตนเตือนจิต ตนได้ ใครจะเหมือน ตนเตือนตน ไม่ได้ ใครจะเตือน ตนแชเชือน ใครจะเตือน ให้ป่วยการ การบริกรรม = การท่องในใจ การพูดในใจ การสาธยายทางใจ บริกรรม หมายถึง จิตของผู้ปฏิบัตินึกอยู่ในคาใดคาหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น พุทโธ เป็นต้น ซ้า ๆ อยู่ในคาเดียวเรียกว่า "บริกรรม" การบริกรรมก็คือ ส่วนของภาวนานั่นเอง การบริกรรมคือสิ่งจาเป็นในการปฏิบัติกรรมฐานเบื้องต้น จะเป็น เครื่องเตือนจิตให้รู้ว่าขณะนี้จิตมีหน้าที่การงานที่จะต้องกระทาคือการระลึก รู้ เ ฝ้ า ดู อ าการที่ เ กิ ด ขึ้ น ตามความเป็ น จริ ง เพื่ อ ไม่ ใ ห้ จิ ต นั้ น แอบออกไป ท่องเที่ยวจนลืมกาหนดสภาวธรรมที่กาลังเกิด ขึ้นหรือลืมกายลืมใจของเรา อุปมา เหมือนพี่เลี้ย งเด็กที่กาลังฝึกหัดเดินพี่เลี้ยงมีหน้าที่ต้องคอยประกบ ประคับประคองเด็กให้เดินได้ คล่องไม่ให้หกล้มไป ฉันใด การบริกรรม เป็น เพียงเครื่องประคับประคองจิตให้มีสติซึ่งจะทาให้ผู้ปฏิบัติไม่เผลอ ไม่หลง ไม่ เหม่อลอย จมไปกับอารมณ์หรือความรู้สึกนั้น ๆ ฉันนั้นเช่นเดียวกัน เพราะ ธรรมชาติของจิตมีสภาพดิ้นรน กวัดแกว่ง ห้ามยาก รักษาได้ยาก คาบริ กรรมนั้นจึงมีความสาคัญต่อการปฏิ บัติธรรมเพราะจัดเป็น วิชชมานบัญญัติ คือ บัญญัติแสดงเนื้อความที่ปรากฏโดยปรมัต ถ์ซึ่งเรียกว่า ตัชชาบัญญัติ หมายถึง บัญญัติที่เหมาะสมกับสภาวธรรม กล่ าวคือ สื่อให้รู้ สภาวธรรมนั้นๆ ได้อย่างชัดเจน เช่น ปวด ฝรั่งเรียก PAIN ปรมัตถ์ที่แท้จริง คืออาการตึง แข็ง คาบริกรรมในการปฏิบัติจึงมีความสาคัญเพราะหลักการ ของวิปัสสนา ต้องกาหนดรู้ให้ตรงกับสภาวธรรมปรมัตถ์ อารมณ์ปรมัตถ์จึง จะปรากฎชัดแก่จิตให้ไ ด้รับรู้ ถ้าไม่ตรงกั บสภาวธรรมอันเป็นปรมั ตถ์หรือ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๖ ความรู้สึก จิตก็จ ะไม่สนใจกับสภาพธรรมนั้นๆ เมื่อ จิ ตไม่สนใจ จิตก็จ ะ จดจาสภาวธรรมนั้นๆ ไม่ไ ด้ สติ จึงเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อสติ ไม่เกิด สมาธิและ ปัญญาจึงไม่เกิด ส่งผลให้วิชชาไม่เกิด วิมุตติ คือความหลุดพ้น ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้น การบริกรรมเป็ นส่วนสาคัญที่จะทาให้จิตได้รับรู้ถึง สภาวธรรมตาม ความเป็นจริง นักปฏิบัติจึงต้ องอาศัยคาบริกรรมและบริกรรมให้ตรงกับ สภาพธรรมตามที่กาลังเป็นจริง อุปมาเหมือนการเรียกชื่ อคน ถ้าเรี ยกว่า คนๆๆ ไม่รู้ว่าเป็นคนไหน ก็จะไม่มีใครหันเข้ามาสนใจ แต่ถ้าเรียกชื่อให้ตรง เช่น นาย ก นางสาว เอ อย่างนี้ คนที่ถูกเรียกจะหันเข้ามาเพราะรู้ว่าตน ถูกเรียก ฉันใด การบริกรรมจะต้องให้ตรงกับสภาวธรรมที่กาลั งปรากฏอยู่ ฉันนั้น เช่น พระเถระ บริกรรมว่า อุทกพก (นกน้า) เมื่อเห็นนก (น่าจะเป็น อุทก ) เพราะฉะนั้น นัก ปฏิบั ติธ รรมต้องบริ กรรมให้ ตรงกับ สภาพธรรมที่ ปรากฎขึ้น จิตจึงจะเกิด สติ สมาธิ ปัญญา สามารถรับรู้ถึง ธรรมที่เป็ น ปรมัต ถ์ ภายใน ปรากฏให้ รั บ รู้ไ ด้ ดั งพระบาลีว่ า อตฺ โถ อกขรสญฺ าโต เนื้อความอันบุคคลรู้ได้ด้วยอักษร เมื่อบริกรรมให้ตรงกับสภาพธรรมอันเป็น ปรมัตถธรรมแล้วจะสามารถ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เช่น พระจูฬปันถก บริกรรมว่า รโชโหรณๆๆ จนและมีฤทธิ์ทางใจมากมาย มีเรื่องย่อดังนี้ พระจุลปันถกเถระ๑๒๗ พระศาสดาตรัสว่า จุลลปันถกะ การบรรพชาของเธอชื่อว่ามีใน สานักของเรา เธอถูกพระพี่ชายฉุดคร่าออกไป เพราะเหตุไรจึงไม่มายังสานัก ของเรา มาเถิด เธอจะได้ประโยชน์อะไรกับความเป็นคฤหัสถ์ เธอจงอยู่ใน สานักของเรา แล้วทรงพาพระจุ ลลปันถกะไป ให้พระจุลลปันถกะนั้นนั่ง ที่ หน้ามุขพระคันธกุฏี ตรัสว่า จุลลปันถกะ เธอจงผินหน้าไปทางทิศตะวันออก จงอยู่ ในที่นี้แ หละ ลูบ คลาผ้า ท่อ นเก่าไปว่ า รโชหรณ รโชหรณ ผ้า เป็ น เครื่องนาธุลีไป ผ้าเป็นเครื่องนาธุลีไป แล้วทรงประทานผ้าเก่าอันบริสุทธิ์ซึ่ง ทรงเนรมิตขึ้นด้วยฤทธิ์ ๑๒๗ ขุ.เถร. (บาลี) ๒๖/๓๗๓/๓๕๑, ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๕๕๗/๔๓๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๗ จุลปันถกสาเร็จพระอรหัต ท่านนั่งเอามือคลาผ้าท่อนเล็กที่พระศาสดาประทานนั้น ภาวนาว่า รโชหรณ รโชหรณ เมื่อท่านลูบคลาอยู่ เช่นนั้น ผ้าผืนนั้นก็เศร้าหมอง เมื่อ ท่านลูบคลาอยู่บ่อย ๆ ก็กลายเป็นเหมือนผ้าเช็ดหม้อข้าว ท่านอาศัยความ แก่กล้าแห่งญาณ เริ่มตั้งความสิ้นไป และความเสื่อมไปในผ้านั้น คิดว่า ผ้านี้ โดยปกติสะอาดบริสุทธิ์ เพราะอาศัยอุปาทินนกสรีระ จึงเศร้าหมอง แม้จิตนี้ ก็มีคติเป็น อย่างนี้เหมือนกัน พระศาสดาทรงทราบว่า จิตของจุล ปันถกะขึ้นสู่วิปัสสนาแล้ว จึง ตรัสว่า จุลปันถกะ เธออย่ากระทาความสาคัญว่า ท่อนผ้า เก่านั่นเท่านั้นเป็น ของเศร้าหมองย้อมด้วยฝุ่นธุลี แต่ ธุลีคือราคะเป็นต้นเหล่านั้นมีอยู่ในภายใน เธอจงนาธุลีคือราคะเป็นต้นนั้นไปเสีย แล้วทรงเปล่งโอภาสเป็นผู้มีพระรูป โฉมปรากฏเหมือนประทับนั่งอยู่เบื้องหน้าได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า ราคะเรียกว่า ธุลี แต่ฝุ่นละอองไม่ เรียกว่าธุลี คาว่า ธุลีเป็นชื่อ ของราคะ ภิกษุ ทั้ง หลายเหล่านั้ นละธุ ลีนั้ นได้แล้ ว ย่อ มอยู่ใ น ศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี โทสะ เรียกว่าธุลี แต่ฝุ่น ละอองไม่เรียกว่า ธุลี คาว่าธุลีนี้ เป็นชื่อของโทสะ ภิกษุทั้งหลาย เหล่านั้นละธุลีนั้นได้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ ปราศจากธุลี โมหะ เรียกว่า ธุลี แต่ฝุ่นละอองไม่เรียกว่า ธุลี คา ว่าธุลีนี้ เป็นชื่อของโมหะ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นละธุลีนั้ นได้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี ในเวลาจบคาถา พระจุ ล ปั น ถกะบรรลุ พ ระอรหั ต พร้ อ มด้ ว ย ปฏิสมั ภิทาทั้งหลาย ดังนั้น การบริกรรมให้ตรงกับสภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันนั้นจึงเป็น สิ่ง สาคัญ อีกประการหนึ่งของการปฏิ บัติธรรม เพราะเมื่อบริกรรมให้ตรง สภาพธรรมแล้ วจั กท าให้ค วามจริง ของสภาพธรรมนั้น ปรากฏขึ้ นมาและ สามารถกาหนดระลึกรู้จนสามารถหยั่งเห็นไตรลักษณ์และบรรลุธรรมได้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๘ วิธีบริกรรม อยู่ในอิริยาบถยืน ให้บริกรรมว่า ยืนหนอๆๆ อยู่ในอิริยาบถเดิน ให้บริกรรมว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ อยู่ในอิริยาบถนั่ง ให้บริกรรมว่า นั่งหนอๆๆ นั่งหนอ ถูกหนอ พองหนอ ยุบหนอ อยู่ในอิริยาบถนอน ให้บริกรรมว่า นอนหนอๆๆ ถูกหนอ หรือ พองหนอ ยุบหนอ อยู่ ใ นอิ ริ ย าบถใดๆ ให้ บ ริ ก รรมตามอิ ริ ย าบถนั้ น ๆ เช่ น คู้ แ ขน ให้บริกรรมว่า คู้หนอๆๆ เป็นต้น เสวยเวทนาคือความรู้สึ กสุข ให้บริกรรมว่า สุขหนอๆๆ หรื อ บริ ก รรมในใจให้ ตรงกั บ อาการความรู้ สึ ก ที่เ ป็ น สุ ข เช่ น เมื่ อรู้ สึ ก เบา ให้ บริกรรมว่า เบาหนอๆๆ รู้สึกสบาย ให้บริกรรมว่า สบายหนอๆๆ เป็นต้น เสวยเวทนาคือความรู้สึกทุกข์ บริกรรมว่า ทุกข์หนอๆๆ หรือ บริกรรมให้ตรงกับอาการความรู้สึกที่เป็นทุกข์ เช่น เมื่อรู้สึกปวด ให้บริกรรม ว่า ปวดหนอๆๆ เจ็บ บริกรรมว่า เจ็บหนอๆๆ เป็นต้น เสวยเวทนาคือความรู้สึกเฉยๆ ให้บริกรรมว่า เฉยหนอๆๆ หรือ บริกรรมให้ตรงกับอาการความรู้สึกที่เฉย เช่น นิ่ง ให้บริกรรมว่า นิ่งหนอๆๆ สงบ ให้บริกรรมว่า สงบหนอๆๆ เป็นต้น รู้อารมณ์ทางจิต คื อ เมื่ อจิตโลภ ให้ บริกรรมว่า โลภหนอๆๆ ชอบหนอๆๆ ต้องการหนอ รู้อารมณ์ทางจิต คือ เมื่อจิตโกรธ ให้บริกรรมว่า โกรธหนอๆๆ ไม่ชอบหนอๆๆ เกลียดหนอๆๆ รู้อารมณ์ทางจิต คือ เมื่อจิตหลง ให้บริกรรมว่า หลงหนอๆๆ หรือ เหม่อหนอๆๆ ลอยหนอๆๆ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๑๙ รับรู้อารมณ์ทางอายตนะ ตาเห็นรูป บริกรรมว่าเห็นหนอๆๆ ฯลฯ รับรู้อารมณ์ทางใจ คือ ความพอใจ ความไม่พอใจ ให้บริกรรมว่า พอใจหนอๆๆ ไม่พอใจหนอๆๆ รับรู้อารมณ์ทางใจ คือ ความง่วง ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย ให้บริกรรมว่า ง่วงหนอๆๆ ฟุ้งซ่านหนอๆๆ ลังเลสงสัยหนอๆๆ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมพึงบริกรรมตามอาการหรือความรู้สึกตามที่ ปรากฏตามความเป็นจริง หรือตามที่จิตรู้สึกได้ในขณะปัจจุบัน อุปมา : เหมือนการใช้ยารักษาให้ถูกกับอาการของโรค เช่น ปวด ขา ก็ให้กินยาแก้ปวดขา แต่ถ้าให้กินยาแก้ปวดท้องก็ไม่หายจากโรคปวดขา ฉะนั้น การบริกรรมจะต้องบริกรรมให้ตรงกับอาการหรือความรู้สึกที่กาลัง ปรากฏเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันยกเว้นไม่รู้ว่าจะบริกรรมว่าอะไร ให้บริกรรมว่ารู้ หนอๆๆ การบริกรรมจึงจัดว่าเป็นภาวนา เรียกว่า บริกรรมภาวนา อตีต นานฺวาคเมยฺย ยทตีต ปหีน ต ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺม อสหิร อสกุปฺปํ นปฺปฏิกงฺเข อนาคต อปฺปตฺตญฺจ อนาคต ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ต วิทฺธา มนุพฺรูหเย ม. อุ. ๑๔. ๒๗๒. ๒๔๑ “ อดีตดับไปแล้ว อนาคตยัง มาไม่ถึง จึง ไม่ควรคานึง ถึง อดีต ไม่มุ่งหวังอนาคต พึงเจริญวิปัสสนาญาณให้รู้แจ้งสภาวธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ อันตัณหาทิฏฐิไม่อาจฉุดรั้ง และทาให้วิบัติได้ ” แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๐ พองยุบ๑๒๘ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรในกายานุปัสสนา สติปัฏฐานหมวด อานาปานสติว่า คาว่า ภิกษุไปป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปยัง เรือนว่างก็ดี นี้เป็นเครื่องแสดงการกาหนดเอาเสนาสนะอันเหมาะแก่การ เจริญสติปัฏฐานของภิกษุนั้น เพราะจิตของเธอซ่านไปในอารมณ์ทั้งหลายมี รูปเป็นต้นมานาน ย่อมไม่ประสงค์จะลงสู่วิถีแห่ง กรรมฐาน คอยแต่จะแล่น ออกนอกทางท่าเดียว เหมือนเกวียนที่เทียมด้วยโคโกงฉะนั้น เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมผู้จะเจริญสติปัฏฐานนี้ ประสงค์จะ ทรมานจิต ที่ร้าย ที่เ จริญมาด้ว ยการดื่มรส มีรู ปารมณ์เป็ นต้น มานาน พึ ง พรากออกจากอารมณ์ เช่นรูปารมณ์เป็นต้น แล้วเข้าไปป่าก็ไ ด้ โคนไม้ก็ไ ด้ เรือนว่างก็ได้ แล้วเอาเชือก คือสติผูกเข้าไว้ที่หลัก คืออารมณ์ของสติปัฏฐาน นั้น จิตของเธอนั้นแม้จะดิ้นรนไปทางนั้นทางนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์ที่คุ้นเคยมา ก่อน ไม่อาจตัดเชือก คือสติให้ขาดแล้วหนีไปได้ ก็จะแอบแนบสนิทเฉพาะ อารมณ์นั้นอย่างเดียว ด้วยอานาจเป็นอุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา เหมือนอย่างคนเลี้ยงโค ต้องการจะทรมานลูกโคโกงที่ดื่มนมแม่ โคตัวโกงจนเติบโต พึงพรากมันไปเสียจากแม่โค แล้วปักหลักใหญ่ไว้หลักหนึ่ง เอาเชือกผูกไว้ที่หลักนั้น ครั้งนั้น ลูกโคของเขานั้นก็จะดิ้นไปทางโน้นทางนี้ เมื่อไม่อาจหนีไ ปได้ ก็ หมอบหรือนอนแนบหลัก นั้นนั่นแล ฉะนั้น เหตุนั้ น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า๑๒๙ ยถา ถมฺเภ นิพนฺเธยฺย วจฺฉ ทม นโร อิธ พนฺเธยฺเยว สก จิตฺต สติยารมฺมเณ ทฬฺห ๑๒๘ ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหกัมมัฏฐานจริยะ พุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์, วิปัสสนาธุระ, (ชลบุรี : C ๑๐๐ DESIGN CO., ๒๕๓๖), หน้า ๒๕๐ – ๒๕๓. , พระภัททันตะ อาสภเถระ ธรรมาจริยะ, วิปัสสนาจารย์, บันทึกเรียบ เรียงโดย พระมหาวิลาศ ญาณวโร, หน้า ๔. ๑๒๙ ขุ.ป.อ. (ไทย) ๗/๕/๑๙๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๑ นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจิตของตน ไว้ในอารมณ์ให้มั่นด้วยสติ เหมือนคนเลี้ยงโค เมื่อจะฝึกลูกโค พึงผูกมันไว้ที่หลักฉะนั้น เสนาสนะนี้ ย่อมเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุผู้เจริ ญสติ ปัฏฐานนัน้ ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า คานี้เป็นเครื่องแสดง การก าหนดเสนาสนะอันเหมาะแก่ การเจริญ สติปั ฏ ฐานของภิ กษุนั้ นดัง นี้ เพราะฉะนั้น ต้องกาหนดจิตไปที่ฐานลมที่ถูกกระทบคือผนังท้อง หากจับลม ไม่ได้ ให้จับความเคลื่อนไหว พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) ๑๓๐ อธิ บายเพิ่มเติมว่า การ บริ กรรมแบบพองยุบ สามารถจัด เข้ า ในกายานุ ปัส สนาสติ ปั ฏฐาน หมวด อิริยาบถและหมวดสัมปชัญญะ เพราะคาว่า “...กิริยาท่าทางอย่างใด ๆ...” หมายถึงอากัปกิริยาทางกาย เช่น การเดิน ยืน นั่ง นอน เหยียด คู้ ขับถ่าย รวมทั้งอาการพองและอาการยุบของท้องด้วย พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร หมวดอิริยาบถว่า ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา ตถา น ปชานาติ กายของภิกษุดารงอยู่โดยอาการใดๆ ก็กาหนดรู้กายนั้นโดยอาการนั้นๆ๑๓๑ ในคัมภีร์สังยุตตนิกาย พระพุทธองค์ตรัสว่า “โผฏฺ พฺเพ อภิชาน ปริชาน วิราชย ปชห ภพฺโพ ทุกฺขกฺขยาย”๑๓๒ แปลว่ า “ผู้ ที่ ส ามารถก าหนดรู้ แ จ้ ง สามารถคลายก าหนั ด สามารถละโผฏฐัพพารมณ์ที่มากระทบได้ ย่อมเป็นผู้สามารถบรรลุนิพพาน ซึ่งเป็นที่ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง” ๑๓๐ ดูใน พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปัสสนานัย เล่ม ๑, หน้า ๒๒๙-๒๓๑. ๑๓๑ ๑๓๒ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๕/๓๗๒, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. ส.สฬา.อ. (บาลี) ๑๘/๒๖/๑๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๒ นอกจากนี้ยังตรัสว่า “โผฏฺ พฺเพ ภิกฺขเว โยนิโส มนสิกโรถ, ธมฺมานิจฺจตญฺจ ยถาภูต สมนุปสฺสถ”๑๓๓ แปลว่า “เธอทั้งหลาย (ภิกษุ) จงเอาใจใส่ กาหนดอารมณ์ที่มากระทบโดยแยบคาย และจงกาหนดความ ไม่เที่ยงของอารมณ์นั้นด้วย” ธาตุลมในท้อง การก าหนดอาการพองยุ บ ของท้ อ ง ยั ง จั ด เป็ น ธาตุ ก รรมฐานที่ เรียกว่า วาโยธาตุ (ธาตุลม) โดยสภาวะพองและยุบ เกิดจากลมในท้องที่ดัน ให้พองออกและยุบลงในขณะที่มีการหายใจเข้าออก อาศัยวาโยธาตุ ท้องจึง เกิดการเคลื่อนไหวเป็นอาการพองยุบ ทั้งหมดจัดเป็นโผฏฐัพพรูป หมวด อายตนะ ซึ่งอยู่ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธาตุลมมีสภาวลักษณะดังนี้ มีการตึงหย่อน เป็นลักษณะ มีการเคลื่อนไหวจากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหนึ่ง เป็นหน้าที่ มีการผลักดัน เป็นอาการปรากฏ โดยธาตุ ลมที่ ท าให้ เ กิ ด อาการพองยุ บ เป็ น ธาตุ ล มในช่ อ งท้ อ ง เรียกว่า“กุจฉิสยวาโย” ซึ่งสอดคล้องกับคาสอนของพระพุทธองค์ที่ปรากฏ ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ว่า ธาตุลมแบ่งออกเป็น ๖ ชนิด คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่า ลมในท้อง ลมในลาไส้ ลมแล่นไปตาม อวัยวะน้อยใหญ่ และลมหายใจเข้าออก๑๓๔ การบริกรรมแบบพองยุบสามารถจัดเข้าในธัมมานุ ปัสสนา เพราะ วาโยธาตุ (ธาตุลม) ที่ทาให้ท้องเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นอาการพองและยุบ จัดเป็นรูปขันธ์ในหมวดขันธ์ ๕ จัดเป็นโผฏฐัพพายตนะในหมวด-อายตนะ ๑๒ และจัดเป็นทุกขสัจในหมวดสัจจะ ๔๑๓๕ ๑๓๓ ส.สฬา.อ. (บาลี) ๑๘/๑๕๙/๑๓๔. ม.ม. (บาลี) ๑๓/๑๓๘/๑๓๗, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๑๗/๑๒๘. ๑๓๕ พระโสภณมหาเถระ(มหาสีสยาดอ),วิปัสสนานัยเล่ม ๑, หน้า ๒๒๙. ๑๓๔ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๓ อาการเคลื่ อนไหวของหน้ าท้ อง ที่ เกิ ดจากลมหายใจ เรีย กอี ก อย่างหนึ่งว่า วาโยโผฏฐัพพะรูป (รูปที่ลมกระทบถูกต้อง) เป็นปรมัตถ์สภาวะ ที่เกีย่ วเนื่องด้วยการเคลื่อนไหวเพราะมีวาโยธาตุ เมื่อท้องเคลื่อนไหวพองยุบ ให้ผู้ปฏิบัติธรรมมีสติในการกาหนดรู้ จะทาให้เกิดวิชชาความรู้แจ้งกายใจขึ้น เพราะอวิชชาหายไปดังปรากฏข้อความในคัมภีร์สังยุตตนิกาย พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ว่า “โผฏ พฺเพ อนิจฺจโต ชานโต ปสฺสโต อวิชฺชา ปหิยติ วิชฺชา อุปฺปชฺชาติ” “ผู้ป ฏิ บัติ ธ รรมบุค คลที่ โ ผฏฐั พพารมณ์ ถูก ต้ องสั มผั ส นั้น ตั้ง สติ กาหนดรู้เห็นอยู่ว่าไม่เที่ยง บุคคลนั้นอวิชชาหายไป วิชชาญาณปรากฏ” ๑๓๖ ท่านมหาสี สะยาดอ (พระโสภณ มหาเถระ) แสดงไว้ในหนัง สือ วิสุทธิญาณกถา ว่า “อถ วา ปน นิสิ นฺนสฺ ส โยคิโ น อุทเร อสฺ สาสปสฺสาสปจฺ จยา ปวตฺ ต วาโยโผฏ พฺ พรู ปํ อุ นฺน มนโอนมนากาเรน นิร นฺต ร ปากฏฺ โหติ ตมฺ ปิ อุ ป นิ สฺ ส าย อุ นฺ น ม ติ โอนมติ อุ นฺ น มติ โอนมตี ติ อาทิ น า สลฺ ล กฺ เขตพฺพ” “ผู้ปฏิบัติธรรมบุคคลเมื่อนั่งลงแล้ว ในบริเวณท้องนั้น อัสสาสะ ปัสสาสะวาโยธาตุเป็นเหตุเป็นปัจจัย วาโยโผฏฐัพพรูปนี้ปรากฎชัดเจนอยู่ เสมอ ในขณะนั้นพึงตั้งสติกาหนดเจริญวิปัสสนา ภาวนาว่า พองหนอ-ยุบ หนอ พองหนอ-ยุบหนอ”๑๓๗ ๑๓๖ ธนิต อยู่โพธิ์, วิปัสสนานิยม, พิมพ์ครั้งที่ ๗. กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐, หน้า ๓๕. ๑๓๗ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิสุทธิญาณกถา หน้า ๗ และ ๕๒ อ้างใน ธนิต อยู่โพธิ์, วิปัสสนานิยม, หน้า ๓๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๔ “นนุ จ ตชฺชาปญฺ ตฺติวเสน สภาวธมฺโม คยฺหตีติ? สจฺจ คยฺหติ ปุพฺพภาเค. ภาวนาย ปน วฑฺฒมานาย ปญฺ ตฺตึ สมติกฺกมิตฺวา สภาเวเยว จิตฺต ติฏฺ ติ.”๑๓๘ ถามว่า บุคคลย่อมรับรู้สภาวธรรมโดยเนื่องด้วยบัญญัติได้หรือ ตอบว่า จริงอยู่ในเบื้องแรกย่อมรับรู้โดยเนื่อ งด้วยบัญญัติ (คือยังคงรับรู้ถึง รูปร่างสัณฐานต่างๆและยังคงรับรู้คาบริกรรมสลับกันไป)แต่เมื่อภาวนาเจริญ ขึ้นแล้ ว จิต ย่อมล่ วงบัญ ญั ติแล้ วดารงอยู่ ในสภาวะอย่างเดียว (คือรู ปร่า ง สัณฐานต่างๆ หายไป และไม่มีคาบริกรรมประกอบร่วม) พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรฐานกายานุปัสสนา สติปั ฏฐานว่า “ดู กรภิก ษุทั้ง หลาย ข้ อปฏิบั ติอี กอย่ างหนึ่ ง คือ ภิ กษุ ย่อ ม พิจารณาเห็นกายนี้ ตามที่ดารงอยู่ ตามที่เป็นไปอยู่ โดยความเป็นธาตุว่า ธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุไฟ และธาตุลม มีอยู่ในกายนี้” การตามรู้ สภาวะพองยุ บ จั ด เป็ น ธาตุ ก รรมฐานคื อ ธาตุ ล มที่ อ ยู่ ภายในท้อง (กุจฺสฉิวาโยธาตุ) ตามพระบาลีข้างต้น โดยสภาวะพองยุบเป็น ลมในท้องที่ดันให้พองออกเมื่อหายใจเข้า และหดยุบลงไปเมื่อหายใจออก การกาหนดสภาวะพองยุบ จึงจัดได้ว่าได้รับรู้สภาวะลักษณะธาตุลม ดังนี้คือ สภาวะตึงหย่อนของธาตุลมที่เป็นโผฏฐัพพารมณ์เป็นลักษณะของ วาโยธาตุ (วิตฺถมฺภนลกฺขณา) ฉะนั้น ในการกาหนดรู้สภาวตึงของผนังท้องที่ ดันออกมาว่า พองหนอนั้นเป็นการกาหนดในลักษณะของวาโยธาตุ การทาให้เคลื่อนไหวจากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหนึ่ง เป็นหน้าที่ ของวาโยธาตุ (สมุทีรณรสา) การเคลื่อนไหวของผนังท้องจากภายในคือจากท้องยุบเคลื่อนมา เป็นท้องพองเป็นหน้าที่ของธาตุลม ๑๓๘ วิสุทธิ.ฏี. ๑/๓๑๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๕ การผลักดัน เป็นอาการปรากฏของวาโยธาตุ(อภินีหารปจฺจุปฏฺ าน) การผลักดันให้ผนังท้องพองออกมาและดันยุบลงไปเป็นอาการ ปรากฏของธาตุลม วิธีการกาหนดรู้พองยุบ พองยาว ยุบยาว นักปฏิบัติต้องกาหนดรู้ชัดว่าพองยาวยุบยาว แล้วบริกรรมว่า พองหนอ ยุบหนอ พองสั้น ยุบสั้น นักปฏิบัติต้องรู้กาหนดชัดว่าพองสั้นยุบสั้นแล้ว บริกรรมว่า พอง.....ยุบ พอง.....ยุบ เท่านั้น ไม่ต้องใส่หนอ พองเร็ว ยุบเร็ว นักปฏิบัติธรรมต้องกาหนดรู้ชัดว่าพองเร็วยุบเร็ว แล้วบริกรรมว่า รู้หนอๆๆ ให้บริกรรมธรรมดาไม่ต้องเร่งความเร็วให้เท่ากัน พองยุบแผ่วๆ นักปฏิบัติต้องรู้ชัดว่าพองยุบแผ่วๆ แล้วกาหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ หรือรู้หนอ หรือนามือไปแตะหน้าท้องรับรู้ถึงสภาพการ กระทบสัมผัสของผนังท้องและมือ บริกรรมตามอาการ พองยุบไม่ปรากฏ นักปฏิบัติต้องกาหนดรู้ชัดว่าพองยุบไม่ปรากฏ ให้ย้ายไปกาหนดอาการนั่งและจุดที่ก้นย้อย ๒ ข้าง หรือมือที่ถูกกันอยู่ และ บริกรรมว่า นั่งหนอ ถูกหนอ แทน แล้วค่อยสังเกตดู พองยุบ พองยุบแน่นตีขึ้นหน้าอก นักปฏิบัติต้องกาหนดรู้ชัด แล้วกาหนด ว่า แน่นหนอๆ เมื่อรู้สึกถึงความแน่นชัดเจนให้ระลึกรู้เบาๆ ถ้าไม่ไหวให้ย้าย ไปกาหนดนั่งหนอถูกหนอแทน ผู้ ป ฏิ บั ติ ธ รรมต้ อ งพยายามก าหนดรู้ ลั ก ษณะ หน้ า ที่ อาการ เคลื่อนไหวของลม คือพองยุบให้จดจ่อต่อเนื่องให้เป็นวิหารธรรม๑๓๙ ดังเช่น พระพุทธองค์เจริญอานาปานสติเป็นวิหารธรรมโดยมาก ดังพุทธพจน์ว่า๑๔๐ ๑๓๙ ๑๔๐ วิหารธรรม คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๘๕/๔๖๕. ส.ม. (บาลี) ๑๙/๑๓๒๙/๔๐๑, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๙๘๕/๔๖๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๖ ภิกษุ ท.! แม้เราเองก็เหมือนกัน ในกาลก่อนแต่การตรัสรู้ ยังไม่ได้ ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม คืออานาปานสติสมาธินี้ เป็นส่วนมาก เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก กายก็ไม่ลาบาก ตาก็ ไม่ลาบาก และจิตของเราก็หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่มีอุปาทาน ภิกษุ ท.! เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ ถ้าภิกษุหวังว่า กายของเราก็อย่า ลาบาก ตาของเราก็อ ย่ าล าบาก และจิ ต ของเราก็จ งหลุ ด พ้น จากอาสวะ เพราะไม่มีอุปาทานเถิด ดังนี้แล้ว; ภิกษุนั้นจงทาในใจ ในอานาปานสติสมาธิ นี้ให้เป็นอย่างดี อุปมาเหมือนบุคคลอยู่กลางท้องมหาสมุทรต้องการว่ายน้าไปให้ถึง ฝั่งจักต้องมีที่พึ่งเกาะกายพาตัวไปให้ถึ งฝั่ง หากขาดที่พึ่งเสียแล้วคงต้องจม อยู่ในห้วงท้องทะเลมหาสมุทรเป็นอาหารปู ปลา เต่า ต่อไป ฉันใด ก็ดี ผู้ปฏิบัติธรรมผู้ปฏิบัติจึงจาเป็นที่จะต้องมีที่พึ่งให้กับใจ เพื่อพาไปให้ถึง ฝั่ง พระนิพพาน ไม่ปล่อยให้จิตใจจมอยู่กับความโลภ โกรธ หลง และจมอยู่ใน สังสารวัฏการเวียนว่ายตายเกิด ฉันนั้น ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมต้องพยายามตามกาหนดลักษณะอาการของ ลมเหล่ า นี้ เพื่ อ ยั ง สติ ใ ห้ สมบู ร ณ์ เมื่ อ สติ ปั ฏ ฐานสมบู ร ณ์ โพชฌงค์ ๗ ก็สมบูรณ์ เมื่ อโพชฌงค์ ๗ สมบูรณ์ มรรค ๘ ก็สมบูรณ์ สามารถบรรลุ มรรคผลพระนิพพานได้ โย จ วสฺสสต ชีเว อปสฺส อุทยพฺพย เอกาห ชีวิต เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพย. ขุ. ธ. ๒๕. ๑๑๓. ๓๗ “ ผู้หยั่งเห็นความเกิดดับแห่งสังขาร มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ประเสริฐกว่า ชีวิตตั้งร้อยปีของผู้ไม่หยั่งเห็น ” แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๗ หนอ อันว่า “หนอ” “หนอ” นี้ แสนดีนัก ใครรู้จัก นาไปใช้ จะได้ผล คิดพูดทา พร่าหนอก่อน อย่าร้อนรน จงฝึกตน ภาวนา สถาพร การกาหนดรู้ตามอาการนั้น ผู้ปฏิบัติใหม่จาเป็นต้องใช้คาภาวนา อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสื่อให้เกิดความตั้ งมั่น (ขณิกสมาธิ) คาภาวนาต่างๆ ไม่ควรจะยาวหรือสั้นเกินไป จานวนพยางค์ที่เหมาะสมสาหรรับการกาหนด คือ การใช้อักษรเพียง ๒ พยางค์ ซึ่งช่วงระยะของการกาหนดพอดีกับที่ อาการสิ้นสุดลง พร้อมที่อาการใหม่จะปรากฏขึ้นให้กาหนดครั้งใหม่อีก จากอุ บายนี้ พระอาจารย์ ภัททัน ตะอาสภมหาเถระ เขียนไว้ใ น หนัง สือวิปัสสนาทีปนีฎีกาถึงเหตุที่เลือกคาว่า หนอ ต่อท้าย ผสมเข้ามาใน การกาหนดภาวนาขณะเดินจงกรมและนั่ งสมาธิ เช่น พองหนอ ยุบหนอ เพราะคาว่า “หนอ” จัดว่าเป็นคาสุภาพ ไม่หยาบคาย หรือไม่น่ารังเกียจ เหมือนคาอื่นบางคา และนอกจากนี้สามารถใช้เป็นสื่อของการฝึกในใจให้ทัน กับกิริยาอาการที่กาลังกระทาอยู่หรือกาลังรู้อยู่๑๔๑ ความหมายคาว่า หนอ คาว่า หนอ มาจากภาษาบาลี คือ วต , นุ แปลว่า หนอ ตามหลัก ไวยากรณ์ภาษาบาลี๑๔๒ คาว่า หนอ (วต)เป็นนิบาตทาบทให้เต็มเท่านั้นไม่มีความหมายอะไร ส่วนการรู้สภาพธรรมที่กาลังปรากฏ ไม่จาเป็นต้องใส่คา หรือกาหนดอะไร ๑๔๑ ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ, วิปัสสนาธุระ, หน้า ๒๕๐ – ๒๕๓. , พระภัททันตะ อาสภเถระ ธรรมาจริยะ, วิปัสสนาจารย์, บันทึกเรียบเรียงโดย พระ มหาวิลาศ ญาณวโร, หน้า ๒๕๓ – ๒๕๖. ๑๔๒ ธนิต อยู่โพธิ์, วิปัสสนานิยม, หน้า ๓๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๘ ในบาลีพุทธฏีกามีคานี้ปรากฏอยู่ดั้งเดิมเช่น อนิจฺจา วต ไม่เที่ยง หนอ อญฺญาสิ วต ได้รู้แล้ว หนอ อโห วต โอ้ หนอ ดังนี้เป็นต้น๑๔๓ วต แปลว่า หนอ ก็ได้ แปลว่า ธรรมที่ยัง สรรพสั ตว์ให้ข้ามซึ่ง วัฏฏสงสารก็ได้ ดังวิเคราะห์ว่า วฏฺฏสสาร ตาเรตีติ วโต (ธมฺโม) ธรรมใด ย่อมยังสรรพสัตว์ให้ข้ามซึ่งวัฏฏสงสาร ฉะนั้น ธรรมนั้น ชื่อว่า หนอ๑๔๔ เมื่อวิปัสสนากรรมฐานจาเป็นต้องใช้ขณิกสมาธิเช่นนี้ แต่เวลาที่ ปฏิบัติเข้าจริง การณ์กลั บปรากฏว่าในขณะที่โยคาวจรบุคคล กาหนดรู้ตาม อาการโดยคาภาวนานั้น ขณิกสมาธิมีกาลังอ่อนปรากฏไม่ชัดเจน อาทิเช่น การตั้งสติกาหนดภาวนาในใจว่า พองนั้น อาการพองนั้นจะปรากฏตั้งอยู่นาน กว่าคาภาวนา คือเพียงแต่อาการพองปรากฏได้ครั้งหนึ่ง คาภาวนาว่า พอง ก็หมดเสียแล้ว แต่อาการพองยังมีอยู่ต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้สมาธิที่เกิดจากคา ภาวนาว่า พอง ก็สะดุดหยุดลงไม่ติดต่อไปตามสภาวะของอาการพอง ซึ่งยัง ปรากฏต่อไปอย่างชัดเจน ใจของผู้ปฏิบัติธรรมบุคคลก็จะกระวนกระวาย เพราะสมาธิมีกาลังน้อยเกินไป แต่ถ้าเติมคาภาวนาลงไปอีกคาหนึ่งก็จะเป็น การเพิ่มกาลังให้สมาธิตั้งอยู่นาน พอดีกับอาการที่ปรากฏตามความเป็นจริง ฉะนั้น ท่านจึงบัญญัติให้เพิ่มคาว่า หนอ ซึ่งตรงกับคาบาลีว่า วต เข้าด้วย เมื่อเติมเข้าเช่นนี้ สมาธิย่อมจะดาเนินไปได้โดยสะดวกดี เปรี ยบ เหมือนกับแสงสว่างของไฟนีออน ขณะกาลังไฟตกย่อมปรากฏแสงสว่างวัน หนึ่งแล้วดับไปเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ เพราะกาลังไฟไม่พอ หากได้หม้อเพิ่มไฟ มาช่วย แสงสว่างก็จะแจ่มจ้าไม่มืด สลัวหรือดับอีกต่อ ไป เป็น กัมมัญ ญตา ควรแก่งาน ฉันใด คาว่า หนอ ก็เปรียบได้กับหม้อเพิ่มไฟ คือท่านเพิ่มเข้ามา เพื่อให้สมาธิมีกาลังพอสมควร เมื่อสมาธิได้กาลังพอดี ก็เป็นสมาธิที่เรียกได้ ว่า กมฺมญฺ ตา ควรแก่การเจริญวิปัสสนา ๑๔๓ ๑๔๔ ธนิต อยู่โพธิ์, วิปัสสนานิยม, หน้า ๓๓. เรื่องเดียวกัน. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๒๙ หนอ คือ สักแต่ว่า พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) อธิบายคาว่า หนอ ที่นามาประกอบคาภาวนานั้น หมายถึง “สักแต่ว่า” เช่น เห็นหนอ หมายถึง สักแต่ว่าเห็น เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ได้มีจิตใจผูกพันเกาะเกี่ยว สิ่งที่เห็นเป็นเพียง รูป การรู้ในใจเป็นนาม แต่การกาหนดรูปนามนั้นยังช้าไป หากใช้คาว่า หนอ จะเกิดสติรู้ได้เท่าทันเร็วกว่า หรืออย่างคาว่า เจ็บหนอก็หมายถึงสักแต่ว่าเจ็บ ทั้งนี้ย่อมโยงไปถึงความเข้าใจที่ว่า ความเจ็บย่อมมีกับแต่ละบุคคล เป็นธรรมดา จะได้ไม่ถือมั่น ไม่ใส่ใจ ความเจ็บจิตมุ่ง จะเข้าสู่สภาวธรรมที่ เกิดขึ้น จึงเป็นวิถีทางที่ทาให้มีความเจริญหน้าในการปฏิบัติขั้นสูงต่อไปได้ การปฏิบัติต้องการปัญญา คือ วิปัสสนาปัญญา หรือวิปัสสนาญาณ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องทาอินทรีย์ ๕ ให้สมดุล ในขณะท้องพองขึ้นก็มีค้างไว้นิดนึง สมาธิไม่มีกาลั งและคาบริกรรมไม่พอดีกับสภาวธรรม เพราะฉะนั้นต้องใส่ หนอจึงมีกาลัง เหมือนไฟตกต้องใช้เครื่องปั่นไฟช่วย ทาให้เป็นเพียงสักว่ารู้ เท่านั้น ไม่ปรุงแต่งต่อว่าเป็นอะไรหรือรู้อะไร เมื่อไม่ปรุงแต่งก็ไม่ทุกข์ ดังนั้น พระพุท ธเจ้า จึง ทรงตรั สกั บพระพาหิยะว่า “เมื่ อใดเธอเห็น สัก แต่ ว่า เห็ น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ฯลฯ เมื่อนั้นเธอจะพ้นบ่วงของมารได้” พาหิยะ ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดา โดยตรัสสอน ให้สารวมอินทรีย์ คือ เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส และสัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส เท่านั้น อย่ายินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น และหมั่นสาเหนียกศึกษาในไตรสิกขา คือ ศี ล สมาธิ ปั ญญา อยู่ เ ป็ น นิ ต ย์พ าหิ ยะ ส่ ง กระแสจิ ต ไปตามกระแส พระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลในทันที ดัง นั้น ผู้ปฏิบัติธรรมผู้ปฏิบัติพึงกาหนดโดยใช้คาว่าหนอต่อท้าย ทุกๆ ครั้ง เพื่อยังจิตไม่ให้ปรุงแต่งสภาพธรรมที่รับรู้ และพี ยงให้จิตรับรู้เพียง สักแต่ว่ารู้เท่านั้น ไม่ยึดติดใดๆ ในโลก ดังพระบาลีในมหาสติปัฏฐานว่า แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๐ “อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏ ตา โหติ ยาวเทว าณมตฺตาย ปติสฺสติมตฺตาย อนิสฺสิโต จ วิหรติ น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ” กาย มีอยู่ เพียงเพื่อไว้ระลึกรู้เท่านั้น สักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้เท่านั้น ย่อมไม่ยึดติดใดๆ (ขันธ์) ในโลก๑๔๕ (แม้เวทนา จิต และ ธรรม เช่นเดียวกัน) ประโยชน์ของหนอ [พระครูประคุณสรกิจ (๒๕๓๗ : ๔๖)] ๑. ทาให้เกิดสังเวชได้ง่าย ๒. ทาให้เกิดสมาธิได้เร็ว ๓. เพิ่มกาลังของขณิกสมาธิ ๔. ทาให้รู้ปัจจุบันได้เร็ว ๕. สติที่เกิดสามารถกาหนดรูปนามได้ชัด ๖. คั่นรูปนามให้ขาดระยะ ๗. ทาให้แยกรูปนามออกจากกันได้ง่าย ๘. ทาให้ไตรลักษณ์ปรากฏชัด สรุปได้ว่า คาว่า วต หนอ นี้มีประโยชน์มากต่อการปฏิบัติธรรม ซึ่งต้องใช้ปัญญาและความเพียรอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ใน การที่ท่านบัญญัติคานี้ไว้ สาหรับเป็นประโยคเข้ากับคาภาวนาตามสภาวะ ของรูปนามปรากฏ นับว่าเป็นวิธีการที่แยบยลควรแก่การสรรเสริญเป็นที่สุด ซึ่งผู้มีปัญญาจักษุเท่านั้นที่จะคิดและเห็นตามได้ เห็นไม่เที่ยง ไม่ไปแก้ ตามแต่เรื่อง เห็นด้วยญาณ ๑๔๕ อย่างเดียว รู้เท่า เกิดดับ ปล่อยวาง ไม่เที่ยวแส่ เหล่าสังขาร กับอาการ จิตว่างเอย ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๒/๒๔๙ , ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๗/๑๐๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๑ การกาหนดต้นจิต การกาหนดต้นจิต คือ การใส่คาว่าอยากเข้าไป ตรงต้นของความรู้ (ความรู้สกึ แรก) ตรงหทัยวัตถุ หรือตรงลิ้นปี่ เพื่อเป็นการพัฒนาอินทรีย์และ สติสมาธิปัญญาของผู้ปฏิบัติธรรม ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ความหมายของต้นจิต หมายถึง ธรรมที่เป็นเหตุ ซึ่งในตัวเรามี ๒ อย่าง คือ กาย (รูป) กับ ใจ (นาม) ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ดังที่พระองค์ ทรงตรั ส ว่ า “มโนปุ พฺ พ งฺ ค มา ธมฺ ม า มโน เสฏฺ า มโนมยา” ธรรมทั้ ง หลายมี ใ จเป็ น ใหญ่ เป็ น ประธาน ทุ ก อย่ างล้ ว นเกิด จากใจ ๑๔๖ ฉะนั้น ถ้าใจไม่สั่งก็เคลื่อนไหวไม่ได้ ใจจึงเป็นเหตุให้เคลื่อนไหว ใจคือต้นจิต ร่างกายเหมือนหุ่นกระบอก คนเชิดคือใจ ร่างกายไม่สามารถรับรู้อะไรได้ จะแสดงอาการอะไรได้ ต้องอาศัยใจสั่ง (บงการ) การก าหนดต้ น จิ ต หรื อ ความอยากนี้ เช่ น อยากลุ ก อยากนั่ ง อยากนอน เป็นการฝึกจิตให้อยู่กับอาการเคลื่อนไหวและอิริยาบถต่างๆ ของ ร่า งกาย เพื่อ ฝึ ก ให้ เ ป็ นคนมี สติ สั ม ปชัญ ญะมากขึ้ น ๑๔๗ เช่น ขณะนั่ ง อยู่ ก็ ก าหนดรู้ ตั ว ว่ า นั่ ง อยู่ และถ้ า จะลุ ก ขึ้ น ก่ อ นจะลุ ก ขึ้ น ยื น ให้ ก าหนดว่ า อยากลุกหนอๆ ๆ (๓ ครั้ง) ขณะลุกก็ควรเคลื่อนไหวช้า ๆ และกาหนดไป ตามอาการและอิริยาบถ โดยให้กาหนดไปพร้อมกันว่า ลุกหนอๆ ๆ (๓ ครั้ง ) ขณะยืนกาหนดว่า ยืนหนอๆ ๆ คู้แขนเข้ามากาหนดว่า อยากคู้หนอๆ ๆ (๓ ครั้ง) เมื่อคู้แขนแล้วกาหนดว่า คู้หนอๆ ๆ (๓ ครั้ง) เป็นต้น ผู้ปฏิบัติใหม่ ส่วนมากมักจะเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถไปโดยมิไ ด้กาหนดรู้ไว้ก่อน แต่นึกได้ภายหลังบ้าง บางครั้งกาหนดสับสนไปบ้าง ทั้งนี้หากไม่ท้อถอยและ พากเพียรในการฝึกหัดต้นจิตนี้อย่างสม่าเสมอ สติจ ะค่อย ๆ มั่นคงขึ้นเป็น พื้นฐานแก่การกาหนดขั้นสูงต่อไป ๑๔๖ ๑๔๗ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๑๑/๑๕ , ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๓. ธนิต อยู่โพธิ, วิปัสสนานิยม, หน้า ๕๗ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๒ ต้นจิตเป็นการกาหนดธรรมปัจจุบัน กาหนดต้นจิตเพื่อให้รู้เท่าทันปัจจุบันมากขึ้นเพราะการที่เราจะ เคลื่ อ นไหวได้ เ ป็ น เพราะจิ ต นั้ น ได้ ป ระมวลผลมาเสร็ จ เรี ย บร้อ ย เราจึ ง กาหนดต้นจิตว่าอยากเพราะการที่เราเคลื่อนไหวได้เพราะเรามีความอยากที่ จะเคลื่อนไหวก่อน เช่น ในการเดิน จิตที่ประมวลผลเสร็จแล้ว ยังธาตุลมให้ แล่นไป ธาตุลมยังธาตุดินให้เคลื่อนไหว เท้าจึงเคลื่อนไหวไปได้ นักปฏิบัติจึง ต้องกาหนดให้ทันปัจจุบันเท่าทันความรู้สึกปัจจุบัน การปฏิบัติธรรมนั้น จะต้องเน้นธรรมที่เป็นปัจจุบันที่กาลังเกิดขึ้น ดัง พุ ทธพจน์ว่า “ปจฺ จุปนฺ นญฺ จ โย ธมฺ ม ตตฺถ ตตฺถ วิป สฺส ติ อสงฺหิ ร อสงฺกุปฺปํ ต วิทฺธา มนุพฺรูหเย” ผู้ใดเห็นธรรมที่เป็นปัจจุบัน เขาควรพอก พูน (กาหนด) ธรรม (ปัจจุบัน) เช่นนั้นไว้ ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน”๑๔๘ ฉะนั้น ก่อนที่เราจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว หากสามารถรับรู้ได้ว่า จิตใจต้องการที่จะลุกยืน ต้องการที่จะเดิน ต้องการที่จะนั่ง ฯลฯ ก่อนกระทา กิรยิ าอาการนั้นๆ แสดงว่าปัจจุบันที่เรารับรู้คืออาการของนามธรรมหรือจิต สั่ง นั่นเอง นักปฏิบัติจึงควรกาหนดรู้สภาพธรรมที่เป็นปัจจุบันนั่นคือความ ต้องการหรือความอยากที่จะทากิริยาอาการนั้นๆ ก่อน คาว่า อยาก คือ ฉันทะธรรม ธรรมที่เป็นกุศล หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเรามาปฏิบัติเพื่อลด เพื่อละ เพื่อบรรเทา กิเ ลสตั ณ หาราคะมิ ใ ช่ห รื อ แต่ ทาไมครู บ าอาจารย์ ให้ อ ยากโน่น อยากนี่ ดังนั้น จึงต้องอธิบาย คาว่า “อยาก” ในที่นี้ไม่ใช่กิเลสตัณหาหรือโลภ แต่ เป็นกุศลคือเป็นฉันทะ เพื่อให้ท่านมีความพึงพอใจในการปฏิบัติ เมื่อเกิด พอใจจะได้มีความขยัน (วิริยะ) ในการกาหนดและมีจิตจดจ่อกับสภาวธรรม (จิตตะ) และเห็นอาการต่างๆ ตามความเป็นจริง (วิมังสา) ๑๔๘ ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๒๗๔/๓๔๘, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๗๒/๓๒๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๓ การกาหนดต้นจิต เรามักใช้คาว่า "อยาก" เป็นตัวแทน ซึ่ง คานี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับโลภะ แต่ในที่นี้ถือเป็นคากลางๆ เพราะจะดีจะชั่ วอยู่ที่ สมุฏฐาน อุปมาเหมือนมีด เมื่อนาไปฆ่าคนก็เหมือนโทษ หากนาไปทาครัว ทากั บข้ า วก็ เ ป็น ประโยชน์ ขึ้ น อยู่ กั บสมุ ฏฐานของเจตนา ถ้ าเราอยาก รับประทานอาหาร จะมี โลภะเป็นสมุฏฐาน แต่ ถ้าพบคนไม่ถูกชะตา อยาก ทาร้ายเขา อยากในที่นี้มีโทสะเป็นสมุฏฐาน ถ้าเราอยากรักษาศีล อยาก เจริญสติกรรมฐาน ก็จะมีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน คือ สติ เพราะฉะนั้น อยากใน ที่นี้คือตัวกุศล เรียกว่า ฉันทเจตสิก เมื่อมีฉันทะคือความพอใจในการปฏิบัติ ในการเจริญสติ ในการ กาหนดรู้ จะท าให้เ กิด ความขยั น ความอุต สาหะ ความพากเพี ยรในการ กาหนดรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป ใจจะเกิดการจอจ่อในสิ่งที่ทาในคาที่พูดมากขึ้น เรียกว่า จิตตะ จนสามารถรู้รูปนามได้ตามเป็นจริง เกิดวิมัง สาคือรู้จักรูป รู้จักนาม รู้จักความไม่เที่ยง รู้จักความเป็นทุกข์ รู้จักรูปนามนั้นบัง คับบัญ ชาไม่ไ ด้ เช่นพองเปลี่ยนเป็นยุบ หายใจเข้าเปลี่ยนเป็นหายใจออกเป็นต้น ทั้งหมดนี้ เป็นองค์ธรรมที่นาไปสู่ความสาเร็จ คือ อิทธิบาท ๔ เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล บางครั้งนักปฏิบัติมีความอยากที่เป็นความโลภจริงๆ เช่น อยากกิน อาหารที่เห็นอยู่ อยากรู้ อยากเห็น อยากบรรลุธรรม ฯลฯ โลภะคือความ โลภจักอาศัยเกิดขึ้นได้ การกาหนดต้นจิตจึงสามารถเปลี่ยนจากอกุศลคือ ความโลภเจตสิกให้เป็นกุศลคือสติเจตสิกหรือฉันทะเจตสิกได้ ดังเช่นเรื่อง พระโพธิสัตว์ผจญพญามารและเสนามาร ถูกมวลเหล่าเสนามารใช้อาวุธต่างๆ เข้ามาทาร้ายให้ลุกขึ้นจากบัลลังก์ แต่พระโพธิสัตว์ใช้ขันติ สัจจะ อธิษฐาน บารมี เปลี่ยนจากอาวุธเหล่านั้นกลับกลายเป็นพวงมาลาดอกไม้บูชา๑๔๙ ๑๔๙ บุญเพียร ปุญญวิริโ ย,พระมหา.สื่อ คอมพิวเตอร์ช่ว ยสอน ชุด พุท ธ ประวัติฉบับ CD-ROM.เชียงใหม่ : ศูนย์บริการวิชาการ ,มจร.วิทยาเขตเชียงใหม่. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๔ ดังนั้น เมื่อนักปฏิบัติเกิดอกุศล เช่น ความเกียจคร้านขึ้นภายในจิต จึง ต้ องกาหนดระลึ กรู้ ความเกี ยจคร้ านนั้น ๆ เพื่ อเปลี่ ยนให้ เป็ น กุ ศลหรื อ ฉันทะ คือความพอใจในการปฏิบัติ ในการเจริญสติ ในการกาหนดรู้ แล้วจะ ทาให้เกิดความขยันขันแข็งในการยืน เดิน นั่ง นอน มีความเพียรในการ ตามรู้ตามกาหนด กาย เวทนา จิต ธรรม มีวิริยะในการปฏิบัติ จิตจะสามารถ จดจ าสภาพธรรมต่ า งๆ ได้ ชั ด เจน และสามารถระลึ ก ได้ ทั น ที นี้ เ รี ย กว่ า สติเกิดขึ้น จิตก็จดจ่อกับสภาพธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแห่งการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้กระทบสัมผัสต่างๆ จิตจะเข้าไปจดจ่อได้มากขึ้น ทาให้ เกิดเป็นขณิ กสมาธิ สุดท้ายเห็นว่าสภาพธรรมที่กล่าวมาทั้ง หมดนั้น ไม่ว่า สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ดับไป นี้เรียกว่าปัญญา ซึ่งเป็นองค์ธรรมของอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ในธรรมที่เป็นฝ่ายแห่งการตรัสรู้นั่นเอง ประโยชน์การกาหนดต้นจิต ประโยชน์ของการกาหนดต้นจิต นอกจากดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยัง สามารถท าให้เ กิ ด ประโยชน์ อีก หลายอย่ า ง อาทิ เช่น ท าให้ อิ ริ ย าบท เชื่องช้าลง ทาให้สามารถกาหนดอิริยาบทย่อยได้ง่าย และเป็นปัจจัยให้การ ยังวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นโดยง่ายและป้องกันกิเลสที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้นด้วย ดังเช่นเรื่องพระนันทะ ก่อนท่านจะหันดูสิ่งใดในทิศทางไหนย่อมประมวลสื่อ ทั้งหมดมาที่ใจแล้วหันดูทางทิศนั้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า๑๕๐ “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุจะเรียกนันทะให้ถูกต้อง พึงเรียกว่า กุ ล บุ ต ร ว่ า ผู้ มี ก าลั ง ผู้ ก่ อ ให้ เ กิ ด ความเลื่ อ มใส ผู้ มี ร าคะกล้ า ดู ก รภิ ก ษุ ทั้งหลายข้อความนี้ย่อมมีเพราะเหตุไร เพราะว่า นันทภิกษุคุ้มครองทวารใน อินทรีย์ทั้งหลายรู้ประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรอันเป็นเหตุให้ตื่น อยู่ เ สมอ ประกอบด้ ว ยสติ สั มปชั ญ ญะ อั นเป็ น เหตุ ใ ห้นั น ทภิก ษุ ส ามารถ ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ได้ ฯ” ๑๕๐ องฺ.สตฺต. (ไทย) ๒๓/๙/๒๑๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๕ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาเหตุเ หล่านั้น ข้อนี้แลย่อมมีไ ด้เพราะ นันทภิกษุคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้ง หลาย หากนันท ภิกษุพงึ เหลียวไปทางทิศบูรพาไซร้ นันทภิกษุก็ย่อมสารวมจิตทั้งปวงเหลียวดู ทิศบูรพา ด้วยคิดว่าเมื่อเราเหลียวดูทิศบูรพาอย่างนี้ ธรรมอันเป็นบาปอกุศล คือ อภิชฌาและโทมนัสจักไม่ครอบงาจิตเราได้ เธอย่อมเป็นผู้รู้สึกตัวในการ เหลียวดูนั้นด้วยประการฉะนี้ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย หากนันทภิก ษุพึง เหลียวไปทางทิศ ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ทิศเบื้องต่า ทิศเบื้องบน พึงเหลียวแลไปตามทิศน้อยทั้งหลาย ไซร้ นันทภิกษุย่อมสารวมจิตทั้งปวงเหลียวไปทางทิศน้อย ด้วยคิดว่า เมื่อเรา เหลียวแลไปตามทิศ น้อยอย่างนี้ ธรรมอั นเป็นบาปอกุศล คือ อภิชฌาแล โทมนัส จักไม่ครอบงาจิตเราได้ เธอย่อมรู้สึกตัวในการเหลียวแลนั้นด้วย ประการฉะนี้ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ข้อนี้ แลย่ อมมี ไ ด้ เพราะนัน ทภิก ษุเป็ น ผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ฯ วิธีการกาหนดต้นจิต ทางกาย - อยากยืนหนอๆๆ อยากเดินหนอๆๆ อยากกลับหนอๆๆ อยากนั่งหนอๆๆ อยากลุกหนอๆๆ อยากหันหนอๆๆ ทางเวทนา - อยากขยับหนอๆๆ อยากเปลี่ยนหนอๆๆ อยากหายหนอๆๆ ทางจิต - อยากคิดหนอๆๆ อยากนึกหนอๆๆ อยากหายหนอๆๆ (เมื่อฟุ้ง) ทางธรรม - อยากเห็นหนอๆๆ อยากฟังหนอๆๆ อยากรู้หนอๆๆ อยากกินหนอๆๆ เป็นต้น หมายเหตุ : เมื่อจิตเป็นโลภะให้กาหนดจนกว่าความรู้สึกอยากจะหายไป ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมต้องพยายามกาหนดต้นจิตอยู่เสมอในทุก ๆ กิริยาอาการความรู้สึก อยากเดินหนอ อยากนั่ง หนอ อยากลุกหนอ อยาก ขยับหนอ อยากเห็นหนอ อยากฟังหนอ อยากรู้หนอ เป็นต้น เมื่อกาหนด ได้อย่างนี้แล้วจักได้ทันปัจจุบันมากขึ้นและทากุศลให้เจริญ จนสามารถบรรลุ ถึงพระนิพพาน แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๖ ปริเฉทที่ ๒ การปฏิบัติธรรม แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๗ มหาสติปฏั ฐานสูตร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สติปัฏฐาน ๔ ว่าเป็นธรรม ที่ควรเจริญ ๑๕๑ ดั งปรากฎใน ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐/๓๗๒-๔๐๕/ ๓๐๑-๓๔๐ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒/๑๐๕-๑๓๘/๑๐๑-๑๓๑ สังยุตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙/๓๖๗- ๔๗๐ /๒๑๐-๒๘๐ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๓๑/๔๑/๕๐๖-๕๐๘, และ ๓๔-๓๕/๕๙๒-๕๙๖ พระอภิ ธ รรมปิ ฎ ก วิ ภั ง ค์ เล่ ม ๓๕/๓๕๕-๓๘๙/๓๐๖-๓๒๗ เป็ น ต้ น ดังปรากฏข้อความว่า๑๕๒ TP PT เอกายโน อย ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตาน วิสุทฺธิยา โสกปริเทวาน สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสาน อตฺถงฺคมาย ายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉกิ ิริยาย, ยทิท จตฺตาโร สติปฏฺ านา “ภิกษุทั้งหลาย ทาง ๑๕๓นี้เป็นทางเดียว๑๕๔ เพื่อความบริสุทธิ์ของ เหล่าสัตว์ เพื่อล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญาย ธรรม๑๕๕ เพื่อทาให้แจ้งนิพพาน ทางนี้ คือ สติปัฏฐาน๑๕๖๔ ประการ” ทาง สายนี้เป็นทางสายเดียวเท่านั้น ดังข้อความในอรรถกถาและฎีกาว่า ๑๕๑ ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๕๔/๒๔๕, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๔/๓๗๖. ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๓/๓๒๕, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๕/๑๐๑, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๖๗/๒๑๐-๒๑๑. ๑๕๓ ทาง หมายถึง ทางที่ผู้ต้องการพระนิพพานควรดาเนินไป (ที.ม.อ. (บาลี) ๓๗๑/๓๖๑) ๑๕๔ ทางเดีย ว หมายถึง เป็นทางที่บุค คลผู้ล ะการเกี่ยวข้องกับหมู่ค ณะ ประพฤติธรรมอยู่แต่ผู้เดียวเป็นทางของบุคคลผู้เดียว เป็นทางปฏิบัติในศาสนาเดียว คือ พระพุทธศาสนา เป็นทางสายเดียวที่ดาเนินไปสู่จุดหมายเดียว คือพระนิพพาน ที.ม.อ. (บาลี) ๓๗๓/๓๕๙ ๑๕๕ ญายธรรม หมายถึง อริยมรรค (ที.ม.อ. (บาลี) ๒๑๔/๑๙๗) ๑๕๖ สติปัฏฐาน ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติหรือการปฏิบัติมีสติเป็นประธาน (ที.ม.อ. (บาลี) ๓๗๓/๓๖๘, ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑๐๖/๒๕๓. ๑๕๒ แนวทางปฏิบัติธรรม อญฺโ ๑๓๘ เอกคฺมคฺ โคติ เอโก เอว มคฺโ ค น หิ นิ พฺพานคามิมคฺโ ค มคฺโค อตฺถีติ๑๕๗ คาว่า เอกมคฺโค แปลว่า ทางเดียวเท่านั้น เพราะไม่มีทางสายอื่น ที่มุ่งหน้าไปสู่พระนิพพานคนเดียว หมายความว่า เวลาปฏิบัติอยู่แต่ผู้เดียว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่พ้นจากหลักสติปัฏฐาน ๔ ไม่มีเลย ดังในคัมภีร์อรรถกถาแสดงไว้ว่า ยสฺมา ปน การยเวทนาจิตฺตธมฺเมสุ กญฺจิ ธมฺม อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ. ตสฺมา เตปิ อิมินาว มคฺเคน โสกปริเทเว สม ๑๕๘ ติกฺกนฺตาติ เวทิตพฺพา . “อนึ่ ง ขึ้ นชื่ อว่ าภาวนาย่อ มไม่มี โดยมิ ไ ด้ กาหนดธรรมอย่า งใด อย่างหนึ่ง ในกองรูป เวทนา จิต และสภาวธรรม ดัง นั้นควรทราบว่า แม้ สันตติอามาตย์และนางปฏาจาราเหล่านั้น ได้ล่วงพ้นความเศร้าโศกและ ความคร่าครวญด้วยหนทาง (คือสติปัฏฐาน) นี้” ๑๕๙ สติ คื อ การระลึ ก ได้ ก่ อ น หมายถึ ง ก่ อ นท า ก่ อ นพู ด ก่ อ นคิ ด ก่อนยืน ก่อนเดิน ก่อนนั่ง ก่อนนอน ก่อนเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ ฯลฯ ปัฏฐาน หมายถึง ธรรมที่เป็นหัวหน้า เป็นประธานในสัมปยุตต ธรรมทั้งหลายแล้ว (ที่เป็นที่ตั้ง ตั้งอยู่ การตั้งมั่น)ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ทั้งหลาย มีกายเป็นต้น ๑๖๐ TP ๑๕๗ PT ที.ฎี. ๒/๑๑๐. ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๖๒. ๑๕๙ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) ,วิปัสสนานัย เล่ม ๑, แปลโดยพระ คันธสาราภิวงศ์, (นครปฐม : ห้างหุ้นส่วนจากัด ซีเอไอ เซ็นเตอร์ จากัด, ๒๕๔๘), หน้า ๓๐. ๑๖๐ พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๓-๗ พิมพ์ ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจากัด ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๔๔), หน้า ๑๓๐. ๑๕๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๓๙ ปั ฎ ฐาน คื อ ที่ ตั้ ง แห่ ง การเกิ ด ขึ้ น ของสติ ดั ง มี บ ทวิ เ คราะห์ ว่ า ปติฏฺ าติ เอตฺถาติ ปฏฺ าน สติยา ปฏฺ าน สติปฏฺ าน สติปัฏฐาน คือ ที่ตั้งของสติ อุปมาเหมือนสิ่งที่ทาให้เกิดเสียง จะเป็นอะไรก็ได้เพราะสาระที่ ต้องการ คือ เสียงเท่านั้น ฐานที่จะทาให้เกิดสติก็เช่นเดียวกันมี ๔ ฐานเกิด ด้วยกัน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ดังนั้น สติปัฏฐาน ๔ จึงหมายถึง ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสติ หรือ การปฏิบัตทิ ี่มีสติเป็นประธาน๑๖๑ได้แก่การตั้งสติกาหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ให้ รู้เ ห็น เท่ าทั นตามสภาวธรรมที่เ ป็ น จริ ง การมี สติ กากับ ดูสิ่ ง ต่ างๆ และ ความเป็นไปทั้ง หลายโดยรู้เท่า ทันตามสภาวะของมั น ไม่ถูกครอบงาด้ว ย ความยินดีและยินร้าย (โมหะ) ที่ทาให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอานาจของกิเลส องค์ธรรมได้แก่ นาม-รูป ๑๖๒ TP PT มูลกาเนิดมหาสติปัฏฐานสูตร เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระสูตรนี้ ว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียว ก็เพราะชนชาวแคว้น กุรุสามารถรับเทศนา ทีล่ ึกซึ้งได้ เล่ า กั น ว่ า ชาวแคว้ น กุ รุ ไม่ ว่ า เป็ น ภิ ก ษุ ภิ ก ษุ ณี และอุ บ าสก อุบาสิกา มีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์อยู่เป็นนิจ ด้วยเสพปัจจัย คือฤดูเป็นที่ สบาย เพราะแคว้นนั้นสมบูรณ์ด้ วยสัปปายะ มีอุตุสัปปายะเป็นต้น ชาวกุรุ นั้นมีกาลังปัญญาอันร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์อุดหนุนแล้ว จึงสามารถรับ เทศนาที่ลึกซึ้งนี้ได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเห็นความเป็น ผู้สามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งอันนี้ จึงทรงยกกรรมฐาน ๒๑ ฐานะ ใส่ลงในพระ อรหั ต ตรั ส มหาสติ ปั ฏ ฐานสู ต รที่ มี อ รรถอั น ลึ ก ซึ้ ง นี้ แก่ ช าวกุ รุ เ หล่ า นั้ น ๑๖๑ ที.ม.อ. ๒/๓๗๓/๓๖๘, ม.มู.อ. ๑/๑๐๖/๒๕๓, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๓๕๕๓๘๙/๓๐๖-๓๒๗. ๑๖๒ แนบ มหานีรานนท์, วิสุท ธิ ๗, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท บุญศิริกา รพิมพ์ จากัด, ๒๕๔๖), หน้า ๕๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๐ เปรียบเสมือนบุรุษได้ผอบทองแล้ว พึงบรรจงใส่ดอกไม้นานาชนิดลงในผอบ ทองนั้ น หรื อว่ า บุ รุ ษได้ หี บทองแล้ว พึ งใส่ รั ต นะ ๗ ลงฉั น ใด แม้พ ระผู้ มี พระภาคเจ้าฉันนั้น ทรงได้บริษัทชาวกุรุแล้ว จึงทรงวางเทศนาที่ลึกซึ้ง ด้วยเหตุนั้นแล ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตร อืน่ ๆ อีก มีอรรถอันลึกซึ้งในคัมภีร์ทีฆนิกายนี้ ก็คือมหานิทานสูตร ในคัมภีร์ มัชฌิมนิกาย ก็คือ สติปัฏฐานสูตร สาโรปมสูตร รุกโขปมสูตร รัฏฐปาลสูตร มาคัณฑิยสูตร อาเนญชสัปปายสูตร เป็นต้น อนึ่ง บริษัท ๔ ในแคว้นกุรุนั้น ต่างประกอบเนืองๆ ในการเจริญ สติปัฏฐานอยู่โดยปกติ โดยที่สุด คนรับใช้และคนงานทั้งหลาย ก็พูดกันแต่ เรือ่ งที่เกี่ยวด้วยสติปัฏฐานกันทั้งนั้น แม้แต่ในที่ท่าน้า ที่กรอด้ายเป็นต้น ก็ไม่ มีการพูดกันถึงเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย ถ้าสตรีบางท่านถูกถามว่า คุณแม่จ๊ะ คุณแม่ใสใจสติปัฏฐานข้อไหน นางจะไม่ตอบว่าอะไร ชาวกุรุจะติเตียนเขาว่า น่าตาหนิชีวิตของเจ้าจริงๆ เจ้าถึงเป็นอยู่ ก็เหมือนตายแล้ว ต่อนั้นก็จะสอน เขาว่า อย่าทาอย่างนี้อีกต่อไปนะ แล้วให้ เขาเรียนสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง แต่สตรีผู้ใดพูดว่า ดิฉันใส่ใจสติปัฏฐานข้อโน้นเจ้าค่ะ ชาวกุรุก็จะกล่าวรับรอง ว่า สาธุ สาธุ แก่นาง สรรเสริญด้วยถ้อยคาต่างๆ เป็นต้นว่า ชีวิตของเจ้าเป็น ชีวิตดีสมกับที่เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุ บัติมาเพื่อ ประโยชน์แก่เจ้าแท้ๆ ในข้ อ นี้ มิ ใ ช่ ช าวกุ รุ ที่ เ กิ ด มาเป็ น มนุ ษ ย์ ป ระกอบด้ ว ยการใส่ ใ จ สติปัฏฐาน แต่พวกเดียวเท่านั้น แม้แต่สัตว์ดิรัจฉาน (นกแขกเต้า) ที่อาศัย ชาวกุ รุ อ ยู่ ก็ ใ ส่ ใ จเจริ ญ สติ ปั ฏ ฐานด้ วยเหมื อ นกั น ในข้ อ นั้ น มี เ รื่ อ งสาธก ดังต่อไปนี้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๑ เรื่องลูกนกแขกเต้า๑๖๓ เขาเล่าว่า นักฟ้อนราผู้หนึ่งจับลูกนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง ฝึกสอนมัน พูดภาษาคน (ตัวเองเที่ ยวไปแสดงการฟ้อนราในที่อื่นๆ) นั กฟ้อนราผู้นั้ น อาศัยสานักของนางภิกษุณีอยู่ เวลาไปในที่อื่น ๆ ลืมลูกนกแขกเต้าเสียสนิท แล้วไป เหล่าสามเณรีก็จับมันมาเลี้ยงตั้งชื่อมันว่า พุทธรักขิต วันหนึ่ง พระมหาเถรีเห็นมันจับอยู่ตรงหน้า จึงเรียกมันว่า พุทธ รักขิต ลูกนกแขกเต้าจึงขานถามว่า อะไรจ๊ะ แม่เจ้า พระมหาเถรีจึงถามว่า การใส่ ใ จภาวนาอะไรๆ ของเจ้ า มี บ้ า งไหม มั น ตอบว่ า ไม่ มี จ๊ ะ แม่ เ จ้ า พระมหาเถรีจึงสอนว่า ขึ้นชื่อว่าผู้อยู่ในสานักของพวกนักบวช จะปล่อยตัว อยู่ไม่สมควร ควรปรารถนาการใส่ใจบางอย่าง แต่เจ้าไม่ต้องสาเหนีย กอย่าง อื่นดอก จงท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ ก็พอ ลูกนกแขกเต้านั้น ก็อยู่ในโอวาทของพระเถรี ท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ อย่างเดียวแล้วเที่ยวไป วันหนึ่ง ตอนเช้ามันจับอยู่ที่ยอดประตู ผึ่งแดดอ่อน อยู่ แม่เหยี่ยวตั วหนึ่งก็เฉี่ยวมันไปด้วยกรงเล็บ มันส่ง เสียงร้อง กิริๆ เหล่า สามเณรีก็ร้องว่าแม่เจ้าพุทธรักขิตถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป เราจะช่วยมัน ต่างคว้า ก้ อ นดิ น เป็ น ต้ น ไล่ ต ามจนเหยี่ ย วปล่ อ ย เหล่ า สามเณรี น ามั น มาวางไว้ ตรงหน้า พระมหาเถรี ๆ ถามว่า พุ ท ธรั กขิ ต ขณะถูก เหยี่ย วจั บ ไป เจ้า คิ ด อย่างไร ลูกนกแขกเต้าตอบว่า แม่เจ้า ไม่คิดอะไรๆ ดอก คิดแต่เรื่ องกอง กระดูกเท่านั้นจ๊ะแม่เจ้า ว่ากองกระดูกพากองกระดู กไป จักเรี่ยราดอยู่ในที่ ไหนหนอ พระมหาเถรี จึง ให้ สาธุก ารว่ า สาธุ สาธุ พุ ทธรัก ขิ ตนั้ นจั กเป็ น ปัจจัยแห่งความสิ้นภพของเจ้า ในกาลภายภาคหน้าแล ๑๖๓ ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑๓๒/๖๓๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๒ แม้สัตว์ดิรัจฉานในแคว้นกุรุนั้น ก็ประกอบเนืองๆ ซึ่ง สติปัฏฐาน ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มี พระภาคเจ้าทราบถึง ความเจริ ญ แพร่หลายแห่งสติปัฏฐานของชาวกุรุเหล่านั้น จึงได้ตรัสพระสูตรนี้ อานิสงส์การเจริญสติปัฏฐานมี ๕ อย่าง๑๖๔ สตฺตาน วิสุทฺธิยา โสกปริเทวาน เพื่อความบริสุทธิ์(จากกิเลส)ของหมู่สัตว์ทั้งหลาย เพื่อล่วงพ้นเศร้าโศกเสียใจ ทุกฺขโทมนสฺสาน อตฺถงฺคมาย เพื่อดับทุกข์และโทมนัส ายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เพื่อบรรลุญายธรรมคือทาปัญญาให้ยิ่ง เพื่อทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อานิสงส์การปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรมตามหลัก สติปัฏฐานสูตรไว้ในตอนท้ายของพระสูตรนี้ว่า “ดูกรภิกษุทั้ง หลาย ก็ผู้ใด ผูห้ นึ่ง พึงปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ วัน เป็นอย่างน้อยหวังได้ ว่า เขาพึงหวังผลในปัจจุบันอย่างใดอย่างหนึ่ง ในจานวนผล ๒ อย่าง คือ ๑. จะได้บรรลุอรหัตตผล ๒. ถ้ายังมีอุปาทานเหลืออยู่ จะบรรลุอนาคามิผล ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของ เหล่าสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุเญยยธรรม (อริยมรรค) เพื่อทาให้แจ้งพระนิพ พาน หนทางสายนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๑๖๔ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๔ - ๔๐๕/๓๓๘ - ๓๔๐ , ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๗ – ๑๓๘/๑๒๘ – ๑๓๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๓ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า“ปุน จปร ภิกฺขเว ภิกฺขุ คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ, โต วา โตมฺหีติ ปชานาติ นิสินฺโน วา นิสินฺโนมฺหีติ ปชานาติ, สยาโน วา สยาโนมฺหีติ ปชานาติ, ยถา ยถา วา ปนสฺสกาโย ปณิหิโต โหติ ตถา ตถา น ปชานาติ.”๑๖๕ “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอีกประการหนึ่ง คือ ภิกษุเมื่อเดิน อยู่ ย่อมรู้ชัดว่าเดินอยู่ เมื่อยืนอยู่ ย่อมรู้ชัดว่ายืนอยู่ เมื่อนั่งอยู่ ย่อมรู้ ชัด ว่านั่ง อยู่ เมื่อนอนอยู่ ก็ย่อมรู้ชัดว่านอนอยู่ หรือว่า ภิกษุตั้ง กายไว้ด้ว ย อาการอย่างใดอยู่ ก็ย่อมรู้ชัดด้วยอาการอย่างนั้น ” ๑๖๖ กาย ในที่นี้หมายถึงลักษณะอาการของธาตุ ๔ โดยกาหนดเห็น ลักษณะอาการของกายที่ปรากฏอยู่ อันได้แก่ รูปขันธ์ ด้วยความเพียร ด้วย สัมปชัญญะ ด้วยสติ ไม่ยินดียินร้าย ดังพุทธดารัส ว่า “ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กาจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้๑๖๗ ตามดูกายย่อย คืออาการทั้งหมดในร่างกายนี้ กาหนดดูเป็นของ ไม่สวยงาม และความสาคัญผิดว่าสวยงาม เห็นเป็นพระไตรลักษณ์๑๖๘ การเจริญสติระลึกรู้อยู่ที่ อากัปกิริยาอาการร่างกายของตน โดย การสังเกตให้รู้ว่าร่างกายนี้มีสภาพที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพราะทนอยู่ ใน สภาพเดิ ม ไม่ ไ ด้ ( แม้ ชั่ ว คราว)และไม่ สามารถบั ง คั บ บั ญ ชาให้ เ ป็ น ไปตาม ต้องการได้ โดยการตามระลึกรู้อยู่แค่เพียงอาการของกายด้วยความเพียร ระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอเท่านั้น ซึ่งในฐานของกายนี้มี ๑๔ หมวดด้วยกัน คือ ๑๖๕ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๓๔/๑๐๕. ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๘/๑๐๔. ๑๖๗ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๓/๓๒๕, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. ๑๖๘ พระภาวนาพิศาลเมธี (ประเสริฐ), วิปัสสนาภาวนา, หน้า ๓๗๑. ๑๖๖ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๔ หมวดอานาปานสติ การเจริญสติระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก หมวดอิริยาบถ การเจริญสติระลึกรู้ความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ คือการยืน การเดิน การนั่ง และการนอน หมวดสัมปชัญญะ การเจริญสติระลึกรู้ความรู้สึกตัวอย่าง สม่าเสมอ เช่นความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของกาย คื อ ความเคลื่ อ นไหวมื อ การก้ ม การเงย การหยิบ การจับ เป็นต้น หมวดปฏิกูลลมนสิการ การเจริญสติระลึกรู้สิ่งปฏิกูลของร่างกาย (อาการ ๓๒) เป็นของสกปรก น่าเกลียด การเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของธาตุทั้ง ๔ คือ ลั ก ษณะของธาตุ ดิ น ธาตุ น้ า ธาตุ ล ม และธาตุไฟ หมวดธาตุมนสิการ หมวดนวสิวถิกะ การเจริญสติระลึกรู้ซากศพ ๙ อย่างมีซากศพ ที่เน่าเปื่อย ซากศพที่พองขึ้นอืด เป็นต้น สมุ ท ยธมฺ มานุ ปสฺ สี วา กายสฺ มึ วิห รติ , วยธมฺม านุป สฺ สี วา กายสฺมึ วิหรติ, สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา กายสฺมึ วิหรติ. ภิกษุย่อมเฝ้าตามดูสิ่งที่เกิดขึ้นในกายอยู่บ้าง เฝ้าตามดูสิ่งที่ดับไปใน กายอยูบ่ ้าง เฝ้าตามดูสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปในกายอยู่บ้าง อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฺ ิตา โหติ, ยาวเทว าณมตฺ ตาย ปติสฺสติมตฺตาย อนิสฺสิโต จ วิหรติ น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ. สติของเธอตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ เพื่อความรู้ เพียงเพื่ออาศัยระลึก เท่านั้น ตัณหาทิฎฐิไม่อิงอาศัย ไม่ยึดมั่นใดๆ ในโลก๑๖๙ ๑๖๙ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๓๘/๑๐๘, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๑๒/๑๐๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๕ การยืนภาวนา เมื่อยืนอยู่ อย่าอุตริ อย่ายืนบังหน้า คนแก่เรียน จงอย่าเหม่อ ยืนล้า เขาจะพา ยืนไม่ขวาง เผลอสติ ไปค้าเศียร กันติเตียน ทางสัญจร การกาหนดอิริยาบถยืน พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “ โต วา โตมฺหีติ ปชานาติ”๑๗๐ แปลความว่า “ เมื่อยืนอยู่ก็รู้ว่ายืนอยู่” หมายความว่า ให้ยืนตัวตรง และ ศีรษะตั้งตรงไม่ก้มหรือเงยหน้าวางเท้าทั้งสองเคียงคู่กัน ให้ปลายเท้าเสมอ กันและให้ห่างกันเล็กน้อย มือทั้งสองประสานกันไว้ข้างหน้าหรือข้างหลังก็ได้ สายตามองไปหรือทอดสายตาไปข้างหน้าประมาณ ๑ หรือ ๒ เมตร ตั้งสติไว้ ที่กาย รู้อาการของกายที่กาลังยืนตั้งตรงอยู่นั้น แล้วกาหนดพร้อมบริกรรม ในใจว่า “ยืนหนอๆๆ” นี้เรียกว่า ยืนกาหนด การยืนต้องรู้ชัดที่อาการยืน ๑๐๐ % กาหนดยืนให้รู้ทั่วทุกส่วน ป+ชานาติ ตรงไหนก็ได้ เพราะสาระสาคัญคือต้องการให้จิตได้อยู่กับกาย รู้ตรงไหน รู้ที่กายของตนๆ ในกายคตาสติสูตรพระองค์ทรงตรัสว่า กายคือ อาการ ๓๒ เกสา โลมา ฯลฯ นัก ปฏิ บั ติเ มื่อ ยื นต้ อ งเจริ ญ สติ รู้ ชัด ด้ ว ยการก าหนดรู้ ๓ อย่ า ง พร้อมกัน คือ อาการที่ยืนปัจจุบัน ใจที่รู้ และคาบริกรรมหรือคาพูดในใจ รู้ชัด ๓ ส่วนของร่างกาย คือตั้งแต่ศรีษะลงไปที่ท้อง จากส่วนท้อง ลงไปทีเ่ ข่า จากเข่าลงไปที่ปลายเท้า รู้ชัด ๒ ส่วนของร่างกาย คือตั้งแต่ศรีษะจนถึงเอว จากเอวลงไป ทีป่ ลายเท้า ๑๗๐ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๒๘๙, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๖ รู้ชดั ๑ ส่วนของร่างกาย คือตั้งแต่ศรีษะยันปลายเท้า โดยใช้เพียง แค่ความรูส้ ึกรู้โดยรวมหรือไล่ความรู้สึกลงไปที่ปลายเท้าแล้วย้อนกลับขึ้นมา หมายเหตุ : ถ้าสติสมาธิ ดีให้ไล่ความรู้สึก ได้ เนื่องจากวิธีการนี้ ต้องใช้ความมุ่งมั่นหรือการเพ่งสูง หรือจะยืนแล้วให้ถ่ายเทน้าหนักไปอีกข้าง ทีละข้างช้าๆ แล้วสังเกตดูอาการที่เคลื่อนไหวจากเท้าหนึ่งไปยังอีกเท้าหนึ่ง วิธีการปฏิบัติ ๑. ยืนตัวตั้ง ตรง คอตรง หน้าตรง หลังตรง มือไขว้กันไว้ข้างหน้าหรือ ข้างหลังก็ได้ ๒. ยกมือซ้ายมาที่ข้างลาตัวขยับไปด้านหลังวางที่หลังเอวแล้วยกมือขวา ตามมาวางทั บมือซ้า ย โดยมีสติ ระลึกรู้ สึกกาหนดอาการอิ ริยาบถ ในขณะยกมือนั้นๆ ใช้องค์ภาวนา “ขยับ...หนอ, พลิก....หนอ, ไป ....หนอ, วาง.....หนอ, ถูก.....หนอ” ๓. หรี่ตาเพียงครึ่งเดียว ทอดสายตาไปไกลประมาณ ๒-๓ เมตร ๔. สติระลึกรู้อาการยืน คือ ความรู้สึกที่ร่างกาย ที่ตั้งตรง แล้วกาหนด ว่า "ยืนหนอ" ๓ ครั้ง ๕. ขณะที่บริกรรมในใจว่า "ยืนหนอ" นักปฏิบัติต้องระลึกรู้สึกตัวว่ า ตนเองยืนอยู่จริงๆ ไม่ใช่นึกรูปภาพการยืนขึ้นมา ๖. จิตแนบแน่นกับความรู้สึกถึงอาการตั้งตรงของร่างกาย ควบคู่ ไปกับ คาบริกรรม สิ่งที่พึงเว้นขณะกาหนดยืน ๑. ไม่ควรหลับตา หรือสอดส่ายสายตาเพื่อหาอารมณ์อื่นๆ ๒. ไม่ควรก้มหน้าจนเกินไป หรือแหงนหน้ามองสิ่งอื่นๆ โดยไม่จาเป็น ๓. ไม่เพ่งดูสัณฐานบัญญัติส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยเฉพาะ เช่น ปลายเท้า หัวเข่า หน้าท้องตรงสะดือ หน้าอก ศีรษะ หน้าผาก ปลายผม เป็นต้น ควรกาหนดรู้เพียงแค่อาการหรือความรู้สึกตัว ขณะที่ยืนอยู่เท่านั้น แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๗ ประโยชน์ของการยืนกาหนด ๑. ทาให้การกาหนดเกิดความต่อเนื่องกัน ๒. จิตเป็นสมาธิได้ค่อนข้างง่าย ๓. ทุกขเวทนามีน้อย ใช้พื้นที่น้อยในการกาหนด ๔. ทาลายบัญญัติของรูปยืน เป็นสภาพรู้อาการ ๕. ทาให้เข้าใจสภาพของเหตุปัจจัย อันอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แม้พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ยังทรงประทับยืน ๗ วัน ในสัปดาห์ที่ ๒ ภายหลังการตรัสรู้ ณ อนิมิสเจดีย์ เรียกสถานที่ตรงนั้นว่า อนิมิส เจดีย์ พระองค์ ทรงด าเนิน ไปทางทิศ ตะวัน ออกเฉียงเหนือต้ นโพธิ์ ทรงยืนพิจารณาทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตร เลยตลอด ๗ วัน ทรงหวลระลึกถึงอดีตที่ทรงชาระกิเลสหมดสิ้นผ่องใส ที่ใต้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่ประทับยืนนั้นเรียกว่า อนิมิสเจดีย์ ที่พุทธคยาปัจจุบัน บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของต้นศรีมหาโพธิ์ มีเจดีย์เป็นอนุสรณ์อยู่ ลักษณะเจดีย์ทาสีขาว แม้ท่านอาตุมก็มีอธิการอันกระทาแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สั่ง สมบุญ อั นเป็ นอุ ป นิสัย แห่ง พระนิพพานไว้ ในภพนั้น ๆ ในกัป ที่ ๙๑ แต่ ภัท รกัป นี้ บั ง เกิ ดในเรื อ นแห่ งตระกูล ถึง ความเป็ น ผู้รู้ แ ล้ว เห็ น พระผู้ มี พระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิ ปัสสี ทรงด าเนิน ไปในระหว่ างถนน มีใ จ เลือ่ มใส ได้ทาการบูชาด้วยน้าหอมและจุณแห่งของหอม ด้วยบุญกรรมนั้น ท่า นบัง เกิ ดในเทวโลกท่ อ งเที่ ย วไปๆ มาๆ อยู่ ใ นเทวโลกเท่ านั้ น บวชใน ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ แล้วบาเพ็ญสมณธรรม แต่ไม่สามารถจะทาคุณพิเศษให้เกิดขึ้นได้เพราะญาณไม่แก่กล้า พระอาตุมะบรรลุในอิริยาบถยืน ครั้นในพุทธุปบาทกาลนี้ เกิดเป็นเศรษฐีบุตร ในพระนครสาวัตถีได้ มีน ามว่ า " อาตุ มะ" เมื่ อท่ า นเจริ ญวั ย แล้ ว มารดาปรึ ก ษากั บหมู่ ญ าติ ว่ า แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๘ พวกเราจักนาภรรยามาให้บุตรของเรา เขาพิจารณาใคร่ครวญดูเหตุนั้ นแล้ว อันเหตุสมบัติทักท้วงไว้ จึงคิดว่า“ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ครองเรือนแก่ เรา เราจักบวชในบัดนี้แหละ” ดังนี้แล้วไปบวชยังสานักของภิกษุทั้งหลาย มารดามีความประสงค์จะยังท่านผู้แม้บวชแล้วให้สึก เล้าโลมโดยนัยต่าง ๆ ท่านไม่ยอมให้โอกาสแก่มารดา เมื่อจะประกาศอัธยาศัยของตน ได้กล่าว คาถาว่า คนหนุ่มเหมือนหน่อไม้มียอดอันงอกงาม เจริญด้วย กิ่งก้านโดยรอบ ย่อมเป็นของที่บุคคลขุดขึ้นได้โดยยาก ฉันใด เมื่อโยมมารดานาภรรยามาให้อาตมาแล้ว ถ้าอาตมามีบุตรหรือธิดาขึ้น ก็ยากที่จะถอนตนขึ้น ออกบวชได้ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น อาตมาจึง ไม่ยินยอม บวชแล้ว ในบัดนี้ ดังนี้ ก็เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่นั่นแหละเจริญวิปัสสนา ยังกิเลสให้สิ้นไปตามลาดับแห่งมรรค ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว๑๗๑ ดังนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่าอิริยาบถยืนก็สามารถทาให้ได้บรรลุธรรม ได้เช่นเดียวกัน นักปฏิบัติจึงควรกาหนดสติในอิริยาบถยืนในขณะก่อนเดิน จงกรม ก่อนนั่งสมาธิหรือกาหนดยืนเพื่อแก้ไขสภาวธรรมมีความง่วง เป็นต้น ยโต ยโต สมฺมสติ ลภติ ปีติปาโมชฺช ขนฺธาน อุทยพฺพย อมตนฺต วิชานต. ขุ. ธ. ๒๕. ๓๗๔. ๘๒ “ เมื่อภิกษุหยั่งเห็นความเกิดขึ้นและความดับไปแห่ง ขันธ์ทั้ง หลายแล้ว ย่อมได้ความปีติปราโมทย์ซึ่ง เป็นสิ่ง อมตะสาหรับท่านผู้รู้ทั้งหลาย ” ๑๗๑ ขุ.เถร.อ. (ไทย) ๒/๒/๓๖๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๔๙ การเดินจงกรม เมื่อเดินไป ตามทาง ระหว่างวิถี อย่ารีบลี้ ลนขวาง กลางถนน อย่าเดินโน้ม ก้มหน้า จะพาชน อย่าร้อนรน เดินให้ดี ไม่มีภัย การปฏิ บั ติ นั้ น ในขั้ น แรกนั้ น จะต้ อ งฝึ ก จิ ต ให้ อ ยู่ กั บ กายก่ อ น เพราะโดยปกติทั่วไปแล้วเวลาเดินเป็นต้น จิตใจมักล่องลอยไปอยู่กับสิ่งอื่น ตลอดเวลา คือรูป เสียง กลิ่น เป็นต้น การเดินไปแบบนี้จึงไม่ใช่การเดินแบบ สติปัฏฐาน ซึ่งเป็นการเดินแบบสามัญชนทั่วไป เราอาจจะรู้ว่าเป็นการเดิน แต่ไม่ใช่เป็นการเดินแบบปฏิบัติธรรม ดังที่พระอรรถกถาจารย์ท่านกล่าวว่า “แม้สุนัขบ้านก็รู้ว่ามันเดิน” นักปฏิบัติจะเดินอย่างไรให้ต่างกับการเดินทั่วไป คือ จะต้องเดินช้ าๆ เพื่อให้เห็น อาการต่างๆ เมื่ อเห็น อาการ ต่างๆ จิตของเราจักเกิดสติขึ้นเพราะสติจะเกิดขึ้นได้จากการ จดจ าสภาวอาการต่ า งๆ ตามความเป็ น จริ ง ดั ง พระบาลี กล่าวถึงเหตุใกล้ที่ทาให้เกิดสติว่า “ถิรสญฺ าปทฎฺ านา” สติมีการจดจาอาการต่างๆ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด พระพุทธองค์ตรัสว่า“คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ”๑๗๒ เมื่อเดินอยู่กร็ ู้ชดั ว่าเดินอยู่ การเดินเพื่อให้มีสติระลึกรู้ การเดินอย่างไร คือ เดินต้ องรู้ ชัดถึง สภาพธรรมต่างๆ ไม่ว่าเท้า ไม่ว่าอาการเคลื่อนไป อาการ ต่างๆ ที่เกิดขึ้น สามารถรู้ได้ชัดว่าเท้าแต่ละข้างที่เหยียบพื้นอยู่นั้นอยู่อย่างไร รู้ชัดอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีสภาพเป็นอย่างไร เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นอย่างไร อย่างนี้เรียกว่ารู้ชัด ๑๗๒ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๒๘๙, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๐ สอดคล้องกับหลักวิปัสสนาว่า “อนิจฺจาทิวเสน วิวิเธน อากาเรหิ ธมฺเมหิ ปสฺสตีติ วิปสฺสนา” ปัญญาใด ย่อมเห็นสังขตธรรมมีขันธ์เป็นต้น ด้วยอาการต่างๆ มีความไม่เที่ยงเป็นต้น ฉะนั้น ปัญญานั้น จึง ได้ชื่อว่า วิปัสสนา๑๗๓ การปฏิบัติวิในการเดินจะต้องเห็นรายละเอีย ดต่างๆ ได้ชัดเจน อุ ป มาเหมื อ นกั บ การมองดู ม ดที่ เ ดิ น กั น เป็ น แถว ถ้ า เรามองดู ห ยาบๆ ไม่สังเกตจะเห็นเป็นเพียงแถวมดแถวเดียว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่ามดในแถวนั้น มีกี่ตัว มีลักษณะอย่างไร แต่ถ้าสังเกตุเราจะเห็นว่ามดที่เดินเป็นแถวนั้ น แท้จริง มีมดหลายตัวที่เดินต่อแถวกันอยู่ แต่ละตัวมีหนวดมีขา มีหัว มีก้น อย่างไร เรารู้ได้หมด เดินไปอย่างไรก็รู้ มีช่องว่างคั่นอยู่ในแต่ละตัวเราก็รู้ สภาพธรรมเหมือนกัน ถ้าหากใช้สัญญาความจาได้หมายรู้ เราจะ ไม่เกิดสติปัญญา และไม่สามารถดับทุกข์หรือพ้นทุกข์ไปได้ เพราะไม่สามารถ เห็ นความเป็ นจริ งของรู ปนามได้ ว่ าเป็น อนิจ จัง ทุ กขั ง อนั ตตาอย่ างไร ดัง นั้ น การขยับ เขยื้อ นเคลื่อ นไหว โดยเฉพาะการเดิ น จะต้ อ งเดิน ช้า ๆ จึงจะสามารถรู้สภาวธรรมเหล่านั้นได้ เริ่มจากการเห็นด้วยปัจจักขญาณว่า รูปแต่ละรูปที่เคลื่อนไหวไปนั้นเป็นคนละอัน กัน นามแต่ละนามมิใช่เป็นอัน เดียวกัน รูปยกเท้าอย่างหนึ่ง รูปเคลื่อนเท้าไปก็อย่างหนึ่ง รูปเท้าที่เหยียบ กั บ พื้ น ก็ เ ป็ น อี ก อย่ า งหนึ่ ง ไม่ ใ ช่ อั น หนึ่ ง อั น เดี ย วกั น แม้ น ามคื อ จิ ต ใจที่ รู้ เช่นเดียวกัน จิตที่ไปรู้อาการเท้ายกอย่างหนึ่ง จิตที่ไปรู้เท้าที่เคลื่อนไปก็อย่าง หนึ่ง จิตที่ไปรู้เท้าที่เหยียบกับพื้นก็เป็นอีกอย่างหนึ่งไม่ใช่อันหนึ่งอันเดียวกัน ชนปทกัลยาณีสูตร๑๗๔ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชาวสุมภะชื่อ เสทกะ ในแคว้นสุมภะ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลาย มาตรัสว่า ๑๗๓ ๑๗๔ ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๑๕๕/๓๒๘ ,อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑๐๐/๑๐๐. ส.ม.อ. (ไทย) ๕/๗๖๓/๔๕๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๑ “ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดารัสแล้ว พระผู้มี พระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า ‘มีนางงามในชนบท’ (นางงามในชนบท หมายถึง หญิง ที่งดงามกว่า หญิง อื่ นในชนบท เพราะ ประกอบด้วยความงาม ๕ อย่าง คือ (๑) มีผิวพรรณงาม (๒) มีเนื้องาม (มีมือ มีเท้า และริมฝีปากแดงงาม) (๓) มีเล็บงาม (๔) มีฟันงาม (๕) มีวัยงาม (แม้จะมีอายุ ๑๒๐ ปี ก็ยังงดงามเหมือนหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี)๑๗๕ จึงประชุม กัน ก็นางงามในชนบทนั้นน่าดูยิ่งนักในเวลาฟ้อนรา น่าฟังยิ่งนักในเวลาขับ ร้อง หมู่มหาชนได้ทราบข่าวอีกว่า ‘นางงามในชนบทจะฟ้อนรา จะขับร้อง’ จึงประชุมกันแน่นขนัดประมาณไม่ได้ ทีนั้น มีบุรุษคนหนึ่งผู้รักตัวกลั วตาย รักสุขเกลียดทุกข์เดินมา หมู่มหาชนพึงพูดกับเขาอย่างนี้ว่า ‘บุรุษ ผู้เจริญ ท่า นพึ ง น าภาชนะน้ ามั น ซึ่ ง เต็ ม เปี่ ยมนี้ ผ่ า นไประหว่ างที่ ป ระชุ ม ใหญ่ กั บ นางงามชนบท และจั ก มี บุ รุ ษ เงื้ อ ดาบติ ด ตามไปข้ า งหลั ง ๆ โดยบอกว่ า ‘ถ้าท่านจักทาน้ามันหกแม้เพียงหน่อยหนึ่งในที่ใด ศีรษะของท่านจักขาดตก ลงในที่นั้น’ ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร บุรุษ นั้นจะไม่ใส่ใจภาชนะน้ามันโน้นแล้ว เผลอนาไปในภายนอกเทียวหรือ” ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรายกอุปมานี้มา ก็เพื่อให้ เข้าใจเนื้อความชัดเจน เนื้อความในเรื่องนี้มีดังต่อไปนี้ คาว่า ‘ภาชนะน้ ามันซึ่ งเต็ มเปี่ย ม’ นี้เป็ นคาเรียกกายคตาสติ เพราะเหตุ นั้ น เธอทั้ ง หลายพึ ง ส าเหนี ย กอย่ า งนี้ ว่ า ‘กายคตาสติ จั ก เป็ น กรรมฐานที่พวกเราเจริญทาให้มาก ทาให้เป็นดุจยาน ทาให้เป็นที่ตั้งให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว’ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายพึงสาเหนียกอย่างนี้” ๑๗๕ ที.สี.อ. ๑/๔๒๖/๓๑๔, ส.ม.อ. (ไทย) ๕/๗๖๓/๔๕๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๒ การกาหนดอิริยาบถเดิน พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า“คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ ”๑๗๖ แปลความว่า “เมื่อเดินอยู่ก็รู้ชัดว่าเดินอยู่” หมายความว่า การเดิน ให้ยก เท้าขวาขึ้นช้าๆ ให้พ้นจากพื้นประมาณ ๑ ฝ่ามือตะแคงของผู้ปฏิบัติ แล้ว ก้าวเท้าออกไป หรือเคลื่อนเท้าไปข้างหน้าช้าๆ ไม่ให้สั้นไปหรือยาวไปแล้ว วางเท้าลงบนพื้นช้าๆ โดยวางให้เต็มเท้าพร้อมกับสติ กาหนดรู้ตั้งแต่เริ่มยก เท้าขวาไปจนถึงวางเท้าขวาลงบนพื้นว่า “ขวาย่างหนอ” ส่วนเท้าซ้ายก็มี วิธีกาหนดเช่นเดียวกับเท้าขวา คือ ยกเท้าซ้ายขึ้นจากพื้นแล้วก้าวออกไปวาง ลงบนพื้ น พร้ อ มกั บ สติ ก าหนดรู้ ตั้ ง แต่ เ ริ่ ม ยกเท้ า จนถึ ง วางเท้ า ลงพื้ น ว่ า “ซ้ายย่างหนอ” อย่างนี้เรียกว่า เดินกาหนด หรือเดินจงกรม ในอิริยาบถเดินนั้น พึงทราบความว่าแม้สัตว์ดิรัจฉานเช่นสุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้น เมื่อเดินไปก็รู้ว่าตัวเดิน ก็จริงอยู่ แต่ในอิริยาบถนั้น มิได้ ตรัสหมายเอาความรู้เช่นนั้น เพราะความรู้เช่นนั้น ละความเห็นว่า เป็นสัตว์ ไม่ไ ด้ เพิก ถอนความเข้ าใจว่า เป็ น สั ตว์ไ ม่ไ ด้ ไม่ จั ดว่ าเป็ น กรรมฐาน หรื อ สติปัฏฐานภาวนาเลย ส่วนการรู้ของภิกษุ (ผู้ ปฏิบัติธรรม) นี้ ย่อมละความเห็นว่าสัตว์ เพิกถอนความเข้าใจว่าสัตว์ได้ เป็นทั้ง กรรมฐาน และเป็นสติปัฏฐานภาวนา และคาที่ตรัสหมายถึง ความรู้ชัดอย่างนี้ว่ า ใครเดิน การเดินของใคร เดินได้ เพราะอะไร แม้ในอิริยาบถอื่นๆ มีการยืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน จะวินิจฉัยในปัญหาเหล่านั้น คาว่า ใครเดิน ความว่ า ไม่ใช่สัตว์หรือ บุคคลไรๆ เดิน คาว่า การเดินของใคร ความว่า ไม่ใช่การเดินของสัตว์ หรือ บุคคลไรๆ เดิน คาว่า เดินได้เพราะอะไร ความว่า เดินได้เพราะการแผ่ไ ป ของวาโยธาตุอันเกิดแต่การทาของจิต ๑๗๖ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๒๘๙, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๓ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ คือ จิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน จิตนั้นก็ทาให้เกิดวาโยธาตุๆ ก็ทาให้เกิดวิญญัติ ความเคลื่อนไหว การนาสกล กายให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอัน เกิดแต่การทาของ จิต เรียกว่าเดิน (ในขณะเดินมีเพียงกายที่เคลื่อนไหวกับใจที่รู้สึก ไม่มีตัวเรา) แม้ในอิริยาบถอื่นๆ มียืนเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน ก็ในอิริยาบถยืนเป็นต้นนั้น จิตเกิดขึ้นว่า เราจะยืน จิตนั้นทาให้ เกิดวาโยธาตุๆ ทาให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว การทรงสกลกายตั้งขึ้นแต่ พื้นเท้ าเป็น ที่สุด ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอัน เกิดแต่ การทาของจิ ต เรียกว่ายืน จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนั่ง จิตนั้นก็ทาให้เกิดวาโยธาตุๆ ก็ทาให้เกิด วิญญัติความเคลื่อนไหว ความคู้กายเบื้องล่างลง ทรงกายเบื้องบนตั้งขึ้น ด้วย ความไหวตัวแห่งวาโยธาตุอัน เกิดแต่การทาของจิต เรียกว่านั่ง จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนอน จิตนั้นก็ทาให้เกิดวาโยธาตุๆ ทาให้เกิดวิญญัติความเคลื่อนไหว การเหยียดกายทั้งสิ้นเป็นทางยาว ด้วยความไหวตัวแห่งวาโยธาตุ อันเกิดแต่ การทาจิต เรียกว่า นอน เมื่อภิกษุนั้นรู้ชัดอยู่อย่างนี้ ย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เขากล่าว กันว่า สัตว์เดิน สัตว์ยืน แต่โดยอรรถแล้ว สัตว์ไรๆ ที่เดิน ที่ยืนไม่มี ประดุจ คาที่กล่าวกันว่า เกวียนเดิน เกวียนหยุด แต่ธรรมดาว่า เกวียนไรๆ ที่เดินได้ หยุดได้เอง หามีไม่ ต่อเมื่อนายสารถีผู้ฉลาดเทียมโค ๔ ตัว แล้วขับไป เกวียน จึงเดิน จึงหยุด เพราะฉะนั้น คานั้นจึงเป็นเพียงบัญญัติสมมุติเรียกกันฉันใด กายเปรีย บเหมือ นเกวีย น เพราะอรรถว่าไม่รู้ ลมที่เ กิด จากจิ ต เปรียบเหมือนโค จิตเปรียบเหมือนสารถี เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน เราจะยืน วาโยธาตุที่ทาให้เกิดความ เคลื่อนไหวก็เกิดขึ้น อิริยาบถมีเดินเป็นต้น ย่อมเป็นไปเพราะความไหวตัว แห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่การทาของจิต ต่อแต่นั้น สัตว์ก็เดิน สัตว์ก็ยืน เราเดิน เรายื น เพราะเหตุ นั้ น ค านั้ น จึ ง เป็ น เพี ย งบั ญ ญั ติ ส มมุ ติ เ รี ย กกั น ฉั น นั้ น เหมือนกัน ด้วยฉะนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๔ นาวา มาลุตเวเคน ชิยาเวเคน เตชน ยถา ยาติ ตถา กาโย ยาติ วาตาหโต อย ยนฺต สุตฺตวเสเนว จิตฺตสุตฺตวเสนิท ปยุตฺต กายยนฺตมฺปิ ยาติ าติ นิสีทติ โก นาม เอตฺถ โส สตฺโต โย วินา เหตุปจฺจเย อตฺตโน อานุภาเวน ติฎฺเ วา ยทิ วา วเช เรือแล่นไปได้ด้วยกาลังลม ลูกธนูแล่นไปด้วย กาลังสายธนูฉันใด กายนี้อันลมนาไป จึงเดินไปได้ ฉันนั้น แม้ยนต์คือกายนี้ อันปัจจัยประกอบแล้ว เดิน ยืนและนั่งได้ด้วยอานาจสายชัก คือจิต เหมือนเครื่อง ยนต์ หมุนไปได้ด้วยอานาจสายชักฉะนั้นนั่นแหละ ในโลกนี้ สัตว์ใดเว้นเหตุปัจจัยเสียแล้วยังยืนได้ เดินได้ด้วยอานุภาพของตนเอง สัตว์นั้นชื่อไรเล่า จะมี ดังนี๑๗๗ ้ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ภิกษุนี้กาหนดอิริยาบถมีเดินเป็นต้น ซึ่งเป็นไปได้ด้วยอานาจเหตุปัจจัยเท่านั้นอย่างนี้ เมื่อเดินก็รู้ว่าเราเดิน เมื่อ ยืนก็รู้ว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ว่าเรานอน ดังนี้ คาว่า ก็ หรื อ กายของเธอตั้ งอยู่ โดยอาการใดๆ ก็ รู้ กายนั้ นโดย อาการนั้นๆ นี้เป็นคากล่าวรวมอิริยาบถทั้งปวง มีคาอธิบายว่า หรือกายของ เธอดารงอยู่โดยอาการใดๆ ก็รู้ชัดกายนั้นโดยอาการนั้นๆ คือกายนั้นอยู่โดย อาการเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน กายดารงอยู่โดยอาการยืน นั่ง นอน ก็รู้ชัดว่าเรา ยืน เรานั่ง เรานอน ๑๗๗ ที.อ. ๒/๓๘๒.พระธรรมธีรราชมหามุนี, วิปัสสนากัมมัฏฐาน (มหาสติปัฏ ฐาน), พิมพ์ครั้งที่ ๒, ๒๕๔๘,หน้า ๒๐๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๕ อานิสงส์ของการเดินจงกรม ๕ ประการ ๑๗๘ ๑. อทฺธานกฺขโม โหติ ทาให้เดินทางไกลได้ทน เช่น พระพุทธเจ้า ทรงเดินไปเผยแผ่ธรรมตลอด ๔๕ พรรษา บางครั้งเดินไกลถึง ๑๖ โยชน์ เช่น ตอนตรัสรู้ใหม่ๆ ทรงเดินทางไป ๗ วัน เพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ เป็นต้น ๒. ปธานกฺขโม โหติ ทาให้เป็นผู้มี ความเพียร หมายความว่า ทาให้เกิดความเพียรในการตามรู้สภาวธรรมต่างๆ ๓. อปฺปาพาโธ โหติ ทาให้เป็นผู้มีความไข้เจ็บน้อย หมายความว่า เพราะการเดินทาให้ร่างกายแข็งแรง ๔. อสิต ปีต ขายิต สายิต สมฺมาปริณาม คจฺฉติ ทาให้อาหารที่ กิน ดื่ม เคี้ยว ย่อยได้ดี เพราะการเดินจะช่วยในระบบการย่อยอาหารจึงทา ให้เกิดมีการเผาผลาญพลังงานตลอดเวลา ๕. จงฺกมาธิคโต สมาธิ จิรฎฺ ติโก โหติ สมาธิที่บรรลุในขณะเดิน จงกรมตั้งแน่วแน่อยู่ได้นาน เพราะเมื่อนั่ง กรรมฐานจิตใจจะจดจ่อได้ดีกับ สภาพธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น คือจิตใจจะไม่วอกแวก คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ อานิสงส์สูงสุดสามารถทาให้นักปฏิบัติธรรมบรรลุธรรมได้ ดัง เช่น เรื่องที่ปรากฏในคัมภีร์วิสุทธิมรรค เรื่องพระเถระเดินบิณฑบาตเดินไปเดิน กลับ ชาวบ้านนึกว่าท่านลืมอะไร กล่าวคือ เมื่อท่านลืมสติกาหนดรู้ในการ เคลื่ อ นไปของเท้ า ท่ า นจะหยุ ด และพิ จ ารณาว่ า ลื ม ณ จุ ด ตรงไหนแล้ ว ย้อนกลับไปที่ๆ ลืมนั้นและกาหนดรู้ใหม่ ปฏิบัติอยู่อย่างนั้นถึง ๓๐ ปีจึงได้ บรรลุธรรม ๑๗๘ องฺ.ปญฺจก. (บาลี) ๒๒/๒๙/๓๑, องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๒๙/๔๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๖ การนั่งเจริญสติ เมื่อนั่ง จงระวัง อย่านั่งเหม่อ ม่อยหลับ นั่งท่าไหน จงระวัง สติมี สังวรไว้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า อย่านั่งเผลอ อยู่กับที่ นั่งให้ดี กายวาจา “นิสีทติ ปลฺลงฺก อาภุชิต๎วา อุชุ กาย ปณิธาย, ปริมุข สตึ อุป ฏฺ เปต๎ว า”๑๗๙ นั่งคู้ บัลลังก์ ตั้ งกายตรง ดารงค์ สติอ ยู่กั บอารมณ์ (กรรมฐาน) เฉพาะหน้า ๑. ในเบื้องต้นต้องหาสถานที่สัปปายในการนั่ง คาว่า ภิกษุไปป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปยังเรือนว่างก็ดี นี้เป็นเครื่อง แสดงการกาหนดเอาเสนาสนะอันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุนั้น เพราะจิตของเธอซ่า นไปในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น มานานย่อมไม่ ประสงค์ จ ะลงสู่ วิ ถีแ ห่ ง กรรมฐาน คอยแต่ จ ะแล่ น ออกนอกทางท่ า เดี ย ว เหมือนเกวียนที่เทียมด้วยโคโกงฉะนั้น ภิกษุผู้จะเจริญสติปัฏฐานนี้ประสงค์ จะทรมานจิต ที่ร้าย ที่เจริญมาด้วยการดื่มรส มีรูปารมณ์เป็นต้นมานาน พึง พรากออกจากอารมณ์ เช่น รูปารมณ์เป็นต้น แล้วเข้าไปป่าก็ได้โคนไม้ก็ ได้ เรือนว่างก็ได้ แล้วเอาเชือกคือสติผูกเข้าไว้ที่หลัก คืออารมณ์ของสติปัฏฐาน จิตของเธอนั้นแม้จะดิ้นรนไปทางนั้น ทางนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์ที่คุ้นเคยมาก่อน ไม่อาจตัดเชือก คือสติให้ขาดแล้วหนีไปได้ก็จะแอบแนบสนิทเฉพาะอารมณ์ ๑๗๙ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๒๘๙, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๗ นั้นอย่างเดียว ด้วยอานาจเป็นอุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา เหมือน อย่างคนเลี้ยงโค ต้องการจะทรมานลูกโคโกงที่ดื่มนมแม่โคตัวโกงจนเติบโต พึงพรากมันไปเสียจากแม่โค แล้วปักหลักใหญ่ไว้หลักหนึ่ง เอาเชือกผูกไว้ที่ หลักนั้น ครั้งนั้นลูกโคของเขาก็จะดิ้นไปทางโน้นทางนี้ เมื่อไม่อาจหนีไปได้ ก็หมอบ หรือนอนแนบหลักนั้นนั่นแล ฉะนั้น เหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึง กล่าวว่า ยถา ถมฺเภ นิพนฺเธยฺย วจฺฉ ทม นโร อิธ พนฺเธยฺเยว สก จิตฺต สติยารมฺมเณ ทฬฺห นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจิต ของตนไว้ในอารมณ์ให้มั่นด้วยสติ เหมือน คนเลี้ยงโค เมื่อจะฝึกลูกโค พึงผูกมันไว้ ที่หลักฉะนั้น๑๘๐ ๒. นั่ งคู้บัล ลังก์ หมายถึง นั่งคู้ แขนเข้ามาใช้มื อขวาทับมื อซ้า ย และคู้ขาเข้ามานั่งเท้าขวาทับเท้าซ้าย ซึ่งท่านั่งที่นิยมกันมีอยู่ ๓ ท่า ดังนี้ ๑. นั่งเรียงขา ๒. นั่งเท้าขวาทับเท้าซ้าย ๓. นั่งขัดสมาธิเพชร ๓. ตั้งกายตรง จะทาให้เลือดลมเดินสะดวก เป็นการปฏิบัติตาม พระมหาบุรุษ และการกาหนดสติระลึกรู้จะเป็นไปได้ด้วยดี ๔. ดารงสติไว้เฉพาะหน้า หมายถึง การกาหนดรู้อารมณ์ที่กาลัง ปรากฏเกิดขึ้นในขณะปัจจุบัน นั้นๆ อุปมาเหมือนแมวจับหนู เมื่อหนูมาจึง ค่อยตระครุบ ไม่ดักคอยก่อน ไม่ตามจับทีหลัง ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องกาหนด ระลึกรู้อารมณ์ปัจจุบันที่กาลังปรากฏเฉพาะหน้าตามฐาน ๔ ทวาร ๖ ให้มีสติ เป็นเสมือนแมว เมื่อหนูมาก็เข้าตระครุบ (กาหนด) ทันที ดังพระองค์ตรัสว่า ๑๘๐ ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๒/๒๙๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๘ ปจฺจุปนฺนญฺจ โย ธมฺม ตถตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ฯลฯ ต วิทฺธา มนุพรูหเย ผู้ใ ดเห็ น ธรรมปั จ จุ บั น ไม่ง่ อ นแง่ น ไม่ ค ลอนแคลน เขาควรพอกพู น ธรรม (ปัจจุบัน) เช่นนั้นไว้๑๘๑ ข. วิธีปฏิบัติ ๑. นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง คอตรง ๒. ต้องมีสติระลึกรู้อาการ เคลื่อนไหวของท้องพอง - ยุบ ๓. จิตใจจดจ่อและแนบชิดที่อาการขึ้นๆ ลงๆ ของท้องพอง-ยุบ ๔. วางจิตกาหนดที่ตรงสะดือขณะที่กาหนดควรหลับตา ๕. ใช้จิตเพียรดูอาการเคลื่อนไหวบริเวณท้อง ๖. ขณะที่ท้องพองขึ้นกาหนด บริกรรมในใจ ว่า “พองหนอ”” ๗. ขณะที่ท้องแฟบลงกาหนด บริกรรมในใจ ว่า “ยุบหนอ”” ๘. จิตที่รู้อาการพอง-ยุบ กับคาบริกรรมและสติที่ระลึกรู้ควรให้พร้อมกัน ค. สิ่งที่พึงเว้นขณะนั่งกาหนด ๑. ไม่นั่งตัวงอเอนเอียง หรือก้มศีรษะ(เว้นแต่มีสภาพร่างกายเป็นเช่นนั้น) ๒. ไม่เปล่งเสียงหรือบ่นพึมพาในขณะกาหนดอาการพอง-ยุบ ๓. ไม่ควรลืมตาเพื่อสอดส่ายหาอารมณ์ภายนอก ๔. ไม่ควรพยายามเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยจนเกินไป ๕. ไม่ควรนั่งพิงเก้าอี้ พนักพิง เสา (ยกเว้นแก้สภาวะ) ๖. สรุปไม่ควรนาคาบริกรรมที่ไม่ตรงตามสภาวธรรมที่เป็นจริงมาใช้ เช่น ในขณะที่ท้องพอง ไม่นิยมบริกรรมว่า พุท เป็นต้น ๗. ไม่ควรบังคับลมหายใจเข้า -ออก เพื่อหวัง จะกาหนดอาการพอง-ยุบ พยายามกาหนดให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ๑๘๑ ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๒๗๔/๒๔๒, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๗๒/๓๑๙-๓๒๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๕๙ ทาไมต้องนั่งหลับตา ท่านเจ้า คุณ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่ อชา สุ ภัทโท) ได้ก ล่า ว เปรียบเทียบเรื่องนี้ไว้ว่า การภาวนาก็เหมือนกับบุรุษจับเหี้ย มีใจความว่า ".....เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปอยู่ในโพรงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู ถ้าเหี้ย เข้าไปในทีน่ ั้น ทาอย่างไรเราจึงจะจับมันได้ จะต้องปิดไว้สักห้ารู เอาอะไรมา ปิดไว้ให้เหลือแค่รูเดียวสาหรับให้เหี้ยออก นอกนั้นปิดให้หมด แล้วให้นั่งจ้อง มองอยู่ที่รูนั้น ครั้นเหี้ยวิ่งออกก็จับ อันนี้ฉัน ใด การกาหนดจิตก็ฉันนั้น ตาก็ ปิดไว้ หูก็ปิดไว้ จมูกก็ปิดไว้ ลิ้นก็ปิดไว้ กายก็ปิด เหลือแต่จิตอันเดียว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดมันไว้ คือ สารวมสังวร ให้กาหนดจิตอย่างเดียว..... การภาวนาก็เหมือนกันกับบุรุษจับเหี้ย...."๑๘๒ ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจะต้ องพยายามปิดทวารตา และ พยายามกาหนดอารมณ์ปัจจุบันที่เข้ามาในตั้งแต่การนั่งว่า นั่งหนอๆๆ พอง หนอ ยุบหนอ เฝ้าระวังในการกาหนดรู้อารมณ์ที่แอบเข้ามา ไม่ว่า เห็นหนอ ได้ยินหนอ กลิ่นหนอ คิดหนอ นึกหนอ ราคะหนอ โทสะหนอ พอใจ หนอ ไม่พอใจหนอ นั่งกาหนดให้ต่อเนื่องกั นไป ตัวเหี้ยคือจิตเมื่อมันอด อาหารมันก็จะตายในที่สุดนั่นเอง ประโยชน์ของการนั่งกาหนด ( สมาธิ ) ๑. จิตตั้งมั่น และเป็นสมาธิได้ง่าย ๒. สภาวธรรมปรากฏค่อนข้างชัดเจน ๓. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชัดเจน ๔. เป็นอิริยาบถที่ เอื้อต่อการบรรลุ มรรค ผล นิพพานได้มากกว่า อิริยาบถอื่น ๆ ๕. เป็นอิริยาบถที่รวมความพร้อม เพื่อการบรรลุธรรมในขั้นต่าง ๆ ๑๘๒ พระวิสุทธิสังวรเถร,๔๘ พระธรรมเทศนาพระโพธิญาณ(ชา สุภทฺโท), รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๒, หน้า ๕๑๐, ดูเทียบใน ขุ.ธ.อ (ไทย) ๑/๒/๑๒๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๐ การกาหนดอิริยาบถนั่ง พระพุ ท ธองค์ ไ ด้ ต รั ส สอนไว้ ว่ า “นิ สิ นฺ โ น วา นิ สิ นฺ โ นมฺ หี ติ ปชานาติ” ๑๘๓ แปลความว่า “เมื่อนั่งก็รู้ชัดว่านั่งอยู่” หมายความว่า ให้นั่ง ตัวตรง หน้าตรง หลังตรง นาเท้ าขวามาทับเท้าซ้าย หลับตาลงเบาๆ ใช้ใจ เข้าไปรู้สึกถึงอาการที่นั่งอยู่ แล้วกาหนดว่า “นั่งหนอ” “ถูกหนอ” ถูกที่มือ สัมผัสกัน จากนั้นสังเกตความเคลื่อนไหวที่ผนังท้อง เมื่ อท้องดันออกมา ให้ บริกรรมในใจว่า “พองหนอ” สติต้องตามระลึกรู้อาการตั้งแต่ท้ องเริ่มพอง ขณะอาการพองตั้งอยู่ ขณะที่พองหายไป ยุบหนอก็ให้กาหนดตั้งแต่เริ่มยุบ ขณะอาการยุบตั้งอยู่ และยุบหายไป คาบริกรรมและอาการพอง–ยุบ ต้อง ตรงกันอย่างสอดคล้อง ไม่ใช่พอง–ยุบ หายไปแล้วจึงค่อยบริกรรมตามหลัง หรือพอง– ยุบยังไม่ปรากฏก็บริกรรมไปก่อนเสียแล้ว ส่วนหนอนั้ นบริกรรม ต่อท้ายเมื่ออาการนั้นๆ สิ้นสุดลงพร้อมกัน อทสฺสนโต อายนฺติ วิชฺชุปฺปาโทว อากาเส ภคฺคา คจฺฉนฺตฺยทสฺสน อุปฺปชฺชนฺติ วยนฺติ จ. ขุ.มหา. ๒๙. ๑๐. ๓๕ , วิสุทฺธิ. ๒. ๒๙๔ “ขันธ์ทั้งหลายมาโดยไม่ปรากฏ ดับแล้วก็ไปสู่ที่ไม่ปรากฏ ย่อมเกิดขึ้นและเสื่อมไป เหมือนสายฟ้าแลบในอากาศ ฉะนั้น” ๑๘๓ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๔/๒๘๙, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๔/๓๐๒, วิสุทฺธิมรรค. ๑/๒๑๘/๒๙๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๑ การนอนกาหนด เมื่อนอน จงระงับ อย่ากังวล ผ่อนลมปราณ ผ่อนคลาย ความคิดยุ่ง ห่วงใย ค่อยระงับ ให้กายหลับ และฟุ้งซ่าน ในการงาน จะหลับเร็ว พระพุท ธเจ้ า ทรงตรัสว่ า “สยโนวา สยโนหีมฺ ติ ปชานาติ ”๑๘๔ เมือ่ นอนอยู่ก็รู้ชัดว่านอนอยู่ พระองค์ทรงตรัสการมีสติเป็นเครื่องตื่นตลอดเวลา แม้กระทั่งการ นอน หากนอนแบบขาดสติ ก็จะมีโทษเกิดขึ้น ดังที่ พระอุบาลีเคยทูลถาม พระพุทธเจ้าถึงโทษของผู้นอนแบบขาดสติว่า โทษของการนอนลืมสติ๑๘๕ อุ . บุ ค คลผู้ น อนลื ม สติ ไ ม่ รู้ ตั ว นอนหลั บ มี โ ทษเท่ า ไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? พ. ดูกรอุบาลี บุคคลผู้ลืมสติไม่รู้สึกตัว นอนหลับ มีโทษ ๕ นี้ โทษ ๕ อะไรบ้าง? คือ:๑. หลับเป็นทุกข์ ๒. ตื่นเป็นทุกข์ ๑๘๔ ๑๘๕ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๕/๒๘๙, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. วิ.ป. (บาลี) ๘/๑๒๒๔/๕๐๕, วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๖๖/๖๖๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๒ ๓. ฝันเห็นสิ่งเลวทราม ๔. เทวดาไม่รักษา ๕. น้าอสุจิเคลื่อน ดูกรอุบาลี บุคคลผู้ลืมสติไม่รู้สึกตัวนอนหลับมีโทษ ๕ นี้แล ดัง นั้น หากผู้ปฏิบัตินอนขาดสติกาหนดรู้ก็จะได้รับโทษดัง กล่าว นั่นเอง จึง จาเป็นที่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องเจริญ สติในทุกๆ การนอน เนือ่ งจากว่าการนอนของมนุษย์มีหลากหลายลักษณะ ดังปรากฏในเสยยสูตร การนอน ๔ แบบ (เสยยสูตร)๑๘๖ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดูก รภิกษุทั้งหลาย ไสยา (การนอน) ๔ อย่างนี้ ๔ อย่าง เป็นไฉน คือ เปตไสยา กามโภคีไสยา สีหไสยา ตถาคตไสยา (นอนอย่างคนตาย) ๑ (นอนอย่าง คนบริโภคกาม) ๑ (นอนอย่างราชสีห์) ๑ (นอนอย่าง ตถาคต) ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เปตไสยาเป็นไฉน คนตายโดยมากนอนหงาย นี้เราเรียกว่า เปตไสยา ฯ ดู ก รภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ก็ ก ามโภคี ไ สยาเป็ น ไฉน คนบริ โ ภคกาม โดยมากนอนตะแคงข้างซ้าย นี้เราเรียกว่ากามโภคีไสยา ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีหไสยาเป็นไฉน สีหมฤคราชย่อมสาเร็จการ นอนข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเลื่อมเท้า สอดหางเข้าในระหว่างโคนขา มันตื่น ขึ้นแล้ ว ยืดกายเบื้องหน้าแล้ว เหลีย วดูกายเบื้อ งหลั ง ถ้า มันเห็นความผิ ด แปลกหรือความละปรกติแห่งกาย มันย่อมเสียใจด้วยเหตุนั้น ถ้ามันไม่เห็น อะไรผิดปรกติ มันย่อม ดีใจด้วยเหตุนั้น นี้เราเรียกว่าสีหไสยา ฯ ๑๘๖ ส.สฬา (บาลี) ๒๑/๒๔๖/๓๓๑, ส.สฬา (ไทย) ๒๑/๒๔๖/๓๓๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๓ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ตถาคตไสยาเป็นไฉน ภิก ษุในธรรมวินัย นี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน นี้เราเรียกว่าตถาคตไสยา ดูกรภิก ษุ ทั้งหลายไสยา (การนอน) ๔ อย่างนี้แล ฯ ในการปฏิบัตินั้น ผู้ปฏิบัติธรรมควรจัก ต้องนอนแบบ สีหเสยฺโย คือแบบพญาสีหราช เล่ากันว่าสีหะผู้มิคราชเป็นผู้มีใจเป็นของตน ย่อมสาเร็จ การนอนโดยข้างขวา เพราะฉะนั้น การนอนนี้ จึง ชื่อว่า สีหเสยฺยา จริงอยู่ สีหะผู้มิคราช วางเท้าหน้าทั้งสองไว้ที่หนึ่ง วางเท้าหลังสองเท้าไว้ที่หนึ่ง และ เอาหางใส่ไว้ระหว่างขาอ่อน แล้วกาหนดโอกาส (คือ การปรากฏ) ทั้งเท้า หน้าและเท้าหลังและหาง อันตนวางไว้แล้วจึง นอนวางศรีษะบนสองเท้า หน้า เพราะความที่ตนเป็นผู้มีอานาจมาก แม้นอนตลอดวันตื่นขึ้นมาก็ไ ม่ สะดุ้ง ตื่น (ตกใจตื่น) เมื่อจะลุกขึ้นก็ยกศรีษะขึ้นดูการปรากฏของเท้าหน้า เป็นต้นตามที่ตนวางไว้ ถ้าว่าการปรากฏของเท้าเป็นต้นเคลื่อนไปสู่ที่ไ รๆ จากที่วางไว้ของๆ ตน ด้วยคิดว่า ลักษณะนี้ไม่ควรแก่ความเป็นผู้กล้าหาญ โดยชาติของตน แล้วก็จะนอนในที่นั้นนั่นแหละ ไม่ออกไปหาอาหาร ก็ถ้าว่า เท้าหน้าเป็นต้น ที่ตนตั้งไว้แล้ว ไม่เคลื่อนผิดปกติไปย่อมเป็นผู้มีใจยินดีร่าเริง และคิดว่า อาการนี้สมควรแก่ความเป็นผู้กล้าหาญของตนโดยชาติ แล้วจะลุก ขึ้นแสดงท่าหาวของสี หะ สะบัดสร้อยคอ และบัน ลือสี หนาทสิ้น สามครั้ ง แล้วจึงออกไปแสวงหาอาหาร พระองค์ทรงตรัสว่า อันว่า ราชสีห์ มีความเพียรไม่ย่อหย่อน ใน อิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ประคองใจไว้ทุกเมื่อ ฉันใด, เธอจงประคอง ความเพียรไว้ให้มั่นคงในภพทั้งปวง ฉันนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกันต้องนอนแบบสีหราช โดยตั้งใจว่าจะ ลุกขึ้นทาความเพียรต่อเมื่อตื่นขึ้น โดยกาหนดตั้งแต่เดินไปที่นอน ขวาย่ าง หนอ ซ้ายย่างหนอ ยืนหนอๆๆ อยากนอนหนอ ลงหนอๆๆๆ ถูกหนอๆๆ เอนหนอๆๆๆ ถูกหนอที่แผ่นหลัง ที่ศรีษะ ที่สะโพก หรือที่ชัดเจน จากนั้น กาหนดพองหนอ ยุบหนอ นอนหนอ ถูกหนอ สิ่งสาคัญอย่าพยายามบังคับ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๔ ให้หลับ ถ้านอนไม่หลับให้ระลึกรู้สึกถึงอาการนั้นๆ เบาๆ โดยไม่ต้องบริกรรม คอยสังเกตดูว่าหลับตอนพองหรือตอนยุบ ตอนตื่นก็เหมือนกันสังเกตดูว่า ตื่นตอนพอง หรือยุบ เมื่อตื่นแล้วให้ลุกขึ้นทันทีอย่าขอต่ออีกหน่อยจะเป็น เชื้อกิเลส โดยการกาหนดว่า ตื่นหนอๆๆ ลืมตาหนอ ลืมตาหนอ เห็นหนอ อยากลุกหนอๆๆ ลุกหนอๆๆ ขึ้นหนอๆๆ นั่งหนอๆ ถูกหนอ อยากลุกหนอๆ ลุกหนอ ไม่ต้องกังวลว่าจะนอนหลับหรือไม่หลับ นอนเพียงพอหรือไม่พอ หรือตื่นอยู่ก็กาหนดรู้เรื่อยไป ดังคาสอนของพระศาสดาที่ให้เราเป็นผู้ตื่นอยู่ แม้ขณะที่เรานอน เรื่องนี้ทรงปรารภนางปุณณาทาสีผู้นอนไม่หลับ ปุณณาทาสี๑๘๗ สมัยหนึ่ง พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ทรงปรารภ ทาสีข องเศรษฐีกรุง ราชคฤห์ ชื่อว่า นางปุณณา ตรัสพระธรรมนี้ ว่า สทา ชาครมานาน เป็นต้น คืนหนึ่ง นางปุ ณณาทาสี จุดตะเกียงยืนซ้อมข้ าวให้แ ก่เศรษฐี เมือ่ ซ้อมข้าวไปๆ เกิดความเหน็ดเหนื่อย ก็ได้หยุดพักเพื่อเอาแรง ขณะที่นั่ง พักอยู่นั้น นางก็แลเห็นพระทัพพมัลลบุตรเถระ ซึ่งใช้มือเป็นตะเกียง(ด้วย อ านาจฤทธิ์ ) ส่ อ งเดิ น น าทางภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ไปยั ง ที่ พั ก ของแต่ ล ะองค์ หลังจากที่ท่านเหล่านั้นเสร็จสิ้นการฟังธรรมแล้ว นางเห็นภิกษุเหล่านั้นเดิน อยู่บนภูเขาในยามดึกดื่นเช่นนั้น ก็เกิดความสงสัยว่า “ที่เรานอนดึกก็เพราะ ความยากจน จึงต้องมายืนซ้อมข้าวอยู่อย่างนี้ แต่ที่พระคุณเจ้าทั้งหลายไม่ ยอมหลับนอนเป็นเพราะเหตุใด? จะเป็นไปได้ ไ หม ที่ภิกษุ รูปใดรูปหนึ่ ง อาพาธ หรือไม่ก็ถูกงูกัด” พอเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น นางปุณณาทาสี ได้นาราข้าว มาชุบน้าให้ชุ่ม ปั้นเป็นก้อนขนม นาไปปิ้งไฟ เมื่อสุกดีแล้วก็ห่อใส่พก คิดว่าจะนาขนมนั้นไป นั่งรับประทานที่ริมฝั่งแม่น้า ในระหว่างเดินมานางได้เดินสวนกับพระศาสดา ๑๘๗ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๖/๔๕๗ – ๔๕๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๕ ซึ่งกาลังจะเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน คิดว่า “ในวันอื่นๆ ถึง เราพบ พระศาสดา ไทยธรรมของเราก็ไม่มี เมื่อไทยธรรมมี เราก็ไม่พบพระศาสดา ก็บัดนี้ ไทยธรรมของเราก็มี ทั้งพระศาสดาก็ปรากฏเฉพาะหน้า ถ้าพระองค์ ไม่คิดว่า ทานของเราเศร้าหมองหรือประณีต แล้วพึงรับไซร้ เราพึงถวายขนม นี้”จึงวางหม้อลงที่พื้นดิน ถวายบังคมพระศาสดา กราบทูลว่า “ขอพระองค์ จงรับทานอันเศร้าหมองนี้ ทาการสงเคราะห์แก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า” พระศาสดาทอดพระเนตรดูพระอานนท์เถระแล้วได้ทรงน้อมบาตร (ที่ท้าวมหาราชทั้งสี่ถวายไว้) ที่พระอานนท์เถระนาออกถวายรับขนมนั้น นาง ปุณณาทาสีก็ได้วางขนมลงในบาตรของพระศาสดา กราบทูลว่า “ขอธรรมที่ พระองค์ทรงเห็นแล้ว จงสาเร็จแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า” พระศาสดา ประทับยืนทรงกล่าวอนุโมทนาว่า “จงสาเร็จอย่างนั้นเถิด” นางปุณณาทาสี คิดว่า “พระศาสดา ทรงทาการสงเคราะห์แก่เรา ด้วยการรับขนมก็จริง ถึงกระนั้น พระองค์ก็จักไม่เสวยขนมนั้น คงประทาน ให้แก่กาหรือสุนัขข้างหน้า เมื่อเสด็จไปยังราชมณเฑียรของพระราชาหรือ เรือนของมหาอามาตย์แล้ว จักเสวยโภชนาหารอันประณีตแน่แท้” พระศาสดาทรงทราบวาระจิต(ความคิด)ของนางปุณณาทาสีจึง ทอดพระเนตรดู พ ระอานนทเถระ แล้ ว แสดงอาการที่จ ะทรงประทั บ นั่ ง พระอานนท์เถระได้ปูลาดจีวรถวายเป็นอาสนะพระศาสดาก็ได้ประทับนั่ง กระทาภัตตกิจ ณ ภายนอกเมืองนั่นเอง ขณะนั้น “เทพยดาในท้องจักรวาล ทั้ง สิ้ น บี บ โอชารสอัน สมควรแก่เ ทพยดาและมนุ ษ ย์ทั้ ง หลาย ให้เ หมื อ น รวงผึ้งแล้ว ใส่ลงในขนมนั้น” ส่วนนางปุณณาทาสีก็ได้ยืนมองดูอยู่ เมื่อทรงกระทาภัตตกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระศาสดาได้ตรัสถาม นางปุณณาทาสีว่า“ปุณณา เพราะเหตุใด เจ้าจึงดูหมิ่นสาวกของเรา” นาง ปุณณาทาสีกราบทูลว่า“หม่อมฉันมิได้ดูหมิ่น พระเจ้าข้า” พระศาสดา “เมื่อ คืนนี้ เจ้ามองดูสาวกทั้งหลายของเรา แล้วพูดว่าอย่างไร?”นางปุณณาทาสี “พูดกับตัวเองว่า ที่เรายังไม่นอน เพราะเป็นคนจน ต้องมายืนซ้อมข้าวให้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๖ เศรษฐี แต่ที่พระผู้ เป็นเจ้าไม่หลับไม่นอนจนดึกดื่น ก็คงเป็นเพราะมีภิกษุ อาพาธ หรือไม่ก็มีภิกษุถูกงูกัด” พระศาสดา“ปุณณาเจ้าไม่หลับเพราะอันตรายคือทุกข์ของตั วเอง ส่วนสาวกทั้งหลายไม่หลับ เพราะความเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งธรรมเครื่อง ตื่นอยู่ทุกเมื่อ” จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า สทา ชาครมานาน นิพฺพาน อธิมุตฺตาน อโหรตฺตานุสิกฺขน อฏฺ คจฺฉนฺติ อาสวา. อาสวะทั้งหลาย ของผู้ตื่นอยู่ทุกเมื่อมีปรกติตามศึกษาทั้งกลางวัน กลางคืน น้อมไปแล้วสู่พระนิพพาน ย่อมถึงความไม่ตั้งอยู่ เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางปุณณาทาสี ขณะยืนอยู่ตรงตรง นั้นแหละ ได้บรรลุโสดาปัตตผล พระธรรมเทศนา มีประโยชน์แม้แก่บริษัท ผู้มาประชุมกัน วิธีการปฏิบัติ ๑. มีสติสัมปชัญญะกาหนดรู้ในอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ๒. ขณะเอนกายลง เพื่อจะนอนพึงกาหนดว่า “เอนหนอๆๆ” ๓. ขณะที่ข้อศอก ตะโพก แผ่นหลัง ศีรษะหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของ ร่างกายสัมผัสพื้น พึงกาหนดทันทีว่า “ถูกหนอๆๆ” ๔. ขณะที่นอนแบบตะแคงขวาหรือหงายขนานราบกับพื้นพึงกาหนดไว้ ในใจว่า “นอนหนอๆๆ” ๕. เมื่อนอนลงไปเรียบร้อยแล้ว พึงหลับตาและเริ่มกาหนดคือเอาจิตไป จดจ่อที่อาการเคลื่อนไหวขึ้นลงของท้องขณะท้องพองขึ้น กาหนดว่า “พองหนอๆๆ” ขณะท้องแฟบลงกาหนดว่า “ยุบหนอ” ขณะท้อง พองขึ้นก็กาหนดว่า “พองหนอ” หรือกาหนดว่า “นอนหนอ”, “ถูก หนอ” ตามควรแก่สภาวะ หรือระยะนั้นๆ จนกระทั่งหลับไปอย่างมี สติ เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น จึงเริ่มต้นการกาหนดอย่างต่อเนื่องต่อไป แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๗ สิ่งที่พึงเว้นในขณะกาหนดอาการนอน ๑. ๒. ๓. ๔. นอนลืมตาหรือพยายามใช้จิตเพื่อเพ่งดูสัณฐานบัญญัติ คอยจดจ้องดูว่าจะหลับขณะที่พองหรือยุบ (จะทาให้กังวลมาก) พลิกหรือขยับตัวไปๆ มาๆ บ่อยมากเกินไป บัง คับ ลมหายใจเข้า เพื่ อก าหนดพอง บัง คับ ลมหายใจออกเพื่ อ กาหนดยุบ เพราะอาจเกิดอาการเหนื่อยหอบได้ หรืออาจเป็นสาเหตุ ทาให้นอนไม่หลับ เกิดอาการอ่อนเพลียและเป็นอุปสรรคแก่การ กาหนดในวันต่อไป อานิสงส์การนอนอย่างมีสติ๑๘๘ เมื่ อ ผู้ ป ฏิ บั ติ ธ รรมสามารถก าหนดสติ ใ ห้ เ ป็ น เครื่ อ งตื่ น ได้ ทั้งกลางวันกลางคืนย่อมได้รับอานิสงส์ของการนอนมีสติ ๕ ประการ คือ ดูกรอุบาลี บุคคลผู้ตั้งสติ รู้สึกตัวอยู่ นอนหลับ มีอานิสงส์ ๕ นี้ อานิสงส์ ๕ อะไรบ้าง? คือ:๑. หลับสบาย ๒. ตื่นขึ้นสบาย ๓. ไม่ฝันเห็นสิ่งเลวทราม ๔. เทวดารักษา ๕. น้าอสุจิไม่เคลื่อน ดูกรอุบาลี บุคคลผู้ตั้งสติ รู้สึกตัวอยู่ นอนหลับ มีอานิสงส์ ๕ นี้แล ประโยชน์ของการนอนกาหนด ๑. ช่วยให้หลับง่าย เพราะไม่กังวล ๒. จิตเป็นสมาธิได้ง่าย ๓. เป็นการเชื่อมโยงอิริยาบถอื่นๆ ให้สม่าเสมอ ๑๘๘ วิ.ป. (บาลี) ๘/๑๒๒๔/๕๐๕, วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๖๖/๖๖๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๘ ข้อที่ควรระวัง - ถีนมิทธะ ความง่วงเหงา หาวนอน เซื่องซึม เกิดขึ้นได้ง่าย - ไม่ควรนอนมากเกินไป สาหรับผู้มุ่งปฏิบัติจริงๆ อย่างมาก ไม่ควรเกิน ๖ ชั่วโมง - ความเกียจคร้านเกิดขึ้นได้ง่าย อย่าเห็นแก่นอนเกินไป - นักปฏิบัติที่มุ่งความสุขสงบในชีวิตต้องการหลับพักผ่อน ไม่ต้อง ตั้งใจกาหนดมาก เพราะจะทาให้นอนไม่หลับ ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมต้องนอนกาหนดนอนโดยการมีสติตื่นอยู่ไม่ ต้องกลัวนอนไม่หลับ อย่ ากังวล รู้พ องหนอยุบหนอไป มีอะไรก็กาหนดรู้ หรือพยายามระลึกรู้ สังเกตว่าหลับตอนไหน ตื่นตอนไหนก็พอแล้ว เมื่อทาได้ อย่างนี้ทั้งกลางวันและกลางคืนแล้ว ย่อมเป็นผู้ตื่นอยู่และหลุดพ้นจากกอง ทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด การนอนหลับแบบมีสติสัมปชัญญะ ภิกษุนี้เมื่อจงกรม รู้ตัวว่าง่วงนอน ก็นอนตะแคงขวาบนแผ่นหิน หรือบนเตียง พิจารณาว่า.. กายไม่มีใจนอนอยู่บนเตียงที่ไม่มีใจ เตียงที่ไม่มีใจ ก็วางอยู่บนปฐพีที่ไม่มีใจ ปฐพีที่ไม่มีใจก็อยู่เหนือน้าที่ไม่มีใจ น้าที่ไม่มีใจก็อยู่ เหนือลมที่ไม่มีใจ ลมที่ไม่มีใจก็อยู่บนอากาศที่ไม่มีใจ บรรดาสิ่งเหล่านั้น แม้ อากาศก็ ไ ม่ รู้ว่ าเราอุ้ม ลมไว้ ถึ งลมก็ ไม่ รู้ว่ าเราสถิ ตอยู่บ นอากาศ ถึ ง ลมก็ เช่นนั้นไม่รู้ว่าเราอุ้มน้าไว้ ฯลฯ เตียงก็ไม่รู้ว่าเรายกกายไว้ กายก็ไม่รู้ว่าเราอยู่ บนเตียง เป็นอันว่าสิ่งเหล่านั้นต่างฝ่ายต่างไม่มีการคานึงถึงกัน ไม่มีการสนใจ ซึ่งกัน ไม่มีการใส่ใจกัน ไม่มีเจตนา หรือไม่มีความปรารถนาต่อกันเลย ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาอยู่อย่างนี้ ปัจจเวกขณจิตนั้น ย่อมหยั่งลงสู่ภวังค์ เธอ แม้เมื่อหลับอยู่อย่างนี้ ก็ย่อมชื่อว่ามีสติสัมปชัญญะอยู่๑๘๙ ๑๘๙ อ.ติก.อ. (ไทย) ๑/๖/๕๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๖๙ อิริยาบถย่อย อิริยาบถย่อย คือ การเจริญสติในส่วนของสัมปชัญญะปัพพะ หรือ เรียกอีกคาหนึ่งว่า สัมปชาโน การรู้ตัวทั่วพร้อม นั่นเอง คาว่า “สมฺปชาโน” แปลและความหมายได้ ๑๐ อย่าง คือ๑๙๐ ๑. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้ถึงที่สุดอย่างแจ่มแจ้ง” หมายความว่า รู้ปจั จุบัน รู้รูปนาม รู้พระไตรลักษณ์ ๒. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้โดยรอบอย่างชัดเจน” หมายความว่า ผูป้ ฏิบตั ิรรู้ ูปนามตามอิริยาบทน้อยใหญ่ เช่น รู้ในขณะคู้ เหยียด ก้ม เงย ยืน เดิ น นั่ ง นอน เป็ น ต้ น จนเกิ ด วิ ปั ส สนาญาณต่ า งๆ ขึ้ น มาโดยล าดั บ ๆ นับตั้งแต่ญาณที่ ๑ จนถึงญาณที่ ๑๖๘ ๓. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้พร้อมอย่างดี” หมายความว่า ผู้ปฏิบัติมี ความเพียร ตั้งใจทาจริง ๆ มีความรู้รูปนามอยู่ทุกขณะ มีสติจดจ่อต่อรูปนาม มีสติกาหนดได้ดีถี่ถ้วนตามสติปัฏฐาน ๔ ไม่บกพร่อง ๔. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้พร้อมอย่างไม่หลง” รู้อาการเคลื่อนไหว ไปมาต่างๆ ของกายตามความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นในรูปนาม ไม่เห็นผิด ไม่รู้ผิด ไม่จาผิด ไม่หลง และไม่เพลิดเพลินอยู่ในอิฏฐารมณ์ ทั้งไม่หวั่นไหวเอนเอียง ในอนิฏฐารมณ์ เห็นรูปนามเป็นแต่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเป็นอสุภะ คือ เป็นของไม่สวยงาม ๕. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้ขจัดกิเลส” หมายความว่า เมื่อผู้ปฏิบัติ ได้รู้รูปนาม รู้เหตุปัจจัยของรูปนาม รู้ไตรลักษณ์ รู้ความเกิดดับของรูปนาม รู้เฉพาะความดับไปของรูปนาม รู้ทุกข์โทษของรูปนาม เบื่อหน่ายในรูปนาม อยากหลุดพ้นไป ตั้งใจปฏิบัติอย่ างเต็มที่วางเฉยต่อรูปนาม เห็น ไตรลักษณ์ ๑๙๐ ๗๔๓. พระธรรมธีรราชมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙), วิปัสสนากัมมัฏฐาน, หน้า แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๐ อย่างชัดเจนที่สุด จิตเข้าสู่ความสงบ กิเลสก็เด็ ดขาดไปจากขันธ์สันดาน ใจมี พระนิพพานเป็นอารมณ์ ๖. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้วิเศษในธรรม” หมายความว่า ธรรมนั้น มีอยู่ม ากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขั นธ์ ย่ อให้สั้ น ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญ ญา ย่อลงในแนวปฏิบัติเหลือ ๑ คือ อัปปมาทะ แปลว่า ความไม่ประมาท ๗. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้นาออกจากกองทุกข์” หมายความว่า ความรู้ต่าง ๆ ในโลกนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อยังสรรพสัตว์ให้เบียดเบียนกันบ้า ง เป็นไปเพื่อทาลายกันและกันบ้าง เป็นไปเพื่อให้ลุ่มหลงติดอยู่บ้าง ๘. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้สุขอันสูงเลิศ” หมายความว่า ถ้าผู้ใดมี สัมปชัญญะทั้ง ๓ ขั้น ผู้นั้นจะได้รับความสุขไปตามลาดับ ๆ เช่น สุขในเมือง มนุษย์ สุขทิพย์ คือ สุขของเทวดา เป็นต้น ๙. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้ธรรมอันประเสริฐ ” คือ อริยธรรม” หมายความว่า ผู้ใดได้ลงมือปฏิบัติธรรม คือ ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ผู้นั้น ชื่อว่าได้บาเพ็ญอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างเต็มที่ ๑๐. สมฺปชาโน แปลว่า “รู้ประจักษ์ด้วยการละ” หมายความว่า การละนั้นมีอยู่ ๕ อย่าง คือ (๑) ละด้วยองค์นั้น ๆ ได้แก่ ละด้วยเจริญ กรรมฐานข้อใดข้อหนึ่ง ตามอัธยาศัย (๒) ละด้ ว ยการข่ ม ไว้ ได้แ ก่ ละปริ ยุฎ ฐานกิ เ ลส คื อ นิ ว รณ์ ๕ ด้วยอ านาจฌาน (๓) ละโดยเด็จขาด ได้แก่ ละกิเลสด้วยอ านาจอริยมรรค (๔) ละโดยสงบระงับ ได้แก่ ผลญาณ (๕) ละโดยสลัดออกไปไม่มีเหลือ ได้แก่ ถึงพระอมตมหานฤพาน แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๑ สรุปความว่า ความหมายและไวพจน์ของสัมปชัญญะ เมื่อว่าโดย กิจหน้าที่ แปลว่า “รู้ถึงที่สุดอย่างแจ่มแจ้ง ” หมายความว่า รู้ปัจจุบัน รู้รูป นาม รู้ พระไตรลั กษณ์ เมื่อ ว่า โดยการก าจั ดกิ เลส แปลว่า “รู้ข จัด กิเ ลส” หมายความว่า เมื่อผู้ปฏิบัติได้รู้รูปนาม รู้เหตุปัจจัยของรูปนาม รู้พระไตร ลักษณ์ รู้ความเกิดดับของรูปนาม รู้เฉพาะความดับไปของรูปนาม รู้ทุกข์โทษ ของรูปนาม เบื่อหน่ายในรูปนาม อยากหลุดพ้นไป เป็นต้น วิธีปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอิริยาบถย่อยไว้ในมหาสติปัฏฐานว่า ปุน จ ปร ภิกฺขเว ภิกฺขุ อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺ ปชานการี โหติ อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ, สมฺมิ ฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ สงฺฆาฏิปตฺตจีวร ธารเณ สมฺปชานการี โหติ, อสิเต ปีเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ, อุจฺ จารปสฺ สาวกมฺเ ม สมฺป ชานการี โหติ, คเต ิเ ต นิ สินฺ เน สุ ตฺเ ต ชาคริเ ต ภาสิเ ต ตุ ณฺ หี ภาเว สมฺปชานการี โหติ, อิติ อชฺฌตฺต วา กาเย กายา นุปสฺสี วิหรติ ฯเปฯ เอวมฺปิ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายา นุปสฺสี วิหรติ สมฺปช ฺ ปพฺพ.๑๙๑ “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้กระทา สัม ปชัญ ญะในการก้ าวไป และถอยกลั บ ในการแลไป ข้างหน้า และเหลียวซ้ายเหลียวขวา ในการคู้อวัยวะเข้า และเหยียดออก ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ใน การกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ใน เวลาเดิน ยืน นั่ง นอน หลับ ตื่น พูด นิ่ง ดังพรรณนามา ฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง ฯลฯ” ๑๙๑ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๓๕/๑๐๕, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๕/๗๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๒ จากข้อความดังกล่าว สามารถอธิบายวิธีการปฏิบัติได้ว่า ๑. อภิกฺกนฺเต เวลาร่างกายเคลื่อนไหวไปข้างหน้า ก็มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า ไปหนอๆๆ ๒. ปฏิกฺกนฺเต เวลาร่างกายเคลื่อนไหวมาข้างหลัง ก็มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า กลับหนอๆๆ ๓. อาโลกิเต เวลาแลดูตรงๆ มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า แลหนอๆ ๔. วิโลกิเต เวลาแลดูตามทิศต่างๆ กาหนดรู้ว่า แลหนอๆๆ ๕. สมิญฺชิเต เวลาคู้แขน คู้ขาเข้ามากาหนดรู้ ภาวนาว่า คู้หนอๆ ๖. ปสาริเต เวลาเหยียดแขน เหยียดขาออกไป ก็มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า เหยียดหนอๆๆ ๗. สงฺฆาฏิธารเณ เวลาพาดสั งฆาฏิ ก็มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่ า พาดหนอๆๆ ๘. ปตฺตธารเณ เวลาอุ้มบาตร กาหนดรู้ ภาวนาว่า อุ้มหนอๆๆ ๙. จีวรธารเณ เวลาห่มจีวร มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า ห่มหนอๆ ๑๐. อสิเต เวลากินอาหาร มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า เคี้ยวหนอๆ ๑๑. ปิเต เวลาดื่ม เช่นดื่มข้าวยาคู ดื่มน้า เป็นต้น ก็มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า ดื่มหนอๆๆ ๑๒. ขายิเต เวลาเคี้ยว มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า เคี้ยวหนอๆๆ ๑๓. สายิเต เวลาลิ้มเลีย มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า ลิ้มหนอๆๆ ๑๔. อุจฺจารกมฺเม เวลาถ่ายอุจจาระ ก็มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า ถ่ายหนอๆๆ ๑๕. ปสฺสาวกมฺเม เวลาถ่ายปัสสาวะ มีสติภาวนาว่า ถ่ายหนอๆ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๓ ๑๖. คเต เวลาเดินไป มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า เดินหนอๆ หรือ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ๑๗. เต เวลายืน มีสติรู้ ภาวนาว่า ยืนหนอๆๆ ๑๘. นิสินฺเน เวลานั่ง มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า นั่งหนอๆๆ ๑๙. สุตฺเต เวลานอน มีสติกาหนดรู้และให้ภาวนาว่า นอนหนอ ถูกหนอทีแ่ ผ่นหลัง หรือให้กาหนดรู้อาการท้องพอง ยุบ ภาวนาว่า พองหนอ ยุบหนอ จนกว่าจะหลับ และให้สังเกตว่า หลับไปตอนท้องพองหรือตอนยุบ ๒๐. ชาคริเต เวลาตื่น ให้มีสติกาหนดรู้ ภาวนาว่า ตื่นหนอๆๆ ๒๑. ภาสิเต เวลาพูด ให้มีสติกาหนดรู้อยู่ ที่ความเคลื่อนไหวของ ขากรรไกรข้างล่าง ภาวนาว่า พูดหนอๆๆ หรือ ขยับหนอๆๆ (ในใจ) ๒๒. ตุณฺหภี าเว เวลานิ่งอยู่ มีสติกาหนดรู้ ภาวนา นิ่งหนอๆ เมื่อกาหนดได้ละเอียดถี่ถ้วนอย่างนี้ เรียกว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ พระอานนท์บรรลุธรรมเพราะเจริญสติสัมปชัญญะ๑๙๒ ในกาลที่พระพุทธองค์ใกล้ปรินิพพาน พระอานนท์เถระมีความ น้อยเนื้อต่าใจที่ตนยัง เป็นพระโสดาบันอยู่ อีกทั้งพระบรมศาสดาบรมครูก็ จะเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานในอีกไม่ช้า จึงหลีกออกไปยืนร้องไห้แต่เพียงผู้ เดียวข้างนอก พระพุทธองค์รับสั่งให้ภิกษุไปเรียกเธอมาแล้ว ตรัสเตือนให้เธอ คลายทุกข์โทมนัสพร้อมทั้งตรัสพยากรณ์ว่า....“อานนท์ เธอจะได้บรรลุเป็น พระอรหันต์ ในวันทาปฐมสังคายนา” เมื่อพระบรมศาสดาปรินิ พพานแล้ว พระมหากัสสปเถระได้นั ด ประชุมพระอรหันต์ขีณาสพ จานวน ๕๐๐ องค์ เพื่อทาปฐมสังคายนา โดย มอบให้พระอานนท์รับหน้าที่วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม แต่ เนื่องจาก ๑๙๒ วิ.จุ. (บาลี) ๗/๖๑๗/๓๘๒, วิ.จุ. (ไทย) ๗/๔๓๘/๓๗๗ – ๓๗๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๔ พระอานนท์ยังเป็นพระโสดาบันอยู่ ท่านจึงเร่งทาความเพียรอย่างหนักแต่ก็ ยังไม่สาเร็จจนเกิดความอ่อนเพลีย ท่านจึงปรารภที่จะพักผ่อนอิริยาบถสักครู่ จึงเอนกายลงบนเตียง ในขณะที่เท้าพ้นจากพื้น ศีรษะกาลังจะถึงหมอน ท่าน ก็สาเร็จเป็นพะอรหันต์ในระหว่างอิริยาบถทั้ ง ๔ คือ ไม่ไ ด้อยู่ในอิริยาบถ อย่างใดอย่างหนึ่งทั้ง ๔ อย่าง คือ อิริยาบถยืนเดิน นั่ง หรือนอน นับว่าท่าน บรรลุเป็นพระอรหันต์แปลกกว่าพระเถระรูปอื่น ๆ สรุปการพิจารณาเห็นกายในกาย กายภายใน คื อ กายที่ เ ป็ น ลั ก ษณะอาการของกายนั้ น ๆ ที่ อ ยู่ ภายใน เช่น อาการเดิน หมายถึง อาการของการเคลื่อนไปของเท้า เป็นต้น กายภายนอก คือ ความรู้สัณฐานบัญญัติที่เกิดขึ้นกับอาการนั้นๆ เช่น การเดิน เป็นเท้าขวา เป็นการยก หรือ เป็นการย่าง เห็นความเกิดขึ้น เห็นความเสื่อมไป (ไตรลักษณ์) ของกายทั้งหลาย อยู่บ้าง ย่อมเห็น กายเป็นเพียงกาย ไม่มีสัตว์ บุคคล ตั วตน เรา เขา อยู่ใน กายนั้นๆมีไว้เพื่ออาศัยระลึกรู้ มีไว้เพื่อรู้เท่านั้น ย่อมไม่ยึดติดกายใดๆ ในโลก โยคา เว ชายเต ภูริ เอต เทฺวธา ปถ ตฺวา ตถาตฺตาน นิเวเสยฺย อโยคา ภูริสงฺขโย ภวาย วิภวาย จ ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ. ขุ. ธ. ๒๕. ๒๘๒. ๖๕ “ ปัญญาเกิดมีได้ เพราะความเพียร เสื่อมไปเพราะไม่พากเพียร เมื่อรู้ทางเจริญและทางเสื่อมของปัญญาแล้ว ควรทาตนให้ดารง อยู่โดยวิถีทางที่ปัญญาจะเจริญ ” แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๕ การกราบสติปัฏฐาน การกราบสติปัฏฐานเป็นการกาหนดสติในส่วนของกายานุปัสสนา สติปัฏฐานในหมวดอริยาบถปัพพะ เพื่อเป็นการทาอินทรีย์ให้แก่กล้ายิ่งขึ้นไป ดัง ที่ พระพุ ทธองค์ทรงตรั สไว้ใ นมหาสติปั ฏฐานสูตร หมวดอิริยาบถว่ า ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา ตถา น ปชานาติ๑๙๓ กายของ (ภิกษุ) ดารงอยู่โดยอาการใดๆ ก็กาหนดรู้กายนั้นโดยอาการนั้นๆ นอกจากนั้น การกราบสติปัฏฐานยังจัดอยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏ ฐานในหมวดสัมปชัญญปัพพะหรือเรียกว่าอิริยาบถย่อ ยด้วย คือ การคู้เข้า การเหยียดออก ดังพระบาลีว่า “สมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ”, (ผู้ปฏิบัติ) ทาความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ดัง นี้ มีตัวอย่างเรื่องพระเถระได้เหยียดมือ คู้มือไปแล้วดึงมือกลับเมื่อเผลอลืมสติ แล้วคู้เข้าเหยียดมืออกด้วยสัมปชัญญะ มีเรื่องย่อดังนี้ พระมหาเถระ๑๙๔ ได้ยินว่า พระมหาเถระนั่งอยู่ในที่พักกลางวัน สนทนาอยู่กับอันเต วาสิ กทั้ ง หลาย คู้มื อเข้า มาโดยเร็ว แล้ว เหยีย ดออกไปไว้ ในที่เ ดิม อีก แล้ ว ค่อยๆ คู้เข้า อันเตวาสิกทั้งหลายถามท่านว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เหตุไรท่าน จึงคู้มือเข้ามาโดยเร็ ว แล้วเหยียดออกไปไว้ในที่ เดิมอีก แล้วค่อยๆ คู้เข้ามา พระมหาเถระตอบว่าดูก่อนอาวุโสทั้งหลายตั้งแต่เราเริ่มมนสิการกรรมฐาน มา เราไม่เคยละทิ้ง กรรมฐานคู้มือเลย แต่บัดนี้เราสนทนากับ ท่านทั้งหลาย ได้ละทิ้งกรรมฐานคู้มือเข้า เพราะฉะนั้น เราจึงได้เหยียดมือออกไปไว้ในที่ เดิมอีกแล้วคู้เข้า อันเตวาสิกทั้งหลายได้ถวายสาธุการว่า ดีแล้ว ท่านอาจารย์ ขึ้นชื่อว่าภิกษุควรเป็นอย่างนี้ การไม่ละกรรมฐานแม้ในที่เช่นนี้ ๑๙๓ ๑๙๔ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๕/๓๗๒, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/๓๐๔. ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/๔๓๔, ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑๓๕/๗๐๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๖ วิธีกราบสติปัฏฐานมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ ๑. กาหนดอาการนั่ ง (ผู้ช ายนั่ งท่ า เทพบุ ต ร ผู้ ห ญิ ง นั่ง ท่ า เทพธิ ด า) วางมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าขา กาหนดรู้อาการนั่ง และบริกรรมว่า นั่งหนอๆๆ (คาบริกรรมต้องตรงกันกับการพลิกมือในแต่ละครั้ง) ๒. ส่งความรู้สึกไปที่มือข้างซ้าย แล้วพลิกฝ่ามือให้ตั้งฉากขึ้นที่หน้าขา ในแนวตรงพร้อมกาหนดรู้อาการพลิกพร้อมบริกรรมในใจว่ า พลิก หนอๆๆ ๓. ยกมือซ้ายขึ้นมาที่หน้าอกว่า ยกหนอๆๆ เมื่อถูกที่หน้าอก กาหนด บริกรรมว่า ถูกหนอ มือขวาก็ทาเช่นเดียวกัน เมื่อมือทั้ง สองข้าง ประสานกันแนบชิดกับหน้าอกว่า ถูกหนอ ๔. ยกมื อ ขึ้ น ไปในแนวตรงหยุ ด ตรงระดั บ ปลายคางพร้ อ มก าหนด บริกรรมว่า ขึ้นหนอ ยกมือขึ้นไปในแนวตรงหยุดตรงระดับปลาย จมูกพร้อมกาหนดว่า ขึ้นหนอ ให้ยกมือขึ้นไปในแนวตรงหยุดตรง ระหว่างคิ้วพร้อมกาหนดว่า ขึ้นหนอ นิ้วมือที่ประนมแนบชิดติด หน้าผากพร้อมกาหนดว่า ถูกหนอ (ในขณะที่มือประนมแนบชิดติด หน้าผากนี้ หน้าต้องตรง ตัวตรง คอตรง หลังตรง กาหนดรู้อาการ ว่า ตรงหนอ) ๕. ก้มตัวลงกราบ บริกรรมว่า ก้มหนอๆๆ (มือทั้งสองข้างแนบชิดติด หน้าผากไว้) เมื่อฝ่ามือถูกกับพื้นกาหนดรู้อาการถูก และบริกรรมว่า ถูกหนอ (ฝ่ามือยังตั้งฉากไว้) ๖. ทาความรู้สึกที่มือซ้าย ขยับไปในทางซ้ายตามแนวตรงประมาณ ๑ ไม้บรรทัด พร้อมกาหนดรู้อาการขยับ ของมือ แล้วให้บริกรรมว่ า ขยั บ หนอๆๆ คว่ ามื อ ซ้ า ยลงพร้ อ มบริ ก รรมว่ า คว่ าหนอๆๆ ทาความรู้ สึกที่ มื อขวาขยับไปข้า งขวาในแนวตรงพร้อ มกาหนดรู้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๗ อาการว่า ขยับหนอๆๆ จากนั้น คว่ามือขวาลง พร้อมกาหนดว่า คว่าหนอๆๆ ๗. ก้มศรีษะลงไปที่พื้นตรงกลางระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้างพร้อมกาหนด บริ ก รรมว่ า ก้ ม หนอๆๆ ลงหนอๆๆ เมื่ อ ศี ร ษะถู ก พื้ น ก าหนด บริกรรมว่า ถูกหนอ (บริกรรมในใจว่า พุทโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า ครั้ งที่ ๒ ให้เปลี่ยนคาบริกรรมเป็ น ธัมโม เม นาโถ พระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึกของข้าพเจ้า ครั้งที่ ๓ คา บริกรรมเป็น สังโฆ เม นาโถ พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ที่ระลึกของ ข้าพเจ้า) ๘. เงยหน้ า ขึ้ น จากพื้ น เล็ ก น้ อ ยพร้ อ มก าหนดบริ ก รรมว่ า เงยหนอ (ประมาณ ๑ ฝ่ามือที่ตั้งขึ้น) ทาความรู้สึกที่มือซ้าย พลิกฝ่ามือตั้ง ฉากขึ้นพร้อมกาหนดบริกรรมว่า พลิกหนอๆๆ เคลื่อนมือมาที่ตรง กลางศรี ษ ะระหว่ า งปลายคิ้ ว พร้ อ มก าหนดบริ ก รรมว่ า เคลื่ อ น หนอๆๆ หัวนิ้วมือถูกระหว่างปลายคิ้วพร้อมกาหนดบริกรรมว่า ถูกหนอ ทาความรู้สึกที่มือขวา พลิกฝ่ามือตั้งฉากขึ้นพร้อมกาหนด บริกรรมว่า พลิกหนอๆๆ เคลื่อนมือมาที่ตรงกลางศรีษะระหว่าง ปลายคิ้วพร้อมก าหนดบริก รรมว่า เคลื่อ นหนอๆๆ หัวนิ้ว มือ ถู ก ระหว่างปลายคิ้วและฝ่ามือผสานกันพร้อมบริกรรมว่า ถูกหนอ ๙. เงยศรีษะขึ้นโดยที่มือ ทั้งสองแนบชิดติดหน้าผากอยู่ตลอด พร้อม ก าหนดว่ า เงยหนอๆๆ พอตั ว ตรง หน้ า ตรง คอตรง หลั ง ตรง ให้ก าหนดรู้อ าการว่า ตรงหนอ (พร้อมหายใจเข้าลึ กๆ ) น ามื อ ทั้ ง สองข้ า งที่ ผสานกั น อยู่ เ คลื่ อ นลงมาที่ จ มู ก พร้ อ มก าหนดว่ า ลงหนอๆๆ เคลื่อนมือลงมาที่คาง พร้อมกาหนดว่า ลงหนอ จากนั้น เคลื่อนมือลงมาที่อก พร้อมกาหนดว่า ลงหนอ เมื่อมือทั้ง สองข้าง ถูกอกพร้อมกาหนดว่า ถูกหนอ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๘ ๑๐. ก่อนจบการกราบให้กาหนดเมื่อมืออยู่ที่หน้าอกให้กาหนดรู้อาการ ยกมือขึ้นที่คางบริกรรมว่า ยกหนอ ขึ้นที่ปาก กาหนดว่า ขึ้นหนอ ขึ้นที่จมูก กาหนดว่า ขึ้นหนอ ขึ้นที่ระหว่างคิ้ว กาหนดว่า ขึ้นหนอ ถูกหนอ (ถูกที่ระหว่างคิ้ว) น้อมตัวก้มลงไปครึ่งตัวพร้อมกาหนดว่า ก้ม หนอ เมื่ อหยุด แล้ วให้บ ริก รรมว่า ติ โลกะนาถัง อภิ ปูช ะยามิ เงยศรีษะขึ้นว่า เงยหนอๆๆ ตัวตรง หน้าตรง คอตรง หลังตรง ให้กาหนดรู้อาการว่า ตรงหนอ นามือลงมาที่หน้าอกแล้วกาหนดว่า ลงหนอ ถูกที่หน้าอกแล้วกาหนดว่า ถูกหนอ ทาความรู้สึกที่มือข้าง ซ้าย แล้วนามือซ้ายเคลื่อนเป็นแนวตรงลงมาที่หน้าขาพร้อมกาหนด ว่า ลงหนอๆๆ เมื่อมือซ้ายสัมผัสหน้าขากาหนดว่า ถูกหนอ คว่ามือ ซ้ายลงกาหนดว่า คว่าหนอๆๆ มือขวาปฏิบัติเช่นเดียวกัน ข้อ สัง เกต วิ ธี กาหนดอิริ ย าบถย่ อ ยนี้ ไ ม่ มี กฎเกณฑ์ที่ แ น่น อน ขึ้นอยู่กับการกาหนดรู้ ของแต่ละบุคคลที่สามารถเพียรพยายามเฝ้าดูด้ วย สติ สั ม ปชั ญ ญะได้ อ ย่ า งละเอี ย ดถี่ ถ้ ว นต่ อ เนื่ อ งทั น ปั จ จุ บั น มากที่ สุ ด จนกระทั่งสกัดหรือปิดกั้นกระแสของกิเลสได้ ทาไมจึงเรียกว่ากราบสติปัฏฐาน สติปัฏฐาน คือ การกาหนดสติที่กาย เวทนา จิต ธรรม ดัง กล่าว แล้ ว ดั ง นั้ น การกราบแบบมี สติ จั ด ว่ า อยู่ ใ นสติ ปั ฏ ฐานเช่ น เดี ย วกั น คื อ ในขณะที่เคลื่อนไหวมือหรือการก้ม การเงยศรีษะจัดอยู่ในกายานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน ขณะรู้สึกถึงความปวด ความเมื่อย ชา เหน็บ เจ็บ จัดว่าอยู่ในเวทนา นุปัสสนาสติปัฏฐาน การส่งจิตเข้าไปกาหนดรู้หรือ การกาหนดจิตที่ คิดนึก ในขณะกราบเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การรู้การกระทบสัมผัสระหว่าง มือ ศรีษะ กับพื้น จัดเป็นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดังนี้ การกราบสติปัฏฐานเป็นการแสดงความเคารพ การกราบสติ ปั ฏ ฐานนอกจากจะเป็ น การเจริ ญ สติ ใ นส่ ว นของ อิริยาบถย่อยแล้ว ยัง เป็นการแสดงความเคารพอีกด้วย ซึ่ง สามารถทาให้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๗๙ จิตใจของนักปฏิบัติ อ่อน ควรต่อการงาน ถือเป็นสิ่งสาคัญที่จะพึงใส่ใจและ ปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อ ,นักปฏิบัติธรรมควรแสดงความเคารพใน ๖ อย่าง ดังนี้๑๙๕ ๑. สัตถุคารวตา (ความเคารพในพระศาสดา ข้อนี้บางแห่งเขียน เป็น พุทธคารวตา (ความเคารพในพระพุทธเจ้า) ๒. ธัมมคารวตา (ความเคารพในธรรม) คือเคารพเอื้อเฟื้อ ฯลฯ เลื่อมใสในพระธรรม คือคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ๓. สังฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ์ ) คื อเคารพเอื้อเฟื้อ ฯลฯ เลื่อมใสในพระสงฆ์ คือภิกษุ (สามเณร) ทั้งที่เป็นอริยสงฆ์ ทั้ง ที่เป็นสมมติ สงฆ์ ซึ่งเป็นผู้สอนพระธรรมรักษาพระธรรมนาพระศาสนาสืบต่อมาไม่ขาด สาย ตั้ ง ใจกราบไหว้ และปฏิ บั ติต ามคาสอนของพระสงฆ์ ซึ่ ง เป็ นผู้ แ ทน พระพุทธเจ้า ๔. สิกขาคารวตา (ความเคารพในการศึกษา) คือเคารพเอื้อเฟื้อ ในความศึกษาตั้งใจศึกษาหาความรู้ความเข้าใจความชานาญ ในสิ่งที่ควรรู้ จากการประพฤติปฏิบัติธรรม ฉะนั้น ไม่ควรเบื่อหน่าย ไม่ดูหมิ่น ควรปลูก ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในความศึกษา ทาความศึกษาให้บริบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น ๕. อั ป ปมาทคารวตา (ความเคารพในความไม่ ป ระมาท) คื อ เคารพเอื้อเฟื้อในความไม่ประมาทในที่ ๔ สถาน โดยใจความก็คือ มีสติตาม ระลึกรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ให้สม่าเสมอ ไม่พลั้ง เผลอ ในที่ทุกสถาน ใน กาลทุกเมื่อ ๖. ปฏิสันถารคารวตา (ความเคารพในปฏิสันถาร) เอื้อเฟื้อในสภาวธรรมต่างๆ ที่จะเข้ามาด้วยการมีสติสัมปขัญญะ ๑๙๕ ความเคารพ ดูใน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรม ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๓๑, ๒๕๕๘, หน้า ๒๖๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๐ “ผู้ใด พึงบูชาท่านผู้อบรมตนแล้วผู้หนึ่ง แม้เพียงครู่เดียว การ บูชาของผู้นั้น ประเสริฐกว่าการบูชาของบุคคลผู้บูชา (โลกิยมหาชน) ด้วยทรัพย์เดือนละพัน ตลอดร้อยปี”๑๙๖ อานิสงส์การกราบสติปัฏฐาน ๑. ทาให้อิรยิ าบถเชื่องช้าอย่างมีสติ ๒. ทาให้กาหนดสติได้อย่างต่อเนื่อง ๓. ทาให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ขึ้นเพราะมีความสารวมระวัง เป็น การป้องกันความประมาท ๔. ป้องกันความลืมตัวความหลงผิดได้ เพราะตระหนักอยู่เสมอว่า กาลังกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยสติสัมปชัญญะอยู่ ๕. ทาให้จิตใจผ่องใส เพราะตรึกอยู่ในกุศลธรรมเสมอ ๖. ทาให้เกิดกาลังใจและอานุภาพอย่างมหาศาล สามารถ คุ้มครองป้องกันตนให้พ้นจากอุปสรรคและกิเลสมารต่างๆ ได้ ดังนั้น เมื่อนักปฏิบัติธรรมกราบสติปัฏฐานอยู่จะเป็นการแสดงความ เคารพบูชาในพระศาสดา พระธรรมคาสอน พระอริยสงฆ์ ในการศึกษา และ ความไม่ประมาท คือไม่ขาดสติ ทั้งยังเอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติให้พัฒนายิ่งขึ้นไป จึงควรกราบสติปัฏฐานทั้งก่อนเดินจงกรมและก่อนนั่งสมาธิทุกๆ ครั้ง วนฺทโก ปฏิวนฺทน (ผู้ไหว้ย่อมได้รับไหว้ตอบ) ผู้ไหว้ ย่อมได้รับ การไหว้ตอบ ตามระบอบ ที่เราทา ผลกรรมนั้น เช่นปลูกกล้วย ได้กล้วย เป็นด้วยพันธุ์ รสจะมัน หรือหวาน เพราะพันธุ์เดิม ๑๙๖ ขุ. ธ. ๒๕/๑๘/๒๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๑ เวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน เวทนา คื อ สภาวะเสวยอารมณ์ ๑๙๗ การเจริ ญ สติ ร ะลึ ก รู้ อ ยู่ ที่ อาการและความรู้สึกที่กาลังเสวยอารมณ์สุขทุกข์ของตน โดยการสังเกตให้รู้ ว่าเวทนานี้มีสภาพที่เปลี่ยนแปลง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (แม้ชั่วคราว)และ ไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามต้องการได้ โดยการตามระลึกรู้อยู่แค่ เพียงอาการและความรู้สึกของเวทนาด้วยความเพียรระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน๑๙๘ หมายถึง การตามกาหนดสติระลึก รู้ความรู้สึ กหรือ การเสวยอารมณ์ที่ ปรากฏในขณะปฏิบัติ ทั้ง ทางกายและ จิตใจ เช่น ความรู้สึกสุขสบาย หรือความรู้สึกทุกข์ไ ม่สบาย ที่ปรากฏขึ้น ทางร่างกาย ความรู้สึกเป็นสุขใจ ดีใจ ปลาบปลื้ม หรือทุกข์ทางใจ อึดอัด ขัดเคือง ไม่พอใจ ไม่สบายใจ เป็ นต้น เวทนานี้เมื่อจาแนกออกไปแล้วมี ๓ ประเภท คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อุเบกขาเวทนา ๑ ซึ่ง ถ้าหากมี ความชัดเจนกว่าอาการ พอง – ยุบ ควรตั้งใจกาหนด จนกระทั่งเวทนาหรือ ความเสวยอารมณ์นั้นๆจะเสื่อมไป หายไป ถ้ามีอารมณ์อื่นที่ชัดเจนมากกว่า ก็ให้ย้ายไปกาหนดอารมณ์นั้นทันที ควรกาหนดทีละอารมณ์ ไม่ควรกาหนด หลายอย่ า งพร้ อ มกั น เพราะจะท าให้ เ กิ ด ความสั บ สน จนก่ อ ให้ เ กิ ด ความเครียดมากขึ้น ซึ่งอาจจะไม่เป็นผลดีแก่ผู้ปฏิบัติใหม่ การปฏิ บั ติ ธ รรม คื อ การตามรู้ เ ห็ น รู ป นามตามความเป็ น จริ ง โดยใช้สติปัฏฐานให้เกิดวิปัสสนา มี ๔ ฐาน โดยเฉพาะในฐานของเวทนา เหมาะสาหรับคนติดสุข ซึ่งเป็นอีกฐานหนึ่งที่น่าสนใจเพราะสามารถทาให้ บรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน๑๙๙ ตัวอย่างเช่น การบรรลุธรรมของพระภิกษุผู้ถูก เสือกิน หรือพระภิกษุผู้ถูกหอกแทง เป็นต้น ๑๙๗ อารมฺมณสฺส รส เวทยนฺติ อนุภวนฺตีติ เวทนา. อภิ.วิ.อ.(บาลี)๒/๘๙. ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๘/๓๓๒, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๓. ๑๙๙ ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๒/๒๖๗ – ๒๗๐. ๑๙๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๒ เวทนา ๓๒๐๐ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ๒๐๑ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “สุข วา เวทน เวทยมาโน สุข เวทน เวทยามีติ ปะชานาติ” (ผู้ปฏิบัติธรรม) เมื่อรู้สึกสุขอยู่ ก็รู้ว่า (ตน ) สุขอยู่ “ทุกข วา เวทน เวทยมาโน ทุกข เวทน เวทยามีติ ปชานาติ” (ผู้ปฏิบัติธรรม) เมื่อรู้สึกเป็นทุกข์ ก็รู้ว่า (ตน) เป็นทุกข์ “อทุกฺขมสุข เวทน เวทยมาโน อทุกฺขมสุข เวทน เวทยามีติ ปชานาติ”(ผู้ปฏิบัติธรรม) เมื่อรู้สึกเฉยๆ (อะทุกขะมะสุขัง = ไม่สุขไม่ทุกข์ คือ เฉยๆ) ก็รู้ว่า (ตน) รู้สึกเฉยๆ (ไม่สุขไม่ทุกข์) สุขเวทนา ในขณะปฏิบัติธรรม จิตของเรารู้สึกมีความสุข เรามีจิตใจที่เบิกบาน ผ่องใส มีความสุข เราต้องมีสติกาหนดรู้ และบริ กรรมว่ า “สุข หนอๆๆ” เพราะความสุขเหล่านั้นยังสามารถแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ความสุขจึงเป็น สิ่ง ไม่เที่ยง สิ่ง ใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นจึงเป็นทุกข์ ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องกาหนดรู้ ความสุขนั้น หรือสุขที่อาศัยกามคุณทั้ง ๕ เกิดขึ้นคือ อาศัยรูปสวย กลิ่นหอม รสอร่อย เสียงไพเราะ สัมผัสที่ถูกใจ บางครั้งอาจได้ยินเสียงนกร้อง เสียงลม เห็นธรรมชาติ ป่าเขาที่สวยงาม ได้ กลิ่นหอมของอาหาร เป็นต้น เมื่อเรา ก าหนดในสิ่ ง เหล่ า นั้ น ได้ ไ ม่ ทั น ใจเราจะเข้ า ไปเสพกั บ ความสุ ข และ เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้น เมื่อนักปฏิบัติสามารถรู้ได้ว่าใจตนกาลังมีความสุข จะต้องกาหนดว่า “สุขหนอๆๆ”ดังเรื่องพระเจ้ามหากัปปินะเปล่งอุทานดังนี้ พระเถระเปล่งอุทานปรารภความสุข ครั้งนั้น ท่านพระมหากัปปินะเถระ บรรลุพระอรหัตผลแล้ว รู้ว่า กิจตนถึง ที่ สุดแล้ว ก็ เป็น ผู้ขวนขวายน้อ ย ท าเวลาให้ ล่วงไปด้ว ยสุข ในผล ๒๐๐ เวทนา ๓ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา ดูใน ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๗๐/๓๐๒ – ๓๐๓. ๒๐๑ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๓/๓๒๕, ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๓ สมาบัติ อยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี ก็เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า อโห สุข อโห สุข (โอ สุขจริง) ภิกษุทั้งหลายเกิดพูดกันขึ้นว่าท่านพระกัปปินเถระ ระลึกถึง สุขในราชสมบัติ จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ภิกษุเหล่านั้ นจึง พากันไป กราบทูลพระตถาคต ว่า“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระมหากัปปินะ เที่ยวเปล่ง อุทานว่า ‘สุขหนอๆ’ ท่านเห็น จะกล่าวปรารภความสุขในราชสมบัติของตน พระศาสดารับสั่งให้เรียกพระมหากัปปินะมาแล้ว ตรัสถามท่านว่า “กัปปินะได้ยินว่าเธอเปล่งอุทานปรารภสุขในกามสุขในราชสมบัติจริงหรือ?” พระมหากัปปินะทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาค เจ้า ย่อมทรงทราบ การเปล่งหรือไม่เปล่งปรารภกามสุขนั้นของข้าพระองค์” พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราย่อมเปล่ง อุทาน ปรารภสุขในกาม สุขในราชสมบัติหามิได้ ก็แต่ว่า ความเอิบอิ่มใน ธรรม ย่อม เกิด ขึ้นแก่บุต รของเรา บุตรของเรานั้นย่ อมเปล่ ง อุท าน อย่า งนั้น เพราะ ปรารภอมตมหานิพพาน” ดังนี้แล้วเมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ แสดงธรรม จึงตรัส พระคาถานี้ว่า: “บุคคลผู้เอิบอิ่มในธรรม มีใจผ่องใส ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศแล้วทุกเมื่อ”๒๐๒ ทุกขเวทนา พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า “ดูก่อนคหบดี เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น คหบดี เรือ่ งนี้เป็นอย่างนั้น ความจริง กายนี้กระสับกระส่าย เป็นดังฟอง ไข่ มีเปลือกหุ้มไว้ อนึ่งบุคคลผู้บริหารกายนี้อยู่ พึงรับรองความไม่มีโรคได้ แม้เพียงครู่เดียว จะมีอะไรเล่านอกจากความโง่เขลา เพราะเหตุนั้น ท่านพึง ส าเหนี ย กอย่ า งนี้ ว่ า ‘เมื่ อ เรามี ก ายกระสั บ กระส่ า ยอยู่ จิ ต จั ก ไม่ กระสับกระส่าย’ ท่านพึงสาเหนียกอย่างนี้๒๐๓ ๒๐๒ ๒๐๓ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๔/๓๑๖, องฺ.เอก.อ. (ไทย) ๒๐/๑๔๙/๙. ส.ข. (บาลี) ๑๗/๒ /๓, ส.ข. (ไทย) ๑๗/๑/๒ – ๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๔ การก าหนดรู้ เ วทนานี้ ผู้ ป ฏิ บั ติ ต้ อ งมี ค วามอดทนค่ อ นข้ า งมาก เพราะถ้ามีความอดทนน้อยคอยเปลี่ยนอิริยาบถอยู่บ่อยๆ จะทาให้เสียสมาธิ มาก ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็ควรกาหนดเวลาในการนั่งให้น้อยลงและค่อยๆ เพิ่มไปทีละ ๓, ๕, ๑๐ นาที เมื่อนั่งครบตามเวลา ที่ตั้งใจไว้แล้วก็ให้เปลี่ยน อิริยาบถไปเดินจงกรม เมื่อเดินจงกรมครบตามเวลาที่ได้กาหนดไว้ก็กลับมา นั่ง พยายามเดินนั่งสลับกันไม่ควรจะเดินหรือนั่งอย่างเดียว เพราะจะทาให้ อิริยาบถหรืออินทรีย์ ๕ ไม่สม่าเสมอกัน ควรเดินและนั่งให้เท่าๆ กันไปตั้งแต่ เริ่มต้น การตามกาหนดรู้เวทนานี้ นับเนื่องในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เคล็ดลับเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทุกขเวทนา? ผูป้ ฏิบัติต้องวางใจให้เป็นกลาง อย่าไปอยากให้หาย อย่าไปอยาก เอาชนะ อย่าไปอยากรู้ว่าเวทนาที่เกิดขึน้ จะดับหรือไม่ดับไปเมื่อไหร่อย่างไร ให้ทาหน้าที่เพียงแค่การเฝ้าดู กาหนดรู้อย่างมีสติเท่านั้น มีสุภาษิตกล่าวว่า “ความอดทนเป็นกุญแจไขประตูไปสู่พระนิพพาน” ซึ่งสุภาษิตนี้สอดคล้อง กั บ พุ ท ธพจน์ ที่ ต รั ส สรรเสริ ญ การเจริ ญ ขั น ติ สั ง วร คื อ ความอดทนต่ อ ทุกขเวทนา๒๐๔ วิธีการกาหนดเวทนามีอยู่ ๓ แบบ ๑. การกาหนดแบบเผชิญหน้า คือ ตั้งใจกาหนดแบบไม่ท้อถอย ตายเป็นตาย โดยเอาจิตไปจดจ่อที่อาการปวด จี้ลงไปยังจุดศูนย์กลางที่กาลัง ปวดมากที่สุด วิธีนี้ผู้ปฏิบัติจะค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องใช้พลังจิต อย่างทุ่มเท และจดจ่อมากที่สุด แต่ก็มีประโยชน์ ในการรู้แจ้งทุกขลักษณะ อย่างพิเศษ พร้อมกั นนี้ก็เป็นโอกาสได้ฝึกการวางใจไปด้วย ขณะปวด กาหนดว่า ปวดหนอๆๆ ขณะเจ็บ กาหนดว่า เจ็บหนอๆๆ ขณะชา กาหนด ว่า ชาหนอๆๆ ขณะคัน กาหนดว่า คันหนอๆๆ ขณะเมื่อย กาหนดว่า เมื่อย หนอๆๆ ขณะแสบ กาหนดว่า แสบหนอๆๆ เป็นต้น ให้นักปฏิบัติธรรม พยายามกาหนดสติเหมือนกับภิกษุใจเพชร มีเรื่องย่อดังนี้ ๒๐๔ ม.มู. ๑๒/๒๔/๑๔-๑๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๕ เรื่องภิกษุถูกเสือกิน๒๐๕ ภิกษุ ๓๐ รูป เรียนกรรมฐานในสานักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้ ว จ าพรรษาในวั ด ป่ า ท ากติ ก ากั น ว่ า “ผู้ มี อ ายุ เราควรท าสมณธรรม ตลอดคืนในยามทั้งสาม เราไม่ควรมายังสานักของกันและกัน แล้วต่างคน ต่างอยู่ เมื่อภิกษุเหล่านั้นทาสมณธรรม ตอนใกล้รุ่งก็โงกหลับ เสือตัวหนึ่งก็ มาจับภิกษุไปกินทีละรูปๆ ภิกษุไรๆ ก็มิไ ด้เปล่งแม้วาจาว่า เสือคาบผมแล้ว ภิกษุถูกเสือกินไป ๑๕ รูป ด้วยอาการอย่างนี้ ถึงวันอุโบสถ ภิกษุที่เหลือ ก็ถามว่าท่านอยู่ที่ไหน และรู้เรื่องแล้วก็กล่าวว่า ถูกเสือคาบควรบอกว่า บัดนี้ เราถู ก เสื อ คาบไปๆ แล้ ว ก็ อ ยู่ กั น ต่ อไป ต่ อ มาเสื อ ก็ จั บ ภิ ก ษุ ห นุ่ ม รู ป หนึ่ ง โดยนัย ก่อ น ภิก ษุห นุ่ม ก็ร้อ งว่ า เสื อขอรั บ ภิก ษุทั้ง หลายก็ถื อไม้เ ท้า และ คบเพลิงติดตามหมายว่าจะให้มั นปล่อย เสือก็ขึ้นไปยังเขาขาด ทางที่ภิกษุ ทั้งหลายไปไม่ได้ เริ่ มกินภิกษุนั้น ตั้งแต่นิ้วเท้า ภิกษุทั้งหลายนอกนั้น ก็ไ ด้ แต่กล่าวว่าสัปบุรุษ บัดนี้ กิจที่พวกเราจะต้องทาไม่มี ขึ้นชื่อว่าความวิเศษ ของภิกษุทั้งหลายย่อมปรากฏในฐานะเช่นนี้ ภิกษุหนุ่มนั้นนอนอยู่ในปากเสือ ข่มเวทนา เจ็บปวดแล้วเจริญวิปัสสนาตอนเสือกินถึงข้อเท้าเป็นพระโสดาบัน ตอนกิ น ไปถึ ง หั ว เข่ า เป็ น พระสกทาคามี ตอนเสื อ กิ น ไปถึ ง ท้ อ ง เป็ น พระอนาคามี ตอนเสือกินไปยังไม่ถึงหัวใจ ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย ปฏิสัมภิทา จึงเปล่งอุทาน ดังนี้ว่า เรามีศีล ถึงพร้อมด้วยวัตร มีปัญญา มีใจมั่นคงดีแล้ว อาศัยความประมาท ครู่หนึ่ง ทั้งที่มีใจไม่คดิ ร้ายในเสือ มันก็จับ ไว้ในกรงเล็บ พาไปไว้บนก้อนหิน เสือ จงกินเราถึงกระดูกและเอ็นก็ตามที เราจัก ทากิเลสให้สิ้นไป จักสัมผัสวิมุตติ ดังนี้ ๒๐๕ ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๒/๒๖๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๖ ๒. การกาหนดแบบลอบโจมตี คือ ตั้งใจกาหนดแบบจู่โจม เมื่อ เจอข้าศึกมีมากกว่าก็ต้องรอกาลังหนุน (สติ สมาธิ ปัญญา) ช่วงนี้ก็ต้องตัด กาลังข้าศึกไปก่อน โดยซุ่มโจมตีเป็นจุดๆ ไป ในตอนแรกๆ พอรู้สึกว่ากาลัง ความเพียรมีน้อยก็ถอยออกมาเตรียมความพร้อมใหม่ เมื่อพร้อมแล้วก็เข้าไป กาหนดอีกครั้งหนึ่ง เช่น ขณะกาหนดปวดอยู่นั้นความปวดกลับทวีความ รุน แรงมากขึ้ น จนไม่ สามารถทนไหว จึ ง หยุ ด กาหนดรู้ อ าการปวด แต่ เปลี่ยนไปกาหนดรู้อาการพอง-ยุบ หรืออารมณ์อื่นๆ แทน แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ไปยืนหรือเดินในขณะนั้น ๓. การกาหนดแบบเฝ้าดูหรือสังเกตการณ์ คือ เมื่อรู้สึกว่าปวด หรื อ เจ็บ มากก็มิ ไ ด้ ไ ปก าหนดตอกย้ าลงไปอีก เพี ย งแต่ก าหนดรู้ ดู ด้ ว ย สติปัญ ญาอยู่เฉยๆ หรือเฝ้าดูด้วยระลึกรู้ด้วยสติเฉยๆ โดยปราศจากการ บริกรรมใดๆ ทั้งสิ้นไม่เน้นหรือย้าเพียงระลึกรู้อาการของเวทนาอุปมาเหมือน ทหารที่เฝ้าดูข้าศึกอยู่บนเชิงเทินหรือหอสังเกตการณ์ ไม่ได้ทาการสู้รบกับ ข้าศึกแต่ประการใด เพียงแต่เฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของข้าศึกเท่านั้น อุเบกขาเวทนา เวทนาชนิ ด สุ ด ท้ า ยคื อ อุ เ บกขาเวทนา ความวางเฉยจาก ความคุ้นเคย ไม่ยินดียินร้าย เช่นเมื่อเวลาเรายืน ด้วยความคุ้นเคย บางทีเรา ก็ไม่กาหนด ในขณะเดินก็เช่นเดียวกัน ความคุ้นเคยเราจึงไม่ไ ด้กาหนดอีก ฉะนั้นแล้วผู้ปฏิบัติจึงไม่พึงปล่อยใจตัวเองไปกับความคุ้นเคยต่างๆ ในทาง โลกจนเกินไปนัก เพราะจะทาให้จิตเราหลงไปได้ นั่นคือเราพึงกาหนดอยู่ ตลอดไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถ เดิน นั่ง กินดื่มทาพูดคิด ก็กาหนดไปตามอาการ นั้นๆ ที่ปรากฏ หรือแม้แต่ตอนที่เรารู้สึกนิ่งๆ ก็ต้องกาหนด “นิ่งหนอๆๆ เฉยหนอๆๆ” ไป สิ่งเหล่านี้เรียกว่า อุเบกขา ที่ต้องกาหนดเพราะเราเจริญ วิปัสสนาจึงต้องรู้ชัดตามความเป็นจริง สภาพธรรมแห่งอุเบกขาจะปรากฏ ในความแปรปรวนไปเป็นอย่างอื่นให้ระลึกรู้คือความไม่เที่ยงนั่นเอง แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๗ ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมจึงต้องมีสติกาหนดระลึกรู้อาการตามเป็น จริงของเวทนาทั้งหลายดังกล่าวมา โดยความเป็นทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา ดังที่พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า๒๐๖ “เธอทั้ง หลายพึ ง เห็น สุ ข เวทนาโดยความเป็ นทุ ก ข์ พึ ง เห็ น ทุก ขเวทนาโดยความเป็ น ลู ก ศร พึ ง เห็ น อทุ ก ขมสุ ขเวทนาโดยความ ไม่เที่ยง เพราะภิกษุเห็นสุขเวทนาโดยความเป็นทุกข์ เห็นทุกขเวทนาโดย ความเป็ น ลู ก ศร เห็ น อทุ ก ขมสุ ข เวทนาโดยความไม่ เ ที่ ย ง ภิ ก ษุ นี้ เ รา เรียกว่า‘มีความเห็นชอบ ตัดตัณหาได้ เพิกถอนสังโยชน์แล้ว ได้ทาที่สุด แห่งทุกข์ เพราะรู้แจ้งมานะได้โดยชอบ” สรุปการพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เวทนาภายใน คือ เวทนาที่เป็น ลักษณะอาการของเวทนานั้นๆ เช่น ทางกาย ได้แก่ อาการตึง แข็ง ร้อน เคลื่อน หรือความรู้สึกทางใจ ปลื้ม ใจ อิ่มใจ สภาพดิ้นรนทางจิตใจ เป็นต้น เวทนาภายนอก คือ ความรู้บัญญัติที่เกิดขึ้นจากอาการนั้น เช่น ความเจ็บ ความปวด ความสุข ความทุกข์ ความเฉย เห็นความเกิดขึ้น เห็นความเสื่อมไป(ไตรลักษณ์)ของเวทนาทั้งหลาย อยู่บ้าง ย่อมเห็นเวทนาเป็นเพียงเวทนา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ ในเวทนานั้นมีไว้เพื่ออาศัยระลึกรู้ มีไว้เพื่อรู้ ย่อมไม่ยึดติดเวทนาใดๆ ในโลก ดูกรคฤหบดี รางกายนี้มีสภาพกระสับกระส่าย ถูกหนังห่อหุ้มไว้ เหมือนฟองไข่ เพราะบุคคลใดรักษาร่างกายนี้อยู่ ถึงรับรองว่า ร่างกายนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีโรคแม้เพียงชั่วครู่ เว้นจากความเป็นคน เขลาแล้ว จะมีสาเหตุอื่นอะไรเล่า ดูกรคฤหบดี เพราะเหตุนั้น เธอพึงสาเหนียกอย่างนี้ว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บอยู่ แต่ใจของ เราจะไม่เจ็บตามไปด้วย ดูกรคฤหบดี เธอพึงสาเหนียกอย่างนี้ ส.ข. ๑๗.๑.๑ ๒๐๖ ส.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๖๗/๒๕๖, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๓/๒๗๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๘ จิตตานุปัสสนาสติปฏั ฐาน จิต เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ คือ รับอารมณ์อยู่เสมอ๒๐๗ การเจริญ สติระลึกรู้อยู่ที่จิตของตน นักปฏิบัติต้องสังเกตให้รู้ว่าจิตนี้มีลักษณะ อาการ เป็นอย่างไร โดยการตามระลึกรู้อยู่แค่เพียงอาการของจิตด้วยความเพียร ระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอเท่านั้น ซึ่งในมหาสติปัฏฐานแบ่งจิตนี้เป็น ๑๖ ประการ สราค วา สราค จิตฺต จิตฺตนฺติ ปชานาติ วีตราค วา จิตฺต วีตราค จิตฺตนฺติ ปชานาติ...วิมุตฺต วา จิตฺต วิมุตฺต จิตฺตนฺติ ปชานาติ อวิมุตฺต จิตฺต วา อวิมุตฺต จิตฺตนฺติ ปชานาติ. จิ ต มี ร าคะ โทสะ โมหะ หรื อ ไม่ มี ร าคะ โทสะ โมหะ... จิ ต หดหู่ ฟุ้ง ซ่าน จิ ตเป็น มหั ตคตะหรื อไม่เป็น มหัตคตะ จิตตั้ง มั่ น หรือจิ ตไม่ตั้ง มั่ น จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าหรือไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตหลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัด๒๐๘ พระองค์ทรงตรัสว่า “อนุปุเพน เมธาวี โถก โถก ขเณ ขเณ”๒๐๙ ผู้มปี ัญญาควรขจัดราคะ โทสะ โมหะ ให้ลดน้อยลงไป เมื่อผู้ปฏิบัติกาหนดรู้กายได้ดีแล้ว อาการความรู้สึกทางจิตจะปรากฏ คือ สภาวลักษณะต่างๆ ของจิต ดังมีข้อความในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า “ยถา ยถา หิสฺส รูปํ สุวิกฺขาลิต โหติ นิชฺชฏ สุปริสุทฺธ, ตถา ตถา ตทารมฺมณา สยเมว ปากฏา โหนติ ” เมื่อชาระสะสางรูปได้ดี อรูป ธรรมจะปรากฏขึ้น มาเองโดยแท้ จริง แล้ วนามที่มี รู ป นั้น เป็ นอารมณ์ ย่อ ม ปรากฏเองเมื่ อ รู ป ได้ ป ระจั ก ษ์ ชั ด เจนสะอาดบริ สุ ท ธิ์ ดี แ ก่ เ ธอแล้ ว ๒๑๐ เนื่องจากว่าธรรมชาติของจิตนั้นดิ้นรน ไม่อยู่นิ่ง ดังปรากฎพระบาลีว่า ๒๐๗ อารมฺมณ จินฺเตตีติ จิตฺต, วิชานาตีติ. อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๑๒๗/๑๑๐. ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๙/๓๓๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔ – ๓๑๕. ๒๐๙ ขุ.ธ (บาลี) ๒๕/๒๘/๔๗, ขุ.ธ (ไทย) ๒๕/๒๓๙/๑๐๖. ๒๑๐ วิสุทธิ. (บาลี) ๒/๖๖๙/๒๕๕, วิสุทฺธิ (ไทย) ๖๙๙/๙๘๒-๙๘๓. ๒๐๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๘๙ “ผนฺทน จปล จิตฺต ทุรกฺข ทุนฺนิวารย ทูรคม เอกจร อสรีร คูหาสย เยจิตต สเมสสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา๒๑๑ จิตดิ้นรน ซัดส่าย ห้ามยาก รักษาได้ยาก คนเหล่าใดสารวมจิต ที่ เที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในถ้า คนเหล่านั้น จักพ้น จากเครื่องผูกแห่งมาร” เพราะสภาพธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต จะยุติลงก็หยุดที่จิต ฉะนั้น นักปฏิบัติจึง ควรรู้จักจิต (ลักษณะ) แล้ว เพียรฝึกจิต (ให้เกิดปัญ ญา) และ ปลดเปลื้องจิต (จากสิ่งที่จิตยึดถือมั่น) โดยการใช้จิตชาระจิต ดังบาลีว่า “ชเลน ภวติ ปงฺก ชเลเนว วิสุชฺฌติ จิตฺเตน ภวติ ปาปํ จิตฺเตเนว วิสุชฺฌติ” โคลนเกิดแต่ น้าย่อมสะอาดด้วยน้าฉัน ใด บาปเกิด จากจิต ย่อ ม หมดจดด้วยจิต ฉันนั้น๒๑๒ ดัง นั้น การตามรู้จิตจึงต้องมีความเพียรในการตามกาหนด จิตรู้ อะไรต้องตามกาหนดรู้ เพราะจิตนี้อุปมาเหมือนลิง หากต้องการฝึกลิง จึง ต้องรู้จักท่าทาง ลักษณะ อุปนิสัยใจคอของลิง จิตเช่นเดียวกันจาเป็นต้องรู้ ลักษณะ อาการกิริยาของจิต ซึ่งมีวิธีการหรือขั้นตอนการเรียนรู้จิต คือ รู้จัก จิต (รู้จักลิง) รู้ทันจิต (ฝึกลิง) รู้ปล่อยจิต(ปล่อยลิงกลับคืนสู่ธรรมชาติ) ต่อไป รู้จักจิต จิต มีห ลายชื่อ คือ ใจ มโน วิ ญญาณ มานั ส หทัย ปัณ ฑระ มนะ มนายตนะ เจตภูต ใจ หทัย๒๑๓ จิตมีจานวนทั้งหมด ๘๙/๑๒๑ ดวง ๒๑๑ ขุ.ธ (บาลี) ๒๕/๑๓/๑๙, ขุ.ธ (ไทย) ๒๕/๓๓/๓๕. พระจันทิมา ประเทศเมียนม่าร์ อ้างใน พระโสภณมหาเถระ, มหาสติปัฎ ฐานสูตร, หจก.ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙, หน้า ๒๗๖. ๒๑๓ ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๔/๓, ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑/๓. ๒๑๒ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๐ จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ จิต เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ คือ รับอารมณ์อยู่เสมอ๒๑๔ จิตจะรู้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือทางอายตนะทั้ง ๖ รู้ทางตา ฯลฯ มีจักษุปสาท รูปารมณ์ จักษุผัสสะ จักษุวิญญาณ มโนวิญญาณ รู้ทางใจในขณะที่รู้เกิด ขันธ์ ๕ ด้วย ยึดมั่นในสิ่งที่รู้ เมื่อจิตรู้แล้วก็นามาคิดนึกปรุงแต่ง ในอารมณ์ จากนั้ น ก็ น าข้อ มู ลมาเก็ บ สะสมเป็น ความจ าไว้ที่ จิ ต ใจ จิ ต จึง ได้ ชื่อ อี ก ว่ า ธรรมชาติที่สะสม จิตเป็นธรรมชาติที่สะสม จิตที่สะสมอารมณ์ต่างๆ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส ความรู้สึกต่างๆ ความเจ็บปวด โกรธเกลียด ชอบไม่ชอบ ดีชั่ว บุญบาป กุศลอกุศล ฯลฯ เมื่อจิตสะสมอารมณ์ ก็ปรารถนาแต่อารมณ์ที่ดี จึง มีการแสวงหาอารมณ์ดี หรือหลีกหนีอารมณ์ไม่ดี ซึ่งก่อให้เกิดการกระทากรรมทางกายวาจาใจขึ้น เมื่อกระทากรรมจึงทาให้ได้รับผลแห่งการกระทานั้นๆ เรียกว่า วิบาก วิบากแห่งจิตจะนาให้ไปปฏิสนธิกาเนิดเกิดขึ้นดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับ กาลังของจิตแต่ละดวงที่สะสมกรรมไว้จึงทาให้สัตว์นั้นเกิดแตกต่างกันไป ดัง พระบาลีว่า “กมฺม สตฺเต วิภชฺชติ ยทิท หีนปณีตาย”๒๑๕ สัตว์ทั้งหลายย่อม แตกต่างกันไปตามกรรม ย่อมเกิดมี รูปร่าง ลักษณะ ท่าทาง อากั ปกิริยา นิสัยที่แตกต่างกันไป ผลกรรมหรือวิบากที่จะส่งผลนั้นเป็นไปตามกาลังของ การกระทานั้นๆ กรรมที่มีเจตนาแรงกล้าจะให้ผลก่อน อุปมาเหมือนหินก้อน เล็กกับก้อนใหญ่โยนขึ้นบนอากาศพร้อมกันก้อนไหนหนักกว่าก็ล่วงเร็วกว่า จิตก็เหมือนกันเจตนาไหนแรงกว่าก็จะส่งผลก่อน ให้ได้รับผลกรรมแตกต่าง กันไป เพราะกรรมเป็นผู้จาแนก ดังนั้น จิตจึงได้ชื่อ ธรรมชาติที่วิจิตร๒๑๖ ๒๑๔ อารมฺมณ จินฺเตตีติ จิตฺต, วิชานาตีติ. อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๑๒๗/๑๑๐. ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๕๙๗/๓๘๕, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๙๗/๓๕๖. ๒๑๖ เรียกว่า "จิต" เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตร ขุ.ม.อ. ๑/๑/๓๙๐. ๒๑๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๑ จิตเป็นธรรมชาติที่วิจิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า เตนาปิ โข ภิกฺขเว จรเณน จิตฺเตน จิตฺต ฺเ ว จิตฺตรนฺติ ภิกษุทั้งหลายจิตนั้นเป็นธรรมชาติที่วิจิตรยิ่งกว่ารูปภาพอันวิจิตรนี้ นาห ภิกฺ ขเว อ ฺ เอกนิกายมฺปิ สมนุปสฺ สามิ , ย เอว จิตตฺ , ยถยิท ภิกฺขเว ติรจฺฉานคตา ปาณา, ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์ดิรัจฉานเหล่าใด มีอยู่ในโลก ตถาคตไม่ เคยเห็นว่า สัตว์เหล่าอื่นใดที่จะวิจิตร เหมือนกับพวกเหล่าสัตว์ดิรัจฉานนี้เลย เตปิ โข ภิกฺขเว ติรจฺฉาน คตา ปาณา จิตฺเตเนว จิตฺติตา ภิกษุทั้งหลาย บรรดาจาพวกดิรัจฉานที่วิจิตร ถึงเพียงนี้ ก็เพราะ จิตนี้เอง เป็นผู้กระทาให้วิจิตร เตหิ ปิ โข ภิ กฺ ขเว ติ ร จฺ ฉานคเตหิ ปาเณหิ จิ ตฺ ต ฺเ ว จิตฺตรนฺติ ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้แหละวิจิตรยิ่งกว่าพวกดิรัจฉาน (สังยุตตบาลี) จิตฺเตน นียติ โลโก กุศลจิต ย่อมนาสัตว์โลกไปสู่สุคติภูมิ จิตฺเตน ปริกสฺสติ อกุศลจิตย่อมฉุดคร่าสัตว์โลกให้ไปสู่อบายภูม จิตฺตสฺส เอกธมฺมสฺส สพฺเพว วสมนฺวคู สัตว์ทั้งหลาย ย่อมปกติเป็นไปตามอานาจแห่งจิต (สังยุตตบาลี) จิตฺตมานตฺตมาคมฺม นานตฺต โหติ วายุโน จิตตชวาโยที่สามารถในการ ยืน, เดิน, นั่ง, นอน, เกิดขึ้นได้ ก็ เพราะอาศัยความประสงค์ของจิตที่เป็นไปต่าง ๆ เป็นเหตุ วายุนานตฺตโต นานา โหติ กายสฺส อิ ฺชนา ร่างกายที่กาลังเคลื่อนไหวเป็นไปต่าง ๆ ปรากฏขึ้นได้ เหมือนกับ รูปหุ่นที่เขากาลัง เชิดอยู่นั้น ก็เพราะอาศัยความเป็นไปต่าง ๆ แห่งจิตตช วาโยเป็นเหตุ (สุตตนิบาต อรรถกถา) แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๒ วิจิตฺตกรณา จิตฺต ชื่อว่า จิต เพราะทาให้กิริยาอาการวิจิตร (มุ่งหมายเอาเฉพาะจิต ๓๒ ดวง คือ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ กามชวนจิต ๒๙๑ อภิญญาจิต ๒) อตฺ ต โน จิ ตฺ ต ตาย วา หรื อ ชื่ อ ว่ า จิ ต เพราะสภาพของตน เป็นวิจติ ร (มุ่งหมายเอาจิตทั้งหมด ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง) จิตฺตกมฺมกิเลเสหิ จิตฺต วิปากจิต ชื่อว่า จิต เพราะกุศลกรรม อกุศลกรรม และกิเลสเหล่านี้ เป็นที่สั่งสม ตายติ วา ตถา หรือ วิปากจิตชื่อว่าจิต เพราะย่อมรักษาไว้ซึ่ง ร่างกาย ที่เกิดจากกุศลกรรมและอกุศลกรรม และกิเลส จิโนติ อตฺตสนฺตาน วิญญาณใด ย่อมทาให้ขันธสันดาน เกิดขึ้น ติดต่อกันโดยไม่ขาดสาย ฉะนั้นวิญญาณจึงชื่อว่าจิต (มุ่ง หมายเอาอกุศล และโลกียกุศลชวนะ) (แปลอีกนัยหนึ่ง) วิญญาณใด ย่อมทาให้สันดานตนเกิดขึ้นสืบต่อกันโดยไม่ขาดสาย (มุง่ หมายเอา โลกียชวนะ ๔๗ ที่เป็นอาเสวนปัจจัยได้) วิจิตฺตารมฺมณนฺติ จ (วิภาวินีฎีกา) วิญญาณใด ย่อมมีอารมณ์ วิจิตรพิสดาร ฉะนั้น วิญญาณนั้นจึงชื่อว่าจิต (มุ่งหมายเอาจิตทั้งหมด ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวง) ความเกิดดับของจิตนี้ ย่อมเป็นไปอย่างรวดเร็วยากที่จะ หาอะไรมาเปรียบเทียบได้ ฉะนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ในอังคุตตรพระบาลีว่า ยาว ฺจิท ภิกฺขเว อุปมาปิ น สุกรา ยาว ลหุปริ วตฺต จิตฺต ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เกิดดับอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ จึงหาข้ออุปมา ที่จะยกขึ้นมาเปรียบเทียบได้โดยยากยิ่ง ดังนั้น พึงเห็นว่าสิ่งมีชีวิตและหาชีวิตมิได้ทั้งมวลที่วิจิตรพิสดารนั้น เป็นเพราะอานาจของจิตคือมีตนเป็นผู้ทาให้วิจิตร อันได้แก่สัตว์และสิ่งของที่ ปรากฏอยู่ ใ นโลกนี้ เป็ น ต้ น ทั้ ง การไปมาของจิ ต สู่ ทิ ศ และสถานที่ ต่ า งๆ รวดเร็วยิ่งกว่าชั่วขณะลิงหลับ และในขณะเดียวกันก็สามารถรับเอาอารมณ์ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๓ ทั้งอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ แม้มีอยู่ที่ไกลมาได้ ทั้งการเกิดและเที่ยวไปก็ ปรากฏทีละดวง คือ จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นเป็นไปและดับลง จิตดวงอื่นๆ จึงเกิด ต่อไป หรือแม้แต่ ทรวดทรงแห่ งสรี ระ หรื อสีสั นของจิต นั้นก็ ไ ม่มี มีถ้ าคื อ ร่างกายเป็นที่อยู่อาศัย รู้ทันจิต ขัน้ ต่อมาคือต้องรู้ทันจิต หมายถึง เมื่อจิตเกิดขึ้นมีลักษณะ กิริยา อาการอย่างใด ให้นักปฏิบัติธรรมรีบกาหนดสติรู้ทันที อุปมาเหมือนใช้เชือก ผูกกั บลิง ทัน ที ไม่ป ล่อยลิง หนีไ ป คือไม่ป ล่อยให้ จิตลอยไปหรือ จมอยู่กั บ ความรู้สึกนึกคิด นักปฏิบัติจึงต้องรู้ทันจิตของตนด้วยการกาหนดสติระลึกรู้ เห็นจิตในจิตอยู่ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยการปฏิบัติอย่างไร ภิกษุจึงจะพิจารณา เห็นจิตในจิตอยู่เสมอได้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ “สราค วา จิตฺต สราค จิตฺตนฺติ ปชานาติ วีตราค วา จิตฺต วีตราค จิตฺตนฺติ ปชานาติ ฯลฯ” เมื่อจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ เมื่อจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิต ปราศจากราคะ ฯลฯ”๒๑๗ จิตมีราคะ คือ จิตที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ ๘ อย่าง ราคะ คือ ความกาหนัด ปรารถนา ต้องการ ชอบ ยินดี พอใจ ในการปฏิบัติ พอใจในการยืน เดิน นั่ง นอน สุขเวทนา อุเบกขาเวทนา คิด นึก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส ถูกต้องสัมผัสอันสบาย ฉะนั้น นักปฏิบัติธรรม ต้องรู้เท่าทันอาการของจิตที่มีราคะดังกล่าว แล้วพยายามกาหนดสติระลึกรู้ วิ ธี ก าหนด ก าหนั ด หนอ ราคะหนอๆๆ ปรารถนาหนอๆๆ ต้องการหนอๆๆ ชอบหนอๆๆ ยินดีหนอๆๆ พอใจหนอๆๆ ๒๑๗ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๙/๓๓๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๔ วิธีแก้เมื่อจิตเกิดราคะขึ้น ๑. ให้กาหนดรู้อาการของราคะที่เกิดขึ้น ๒. สารวมอินทรีย์ ๓. ลดความมัวเมาในรสอาหาร ๔. พิจารณาอสุภสัญญาและปฏิกูลสัญ ญา(มีแต่ขี้)จนกว่าจิตที่ มี ราคะนั้ น จะเจื อ จางหายไป หมดไปจากจิ ต ใจ เรี ย กว่ า วี ต ราค เมื่ อ จิ ต ปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ได้แก่จิต ๒ ดวงที่เกิดพร้อมด้วยโทมนัส โทสะ คือ โกรธ เกลียด ชัง พยาบาท อาฆาต ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่ต้องการ ไม่ปรารถนา ในการปฏิบัติ ไม่พอใจในการยืน เดิน นั่ง นอน ทุกขเวทนา เห็นรูปน่าเกลียด ได้ยินเสียงไม่ถูกใจ ได้กลิ่นเหม็น รู้รสไม่ถูก กิเลส ถูกต้องสัมผัสอันไม่สบาย พยาปาโท นิยฺยานาวรณ ความโกรธเป็น เครื่องกั้นการหลุดพ้น๒๑๘ ดังนั้น นักปฏิบัติต้องรู้ทันจิตของตน อย่าปล่อยให้ ความโกรธครอบงาจิตใจ ดังที่พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “สโทส จิตฺตนฺติ ปชานาติ วีตโทส วา จิตฺต วีตโทส จิตฺตนฺติ ปชานาติ” เมื่อจิตมีโทสะก็รู้ว่า จิตมีโทสะ หรือ จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ ชัดว่า จิตปราศจากโทสะ เมื่อจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ” ๒๑๙ วิธีกาหนด โกรธหนอๆๆ เกลียดหนอๆๆ พยาบาทหนอๆๆ ไม่ชอบหนอๆ ไม่พอใจหนอๆ ไม่ต้องการหนอๆ ไม่ปรารถนาหนอ เป็นต้น ๒๑๘ ขุ.ปฏิ. (บาลี) ๓๑/๑๕๓/๑๗๔, อ้างใน พระโสภณมหาเถระ, มหาสติปัฎ ฐาน ทางสู่พระนิพพานนสูตร, หจก.ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙, หน้า ๗๙. ๒๑๙ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๙/๓๓๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๕ วิธีแก้เมื่อจิตมีความโกรธเกิดขึ้น ๑. กาหนดรู้ตรงอาการที่เป็น ๒. พิจารณาเมตตากรรมฐาน ๓. ลดการเสพอารมณ์ในกามคุ ณ ๕ รูปสวย กลิ่นหอม รสอร่อย เสียงไพเราะ สัมผัสอันสบาย วิธีการ แผ่เมตตาให้ ตนเองก่อน สรรพสัต ว์ทั้ง หลาย พระราชา กษัตริย์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ คนรัก คนเกลียด ไปตามลาดับ จิตมีโมหะ ได้แก่จิต ๒ ดวง คือ จิตที่เกิดพร้อมด้วยวิจิกิจฉาดวง ๑ ที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะดวง ๑ ลักษณะของจิตที่มีโมหะ จิตจะมีความไม่รู้เป็นลักษณะ มีสภาพ เผลอ เหม่อ เลื่อนลอย ในการกิริยาอาการต่างๆ เช่น หลงยืน (ไม่กาหนด) หลงเดิ น หลงนั่ ง หลงนอน หลงเห็ น หลงเสีย ง หลงกลิ่ น หลงรส หลงรู้ (ขาดการกาหนด) หลงคิดนึก หลงคิดพิจารณา (ลืมกาหนด) เพราะหลงรู้อัน ประกอบด้วยโมหมูลจิตที่เกิดพร้อมด้วยวิจิกิจฉา ขาดโยนิโสมนสิการจึงทาให้ จิตหลงในกิริยาอาการต่างๆ มีหลงเดิน ฯลฯ หลงคิดพิจารณา เป็นต้น ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมจึงจาเป็นต้องรู้เท่าทันกับจิตโมหะที่เกิดด้วย ดังบาลีว่า “สโมห วา จิตฺต สโมห จิตฺตนฺติ ปชานาติ วีตโมห วา จิตฺต วีตโมห จิตฺตนฺติ ปชานาติ เมื่อจิตมีโมหะ ก็รู้ว่า จิตมีโมหะหรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ ชัดว่า จิตปราศจากโมหะ” ๒๒๐ วิธีกาหนด เมื่อจิตมีโมหะ นักปฏิบัติต้องกาหนดว่า เผลอหนอๆๆ หลงหนอๆๆ ๒๒๐ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๙/๓๓๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๖ วิธีแก้เมื่อจิตมีโมหะ ๑. กาหนดรู้ด้วยโยนิโส (องฺ.ติก.นิ.) ๒. ขยันรู้สึกตัวอยู่เสมอ ๓. ใฝ่ถามผู้รู้ ๔. เจริญกรรมฐานที่ทาให้เกิดศรัทธา จิตหดหู่ เป็นจิตที่มีลักษณะจิตค่อยๆ ซึมลงๆ เมื่อจิตหดหู่ ย่อม ตกไปสู่ ความเกี ยจคร้ าน ลีน จิตต โกสชฺช านุปติ ต และน าไปสู่ ความ หลับใหล ถินมิทฺธ นิยฺยานาวรณ ความง่วงเป็นเครื่องกั้นการหลุดพ้น ๒๒๑ ดังนั้น นักปฏิบัติธรรมจึงต้องมีสติกาหนดรู้ให้เท่าทันจิตที่หดหู่ ดังพระบาลีว่า สงฺขิตฺต วา จิตฺต สงฺขิตฺต จิตฺตนฺติ ปชานาติ เมื่อจิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่๒๒๒ วิธีกาหนด เมื่อจิตหดหู่ ต้องกาหนดว่า หดหู่หนอๆๆ ซึมหนอๆๆ หรือ ขี้เกียจหนอๆๆ วิธีแก้เมื่อจิตหดหู่ ๑. กาหนดรู้ด้วยโยนิโสมนสิการ ๒. ใส่ใจแสงสว่าง ๓. ยกจิตให้มีความเพียร เช่น คิดถึงการลงโทษในนรก* ๔. เปลี่ยนอิริยาบถ *การลงโทษในนรกที่ถูกนายนิรบาลลงโทษด้วยการตอกตะปูบน มือและเท้าทั้ง ถูกจับลงไปในหม้อต้ม น้าเดือด นาไปขังในกล่องไฟสี่เหลี่ ยม ตกนรกหลุมคูถ ป่าดาบ มีใบเป็นมีด ป่างิ้ว เป็นต้น๒๒๓ ๒๒๑ ขุ.ปฏิ. (บาลี) ๓๑/๓๖๕/๒๔๖, ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๑๕๓/๒๓๕. ๒๒๒ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๙/๓๓๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๕. ๒๒๓ ม.อุ. (บาลี)๑๔/๔๗๕/๓๑๕, ม.อุ.(ไทย)๑๔/๒๕๐/๒๙๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๗ จิตฟุ้งซ่าน ได้แก่ จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุทธัจจะ จิตที่เกิดพร้อมด้วย อุทธัจจะนัน้ ชื่อว่า จิตฟุ้งซ่าน ลักษณะจิตซัดส่าย ไม่นิ่ง ไม่อยู่กับที่ ไม่อยู่กับ ปัจจุบัน เหตุเกิดเพราะคิดอนาคต นึกอดีต ปรารภนายิ่ง อุทฺธจฺจ นิยฺยา นาวรณ ความฟุ้ง ซ่านเป็น เครื่องกั้ นการหลุ ดพ้น ดัง นั้น นักปฏิบัติธรรม จึงต้องมีสติกาหนดรู้ให้เท่าทันจิตที่ฟุ้งซ่าน ดังพระบาลีว่า วิกฺขิตฺต วา จิตฺต วิกฺขิตฺต จิตฺตนฺติ ปชานาติ เมื่อจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่า จิตฟุ้งซ่าน๒๒๔ วิธีการกาหนด เมื่อจิตฟุ้งซ่าน ต้องกาหนดว่า ฟุ้งหนอๆๆ วิธีแก้เมื่อจิตฟุ้งซ่าน๒๒๕ ๑. ใช้สมถะข่ม ๒. พิจารณาโทษ ๓. หยุดกาหนดรู้ชั่วคราว* ๔. รู้ต้นเหตุ ๕. จดจ่อให้มากขึ้น (*การหยุดกาหนดรู้ชั่วคราว ดังพระบาลีว่า เตน ภิกฺขเว ภิกฺขุนา อสฺสติอ มนสิกาโร อาปชฺชิตพฺโพ ภิกษุนั้นพึงถึง การไม่ระลึกรู้ และไม่ใส่ ใจ๒๒๖ ถ้ายังไม่หายให้ไปทางานอย่างอื่น เช่น กวาดบ้าน หรือให้ดูว่าสิ่งของ สิ่งนี้คือไม้ขีด สิ่งนั้นคือปากกา หนังสือ เป็นต้น) จิตเป็นมหรคต คือ จิตที่ตั้งมั่นมีสมาธิ เป็นอารมณ์แห่งองค์ฌาน ต่างๆ ย่อมไม่วอกแวก ไม่ซัดส่าย นิ่งและไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ ๒๒๔ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๙/๓๓๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๕. ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๑๖ – ๒๒๑/๒๒๖ - ๒๓๑. ๒๒๖ วิสุทธิ ๑/๑๐๒. ๒๒๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๘ มหคฺคต ได้แก่จิตที่เป็น รูปาวจร และ อรูปาวจร ในรูปฌาน อรูปฌาน สัญ ญาเวทยิตนิโรธ เมื่อนักปฏิบัติธรรมมีจิตตั้งมั่นมีสมาธิดี ย่อม ประคับประคองการระลึกรู้นั้นไว้ เรียกว่าการประคับประคองจิตในสมัยที่ ควรประคั บ ประคอง เมื่ อ จิ ต หลุ ด จิ ต คลาย จิ ต ออกจากสมาธิ ย่ อ มรั บ รู้ อารมณ์เป็นปกติ นักปฏิบัติธรรมจึงควรกาหนดรู้ให้ทัน จึงเรียกว่า อมหคฺคต เมื่อจิตไม่เป็นมหรคตก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต ดังพระบาลีว่า “มหคฺคต วา จิตฺต มหคฺคต จิตฺตนฺติ ปชานาติ อมหคฺคต วา จิตฺต อมหคฺคต จิตฺตนฺติ ปชานาติ เมื่อจิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่า จิตเป็นมหรคตหรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ ว่า จิตไม่เป็นมหรคต”๒๒๗ สอุตฺตร เมื่อจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ในขณะก่อน และหลังเข้าฌาน เมื่อจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ชัด บางคัมภีร์ก็ว่าได้แก่จิตที่เป็น กามาวจร คือ ในขณะที่จิตรู้อารมณ์กรรมฐาน เช่น พองยุบ เป็นต้นแล้วจิตที่ รู้อารมณ์นั้นๆกับไปรับรู้อารมณ์อย่า งอื่น แทนจิตดวงเก่าที่กาลัง รู้อารมณ์ กรรมฐานนั้นๆอยู่ นักปฏิบัติจาต้องกาหนดสติระลึกรู้ให้ทันว่ามีจิตอื่นยิ่งกว่า หมายความว่า เมื่อจิตของนัก ปฏิบัติธรรมตั้ง มั่นอยู่ในองค์ฌ าน สมาธิ มีความสงบ ความนิ่ง ความว่าง เมื่อจิตไปรู้อารมณ์อื่น (ออกจากจิต ที่ตั้ง มั่น) ดัง นั้น นักปฏิบัติธรรมจึงต้ องมีสติกาหนดรู้ให้เท่าทันจิ ตดังกล่าว หรือจิตยังตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ฌาน ความสงบ ความตั้งมั่นแห่งจิต เรียกว่า ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า (อารมณ์ที่ตั้งมั่นแห่งจิต) ก็ต้องมีสติระลึกรู้ ดังพระบาลีว่า สอุตฺตร วา จิตฺต สอุตฺตร จิตฺตนฺติ ปชานาติ อนุตฺตร วา จิตฺต อนุตฺตร จิตฺตนฺติ ปชานาติ๒๒๘ จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่ง กว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ๒๒๗ ๒๒๘ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๙/๓๓๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๕. อ้างแล้ว. แนวทางปฏิบัติธรรม ๑๙๙ จิตตั้งมั่น หมายถึงที่ตั้งมั่นมีสมาธิ ได้แก่ อัปปนาสมาธิหรืออุปจาร สมาธิ จิตย่อมไม่วอกแวก ไม่ซัดส่าย ไม่หวั่นไหวไป มีจิตตั้งมั่นย่อมรู้ชัดตาม อารมณ์ภายนอกหรือภายในที่ปรากฏตามความเป็นจริง นักปฏิบัติธรรมเมื่อ รู้ว่าจิตเป็นสมาธิก็มีสติระลึกรู้ให้ทันว่าจิตตั้งมั่นมีสมาธิ ดังพระบาลีว่า สมาหิต วา จิตฺต สมาหิต จิตฺตนฺติ ปชานาติ อสมาหิต วา จิตฺต อสมาหิต จิตฺตนฺติ ปชานาติ จิตตั้งมั่น ก็รู้ว่า จิตตั้งมั่น หรือจิตไม่ตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น๒๒๙ อสมาหิต เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ หมายถึ ง จิตหวั่นไหว ซัดส่าย ไหลไปตามอารมณ์ ที่เข้ามาทั้ง ภายในและภายนอก ทาให้รู้สึกนึกคิด นักปฏิบัติธรรมจึงต้องกาหนดสติรู้ทันว่าจิตไม่มีสมาธิ ดังนี้ วิมุ ตฺต เมื่ อ จิต หลุ ดพ้ นก็ รู้ ว่า จิต หลุ ด พ้น ได้แ ก่จิ ต หลุ ดพ้ นด้ ว ย ตทงฺควิมตุ ติ พ้นชั่วคราวด้วยการกาหนดรู้ เช่น หลุดพ้นจากความง่วงแล้ว จิตสว่างขึ้นก็มีสติกาหนดรู้ว่าจิตหลุดพ้น (จากความง่วง) วิกขมฺภนวิมุตติ พ้นด้วยจิตตั้งมั่น พ้นด้วยการข่มไว้ไม่ให้อารมณ์ทั้งหลายเข้าแทรกได้ ต้องรู้ ว่าพ้นจากอารมณ์ต่างๆ เพราะการข่มไว้ สมุจเฉทวิมุตติ พ้นด้วยเด็ดขาด คือพระโสดาปัตติผลถึงพระอรหัตตผล ปฏิปสฺสทฺธิวิมุตฺติ พ้นด้วยความสงบ คือ สุญ ญตวิโมกข์ และนิสรณวิมุตติ พ้นด้วยการออกไปจากอุปาทานขันธ์ ด้วยอนิมิตตวิโมกข์ ต้องมีสติระลึกรู้ตลอดเวลา หรือ เมื่อจิตไม่หลุดพ้นก็รู้ว่า จิตไม่หลุดพ้น คือจิตยังข้องอยู่กับอารมณ์ก็ย่อมกาหนดรู้เท่านทัน ดังบาลีว่า วิมุตฺต วา จิตฺต วิมุตฺต จิตฺตนฺติ ปชานาติ อวิมุตฺต วา จิตฺต อวิมุตฺต จิตฺตนฺติ ปชานาติ ฯ๒๓๐ เมื่ อ จิ ต หลุ ด พ้ น ก็ รู้ ว่ า จิ ต หลุ ด พ้ น หรื อ จิ ต ไม่ ห ลุ ด พ้ น ก็ รู้ ว่ า จิ ต ไม่หลุดพ้น ๒๒๙ ๒๓๐ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๘๙/๓๓๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๕. อ้างแล้ว. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๐ เมื่อจิตหลุดพ้นไปจากเหตุ (แห่งความเกิด) เธอได้เห็นวิมุติครั้งแรก ในจิตใจของตนเองและได้เห็นนิรพาณ๒๓๑ บางพระสูตรกล่าวว่า รู้ชัดว่าชาติ (ความเกิด) สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจต่อไปไม่มีอีก าณ วิมุจฺจติ เมื่อหลุดพ้นก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ในพระสูตรกล่าวว่า อกุปปา เม วิมุตฺติ อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิ ปุนพฺภโวติ ความหลุดพ้นของเราไม่วิบัติ อีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ไม่มีการเกิดอีกต่อไป๒๓๒ รู้การปลดปล่อยจิต เมื่อนักปฏิบัติธรรมมีจิตที่มีสติอัน สมบูรณ์ มีอุเบกขาวางเฉยอยู่ นักปฏิบัตคิ วรระลึกรู้เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่พัวพัน ไม่ยึดติด ไม่อาลัยในอารมณ์ ที่จิตระลึกรู้เหล่านั้น ดังพระบาลีว่า๒๓๓ กตมญฺจ ภิกฺขเว ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจ ฯ โย ตสฺสา เยว ตณฺหาย อเสสวิราคนิโรโธ จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโยฯ อิท วุจฺจติ ภิกฺขเว ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจ ฯ บทว่า อเสสวิราคนิโรโธ – การดับตัณหาด้วยความสารอกโดย ไม่เหลือ ความว่า มรรค ท่านกล่าวว่า วิราคะ - ความคลายกาหนัด ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า- วิราคา วิมุจฺจติ - เพราะความ คลายกาหนัด จึงหลุดพ้น การดั บ ด้ว ยความคลายก าหนั ด ชื่ อ ว่ า วิร าคนิ โรธ การดั บ ด้ ว ย คลายกาหนัดโดยไม่เหลือ โดยถอนอนุสัย ชื่อว่า อเสสวิราคนิโรธ อีกอย่างหนึ่ง เพราะท่านกล่าวการละว่าวิราคะ ฉะนั้น พึงเห็นการ ประกอบในบทนี้อย่างนี้ว่า วิราโค อเสโส นิโรโธ การดับไม่มีเหลือ ชื่อว่า วิราคะ แต่โดยอรรถ บททั้งหมดมีอาทิว่า อเสส วิราค นิโรโธ นี้เป็นไวพจน์ ๒๓๑ ธนิต อยู่โพธิ์, วิปัสสนานิยม, หน้า ๒๗๒ -๒๗๓. พระโสภณมหาเถระ, ธัมมจักรกัปวัตนสูตร, หน้า ๓๒๓. ๒๓๓ ส.ม. (บาลี) ๑๙/๑๖๘๑/๕๓๔, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๓/๕๙๘. ๒๓๒ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๑ ของนิพพานนั่นแล เพราะว่า โดยปรมัตถ์ ท่านกล่าวนิพพานว่า ทุกฺขนิโรธ อริยสจฺจ - ทุกขนิโรธเป็นอริยสัจ เพราะตัณหาอาศัยนิพพานนั้น ย่อมคลายกาหนัดคือย่อมดับโดย ไม่มีเหลือ ฉะนั้น นิพพานนั้นท่านจึงกล่าว ตสฺสาเยว ตณฺหาย อเสสวิราค นิโรโธ - การดับตัณหานั้น ด้วยความคลายกาหนัดโดยไม่เหลือ ในนิพพานนี้ไม่มีความอาลัยแม้สักอย่างเดียวในความอาลัยในกาม คุณทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวนิพพานว่า จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโย - ความสละ ความสละคืน ความหลุดพ้น ความไม่อาลัย๒๓๔ นั ก ปฏิ บั ติ ธ รรมจึ ง ควรสละคื น และหลุ ด พ้ น จากอารมณ์ ต่ า งๆ ทั้งภายในและภายนอก ทั้งหยาบและละเอียด ไม่มีความไม่อาลัยหรือติดใจ เหมือนปล่อยให้ลิงที่ฝึกดีแล้วกลับคืนสู่ธรรมชาติต่อไป สรุปการพิจารณาเห็นจิตในจิต จิตภายใน คื อ จิตที่เป็น อาการหรือ ลักษณะของจิตนั้นๆ เช่ น ลักษณะอาการของจิตโลภ มีการยึดติดเป็นลักษณะ เป็นต้น จิตภายนอก คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากอาการของจิตนั้นๆ เช่น จิตโลภมีความอยากได้ จิตโกรธ จิตมีราคะ เป็นต้น เห็นความเกิดขึ้น เห็นความเสื่อมไป (ไตรลักษณ์) ของจิตทั้งหลาย อยู่บ้าง ย่อมเห็นจิตเป็นเพียงจิต ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ในจิตนั้น จิตมีไว้เพื่ออาศัยระลึกรู้ มีไว้เพื่อรู้เท่านั้น ย่อมไม่ยึดติดในจิตใดๆ ในโลก ฉะนั้ น นั กปฏิ บัติธ รรมต้องพยายามรู้จัก จิต รู้ทัน จิต และรู้การ ปลดปล่อยจิตไปตามลาดับ จะสามารถนาตนเข้าสู่มรรคผล พระนิพพานได้ ๒๓๔ ๓๓๘. ดูเทียบใน พระธรรมธีร ราช, วิปัสสนากัมมัฏ ฐานทั่วไป, หน้า ๓๓๖ – แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๒ ธรรมมานุปัสสนาสติปฏั ฐาน ธรรม หมายถึง สภาวะที่ทรงสภาพของตนไว้ ๒๓๕ เช่น สติ เป็น ธรรมชาติที่ระลึกได้๒๓๖ นักปฏิบัติต้องสังเกตให้รู้ว่าธรรมต่างๆ ทั้งภายนอก และภายใน ทั้งหยาบและละเอียดนี้ มีสภาพที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพราะ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้(แม้ชั่วคราว)และไม่สามารถบังคับบัญ ชาให้เป็นไป ตามต้องการได้ โดยการตามระลึกรู้อยู่แค่เพียงสภาวอาการของธรรมด้วย ความเพียรระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอเท่านั้น ฐานของธรรมานุปัสสนานี้มี ๕ หมวด คือ หมวดนิวรณ์ หมวดขันธ์ การเจริญสติระลึกรู้กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา การเจริญสติระลึกรู้รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ หมวดอายตนะ การเจริญสติระลึกรู้การกระทบ (จุดเชื่อมต่อ) ระหว่าง ตากับรู ป หูกั บเสียง จมู กกั บกลิ่ น ลิ้น กับรส กายกั บ การกระทบสัมผัส ใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น หมวดโพชฌงค์ การเจริญสติระลึกรู้องค์ธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิต คือ สติ ธัมมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ หมวดอริยสัจจ์ การเจริญสติระลึ กรู้ องค์ธรรมที่เกิ ดขึ้นภายในจิต คื อ พยายามเจริญสติระลึกรู้โดยการสังเกตสภาพธรรมที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (แม้ชั่วคราว) จนระลึกรู้ ได้ว่าสิ่งที่เป็นสาเหตุให้จิตเป็นทุกข์คือความอยาก ๒๓๕ ๒๓๖ อตฺตโน ปน สภาว ธาเรนฺตีติ ธมฺมา. ดูใน อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๘๖. ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๒ - ๔๐๓/๓๑๖ - ๓๓๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๓ จนจิตเกิดปัญ ญารู้ ปล่อยความรู้สึก ทั้งสภาพธรรมที่เป็นทุกข์และสาเหตุที่ ทาให้เกิดทุกข์ โดยมีสติระลึกรู้ เห็นรูปนามตามความเป็นจริง ทั้งกาย เวทนา จิต ธรรม ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่มีอยู่ เพียงเพื่ออาศัยสักแต่ว่ารู้ เพียงแค่ ระลึกรู้เท่านั้น ย่อมไม่ยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก จนสภาพธรรมต่างๆ นั้นดับไป วิธีปฏิบัติในฐานธรรม นักปฏิบัติต้องกาหนดสติระลึกรู้สภาพธรรมต่างๆ ทั้งภายในและ ภายนอก ถึงลักษณะ อาการต่างๆ เช่น การมีสติรับรู้ เท้าที่เคลื่อนไป คือ รูป อาการความรู้สึก ที่เกิดขึ้นตามสัณฐานร่างกาย คือ เวทนา การจาได้ว่าเท้า เคลื่อน คือ สัญ ญา จิต เข้าไปกาหนดรู้ที่กาย คือ สั ง ขาร และการรับรู้คื อ วิญ ญาณ เป็ นการก าหนดรู้ขั นธ์ ๕ การก าหนดสติ ระลึ กรู้ ที่อ ายตนะ คื อ อารมณ์ภายนอกที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้กาหนดว่า เห็นหนอๆๆ ได้ยินหนอๆๆ กลิ่นหนอๆๆ รสหนอๆๆ หากเกิดจากการรู้อารมณ์ภายใน คือ นิวรณ์ เป็นความพอใจ ความไม่พอใจ ความง่วง ความฟุ้งซ่าน ความ สงสัย ให้กาหนดว่า พอใจหนอๆๆ ไม่พอใจหนอๆๆ ง่วงหนอๆๆ ฟุ้งหนอๆ สงสัยหนอๆๆ ด้วยการมีสติ วิริยะ เป็นต้น ซึ่งเป็นองค์ธรรมในสัมโพชฌงค์ องค์แห่งการตรัสรู้ จนหยั่งเห็นถึงธรรมทั้งหลายเป็นเพียงธรรมที่เกิดขึ้นและ ดั บ ไป ตามหลั ก ของทุ ก ขสั จ จ์ สรุ ป คื อ จิ ต ใจรู้ สึ ก ถึ ง อาการหรื อ อารมณ์ ความรู้สึกใดชัดเจนที่สุดในขณะปัจจุบันให้กาหนดสติระลึกรู้ตามอาการที่จิต รู้นั้นๆ ให้ต่อเนื่อง จนกว่าสภาพธรรมต่างๆ จะหายไป ดัง นั้นจะเห็นได้ว่าการเจริญสติระลึกรู้ในฐานธรรมานุปัสสนานี้ เป็นการเจริญสติที่จดจ่อต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสายเหมือนสายน้าของสติ ที่ ต้องระลึกรู้อยู่ที่ขันธ์ ๕ และทั้งธรรมภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ต่างๆ พร้อมธรรมที่เกิดขึ้นภายใน ไม่ว่าจะเป็นนิวรณ์ธรรม ความรู้สึกนึกคิด ด้วยองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้คือ โพชฌงค์ เพื่อเข้าไประลึกรู้ธรรมชาติที่เป็น ความจริง คือ อริยสัจจ์ ๔ นั่นเอง แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๔ สรุปการพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ธรรมภายใน คื อ ธรรมที่เ ป็ น ลั ก ษณะ อาการ ความรู้ สึ ก จาก ความรู้ ที่ เกิ ด ขึ้น ที่ ไม่ เ จือ ด้ วยสมมติ บั ญญั ติ รวมไปถึง ลั กษณะสามัญ ของ สภาวธรรมนั้นๆ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ส่วนธรรมภายนอก คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากอาการ ความรู้สึกที่เกิดนั้นๆ เช่น รู้สึกง่วง เป็นต้น เห็ น ความเกิ ด ขึ้ น และเสื่ อ มไป (ไตรลั ก ษณ์ )ของสภาวธรรม ทั้งหลายอยู่บ้าง ย่อมเห็นสภาวธรรมเป็นเพียงสักแต่ว่าธรรม ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา สภาวธรรมเหล่านั้น มีไว้เพื่ออาศัยระลึกรู้ มีไ ว้เพื่อรู้ เท่านั้น ย่อมไม่ยึดติดธรรมใดๆ ในโลก พระพุท ธเจ้ าทรงตรัสสรุ ปตอนท้ ายในสติปั ฏฐานทุ กๆ ฐานว่ า ยาว เทว าณมตตาย ญาณคือความรู้ ก็สักแต่ว่ารู้ ปฺติสฺสติ มตฺตาย สติ ความอาศัยระลึกรู้ ก็สักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้ เมื่อเธอเป็นผู้กาหนดรู้เห็น ด้วยปัญญาตามความเป็นจริงแล้ว อนิสฺสิโต จ วิหรติ เธอย่อมไม่ติดอยู่ ด้วย น จ กญฺจิ โลเก อุปาทิยติ ย่อมไม่ยึดถืออะไรๆ แม้แต่นิด ที่มีอยู่ใน โลก...." ฌาย ภิกฺขุ มา จ ปมาโท มา เต กามคุเณ รมสฺสุ จิตฺต มา โลหคุฬ คิลี ปมตฺโต มา กนฺทิ ทุกฺขมิทนฺติ ฑยฺหมาโน. ขุ.ธ. ๒๕. ๓๗๑.๘๑ “ จงเจริญภาวนาเถิดภิกษุ อย่าประมาท อย่า ปล่อยใจให้หลงใหลในกามคุณ อย่าประมาทแล้วกลืน ก้อนเหล็กแดง อย่าปล่อยให้ความทุกข์เผาผลาญแล้วคร่า ครวญว่า โอ นี่ทุกข์จริง ๆ ” แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๕ เครื่องกั้นกุศลกรรม เพราะนิวรณ์ หมดไป ใจตั้งมั่น ปัญญานั้น รู้ทุกข์ ถูกคาสอน เป็นศีลของ พระโย คาวจร ความเร่าร้อน ดับสนิท หมดพิษไฟ กิ เ ลสชั้ น ละเอี ย ด ที่ ถู ก ปรุ ง ขึ้ น มาเป็ น กิ เ ลสชั้ น กลาง เรี ย กว่ า "นิวรณ์ ๕" รบกวนอยู่ที่ มโนทวาร นั้น มีเรื่องที่พึงศึกษาดังนี้ นิวรณ์ คือ สภาวะที่เป็นเครื่องกางกั้นซึ่งกุศลกรรมทั้งหลาย มี ฌาน มรรค ผล เป็นต้น ไม่ให้เกิดโดยเฉพาะโลกียฌาน ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นแล้วแต่ ถ้ามีนิวรณ์เกิดขึ้นอีก โลกียฌานนั้นก็ย่อมจะเสื่อมลงได้ เว้นแต่โลกุตรฌาน กล่าวคือ ฌานที่ประกอบกับโลกุตรจิต และ มรรค ผล ของพระเสขบุคคล เท่า นั้น ถึง หากว่ านิว รณ์ เกิ ด ขึ้น ได้ ก็ไม่ เสื่ อม และการห้ ามกุศ ลธรรมของ นิวรณ์นี้ ไม่ใช่จะห้ามแต่ ฌานและมรรคผลเท่านั้น ถึงแม้ว่ากามาวจรกุศลก็ ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นด้วย เมื่อกล่าวสภาวะนิวรณ์นี้เป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับสมาธิ เหมือนเขื่อนกั้นน้าย่อมกั้ นไม่ให้น้าไหลไปสู่สาครมหาสมุทรฉันใด นิวรณ์ เมือ่ เกิดขึ้นย่อมกั้นคุณงามความดีทั้งหมดไม่ให้ไหลสู่มรรคผลนิพพาน ฉันนั้น นิวรณ์ ๕ ประการ๒๓๗ PT นิวรณ์ คือ เครื่องกั้นศักยภาพของจิตไม่ ให้บาเพ็ญกุศลขั้นสูง คือ ฌาน วิปัสสนา มรรค และผล บุคคลที่ถูกนิวรณ์ครอบงาย่อมไม่รู้ประโยชน์ ตนและผู้อื่น ไม่อาจบรรลุสมาธิและปัญญา ๒๓๘ ได้แก่ PT TP ๒๓๗ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๒/๒๕๕, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๒/๓๑๖. พระโสภณมหาเถระ (มหาสีส ยาดอ) รจนา, มหาสติปัฏ ฐานสูตร, พระ พรหมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ. ๙, M.A., Ph.D.) ตรวจชาระ, พระคันธสาราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง, หน้า ๒๘๑. ๒๓๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๖ ๑. กามฉั น ทะ แปลว่ า ความพอใจในกาม แต่ มี ค วามหมาย ที่หมายถึง ความกลัดกลุ้มอยู่ด้วยความกาหนัดในกาม จนมืดมัว ไม่แจ่มใส ไม่เห็นแจ้ง ในธรรมตามที่เป็นจริง ท่านจึงอุปมาเหมือนกับน้าใส แต่มีสีต่างๆ มาเจือปน จนหมดความใส ๒. พยาบาท ความพยาบาทคือความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ทาให้ใจ คอเหี่ยวแห้ง ทาอย่างเสียไม่ได้ ความกลัดกลุ้ม อยู่ด้วยความไม่พอใจ โกรธ แค้น เกลียดชัง อุปมาเหมือนน้าร้อนที่ต้มเดือด พลุ่งพล่านอยู่ ก็ไม่อาจทาให้ ผู้มอง มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ภายใต้น้านั้นได้ ๓. ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่ เคลิบเคลิ้ม ไม่ร่าเริงแจ่มใส ทาให้จิต ไม่มีสมรรถภาพ ในการที่จะเห็นแจ้งในธรรม ท่านเปรียบเหมือนน้าใส แต่มี พืช เช่น ตะไคร่หรือสาหร่ายเกิดอยู่เต็ม ก็ไม่อาจจะมองเห็น สิ่งต่างๆ ใต้น้า ได้เช่นเดียวกัน ๔.อุ ท ธั จ จะกุ ก กุ จ จะ หมายถึ ง ความฟุ้ ง ซ่ า น ความร าคาญใจ กระสับกระส่าย ในลั กษณะที่ตรงกันข้ ามจากถีนมิทธะ ท่านเปรียบอุปมา เหมือนน้าใส แต่ถูกทาให้เป็นละลอกคลื่น หรือกระเพื่อมอยู่เป็นนิจ ทาให้ไม่ สามารถจะมองเห็นสิ่งใต้น้า เช่น กรวด ปลา และ หอย ได้ ๕. วิจิกิจฉา ข้อสุดท้ายนั้น หมายถึง ความสงสัยเพราะไม่รู้ หรือมี อะไรมารบกวนความอยากรู้ ไม่มีความสงบลงได้ ทาให้เกิดความมืดมัวแก่จิต ไม่อาจจะเห็นแจ้ง ในสิ่ง ที่ควรเห็นแจ้ง ท่านเปรียบเหมือนน้าใสอยู่ในที่มืด ย่อมไม่อานวยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ในน้านั้นได้ เมื่อพิจารณา ดูจากอุปมาเหล่านี้ จะเห็นความหมายได้ว่า จิตที่ เป็นเดิมๆ นั้นมีลักษณะเป็นประภั สสร คือ ใสกระจ่าง แต่ไ ด้สูญ เสียความ กระจ่างไป เพราะสิ่งภายนอกเข้าไปแทรกแซง โดยการปรุงแต่ง ต่างๆ กันไป ใน ๕ ลั ก ษณะที่ ก ล่ า วแล้ ว เรามี ห วั ง ที่ จ ะขจั ด สิ่ ง ซึ่ ง เป็ น นิ ว รณ์ เ หล่ า นั้ น เช่นเดียวกับอาจจะขจัดสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในน้าตามที่กล่าวแล้วในอุปมา แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๗ ฉะนั้น จึงถือว่า เป็นสิ่ง ที่ไม่เหลือวิสัย และมีลู่ทางสาหรับให้ปฏิบัติ จนประสบผลได้โดยแน่นอนถ้าสังเกตให้ดี จากอุปมาจะเห็นว่ากามฉันทะ เป็นสิ่งที่ขจัดยากเช่นเดียวกับน้าผสมสี เป็นการยากที่จะแยกเอาสี ออกจาก น้าได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกับการยกสาหร่าย หรือจอกแหนขึ้นจากน้า ในอุปมา ของถีนมิทธะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติจะต้องเลือกหาข้อปฏิบัติที่เป็น คู่ปรับ โดยตรงกับนิวรณ์ของตนๆ โดยหลักทั่วๆ ไป ท่านถือเป็นหลัก เลือก วิธีขจัดนิวรณ์ ๕ ด้วยกรรมฐาน อารมณ์ต่างกัน เป็น ๕ อย่าง ดังนี้: กรรมฐานที่เหมาะสมแก่นิวรณ์ (๑) กามฉันทะ ให้นักปฏิบัติธรรม ภาวนากายคตาสติ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา เพื่อทาลายความอยากในกามเสีย ซึ่งจะ กาจัดกามฉันทะได้ (๒) พยาบาท ให้ภาวนาอัปมัญญาหรือพรหมวิหาร ๔ วรรณกสิน ๔ เพื่อเพิ่มความเมตตา คือ ให้เจริญเมตตา โดยนัยเป็นต้นว่า ให้เห็นโดยความ เป็นเพื่อนสัตว์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทุกชีวิต ย่อมละพยาบาทได้ (๓) ถี น มิ ท ธะ ให้ ภ าวนาอนุ สสติ ๗ คื อ พุ ท ธานุ ส สติ ธั ม มานุ ส ติ สัง ฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสสติ และอาโลก สั ญ ญา (แสงสว่ า งเป็ น อารมณ์ ) เพื่ อ เสริ ม สร้ า งศรั ท ธาและความเพี ย ร หมายถึง ให้นักปฏิบัติธรรมทาในใจระลึกนึ กถึง แสงสว่างเป็นอารมณ์ เช่น การเจริญ อโลกสัญญา เป็นต้น ย่อมกาจัดถีนมิทธะ ข้อนี้ แม้การทาในใจถึง สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสหรืออิ่มใจ เช่น การเจริญพุทธานุสติ เป็นต้น ก็อาจจะช่วยกาจัดถีนมิธะได้ตามสมควร (๔) อุทธัจจะกุกกุจจะ ให้ภาวนากสิน ๖ คือ ปฐวีกสิน อาโปกสิน วาโยกสิน เตโชกสิน อากาสกสิน อาโลกกสิน เพื่อเพิ่มกาลังสมาธิ หมายถึง ให้นักปฏิบัติธรรมทาจิตจดจ่ออยู่ที่ สิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง ซึ่ง ง่า ยแก่การจดจ่อ เช่ น การเจริญกสิณทั่วๆ ไป หรือแม้แต่การเจริญอานาปานสติ ย่อมกาจั ดอุทธัจ จะกุกกุจจะได้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๘ (๕) วิจิกิจฉา ให้ภาวนาจตุตธาตุววัตถาน (พิจารณาธาตุ ๔) หรือ อานาปานสติ มรณานุสสติ เพื่อละความสงสัย คือ ให้นักปฏิบัติธรรมกาหนด รู้ในความเป็นจริงที่ปรากฏ ทั้งเรื่องของธาตุที่มีลักษณะเย็น ร้อน อ่อน แข็ง กาหนดสติรู้ลมหายใจ ทาความไม่ประมาทโดยระลึกนึกถึงความตาย เป็นต้น ทาความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ แน่ใจในสิ่งที่ควรแน่ใจ ทาให้รู้ในสิ่งที่ ควรรู้ เช่น เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แน่ใจในเรื่องกรรม หรือทาความรู้ ในเรื่อง ไตรลักษณ์ อย่างนี้เป็นต้น ย่อมกาจัดวิจิกิจฉาให้สิ้นไป ถ้ากล่าวกลับกันอีก ทางหนึ่ง ถ้าผู้ใดสามารถทาสมาธิ ให้เกิดขึ้ น โดยวิธีใดก็ตามจนกระทั่ งเป็นอัปปนาสมาธิ คือ สมาธิที่แน่วแน่ แล้ว นิวรณ์ ทั้ง ๕ ย่อมเป็นอันระงับไปหมดสิ้ น ฉะนั้น ในอันดับแรกนี้ นักปฏิบัติควร เริ่มต้นด้วยการเจริญสมาธิที่สะดวกสบาย เช่น อานาปานสติ เป็นต้น ต่อเมื่อ ทาไปไม่สาเร็จ เพราะนิวรณ์อย่างใด รบกวนพิเศษ จึงค่อยหัน ไปเจริญสมาธิ ที่เป็นคู่ปรับกับนิวรณ์นั้นโดยตรง จะเป็นวิธีที่สะดวกกว่า และได้ผลดีกว่า การชาระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ความไม่มีนิวรณ์ หมายถึง จิตมีลักษณะบริสุทธิ์ ผ่องใส เยือกเย็น ปลอดโปร่ง เป็นความพร้ อมที่จะรู้แจ้ งเห็นจริง ในอรรถะและธรรมอันลึ ก นับว่าเป็นสิ่งที่จาเป็นจะต้องมี หรือต้องฝึกหัดสาหรับผู้ที่ประสงค์จะก้าวหน้า ไปในทางธรรม แม้จะกล่าวกันอย่างโลกๆ เวลาที่จิต ไม่ถูกนิวรณ์ รบกวน ก็ กล่าวได้ว่าเป็นเวลาที่มี ความผาสุ ขที่ สุด จึงได้มี ผู้หลงใหลในรสของสมาธิ หรือฌาน จนถึงสิ่งนี้เคยถูกบัญญัติ เหมาเอาว่า เป็นนิพพานมาแล้ว ในยุค หนึ่ง คือยุคที่ยังไม่มีความรู้ ในทางจิตสูงไปกว่านั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้ง หลาย เปรียบเหมือนบุรุษ จะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงานของเขาจะพึงสาเร็จผล เขาจะพึงใช้ หนี้ ที่ เ ป็ น ต้ น ทุ น เดิ ม ให้ ห มดสิ้ น และทรั พ ย์ ที่ เ ป็ น ก าไรของเขา จะพึ ง มี เหลืออยู่สาหรับเลี้ยงภริยา เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรากู้หนี้ ไปประกอบการงาน บัดนี้ การงานของเราสาเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ที่เป็น แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๐๙ ต้นทุนเดิมให้หมดสิ้นแล้ว และทรัพย์ที่เป็นกาไรของเรายังมีเหลืออยู่สาหรับ เลี้ยงภริยา ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัสมีความไม่มีหนี้ เป็นเหตุฉันใด ดูกรภิก ษุทั้ งหลาย เปรี ยบเหมือนบุรุ ษจะพึ ง เป็นผู้ มีอ าพาธ ถึ ง ความลาบาก เจ็บหนักบริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกาลังกาย สมัยต่อมา เขา พึงหายจากอาพาธนั้น บริโภคอาหารได้ และมีกาลังกาย เขาจะพึง คิดเห็น อย่ า งนี้ ว่ า เมื่ อ ก่ อ นเราเป็ น ผู้ มี อ าพาธ ถึ ง ความล าบาก เจ็บ หนั ก บริ โ ภค อาหารไม่ไ ด้และไม่มีก าลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภค อาหารได้ และมีกาลังกายเป็นปรกติ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึง ความโสมนัส มีความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษจะพึง ถูกจาอยู่ ในเรือนจา สมัยต่ อมา เขาพึ งพ้นจากเรื อนจานั้นโดยสวั สดีไ ม่ มีภัย ไม่ต้อ งเสีย ทรัพ ย์ อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราถูกจองจาอยู่ในเรือนจา บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจานั้นโดยสวัสดีไม่มีภัยแล้ว และเราไม่ต้องเสียทรัพย์ อะไรๆ เลย ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีการพ้นจาก เรือนจานั้นเป็นเหตุ ฉันใด ดูก รภิ ก ษุทั้ ง หลาย เปรี ยบเหมื อ นบุ รุ ษจะพึง เป็ น ทาส ไม่ ไ ด้ พึ่ ง ตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความ เป็นทาสนั้น พึ่ง ตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่นเป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความ พอใจ เขาจะพึงมีความพอใจ เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่าเมื่อก่อนเรา เป็น ทาส พึ่ ง ตั วเองไม่ไ ด้ ต้ องพึ่งผู้ อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ไ ด้ บัด นี้ เราพ้นจากความเป็นทาสนั้นแล้ว พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษ มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ พึง เดินทางไกลกันดารหาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า สมัยต่อมา เขาพึงข้าม แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๐ พ้นทางกันดารนั้นได้ บรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี เขาจะพึ ง มี ค วามคิ ด เห็ น อย่ า งนี้ ว่ า เมื่ อ ก่ อ นเรามี ท รั พ ย์ มี โ ภคสมบั ติ เ ดิ น ทางไกล กันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทางกันดารนั้น บรรลุถึง หมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดัง นี้ เขาจะพึง ได้ความ ปราโมทย์ ถึงความโสมนัสมีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการเหล่านี้ที่ ยังละไม่ได้ในตน เหมือนหนี้ เหมือนโรค เหมือนเรือนจา เหมือนความเป็น ทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการที่ละได้ แล้วในตน เหมือนความไม่มี หนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือนการพ้นจาก เรือนจา เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถานอันเกษม ฉันนั้น”๒๓๙ นักปฏิบัติธรรมจึงควรพิจารณาภายในจิตของตนว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการดั ง กล่ า วข้ า งต้ น ยั ง มี อ ยู่ ใ นจิ ต ตนเองหรื อ ไม่ มี หากมี อ ยู่ พึ ง ควร กาหนดสติ ร ะลึ ก รู้ อ ย่ างต่ อเนื่ องเพื่อ ละนิ วรณ์ ต่า งๆ ให้อ อกไปจากจิต ใจ ซึ่งจะได้กล่าวอธิบายถึงนิวรณธรรมทั้ง ๕ ประการและวิธีกาหนดสติระลึกรู้ พร้อมทั้งกลอุบายวิธีที่จะชาระจิตให้ปราศจากนิวรณ์ต่อไป องค์คุณ ๕ ประการ (ปธานิยงฺค) ของนักปฏิบัติ จะต้องปฏิบัติ ย่อมต้องมี มีศรัทธา ทรงชี้ทาง มีโรคน้อย ไม่อวดอุตริ ลงมือทา ปัญญาเห็น ๒๓๙ วิปัสสนา องค์คุณห้า เชื่อปัญญา มรรคผล กระเพาะย่อย ไร้มายา ความเพียร เกิด-ดับได้ ได้ผลดี มาเกื้อผล พระทศพล ให้มั่นใจ เป็นปรกติ พาเฉไฉ อย่างมั่นใจ ปรมัตถ์ธรรม ม.มู. (บาลี) ๑๒/๔๗๐/๕๐๓, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๒๖/๔๕๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๑ กามฉันทะ สักวา ความเอ๋ย อันความอยาก ใจแห้งผาก เพราะอยากได้ ไม่หน่ายหนี อยากทุกอย่าง เรื่องกามคุณ วุ่นเต็มที ความอยากนี้ ย่อมเผาใจ ไปจนตาย กามฉัน ทะ ความพอใจในกาม คือ ความอยากได้ ในกามคุณ ๕ คือ รูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย โผฎฐัพพะที่น่ารักน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นกิเลสพวกโลภะ เช่น เมื่อเราเห็นรูปสวยเป็นต้น เราจึง ยินดีในการเห็น เมื่อยินดีก็เพลิดเพลิน เมื่อเพลิดเพลิน ก็ยึดติด เมื่อยึดติด ก็แสวงหากามคุณทั้ง ๕ เพื่อให้ได้มาอีก ดังนั้น จึงอุปมาเหมือนคนเป็นหนี้ อุปมาคนเป็นหนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบกามฉันทะเหมือน “หนี้” ผู้ที่เป็น หนี้เขา แม้จะถูกเจ้าหนี้ทวงถามด้วยคาหยาบ ก็ไม่ สามารถโต้ตอบอะไรได้ ต้องสู้ทนนิ่งเฉย เพราะเป็นลูกหนี้เขา๒๔๐ เหมือนเรื่องของสามเณรผู้เป็น หลานพระจักขุบาล ดังนี้ สามเณรหลานพระจักขุบาล๒๔๑ เรื่องมีอยู่ว่า พระจักขุบาลเถระท่านตาบอดต้องการจะเดินทางไป เฝ้าพระศาสดาที่พระเชตะวัน จึงวานให้สามเณรหลานชายพาไป เมื่อบอกลา ชาวบ้านแล้ว สามเณรก็ได้พาพระเถระไปด้วยปลายไม้เท้า เดินลัดเลาะไปใน ป่า จนถึง หมู่ บ้ านที่ พ ระเถระเคยอาศัย อยู่ ใ นเมื อ งชื่อ สั ง กั ฏฐะ และในดง ระหว่างทางนั้น สามเณรก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวนางหนึ่ง ผู้ออกจากบ้าน ไปเที่ยวเก็บฟืนในป่า นางขับร้องเพลงพลางเก็บฟืนไปด้วย สามเณรก็ได้ถือ ๒๔๐ ๒๔๑ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๔๗๐/๕๐๓, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๒๖/๔๕๙. ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๒ นิมิตในเสียงนั้น (คือรู้ว่านั่นเป็นเสียงหญิงสาวร้องเพลง) จริงอยู่ พระผู้มีพระ ภาคเจ้าก็ได้ตรัสว่า “เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง สามารถแผ่ไปทั่วสรีระ ของบุรุษทั้งหลายและสามารถยึดจิตของบุรุษไว้ได้ เหมือนเสียงผู้หญิง” เมือ่ สามเณรได้ฟังเสียงนางนั้นแล้ว ไม่สามารถหักห้ามใจตนเองได้ จึงปล่อยปลายไม้เท้าแล้วกล่าวกะพระเถระว่า “ขอท่านรออยู่ก่อน ผมมีธุระ ทีต่ ้องทา” แล้วรีบเดินไปตามเสียงเพลงนั้น ครั้นนางเห็นสามเณรจึงหยุดนิ่ง แล้วสามเณรถึงศีลวิบัติกับนางนั้น ฝ่ายพระเถระก็คิดว่า “เราได้ยินเสียงขับร้องเพลงของหญิง สาว และเมื่ อ สามเณรผละไปจากเรา เสี ย งเพลงนั้ น ได้ห ยุ ด หายไป ถึ ง ตอนนี้ สามเณรก็ยังไม่มา เธอคงทาลายศีลแน่แล้ว” ส่วนสามเณรนั้นเมื่อทากิจของ ตนสาเร็จแล้วกลับมาพูดว่า “เราไปกันเถิด ขอรับ” ลาดับนั้น พระเถระจึงถามว่า “สามเณร เธอได้ทาลายศีลแล้วหรือ เธอกลายเป็นคนชั่วแล้วหรือ? สามเณรก็นิ่งเสียไม่ตอบ แม้พระเถระถามซ้าๆ ก็ไม่พูดอะไร พระเถระจึงไล่สามเณรกลับไปเสีย ฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมจึง ไม่ควรปล่อยจิตปล่อยใจไปตามอานาจแห่งความอยาก การปล่อยใจให้ไ ป ตามความอยาก ความพอใจ ย่อมจะนาความทุกข์มาให้ ดังกล่าวมานี้ โทษแห่งกาม๒๔๒ ๑. กามเปรียบเหมือนสุนัขหิวแทะท่อนกระดูกเปื้อนเลือด นักปฏิบัติธรรมที่ยังมีความยินดีพอใจอยู่ในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป สวย กลิ่นหอม รสอร่อย เสียงไฟเราะ สัมผัสที่ถูกใจ ย่อมจะไม่สามารถยัง การปฏิบัติของตนให้พัฒนาก้าวหน้าไปได้ เพราะกามคุณทั้ง หลายเหล่านั้น ยิ่งเสพยิ่งไม่พอ ยิ่งต้องการเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ไป จึงเหมื อนกับสุนัขที่ได้กระดูก มา ยิ่ง แทะยิ่งเหนื่อย ยิ่งหิว อร่อยก็ไม่เต็มอยาก ไม่เต็มอิ่ม พอจะมีสุขบ้าง ๒๔๒ ม.ม. (บาลี) ๑๓/๔๗-๕๓/๔๑-๔๕, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๓-๔๘/๔๓-๔๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๓ ก็ชั่วคราวพอให้มันๆ เค็มๆ เหมือนสุนัขแทะกระดูก กามทั้งหลายมีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ๒. กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา กามคุณเป็นสิ่งที่ คนทั้งหลายต่างก็ต้องการหมายปองครอบครอง มาเป็น ของตนๆ จึง อาจต้ องเข่น ฆ่ากัน เป็นทุก ข์แสนสาหัส ที่มีข่า วกันอยู่ บ่อยๆ ทั้ง ฆ่ากัน ชิงรักหักสวาท หรือ ทาสงครามแย่งชิงกัน ยิ่งมีคุณค่ามาก เท่ า ไร ยิ่ ง อั น ตรายมากเท่ า นั้ น เปรี ย บเหมื อ นนกแร้ ง นกตะกรุ ม หรื อ นกเหยี่ยว คาบชิ้นเนื้อบินไป ฝูงนกแร้งก็ดี ฝูงนกตะกรุมก็ดี ฝูงนกเหยี่ยวก็ดี พากันโผเข้าไปรุมจิกทึ้งชิ้นเนื้อนั้น...ถ้านกแร้ง นกตะกรุม หรือนกเหยี่ยวนั้น ไม่รีบปล่อยชิ้นเนื้อนั้นเสีย มันอาจถึงตาย หรือได้รับทุกข์ปางตาย เพราะชิ้น เนื้อนั้นเป็นเหตุ กามจึงมีทุกข์มาก มีความคับแค้น ๓. กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทาด้วยหญ้าลุกโพลง นักปฏิบัติธรรมที่ยังมีความยินดีพอใจในกามทั้งหลายอยู่ เมื่อเสพ กามคุณอยู่ ย่อมถูกไฟแห่งราคะ ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะเผาผลาญจิตใจให้ เร่าร้อนเพราะความทะยานอยากได้ อยากให้อยู่ อยากไม่ให้หายไป จึงต้อง ทนเป็น ทุกข์ตลอดเวลาเพราะถูกไฟแผ่งกิเลสตัณหาเผาผลาญอยู่ เปรีย บ เหมือนบุรุษถือคบหญ้าที่ไฟติดลุกโชนเดินทวนลมไป ถ้าบุรุษนั้น ไม่รีบปล่อย คบหญ้าที่มีไฟติดลุกโชนนั้นเสีย คบหญ้าที่มีไฟติดลุกโชนนั้ นก็จะพึงไหม้มือ ไหม้แขนหรืออวัยวะน้อยใหญ่ส่วนใดส่วนหนึ่งของเขา เขาอาจตายหรือได้รับ ทุกข์ปางตาย เพราะคบเพลิงนั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายจึงมีทุกข์มาก มีความ คับแค้น ๔. กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง ผู้ที่รักชีวิตทั้งๆ ที่รู้ว่าหากลุ่มหลงในกามแล้ว ถึงไม่ตายก็สาหัสแต่ ก็แปลกเหมือนมีอะไรมาพรางตาไว้ มีแรงกิเลสและตัณหามาคอยฉุดให้ลง หลุ ม แห่ ง กามอยู่ ร่ าไป รู้ ว่ า กามมี โ ทษมาก มี ทุ ก ข์ ม าก แต่ ห ลายคนก็ ยั ง แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๔ พึงพอใจ ยัง ยินดีที่จะจมลงสู่ความทุกข์เหล่านั้น ทั้ง ยังเสพและแสวงหารูป สวย กลิ่นหอม รสอร่อย เสียงอันไพเราะ การสัมผัสที่ถูกใจอยู่ร่าไป คิดถึง แต่คุณอันเกิดแต่กามหาได้มองไปถึงความทุกข์อันจะเกิดจากกามไม่ เปรียบ กามเหมือนหลุมถ่านเพลิง ถึงแม้บุรุษจะรักตัวกลัวตายเพราะตกลงไปในหลุ ม ถ่านเพลิงเป็นเหตุ แต่ก็ยังยินดีอยู่ในขอบแห่งหลุมปากเพลิงนั่นเอง ๕.กามเปรียบเหมือนความฝัน กามทั้งหลายเป็นเหมือนความฝัน เสพได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเดี๋ยว ก็หายวับดับไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ ไม่มีความยั่งยืนถาวร เหลือไว้แต่ความ เสียดาย เหมือนความฝัน จึงต้องเป็นทุกข์กับการแสวงหาให้ไ ด้กามมาอีก ดังนั้น กามจึงเปรียบเหมือนกับคนฝันเห็นสวน ป่า สถานที่ สระโบกขรณี ที่ น่ารื่นรมย์เขาตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นอะไรเลย กามทั้งหลายจึง มีทุกข์มาก มีความ คับแค้นมาก ๖.กามเปรียบเหมือนสมบัติที่ยืมเขามา กามทั้งหลายเป็นสมบัติของโลก ขณะมีชีวิตอยู่การเสพกามย่อม เป็นการยืมของๆ โลกมาใช้ เมื่อความแก่ ความเจ็บ ความตาย มาเยือน ก็ ต้องคืนกามทั้งหลายให้กับโลก ขณะเสพก็มีความยึดติดในกาม อยากได้ใน กาม แสวงหาในกามทั้งหลาย จึงเป็ นทุกข์มาก เปรียบเหมือนคนยืมทรัพย์ สมบัติคือแก้วมณีอย่างดี (ของบุคคลอื่น) พวกเจ้าของพบเขา ณ ที่ใดที่หนึ่ง ก็จะพึงนาเอาของของตนคืนไปในที่นั้นๆ เพราะเจ้าของ (มีสิทธิ์) จะนาของ ของตนคืนไป กามทั้งหลายจึงมีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ๗.กามเปรียบเหมือนต้นไม้มีผลดกอยู่ในป่า กามทั้งหลายเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนปรารถนา ต่างมีความปรารถนา แก่ ง แย่ ง ชิ ง ดี ชิ ง เด่ น กั น ในทุ ก วิ ถี ท างที่ จ ะเป็ น ไปได้ เพื่ อ ให้ ไ ด้ ม าซึ่ ง กาม ทั้งหลาย โดยไม่คานึงถึงคนอื่นๆ จะเดือดร้อนอย่างไร ขอเพียงให้ตนได้เสพ ซึ่ง กามทั้ง หลาย เปรี ยบเหมื อนต้ นไม้ ใ นราวป่ านั้น มีผ ลดกดาษดื่น แต่ยั ง แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๕ ไม่หล่นลงมาสักผลเดียว ชายคนหนึ่งผู้ต้องการผลไม้ปีนบ้าง เก็บบ้าง โค่น บ้าง ต้นไม้ก็อาจล้มทับมือเท้าหรืออวัยวะน้อยใหญ่ของเขาหักได้ หรือถึงตาย หรือได้รับทุกข์ปางตาย เพราะต้นไม้นั้นเป็นเหตุ กามทั้งหลายจึงมีทุกข์มาก เหตุเกิดกามฉันท์ กามฉันท์ย่อมเกิดขึ้น เพราะมนสิการโดยไม่แยบคาย (อโยนิโสมน สิการ) ในสุภนิมิต สิ่งที่งามก็ดี อารมณ์ที่งามก็ดี ชื่อว่าสุภนิมิต การใส่ใจโดย ไม่มีอุบาย การใส่ใจนอกทาง การใส่ใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสิ่ง ที่เป็น ทุกข์ว่าสุข ในสิ่งที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ชื่อว่า อโยนิ โสมนสิการ๒๔๓ เมื่อภิกษุทาอโยนิโสมนสิ การนั้นให้เป็ นไปมากๆ ในสุภนิมิตนั้ น กามฉันท์ย่อมเกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสไว้ (ในสัง ยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า “ตตฺ ถ สุ ภ นิ มิ ตฺ เ ต อโยนิ โ สมนสิ ก าเรน กามจฺ ฉ นฺ ท สฺ ส อุปฺปาโท โหติ ฯ” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุภนิมิตมีอยู่ การทาให้มากซึ่ง อโยนิโสมนสิ การในสุภนิมิตนั้นนี้เป็นอาหาร เพื่อความเกิดขึ้นแห่ง กามฉันท์ที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทาให้กามฉันท์ที่เกิดแล้วให้กาเริบยิ่งขึ้นดังนี้” เหตุละกามฉันท์ ส่วนกามฉันท์นั้นจะละได้ก็ด้วยโยนิ โสมนสิการ ในอสุภนิมิต สิ่งที่ ไม่งามก็ดี อารมณ์ที่ไม่งามก็ดี ชื่อว่าอสุภนิมิ ต การใส่ใจโดยอุบาย การใส่ใจ ถูกทาง การใส่ใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าทุกข์ ในสิ่ง ที่ ไม่ใช่ตัวตนว่าไม่ใช่ตัวตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม ชื่อว่าโยนิโสมนสิการ ๒๔๓ ที.สี (ไทย) ๙/๓๔๒/๓๑๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๖ เมื่อภิกษุทาโยนิโสมนสิก ารนั้นให้เป็น ไปมากๆ ในอสุภ นิมิตนั้ น ย่อมละกามฉันท์เสียได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสุภนิมิตมีอยู่ การทาให้มากๆ ซึ่ง โยนิโส มนสิการในอสุภนิมิตนั้นๆ นี้เป็นอาหาร เพื่อความไม่เกิดแห่งกามฉันท์ที่ยังไม่ เกิด หรือเพื่อละกามฉันท์ที่เกิดแล้ว” ธรรมสาหรับละกามฉันท์ อปิจ ฉ ธมฺมา กามจฺฉนฺทสฺส ปหานาย สวตฺตนฺติ อสุภ นิมิตฺ ตสฺ ส อุคฺ คโห อสุภ ภาวนานุ โยโค อิ นฺทฺริ เยสุ คุตฺ ตทฺ วารตา โภชเนมตฺตญฺญุตา กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติ ฯ๒๔๔ อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันท์ คือ ๑. การถืออสุภนิมิตเป็นอารมณ์ คือปฏิกูลสัญญามนสิการ(มีแต่ขี้) เช่น พระติสสะเห็นไรฟันหญิง ได้อสุภสัญญาในฟันของหญิงนั้น แล้วสามารถ บรรลุธรรมได้บรรลุพระอรหัต ๒. การประกอบเนืองๆ ซึ่งอสุภภาวนา คือ พิจารณาซากศพเป็น อารมณ์ ๓. การรักษาอินทรีย์ทั้งหลาย คือ สารวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๔. ความรู้จักประมาณในโภชนะ คือ รู้จักประมาณในการกิน ๕. ความมีกัลยาณมิตร คือ มีผู้สามารถบอกอุบายเป็นเครื่องออก จากกามฉันทะเหล่านี้ได้ ๖. พู ด แต่ เ รื่อ งที่ เ ป็น สั ป ปายะ (เป็น ที่ส บายกั บการปฏิบั ติ ) คุ ย เฉพาะเรื่องกถาวัตถุ ๑๐๒๔๕ ๒๔๔ ที.อ. ๒/๓๙๓, อ้างในมหาสติปัฏฐานสูตร, พระโสภณเถระ,หน้า ๒๙๐. กถาวัตถุ หมายถึง เรื่องที่ควรพูดได้แก่ความมักน้อย สันโดษ ความสงัด ความไม่คลุกคลี การปรารภความเพียร ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัส สน. ดูใน องฺ.ทสก. (บาลี) ๒๔/๖๙/๑๓๘ - ๑๓๙, องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๙/๑๕๒. ๒๔๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๗ อรรถกถาจารย์ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ก็เมื่อพระโยคาวจรแม้เรียน อสุภนิมิต ๑ อย่างอยู่ (ในระหว่างนี้)กามฉันทะอันเธอย่อมละได้ เมื่อเธอ เจริญอสุภนิมิตอยู่ก็ดี ปิดกั้นทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่ก็ดี รู้จักประมาณใน โภชนะโดยที่มีช่องจะฉันได้อีก ๔ - ๕ คา (แต่เธอก็อดเสีย) แล้วดื่มน้าแทน เป็นประจาก็ดี กามฉันทะ อันเธอย่อมละได้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง ได้กล่าว คาถาประพันธ์นี้ไว้ว่า (เหลืออีก) ๔ - ๕ คาจะอิ่ม พระโยคาวจรอย่าฉันควร ดื่มน้าแทน (เพราะว่า) เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอจะอยู่อย่างสาราญ สาหรับภิกษุ ผู้มีตนอันส่งไปแล้ว แม้เมื่อ นั กปฏิบัติธ รรมคบหากัลยาณมิตร ผู้ยิ นดีในอสุ ภภาวนา เช่นพระติสสเถระผู้เจริญอสุภกรรมฐาน เธอย่อมละกามฉันทะได้ เธอย่อมละ กามฉันทะได้ แม้ด้วยการสนทนาถึงที่เป็นสัปปายะอันอาศัยอสุภะ ๑๐ใน อิริยาบถทั้งหลาย มีอิริยาบถยืนและนั่ งเป็นต้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันทะ ก็นักปฏิบัติธรรมย่อมรู้ชัดว่า กามฉันทะที่ละได้แล้ว ด้วยธรรม ๖ ประการนี้ ย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป ด้วยอรหัตตมรรค พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสวิธีละกามฉันทะว่า “อสุภนิมิตฺ เต ปน โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหาน โหติ ” ส่วนกามฉันท์นั้น จะละได้ก็ ด้วยโยนิโสมนสิการ (การใส่ใจโดยแยบคาย) ในอสุภนิมิต๒๔๖ วิธีการกาหนด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สนฺต วา อชฺฌตฺต กามจฺฉนฺท อตฺถิ เม อชฺฌตฺต กามจฺฉนฺโทติ ปชานาติ เมื่อกามฉันท์มีอยู่ภายในจิตเราก็รู้ชัด วิธีกาหนด เมือ่ มีกามฉันทะเกิดขึ้น นักปฏิบัติต้องกาหนดว่า พอใจหนอๆๆ ยินดีหนอๆๆ เพลินหนอๆๆ ชอบหนอๆๆ สบายหนอๆๆ ๒๔๖ ม.มู.อ. ๑/๗๔๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๘ ดัง นั้น หากกามฉัน ทะเกิ ดขึ้นในขณะปฏิบัติ ธรรม ให้นั กปฏิบั ติ พยายามกาหนดสติระลึกรู้ตามสภาพธรรมที่เป็นปัจจุบันว่า ชอบหนอๆๆ พอใจหนอๆๆ ยินดีหนอๆๆ จนกว่ากามฉันทะจะหายไปจากจิตใจ หากกาม ฉันทะไม่ หายไป ให้นั กปฏิ บัติ ธ รรมพิจารณาถึง เหตุดั บของกามฉัน ทะคื อ อสุภสั ญ ญาให้แยบคายจนกระทั่งความรู้สึ ก ที่เป็ น ความยินดี ความพอใจ หรื อ ความชอบใจจะหายไปและหมดไปจากจิ ต ใจ นั ก ปฏิ บั ติ จาเป็ น ต้ อ ง กาหนดสติระลึกรู้ถึงสภาพจิตที่ผ่องใสหลังจากกามฉันทะหมดไปจากจิตด้วย ดังข้อความว่า เมื่อกามฉันทะไม่มีอยู่ในจิต ก็รู้ชัดว่ากามฉันทะไม่มีอยู่ในจิต โคจเร ภิกฺขเว จรถ สเก เปตฺติเก วิสเย. โคจเร ภิกฺขเว จรต สเก เปตฺติเก วิสเย น ลจฺฉติ มาโร โอตาร , น ลจฺฉติ มาโร อารมฺมณ โก จ ภิกฺขเว ภิกฺขุโน โคจโร สโก เปตฺติโก วิสโย. ยทิท จตฺตาโร สติปฏฺ านา. ขุ.ธ. ๒๕. ๑๘๘-๘๙. ๖๖ “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปในโคจรอัน เป็นมรดกแห่ง บิดาของตน เมื่อพวกเธอเที่ยวไปในโคจรอันเป็ น มรดกแห่ง บิดาของตน มารจักไม่ได้ช่อง ไม่ได้โอกาส โคจรอัน เป็นมรดกแห่งบิดาของตน คือ สติปัฏฐาน ๔ ” แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๑๙ พยาบาท ความฉุนเฉียว นั่นหรือ คือความโกรธ ย่อมเกิดโทษ ก่อพินาศ ขาดเหตุผล มีแต่ทุกข์ วอดวาย ฉิบหายตน ดวงกมล เศร้าหมอง ทุกข์ครองใจ พยาบาท หมายถึง ความขัดเคืองแค้นใจ ได้แก่ ความขัดใจ แค้น เคือง เกลียดชัง ความผูกใจเจ็บ การมองในแง่ร้าย การคิดร้าย มองเห็นคน อื่นเป็นศัตรู อุปมาเหมือนคนเป็นโรค๒๔๗ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบพยาบาทเหมือน “โรค” ผู้ที่เป็น โรคต่างๆ ย่อมมีความทุกข์ มีความเจ็บป่วย ไม่สบายทั้งกายและใจ เมื่อจะ ทาการสิ่งใดก็ต้องฝืนทาด้วยความทรมาน ยากที่จะพบความสุขความสาเร็ จ ได้ฉันใด ผู้ที่ตกอยู่ในอานาจพยาบาท ใจย่อมเป็นทุกข์กระสับกระส่าย แม้จะ พยายามปฏิบัติธรรม ก็ยากที่จะซาบซึ้ง ในรสแห่งธรรม ไม่อาจพบความสุข อันเกิดจากฌานได้ฉันนั้น เพราะผลจากการพยาบาท บางครั้งทาให้จองเวร กันหลายภพหลายชาติ เช่นเรื่องของนางยักษิณีกับหญิงสาว ที่พยาบาทจอง เวรจองกรรมทุกภพชาติ๒๔๘ ดังนั้น พระบรมศาสดาจึงทรงตรัสว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจน อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโนฯ ในกาลไหนทั่วพื้นผืนพิภพ หวังจะลบจบเวรด้วยเข่นฆ่า เวรระงับดับได้กระไรนา ต้องเข่นฆ่ากรรมก่อกันต่อไป ในกาลไหนทั่วพื้นผืนพิภพ จะสงบลบถอยเวรน้อยใหญ่ ก็ต้องด้วยเมตตาและอภัย ธรรมนี้ไซร้ของเก่าเล่ากันมาฯ ๒๔๗ ๒๔๘ ที.สี. (ไทย) ๙/๓๔๒/๓๑๗. ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑๕๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๐ เหตุเกิดพยาบาท ปฏิฆนิมิตฺเต อโยนิโสมนสิกาเรน ปน พฺยาปาทสฺส อุปฺปาโท โหติ ฯ ส่ ว นพยาบาทย่ อ มเกิ ด เพราะ อโยนิ โ สมนสิ ก ารในปฏิ ฆ นิ มิ ต ปฏิฆะความขุ่นใจ) ก็ดี อารมณ์อันช่วยให้เกิดปฏิฆะก็ดี ชื่อว่าปฏิฆนิมิต ส่วนพยาบาทย่อมเกิด เพราะอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิต ปฏิฆ ะ (ความขุ่น ใจ) ก็ดี อารมณ์ อันช่ วยให้เกิ ดปฏิ ฆะก็ ดี ชื่ อว่ า ปฏิฆนิมิต ในคาว่า ปฏิฆนิมิต เป็นต้นนั้น อโยนิโสมนสิการ มีลักษณะเป็นอย่างเดียวกันในธรรมทั้งปวง เมื่อภิกษุทาอโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปมากๆ ใน(ปฏิฆะ) นิมิตนั้น พยาบาทย่อมเกิด เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ดูก่ อ นภิ ก ษุทั้ ง หลาย ปฏิ ฆ นิ มิ ต มีอ ยู่ การทาให้ ม ากซึ่ง อโยนิ โ ส มนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทาให้พยาบาทที่เกิดแล้ว กาเริบเสิบสานขึ้น ดังนี้ เหตุละพยาบาท แต่พยาบาทนั้นจะละได้ก็ด้วยการใส่ใจโดยแยบคายในเมตตาเจโต วิมตุ ติ ในคาว่า เมตตาเจโตวิมุตินั้น เมื่อพูดกันถึงเมตตา ย่อมควรทั้งอัปปนา ทั้งอุปจาระ บทว่า เมตตาเจโตวิมุตติ ได้แก่อัปปนาโยนิโสมนสิการมีลักษณะ ดังกล่าวแล้ว เมื่อภิกษุทาโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในเมตตาเจโตวิมุตติ นั้น ย่อมละพยาบาทได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ดู ก่ อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย เมตตาเจโตวิ มุ ต ติ มี อ ยู่ การท าให้ ม ากซึ่ ง โยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น นี้เป็นอาหารเพื่อความไม่เกิดแห่ง พยาบาทที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อละพยาบาทที่เกิดแล้ว ดังนี้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๑ ธรรมสาหรับละพยาบาท อปิจ ฉ ธมฺมา พฺยาปาทสฺส ปหานาย สวตฺตนฺติ อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไป เพื่อละพยาบาท คือ ๑. เมตฺตานิมิตฺตสฺส อุคฺคโห การกาหนดนิมิตในเมตตาเป็นอารมณ์ ๒. เมตฺตาภาวนานุโยโค การประกอบเนือง ๆ ซึ่งเมตตาภาวนา ๓. กมฺมสฺสกตาปจฺจเวกฺขณา การพิจารณาถึงสัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน ๔. ปฏิสงฺขานพหุลีกตา การทาให้มากซึ่งการพิจารณา (โทษ) ๕. กลฺยาณมิตฺตตา ๖. สปฺปายกถาติ ฯ ความมีกัลยาณมิตร การพูดแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย๒๔๙ จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุกาหนดเมตตากรรมฐาน ด้วยการแผ่เมตตาไป ทั่วทิศโดยเจาะจง หรือไม่เจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้ เมื่อพิจารณาถึงความที่ตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของๆ ตนอย่างนี้ว่า ท่านโกรธคนนั้น จะทาอะไรเขาได้ ท่านอาจจักทาศีลเป็นต้น ของเขาให้พนิ าศได้หรือ ท่านมาแล้วด้วยกรรมของตน จักไปด้วยกรรมของตนนั่นแล ขึ้นชื่อว่าการโกรธผู้อื่น ก็เป็นเช่นเดียวกับผู้ปรารถนาจะจับถ่าน ไฟที่คุโชน ซีเ่ หล็กอันร้อนจัดและอุจจาระเป็นต้น ประหารผู้อื่นฉะนั้น หรือถึงคนนั้นโกรธท่าน จักทาอะไรได้ เขาจักอาจทาศีลเป็นต้น ของท่านให้พินาศได้หรือ เขามาด้วยกรรมของตน ก็จักไปตามกรรมของเขานั่นแหละ ๒๔๙ ม.มู.อ. ๑/๗๔๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๒ ความโกรธนั้ น จั ก ตกลงบนกระหม่ อ มของเขานั่ น เอง เหมื อ น ประหารผู้ ไ ม่ ป ระหารตอบ และเหมื อ นน าธุ ลี ซั ด ไปในที่ ท วนลมฉะนั้ น เมื่อพิจารณากัมมัสสกตาทั้งสองหยุดอยู่ในการพิจารณาก็ดี คบกัลยาณมิตรผู้ยินดีในการเจริญเมตตา เช่น ท่านพระอัสสคุตต เถระก็ดี ย่อมละพยาบาทได้ ย่อมละพยาบาทได้แม้ด้วยการกล่าวถ้อยคาที่ เป็นสัปปายะที่อิงเมตตา ทั้งในการยืนและนั่งเป็นต้น๒๕๐ แม้ด้วยการเจรจาเรื่องที่เป็นที่สบายซึ่ง อาศัยเมตตา ในอิริยาบถ ทั้ง หลายมียืนนั่ ง เป็น ต้น ก็ละพยาบาทได้ เพราะเหตุ นั้น ท่ านจึง กล่าวว่ า ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไปเพื่อละพยาบาทดังนี้ ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ก็พยาบาทที่ละได้แล้วด้วยธรรม ๖ ประการนี้ ย่อมไม่เกิดต่อไปด้วยอนาคามิมรรค พยาบาทเกิดได้ในขณะปฏิบัติ ขณะปฏิบัติพยาบาทก็อาศัยเกิดขึ้นได้ เช่น อาจถูกเดินตัดหน้า ได้ ยินเสียงพูดคุยดัง หรือบางครั้งจิตคิดนึกกลับไปหาเรื่องราวเก่าในอดี ตที่เคย ประสบพบมาว่า คนนั้นด่าเรา คนนี้ว่าเรา คนโน้นไม่ทาตามใจเรา ขัดขวาง เราอยู่เรื่อย พยาบาทก็อาศัยเกิดขึ้นได้ บางครั้งนั่งเจริญสติอยู่ บางครั้ง ได้กลิ่นเหม็น บางครั้งได้ยินเสียง ลืมตามาเห็นนักปฏิบัติธรรมคนอื่นทาเสียงดัง พยาบาทจักอาศัยเกิดขึ้นได้ เมื่อความโกรธเกิดขึ้น อุปมาเหมือนไฟที่เผาผลาญตัวเองก่อนแล้ว ลามเผาผลาญในสิ่งรอบข้าง เช่น เมื่อนักปฏิบัติ โกรธเพื่อน อาจจะลามไป โกรธครูบาอาจารย์ โกรธตนเองด้วยที่ปฏิบัติไม่ได้ดังที่คาดหวัง เป็นต้น วิธีการกาหนด ให้กาหนดว่า ไม่ชอบหนอๆๆ ไม่พอใจหนอๆๆ โกรธหนอๆๆ เกลียดหนอๆๆ หงุดหงิดหนอๆๆ พยาบาทหนอๆๆ ๒๕๐ ดูใน ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๗๔๖. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๓ ขณะปฏิบัติหากเราขาดการกาหนดรู้พยาบาทอาจเกิดขึ้นได้ ตลอด ต้องอาศัยมีเมตตาต่อกัน เพราะเราอยู่ร่วมกัน ปฏิบัติรวมกัน เป็นผู้ปฏิบัติ ธรรมเหมือนกัน ๒๕๑ จึงต้องใช้เมตตาเพื่อละพยาบาท ดัง ที่พระผู้มีพระภาค เจ้าทรงตรัสไว้ในสังยุตกาย มหาวารวรรคว่า เมตฺตาย ปน เจโตวิมุตฺติยา โยนิโสมนสิกาเรนสฺส ปหาน โหติ ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การทาให้มากซึ่ง โยนิ โ สมนสิ ก ารในเมตตาเจโตวิ มุ ต ติ เ พื่ อ ละพยาบาทที่ เ กิ ด แล้ ว ดั ง นี้ ๒๕๒ เหมือนเรื่องของนางอุตรา โดนนาร้อนลวก๒๕๓ มีเรื่องย่อดังนี้ นางสิริมา ได้จับกระบวยตักน้ามันที่กาลังเดือดอยู่ในกระทะแล้ว เทราดลงบนศีรษะของนางอุตรา ที่กาลังเข้าฌานและแผ่เมตตาจิตอยู่ ด้วย อานาจแห่งเมตตาฌานบันดาลให้น้ามันที่กาลังร้อนจัดนั้นได้ปราศจากความ ร้อน และไหลตกไปประหนึ่งน้าตกจากใบบัว ดั ง นั้ น เมื่ อ พยาบาทเกิ ด อยู่ ใ นจิ ต นั ก ปฏิ บั ติ ธ รรมจะต้ อ งมี ส ติ กาหนดระลึกรู้ตามสภาพธรรมที่เป็นปัจจุบันตามความเป็นจริง ว่า พยาบาท หนอๆๆ ไม่ชอบหนอๆๆ ไม่พอใจหนอๆๆ โกรธหนอๆๆ เป็นต้น จนกว่า ความรู้สึกพยาบาทภายในจิต ใจนั้นจะหายไปจากจิตใจ หากยัง ไม่หายไป ให้นักปฏิบัติโยนิโสมนสิการถึงการเจริญจิตเมตตาให้กับตนและคนอื่นต่อไป จนกระทั่งพยาบาทหายหมดไปจากจิตใจ โย พาโล มญฺ ตี พาลฺย ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส พาโล จ ปณฺฑิตมานี ส เว “ พาโล” ติ วุจฺจติ. ขุ. ธ. ๒๕. ๑๗๔. ๔๗ “ คนโง่ รู้ตัวว่าโง่ ยังคล้ายเป็นบัณฑิตได้บ้าง แต่โง่แล้ว อวดฉลาด นั่นแหละเรียกว่า คนโง่แท้ ” ๒๕๑ การเจริญเมตตา ดูหน้า ๕๔. ดูเทียบใน องฺ.เอก. (บาลี) ๒๐/๑๗/๔, องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๑๘/๕. ๒๕๓ ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๖/๑๕๔-๑๖๒ ; องฺ.อ. ๑/๔๘๑-๔๘๕. ๒๕๒ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๔ ถีนมิทธะ แสงเทียน แจ้งแล้วดับ กลับสว่าง มืดกระจ่างแจ้ง แล้วดับ กลับอีกหน หากไม่สิ้น เหตุปัจจัย ในตัวตน ต้องเวียนวน เกิดตาย อีกหลายครา ถี น มิ ท ธะ คื อ ความหดหู่ ความง่ ว งเหงา ซึ ม เซา ขาดความ กระตือรือร้นในการทากิจกรรมต่างๆ ขาดกาลังใจและความหวังในชีวิต เกิด ความเบื่อหน่ายชีวิต ไม่คิดอยากทาสิ่งใดๆ บุคคลที่ใจหดหู่ย่อมขาดความวิริย อุตสาหะในการทาสิ่งต่างๆ ได้แต่ปล่อยให้ความคิดเลื่อนลอยไปเรื่อยๆ จึงไม่ สามารถรวมใจเป็นหนึ่งได้ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงถีนมิทธนิวรณ์ ว่า ถีนมิทธนิวรณ์ เป็นไฉน? ถีน มิ ท ธะนั้ น แยกเป็ น ถี นะอย่ า งหนึ่ ง มิ ท ธะอย่ า งหนึ่ ง ใน ๒ อย่างนั้น ถีนะ เป็นไฉน? ความไม่ สมประกอบแห่ ง จิ ต ความไม่ ค วรแก่ ก ารงานแห่ ง จิ ต ความท้อแท้ ความถดถอย ความหดหู่ อาการที่หดหู่ ภาวะที่หดหู่ ความซบ เซา อาการที่ซบเซา ภาวะที่ซบเซาแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า ถีนะ มิทธะ เป็นไฉน? ความไม่สมประกอบแห่งนามกาย ความไม่ควรแก่งานแห่งนาม กาย ความปกคลุม ความหุ้มห่อ ความปิดบังไว้ภายใน ความง่วงเหงา ความ หาวนอน ความโงกง่วง ความหาวนอน อาการที่หาวนอน ภาวะที่หาวนอน อันใด นี้เรียกว่า มิทธะ ถีนะและมิทธะดังว่านี้ รวมเรียกว่า ถีนมิทธนิวรณ์๒๕๔ ๒๕๔ ๒๙๗. อภิ.ส. (บาลี) ๓๔/๗๕๑/๒๙๖, อภิ.ส. (ไทย) ๓๔/๑๑๖๑ – ๑๑๖๓/ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๕ อุปมา เหมือนคนติดคุก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบถีนมิทธะเหมือน "การถูก จองจาอยูใ่ นเรือนจา" คนที่ถูกจองจาอยู่ในเรือนจานั้น ย่อมหมดโอกาสที่จะ ได้รับความบันเทิงจากการเที่ยวดูหรือชมมหรสพต่างๆ ในงานนักขัตฤกษ์ ฉันใด ผู้ที่ตกอยู่ในอานาจถีนมิทธะนิวรณ์ย่อมหมดโอกาสที่จะได้รับรู้รสแห่ง ธรรมบันเทิง คือความสงบสุขอันเกิดจากฌาน ฉันนั้น๒๕๕ คนที่ถูกขังอยู่ใน เรือนจา ได้รับทุกข์มานาน ย่อมไม่เกิดความยินดีในเรือนจานั้ นมีแต่จะหา ช่องทางที่จะพ้นออกไป ฉันใด ท่านจงเห็นภพทั้งปวงดุจเรือนจาจงมุ่งหน้า ต่อเนกขัมมะเพื่อหลุดพ้นไปจากภพ ฉันนั้นเถิด’๒๕๖ เหตุเกิดถีนมิธะ เมื่อภิกษุทาอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในอรติ เป็นต้นนี้ ถีนมิทธะย่อมเกิด อรติอาทีสุ อโยนิโสมนสิกาเรน ถีนมิทฺธสฺส อุปปฺ าโท โหติ ฯ ถีนมิทธะย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลาย มี อรติ อรติ นาม อุกฺกณฺ ิตา ฯ ความไม่ยินดีในการภาวนา ชื่อว่า อรติ กายาลสิยตา ฯ ความคร้านกาย วิชมฺภิตา นาม กายวินมนาฯ บิดกาย(บิดขี้เกียจ)ชื่อว่า วิชมฺภิตา ภตฺ ต สมฺ ม โท นาม ภตฺ ต มุ จฺ ฉ า ภตฺ ต ปริ ฬ าโห ฯ ความมึ น เพราะอาหาร ความกระวนกระวายเพราะอาหาร ชื่อว่า ภตฺตสมฺมท เจตโส ลีนตฺต นาม จิตฺตสฺส ลีนากาโร อาการ คือ ความย่อ หย่อนแห่งจิต ชื่อว่า ความย่อหย่อนแห่งจิต๒๕๗ ๒๕๕ ที.สี. (บาลี) ๙/๑๒๖/๙๖, ที.สี. (ไทย) ๙/๒๒๐/๗๔. ขุ.อป. (ไทย) ๓๓/๑๒๘ –๑๒๙/๕๘๔. ๒๕๗ พระโสภณมหาเถระ, มหาสติปัฏฐานทางสู่พระนิพพาน, หน้า ๓๐๐. ๒๕๖ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๖ วิธีการกาหนด ซึมหนอๆๆ ขี้เกียจหนอๆๆ ง่วงหนอๆๆ เหตุละถีนมิทธะ อปิจ ฉ ธมฺมา ถีนมิทฺธสฺส ปหานาย สวตฺตนฺติ อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ คือ ๑. อติโภชเน นิมิตฺตคฺคาโห การกาหนดนิมิตในโภชนะส่วนเกิน ๒. อิริยาปถสมฺปริวตฺตนตา การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ๓. อาโลกส ฺ ามนสิ ก าโร การใส่ ใ จถึ ง อาโลกสั ญ ญา (คื อ ความสาคัญในใจว่าสว่าง ๆ) ๔. อพฺโภกาสวาโส การอยู่กลางแจ้ง ๕. กลฺยาณมิตฺตตา ความมีกัลยาณมิตร ๖. สปฺปายกถาติ การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย๒๕๘ อุบายแก้ง่วง ๘ ประการ๒๕๙ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อ อุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทาความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงา ไม่สามารถจะทา ความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ทรง ทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทาปาฏิหาริย์ใ ห้ เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า ทรงแสดงอุบายสาหรับ ระงับความง่วงแก่เธอตามลาดับ ดังนี้:- ๒๕๘ ที.อ. ๒/๓๙๔, อ้างใน พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปัฏ ฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน, หน้า ๓๐๒, ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๗๔๘. ๒๕๙ องฺ.สตฺต. (ไทย) ๒๓/๖๑/๑๑๖ – ๑๑๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๗ ๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทาไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ ๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ ๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้ มากจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ ๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วย ฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ ๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้า เหลียว ดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ ๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทาไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กาหนด ความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทาใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ ๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสารวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิด ไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ ๘. ถ้า ยังละไม่ได้ เธอควรสาเร็จ สีห ไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่น แล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้ งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและ การเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ พระพุทธองค์ตรัสสอนอุบาย เพื่อบรรเทาความง่วงโดยลาดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอนอย่างมีสติ วิธีการกาหนด ขณะปฏิบัติธรรมมีความง่วง เซื่องซึมเกิดขึ้นในจิต นักปฏิ บัติพึง กาหนดสติระลึกรู้สภาพความรู้สึกนั้นๆ ว่า ง่วงหนอๆๆ ซึม หนอๆๆ จนกว่าความง่วง เซื่องซึมนั้นๆ จะหายไปหมดจากจิตใจ หากความ ง่วงไม่หายไป ให้บริกรรมในใจเร็วๆ ถี่ขึ้น และให้โยนิโสมนสิการถึงเหตุละ ความง่วงหรือใช้อุบายแก้ง่วง จนกระทั่งความง่วงจะหมดไปจากจิตใจ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๘ อุทธัจจกุกกุจจะ วิปัสสะนึก นึกแต่งปรุง จนฟุ้งซ่าน เกิดอุปาทาน ว่าตัวกู รู้มรรคผล วิปัสสะแนะ วิปัสสะนา พร่าเหลือทน วิปัสสนา รู้แจ้งตน พ้นทุกข์จริง อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่านและเดือดร้อนใจ แยกเป็น อุทธัจ จะ ความที่จิต ฟุ้งซ่ าน ไม่สงบซัด ส่าย กับกุ กกุจ จะ ความวุ่นวายใจ ราคาญใจ ระแวง เดือดร้อนใจ กลุ้มใจ เมื่อความฟุ้งซ่านวุ่นวายใจเกิดขึ้นกับ นักปฏิบัติธรรม ย่อมทาให้จิตตามความคิดนึกฟุ้งซ่านนั้นไป ไม่สามารถที่จะ หลุ ด ออกจากความคิ ด ฟุ้ ง ซ่ า นนั้ น ได้ เนื่ อ งด้ ว ยความพอใจและความ เพลิดเพลินในความคิด (นันทิราคะ) จึงอุปมาเหมือนคนเป็นทาส อุปมาเหมือนคนเป็นทาส พระสัมมาสัมพุทธเจ้ าทรงเปรียบอุทธัจจกุกกุจจะเหมือน“ความ เป็นทาส “ ผู้ที่เป็นทาสเขา จะไปไหนตามความพอใจไม่ได้ ต้องคอยพะวง ถึงนาย เกรงจะถูกลงโทษ ไม่มีอิสระในตัว ผู้มีความฟุ้งซ่านเหมือนกั บเป็น ทาสของความคิด จิตดาริเรื่องอะไรมาก็คิดเรื่ องนั้นจนยาว๒๖๐ ดังเรื่องของ พระภาคิไนยสังฆรักขิต ดังนี้ เรื่องพระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ๒๖๑ พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุชื่อว่า สังฆรักขิต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ทูรงฺคม เอกจร" เป็นต้น ดังได้สดับมา กุลบุตรผู้หนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ฟังพระธรรมเทศนา ของพระศาสดาแล้วออก บวช ได้อุปสมบทแล้ว มีนามว่าสังฆรักขิตเถระโดย ๒ - ๓ วันเท่านั้น ก็บรรลุ ๒๖๐ ๒๖๑ ที.สี. (ไทย) ๙/๔๖๒/๒๐๒. ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๒๕/๑๓/๒๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๒๙ พระอรหัตผล น้องชายของท่าน ได้บุตรแล้ว ก็ไ ด้ตั้ง ชื่อของพระเถระ (แก่ บุตรนั้น) เขามีนามว่า ภาคิไนยสังฆรักขิตเจริญวัยแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบท ในสานักของพระเถระ เข้าไปจาพรรษาในวัดใกล้บ้านแห่ง ใดแห่งหนึ่ง ได้ ผ้า วัส สาวาสิก สาฎก ๒ ผืน คื อยาว ๗ ศอกผื นหนึ่ง ยาว ๘ ศอกผื นหนึ่ ง กาหนดไว้ว่า " ผ้าผืนยาว ๘ ศอกจักเป็นของพระอุปัชฌาย์ของเรา" คิดว่า" ผ้าผืนยาว ๗ ศอกจักเป็นของเรา" ออกพรรษาแล้ว ประสงค์ว่า" จักเยี่ยม พระอุปัชฌาย์" เดินมาพลางเที่ยวบิณฑบาตในระหว่างทาง ครั้นมา(ถึง) แล้ว เมื่อพระเถระยังไม่กลับมาสู่วิหารนั่นแล, เข้าไปสู่วิหารแล้วปัดกวาดที่สาหรับ พักกลางวันของพระเถระ จัดตั้งน้าล้างเท้าไว้ปูอาสนะแล้วนั่งแลดูหนทาง เป็นที่มา (แห่งพระเถระ) อยู่ ครั้นทราบความที่พระเถระมาถึง แล้ว กระทา การต้อนรับ รับบาตรจีวร อาราธนาพระเถระให้นั่ง ด้วยคาว่า"ขอท่านนั่งเถิด ขอรับ" ถือพัดก้านตาลพัดแล้วถวายน้าดื่ม ล้างเท้าทั้งสองแล้วนาผ้าสาฎกนั้น มาวางไว้ ณ ที่ใกล้เท้าเรียนว่า "ท่านขอรับ ขอท่านจงใช้สอยผ้าสาฎกผืนนี้" ดังนี้ แล้ว ได้ยืนพัดอยู่ ล าดั บ นั้ น พระเถระกล่ า วกะเธอว่ า " สั ง ฆรั ก ขิ ต จี ว รของฉั น บริบูรณ์, เธอนั่นแล จงใช้สอย." พระสังฆรักขิต ท่านขอรับ ผ้าสาฏกนี้ กระผมกาหนดไว้เพื่อท่าน ทีเดียว จาเดิมแต่เวลาที่กระผมได้แล้ว , ขอท่านจงทาการใช้สอยเถิด พระ เถระ ช่างเถอะ สังฆรักขิต จีวรของฉันบริบูรณ์, เธอ นั่นแล จงใช้สอยเถิด พระสังฆรักขิต ท่านขอรับ ขอท่านอย่าทาอย่างนั้นเลย (เพราะ) เมื่ อท่ านใช้ สอยผ้ าสากฎนี้ ผลมากจั กมี แก่ กระผม. พระหลานชายนึก ถึ ง ฆราวาสวิสัย ลาดับนั้น เมื่อพระสังฆรักขิตนั้น แม้กล่าว (วิงวอน) อยู่แล้วๆ เล่าๆ พระเถระก็ไม่ปรารถนาผ้าสาฎกผืนนั้น เธอยืนพัดอยู่พลางคิดอย่างนี้ ว่า "ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นหลานของพระเถระ;ในเวลาบวชแล้ว เราก็ เป็นสัทธิวิหาริก (ของท่าน), แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระอุปัชฌาย์ ก็ไม่ประสงค์ ทาการใช้สอยร่วมกับเรา, เมื่อพระอุปัชฌาย์นี้ ไม่ทาการร่วมใช้สอยกับเรา, แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๐ เราจะต้องการอะไรด้วยความเป็นสมณะ,เราจักเป็นคฤหัสถ์ (ดีกว่า)." ขณะนั้น เธอได้มีความคิดเห็นว่า " การครองเรือน ตั้งตัวได้ยาก, เราจักขายผ้าสาฎกผืนยาว ๘ ศอกแล้ว ซื้อแม่แพะ (มา) ตัวหนึ่ง,ธรรมดาแม่ แพะย่อมตกลูกเร็ว เรานั้นจะขายลูกแพะที่ตกแล้ว ๆ ทาให้เป็นต้นทุน , ครั้น รวมต้นทุนได้มากแล้ว จักนาหญิงคนหนึ่งมาเป็นภริยา,นางจักคลอดบุตรคน หนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักตั้งชื่อหลวงลุงของเราแก่บุตรนั้น แล้วให้นั่งใน ยานน้อยพาบุตรและภริยาของเรามาไหว้หลวงลุง , เมื่อเดินมา จักพูดกะ ภริยาของเราในระหว่างทางว่า 'หล่อนจงนาบุตรมาแก่เราก่อน,เราจักนา(อุ้ม) เขาไป.'หล่อนจักพูดว่า 'เธอจะต้องการอะไรด้วยบุตร, เธอจงมาจงขับยาน น้อยนี้ไป,'แล้วรับเอาบุตรไป ตั้งใจว่า ' เราจักนาเขาไป,'เมื่อไม่อาจอุ้มไปได้ จักทิ้งไว้ที่รอยล้อ, เมื่อเป็นเช่นนั้น ล้อจักทับสรีระของเขาไป, ลาดับนั้น เรา จะพูดกะหล่อนว่า 'หล่อนไม่ได้ให้บุตรของฉันแก่ฉันเอง. หล่อนไม่สามารถอุ้ม บุตรไปได้, บุตรนั้นย่อมเป็นผู้อันเจ้าให้ฉิบหายเสียแล้ว,จักเอาด้ามปฏักตีหลัง พระเถระถูกพระหลานชายตี พระหลานชายนั้น คิดอยู่อย่างนั้น พลางยื น พั ด อยู่ เ ที ย ว เอาพั ด ก้ า นตาลตี ศี ร ษะพระเถระแล้ ว . พระเถระ ใคร่ครวญอยู่ว่า " เพราะเหตุไรหนอแล ? เราจึงถูกสังฆรักขิตตีศีรษะ," ทราบ เรื่องที่พระหลานชายนั้นคิดแล้ว ๆ ทั้งหมด, จึงพูดว่า " สังฆรักขิต เธอไม่ได้ อาจจะให้ประหารมาตุคาม, ในเรื่องนี้ พระเถระผู้แก่มีโทษอะไรเล่า ?" เธอ คิดว่า " ตายจริง เราฉิบหายแล้ว , นัยว่าพระอุปัชฌาย์รู้เรื่องที่เราคิดแล้ว ๆ, เราจะต้อ งการอะไรด้ วยความเป็ น สมณะ" ดั ง นี้แ ล้ ว จึ ง ทิ้ ง พั ดก้ า นตาล ปรารภเพื่อจะหนีไป พระศาสดาตรั ส ถามเหตุ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ล าดั บ นั้ น ภิ ก ษุ ห นุ่ ม และ สามเณรทัง้ หลาย ไล่ตามจับภิกษุนั้นพา มายังสานักพระศาสดา. พระศาสดา ทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้นแล้วตรัสถามว่า " ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอมา ทาไมกัน ?" พวกเธอ ได้ภิกษุรูปหนึ่งหรือ ?" พวกภิกษุ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์พาภิกษุหนุ่ม รูปนี้ ซึ่งกระสัน (จะสึก ) แล้วหลบหนี มายัง แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๑ สานักพระองค์ พระศาสดา ได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ ? ภิกษุ. พระสังฆรักขิต อย่างนั้นพระเจ้าข้า พระศาสดา ภิกษุเธอทากรรมหนักอย่างนั้น เพื่ออะไร ? เธอเป็ น บุต รของพระพุ ท ธเจ้ า พระองค์ ห นึ่ ง ผู้ ป รารภความเพีย รบวชใน ศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้เช่นเรามิใช่หรือ ? ไม่ได้อาจให้เขาเรียกตนว่า ' พระโสดาบัน' ' พระสกทาคามี, ' พระอนาคามี หรือ ' พระอรหันต์;'ได้ทา กรรมหนักอย่างนั้นเพื่ออะไร ? พระสังฆรักขิต. ข้าพระองค์กระสัน ( จะสึก) พระเจ้าข้า พระศาสดา เพราะเหตุไร ? เธอจึงกระสัน (จะสึก). พระสังฆรักขิตนั้น กราบทูลเรื่องนั้นทั้งหมดแด่พระศาสดาจาเดิม แต่วันที่ตนได้ผ้าวัสสาวาสิกสาฎก จนถึงเอาพัดก้านตาลตีพระเถระแล้วกราบ ทูลว่า " เพราะเหตุนี้ ข้าพระองค์จึง (คิด) หลบหนีไปพระเจ้าข้า" สารวมจิต เป็นเหตุให้พ้นเครื่องผูกของมาร ลาดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า " มา เถิดภิกษุ เธออย่าคิดไปเลย, ธรรมดาจิตมีหน้าที่รับอารมณ์ แม้มีอยู่ในที่ไกล, ควรที่ภิกษุจักพยายามเพื่อประโยชน์แก่การพ้นจากเครื่องผูกคือราคะ โทสะ โมหะ"ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า “ทูรงฺคม เอกจร อสรีร คุห าสย เย จิตฺต สญฺ เมสฺสนฺ ติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา. "ชนเหล่าใด จักสารวมจิต อันไปในที่ไ กล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มี สรีระ มีถาเป็ ้ นที่อาศัย ชน เหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร"๒๖๒ แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูรงฺคม เป็นต้น (พึง ทราบ วินิจฉัยดังต่อไปนี้ ) ก็ชื่อว่าการไปและการมาของจิต โดยส่วนแห่ง ทิศมีทิศ บูรพาเป็นต้น แม้ประมาณเท่าใยแมลงมุม ย่อมไม่มี , จิตนั้นย่อมรับอารมณ์ แม้มีอยู่ในที่ไกล เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทูรงฺคม อนึ่ง จิต ๗-๘ ดวง ชื่อว่า สามารถเกิดขึ้นเนื่องเป็นช่องโดยความรวมกันในขณะเดียว ย่อมไม่มี, ในกาล เป็นที่เกิดขึ้น จิตย่อมเกิดขึ้นทีละดวง ๆ, เมื่อจิตดวงนั้นดับแล้ว , จิตดวงใหม่ ๒๖๒ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๑๓/๑๙, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗/๓๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๒ ก็เกิดขึ้นทีละดวงอีกเพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เอกจร สรีรสัณฐานก็ดี ประเภท แห่งสีมีสีเขียวเป็นต้นเป็นประการก็ดี ของจิต ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อ ว่า อสรี ร ถ้ าคื อมหาภู ต ๔ (มหาภู ต ๔ คือ ดิน น้ า ไฟ ลม) ชื่ อว่ า คูห า, ก็จิตนี้อาศัยหทัยรูปเป็นไปอยู่ เพราะเหตุนั้น จึง ชื่อว่า คุหาสย สองบทว่า เย จิตฺต ความว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง คือเป็น บุรุษหรือสตรี เป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต เมื่อ ไม่ใ ห้กิเลสที่ยั งไม่ เกิด ให้เ กิดขึ้น ละกิเลสที่เ กิดขึ้ นแล้ ว เพราะความฟั่นเฟือนแห่งสติ ชื่อว่าจักสารวมจิต คือจักทาจิตให้สงบ ได้แก่ ไม่ให้ฟุ้งซ่าน บาทพระคาถาว่า โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ความว่า ชนเหล่านั้น ทั้ง หมด ชื่อว่าจักพ้นจากวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันนับว่าเป็นเครื่องผูก แห่งมาร เพราะไม่มีเครื่องผูกคือกิเลส ในกาลจบเทศนา พระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ บรรลุโสดาปัตติผล แล้ว ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้เป็นอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้นแล้ว เหตุเกิดอุทธัจจกุกกุจจะ เจตโส อวูปสเม อโยนิโสมนสิกาเรน อุทฺธจฺจกุกฺกุ จฺจสฺส อุปฺปาโท โหติ ฯ แปลว่า อุทธัจจกุกกุจจะ ย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการ ในความไม่สงบแห่งใจ๒๖๓ อุทธัจจกุกกุจจะย่อมเกิดด้วยอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบแห่ง ใจ อาการที่ไม่สงบ ชื่อว่าความไม่สงบ คานี้โดยอรรถ คืออุทธัจจกุกกุจจะ เมื่อภิกษุทาอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในความไม่สงบแห่ ง ใจนั้น อุทธัจจกุกกุจจะย่อมเกิดเพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบแห่งใจมีอยู่ การทาให้มากซึ่ง อโยนิโสมนสิการในความไม่สงบแห่งใจนั้น เป็นอาหารเพื่อความเกิดแห่ง อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทาที่เกิดขึ้นแล้ว ให้กาเริบยิ่งขึ้น ดังนี้” ๒๖๓ พระโสภณมหาเถระ,มหาสติปัฏฐานสูตรทางสู่พระนิพพาน, หน้า ๓๐๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๓ คัมภีร์ขุททกนิกายกล่าวว่า“อตีตานุธาวน จิตฺต วิกฺเขปานุปติต. ต วิวชฺชยิตฺวา เอกฏฺ าเน สมาทหติ เอวมฺปิ จิตฺต น วิกฺเขปํ คจฺฉติ.” แปลว่า “จิตที่คานึงถึงอดีตย่อมตกไปสู่ความฟุ้งซ่าน ภิกษุย่ อม หลีกเลี่ยงอดีตอารมณ์นั้น แล้วย่อมตั้งจิตไว้ในปัจจุบันอารมณ์อย่างเดียว เมื่อตั้งจิตไว้อย่างนี้ จิตย่อมไม่ถึงความซัดส่าย” ๒๖๔ ในส่วนที่เป็นอารมณ์ของอนาคตมีกล่าวไว้ว่า “อนาคตปฺปฏิกงฺขน จิตฺ ต วิกมฺปิต. ต วิวชฺชยิตฺวา ตตฺเถว อธิโมเจติ. เอวมฺปิ จิตฺต น วิกฺเขปํ คจฺฉติ” แปลว่า “จิตที่คาดหวังอนาคตย่อมซัดส่าย ภิกษุย่อมหลีกเลี่ยง อนาคตอารมณ์นั้น แล้วย่อมใส่ใจในปัจจุบันอารมณ์อย่างเดียว เมื่อใส่ใจ อย่างนี้จิตย่อมไม่ถึงความซัดส่าย” ๒๖๕ เหตุละอุทธัจจกุกกุจจะ สมาธิ ส งฺ ข าเต ปน เจตโส วู ป สเม โยนิ โ สมนสิ ก าเรนสฺ ส ปหาน โหติ ฯ แต่อุทธัจจกุกกุจจะนั้น จะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิก ารใน ความสงบแห่ ง ใจ กล่ าวคื อสมาธิ แก้โ ดย ต้องมีสมาธิใ ห้จิต ตั้ง มั่ น จดจ่ อ อาการของรูปนามให้มาก ธรรมสาหรับละอุทธัจจกุกกุจจะ๒๖๖ อปิจ จ ธมฺมา อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจสฺส ปหานาย สวตฺตนฺติ พหุ สฺ สุตฺตา ปริปุจฺฉกตา วินเย ปกตญฺญุตา วุฑฺฒเสวิตา กลฺยาณมิตฺตตา สปฺปายกถาติ ๒๖๔ ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๓๗๐/๒๕๑, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๕๘/๒๔๑. ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๓๗๐/๒๕๑, ขุ.ป. (ไทย) ๓๑/๑๕๘/๒๔๒. ๒๖๖ ที.อ. ๒/๓๙๔, อ้างใน พระโสภณมหาเถระ, มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่ พระนิพพาน, หน้า ๓๐๕. ๒๖๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๔ อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ คือ ๑. ความสดับมาก ๒. ความสอบถาม ๓. ความชานาญในวินัย ๔. ความคบผู้เจริญ ๕. ความมีกัลยาณมิตร ๖. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย จริงอยู่ เมื่อภิกษุแม้ร่าเรียนทั้งบาลี ทั้งอรรถกถานิกายหนึ่ง สองสาม-สี่นิกาย หรือห้ านิกาย ย่อมละอุ ทธัจจกุกกุจจะได้ แม้ด้วยความเป็ น พหูสูต (พาหุสัจจะ ความเป็นผู้สดับมาก) ภิกษุผู้มากด้วยการสอบถามสิ่งที่ควรและไม่ควรก็ดี ผู้ชานาญเพราะ มีความชานาญอันสั่งสมไว้ในวินัยบัญญัติก็ดี ผู้เข้าหาพระเถระผู้แก่ผู้เฒ่าก็ดี คบกัลยาณมิตรผู้ทรงวินัย เช่น ท่านพระอุบาลี ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้ แม้ด้วยการเจรจา แต่เรื่องที่เป็นที่สบาย อันอาศัยสิ่ง ที่ควรและ ไม่ควร ในอิริยาบถทั้ งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ก็ละอุทธั จจกุกกุจจะได้ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการนี้ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ ภิ ก ษุ ย่ อ มรู้ ชั ด ว่ า เมื่ อ อุ ท ธั จ จกุ ก กุ จ จะละได้ แ ล้ ว ด้ ว ยธรรม ๖ ประการนี้ อุทธัจจะจะไม่เกิดต่อไปด้วยอรหัตมรรค กุกกุจจะไม่เกิดต่อไป ด้วยอนาคามิมรรค๒๖๗ วิธีการกาหนด ขณะปฏิบัติ หากมีความฟุ้งซ่านราคาญใจปรากฏ แก่ใจ เนื่องจากคิดไม่หยุด นักปฏิบัติต้องกาหนดว่า ฟุ้งหนอๆๆ ราคาญ หนอๆๆ หงุดหงิดหนอๆๆๆ หากเดินอยู่หรือทาอะไรอยู่ให้หยุดการกระทา นั้นๆ แล้วกาหนดความฟุ้งซ่าน ราคาญใจจนกว่าจะหายไปหมดจากจิตใจ ๒๖๗ ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๗๕๑, พระโสภณมหาเถระ, มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่ พระนิพพาน, หน้า ๓๐๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๕ ลาดับการกาหนดรู้ ความฟุ้งซ่าน ๑. กาหนดรู้ โดยใช้สติกาหนดตามความเป็นจริงว่า ฟุ้งหนอๆๆ ๒. ข่มรู้ โดยใช้ความสงบ(สมถะ)สยบความฟุ้งซ่าน ๓. ระลึกรู้ ระลึกรู้เฉยๆ โดยไม่ต้องใส่คาบริกรรม ๔. หยุดรู้ ไม่ต้องสนใจกับความฟุ้งซ่าน ไปกาหนดรู้อย่างอื่นแทน ๕. รู้รู้ ปล่อยให้จิตคิดไปตามเรื่องราวโดยมีสติกากับอยู่ ๖. เลิกรู้ โดยให้ไปทางานอย่างอื่น เช่น กวาดบ้าน ซักผ้า ทาความสะอาด ฯลฯ โคจเร ภิกฺขเว จรถ สเก เปตฺติเก วิสเย. โคจเร ภิกฺขเว จรต สเก เปตฺติเก วิสเย น ลจฺฉติ มาโร โอตาร , น ลจฺฉติ มาโร อารมฺมณ โก จ ภิกฺขเว ภิกฺขุโน โคจโร สโก เปตฺติโก วิสโย. ยทิท จตฺตาโร สติปฏฺ านา. ขุ.ธ. ๒๕. ๑๘๘-๘๙. ๖๖ “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไปในโคจร อันเป็นมรดกแห่งบิดาของตน เมื่อพวกเธอเที่ยวไปในโคจรอัน เป็นมรดกแห่ง บิดาของตน มารจักไม่ได้ช่อง ไม่ได้โ อกาส โคจรอันเป็นมรดกแห่งบิดาของตน คือ สติปัฏฐาน ๔ ” แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๖ วิจิกิจฉา ที่นี้สอน อะไร ใคร่เฉลย สอนสติ ปัฏฐานเลย อย่าสงสัย กาหนดรู้ ที่อาการ ต่อเนื่องไป กายเวทนา จิตธรรมไซร้ รู้เท่าทัน วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย ได้แก่ ความเคลือบแคลง ไม่แน่ใจ สงสัยเกี่ยวกับพระศาสดา พระธรรม พระอริยะสงฆ์ เกี่ยวกับสิกขา ขันธ์อดีต (เคยเกิ ด หรื อ ) ขั น ธ์ อ นาคต (จะเกิ ด อี ก ไหม) ขั น ธ์ ปั จ จุ บั น (มี อ ยู่ ห รื อ ) ปฏิจจสมุปบาท เมื่อความสงสัยเกิดขึ้นกับนั กปฏิบัติธรรม ย่อมทาให้เกิ ด ความไม่ แน่ ใ จในการปฏิ บั ติ ห รือ การก าหนดสติ ข องตน จึ ง แบ่ง รั บ แบ่ ง สู้ กาหนดบ้างไม่กาหนดบ้าง รู้บ้างคิดบ้าง จึงเหมือนกับคนหลงทาง อุปมาเหมือนคนเดินหลงทาง พระสัมมาสัมพุ ทธเจ้าทรงเปรียบวิจิกิจฉาเหมือน “บุรุษผู้มั่ง คั่ง เดินทางไกลและกันดาร พบอุปสรรคมากมาย “บุรุษที่เดินทางไกล หากเกิด การสะดุ้งกลัวต่อพวกโจรร้าย ย่อมเกิดความลังเลใจว่าควรจะไปต่อหรือจะ กลับดี ความสะดุ้งกลัวพวกโจรผู้ร้าย เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางไกลของ บุรุษ ฉันใด ความลังเลสงสัยในคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเป็น อุปสรรคต่อการบรรลุอริยภูมิของพระภิกษุฉันนั้น๒๖๘ เหมือนกับเจ้าลิจฉวี เจ้าลิจฉวี ก็ในอดีตกาล สุนักขัตตะนี้ตีกกหูภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่ง ทาให้เป็นพระ หูห นวก ต่ อ มาอี ก ไม่ นานนั ก ชายคนนี้ ไ ด้ ต ายไป ก็เ วี ย นว่า ยตายเกิ ด อยู่ ในวัฏสังสารเป็นเวลาช้านาน จนในสมัยพุทธกาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มี นามว่า “สุนักขัตตลิจฉวี” ๒๖๘ ที.สี. (ไทย) ๙/๔๖๒/๒๐๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๗ เมื่อเติบใหญ่เจริญวัยขึ้น ได้มีโอกาสฟัง ธรรม ก็เกิดความเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา แล้วขอบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ในสานักของพระพุทธเจ้า โดยตั้งใจที่จะฝึกบาเพ็ญวิปัสสนา เพื่อตัดกิเลสเป็นอริยบุคคลในภายหลัง พระพุทธองค์ได้บอกอุบายวิธีอันถูกต้องเหมาะสมกับจริต ในไม่ช้า พระสุนักขั ตตลิจฉวี ก็ได้สาเร็จฌานและบรรลุ ทิพพจักขุอภิญ ญา โดยเร็ว ภายในเวลาไม่กี่วัน มีตาทิพย์ สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ เหนือวิสัยของคน ธรรมดา เช่น มองเห็น เทวโลก และพรหมโลก เป็นต้น ภิกษุใหม่ดีใจนักหนา จึงเข้าไปทูลขออุบายวิธี เพื่อที่จะฝึกวิชาทิพพ โสตอภิญญา หรือวิชาหูทิพย์ให้สาเร็จต่อไป พระพุ ทธองค์ก็ ทรงให้ บริกรรมภาวนา แต่ ไ ม่ไ ด้ บอก อุบ ายวิ ธี เพราะทรงทราบว่า จะมีพลั งอานาจของกรรมเบียดเบีย น หรื อ อุ ปปีฬ ก กรรม มาเบียดเบียน มิให้ได้วิชา หูทิพย์ เพราะกรรมที่เคยได้ ตบหูสามเณร ในอดีตชาติ จะมาฝึกวิชาที่เกี่ยวกับ หู ให้สาเร็จได้อย่างไร พระสุนักขัตติลิจฉวี ได้ฝึก วิชาหูทิพย์ อยู่ ๓ ปี ก็หาได้สาเร็จไม่ ก็ เกิดความเบื่อหน่าย และคิดสงสัยว่าพระพุทธเจ้า คงไม่มีวิชาที่วิเศษไปกว่านี้ อีกแล้ว จึงลาสิกขาแล้วไปอยู่สานักอื่นนอกพระพุทธศาสนา ๒๖๙ เหตุเกิดวิจิกิจฉา วิ จิ กิ จฺ ฉ าญานี เ ยสุ ธมฺ เ มสุ อโยนิ โ สมนสิ ก าเรน วิ จิ กิ จฺ ฉ าย อุปฺปาโท โหติ ฯ วิ จิ กิ จ ฉา ย่ อ มเกิ ด ได้ ด้ ว ยอโยนิ โ สมนสิ ก าร ในธรรมทั้ ง หลาย อันเป็นทีต่ ั้งแห่งวิจิกิจฉา ความเคลือบแคลง เพราะเป็นเหตุแห่งความสงสัย บ่อยๆ ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา๒๗๐ ๒๖๙ ๒๗๐ ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑๐๖. ดูเทียบใน ส.ม. (บาลี) ๑๙/๕๒๗/๑๔๔, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๒/๑๖๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๘ อธิบายว่า เมื่อนักปฏิบัติธรรมไม่ใส่ใจในการกาหนดรู้ในสภาพธรรม ต่างๆ มีการได้ยิน เป็นต้น ย่อมทาให้เกิดความสงสัย อยากรู้ในเสียงที่ได้ยิน นัน้ ๆ ว่าเป็นเสียงอะไร เสียงใคร พูดว่าอย่างไร ทาให้ความลังเลสงสัยเกิดขึ้น เมื่อนักปฏิบัติธรรม ทาอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากๆ ในธรรม เป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉานั้น วิจิกิจฉาย่อมเกิด เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค เจ้าจึงตรัสไว้ (ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า๒๗๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉามีอยู่ การทาให้ มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉานั้น นี้เป็นอาหารเพื่อ ความเกิดแห่ ง วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด หรือเพื่อทาวิจิกิจฉาที่เกิดแล้ว ให้กาเริบ เสิบสานยิ่งขึ้น ดังนี้ เหตุละวิจิกิจฉา กุสลาทิธมฺเมสุ โยนิโสมนสิกาเรน ปนสฺสา ปหาน โหติฯ วิจิกิจฉานั้น จะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมมีกุศลเป็นต้น๒๗๒ แต่วิจิกิจฉานั้นจะละได้ก็ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมมีกุศลเป็นต้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในสังยุตตนิกายมหาวารวรรค ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศล อกุศล ธรรมที่มีโทษ ไม่มี โทษ ธรรมที่ควรเสพ ไม่ควรเสพ ธรรมที่ทรามประณีต ธรรมที่เทียบด้วยของ ดาของขาว มีอยู่ การทาให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็น อาหารเพื่อความไม่เกิดแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด หรือเพื่ อละวิจิกิจฉาที่เกิด แล้ว ดังนี้” ๒๗๑ ๒๗๒ ดูเทียบใน ส.ม. (บาลี) ๑๙/๕๒๗/๑๔๔, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๒/๑๖๓. ที.มหา.อ. (ไทย) เล่ม ๑๐ ข้อ ๒๗๓ – ๓๐๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๓๙ ธรรมสาหรับละวิจิกิจฉา อปิจ ฉ ธมฺมา วิจิกิจฺฉาย ปหานาย สวตฺตนฺติ พหุสฺสุตตา ปริปุ จฺฉ กตา วิ นเย ปกตญฺญุ ตา อธิโ มกฺ ขพหุล ตา กลฺย าณมิตฺ ตตา สปฺปายกถาติ ฯ๒๗๓ อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา คือ ๑. ความสดับมาก ๒. ความสอบถาม ๓. ความชานาญในวินัย ๔. ความมากด้วยความน้อมใจเชื่อ ๕. ความมีกัลยาณมิตร ๖. การเจรจาแต่เรื่องที่เป็นที่สบาย จริงอยู่ แม้เมื่อภิกษุร่าเรียนทั้งบาลี ทั้งอรรถกถานิกายหนึ่ง สองสาม-สี่ หรือห้านิกาย ย่อมละวิจิกิจฉาได้ ด้วยความเป็นพหูสูต เมื่อภิกษุมากด้วยการปรารภพระรัตนตรัย สอบถามก็ดี มีความ ชานาญอันสั่งสมไว้ในวินัยก็ดี มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ กล่าวคือศรัทธาที่ ยังกาเริบได้ในพระรัตนตรัยก็ดี คบกัลยาณมิตร เช่นท่านพระวักกลิ ผู้น้อมใจ ไปในศรัทธาก็ดี ย่อมละวิจิกิจฉาได้ แม้ ด้ว ยการเจรจาแต่เ รื่อ งที่เ ป็ นที่ สบาย อั นอาศัย คุ ณของพระ รัตนตรัย ในอิริยาบถทั้งหลายมียืนนั่งเป็นต้น ก็ละวิจิกิจฉาได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา ภิกษุ ย่อ มรู้ชั ดว่ า วิจิกิ จฉาที่ละได้ด้ วยธรรมเหล่า นี้ ย่อมไม่ เกิ ด ต่อไปด้วยโสดาปัตติมรรค ดังนี้ ๒๗๓ ที.อ. ๒/๓๙๕, อ้างใน พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปฏั ฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน, หน้า ๓๐๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๐ คาว่า อิติ อชฺฌตฺต วา หรือภายใน ความว่า พิจารณาเห็นธรรมใน ธรรมทั้งหลายของตน ในธรรมทั้งหลายของคนอื่น หรือในธรรมทั้งหลายของ ตนตามกาล ของคนอื่นตามกาล ด้วยการกาหนดนิวรณ์ ๕ อย่างนี้อยู่ ก็ความ เกิดและความเสื่อม ในคาว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดและความเสื่อม นี้ ที่กล่าวแล้วในนิวรณ์ ๕ ด้วยอานาจอโยนิโสมนสิการและโยนิโสมนสิการ ในสุภนิมิตและอสุภนิมิตเป็นต้น บัณฑิตพึงนามาเทียบเคียง ข้อต่อไปนี้ ก็มี นัยดังกล่าวมาแล้วนั้นแล ขณะปฏิบัติความสงสัยเกิดขึ้นได้ แนวทางการปฏิบัติ : จะใช่ทางนี้หรือเปล่าที่จะทาให้หลุดพ้น สงสัยครูบาอาจารย์ : ปฏิบัติได้หรือเปล่า ที่สอนเราแบบนี้ สงสัยพระพุทธเจ้า : มีจริงหรือเปล่า สงสัยพระธรรมคาสอน : ดับทุกข์ได้จริงหรือเปล่า สงสัยพระอริยะสงฆ์ จะมีปรากฏในโลกหรือเปล่า สงสัยตนเอง : จะสามารถปฏิบัติได้และบรรลุธรรมได้หรือเปล่า สงสัย ในขณะก าหนด : ขณะปฏิบั ติก าหนดไม่ ไ ด้ ไม่รู้ ว่า จะ เรียกชื่อสภาวธรรมว่าอะไร กาหนดไม่ถูก เลยไม่กาหนด วิธีกาหนด สงสัยหนอๆๆ จนกว่าความสงสัยจะหายไปจากจิตใจ สรุป ทุกสภาวธรรมอาการแห่งความสงสัยเกิดขึ้น นักปฏิบัติธรรม พึงกาหนดสติระลึกรู้ว่า สงสัยหนอๆๆ จนกว่าจิตจะปราศจากความสงสัย “ เมื่อบุคคลเห็นรูปแล้วใส่ใจถึงรูปนิมิตที่น่ารัก สติหลงไปแล้ว เขามี จิตกาหนัดเสวยอารมณ์นั้น ทั้งมีความติดใจในอารมณ์นั้นอยู่ เวทนาอันเกิด จากรูป ความละโมบ และความประทุษร้าย ย่อมทวีขึ้นเป็นอันมากจิตของ เขาย่อมถูกรบกวนให้เร่าร้อน เมื่อเขาสั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ บัณฑิต กล่าวว่า อยู่ห่างไกลนิพพาน ” ส. สฬา. ๑๘. ๙๕. ๗๑ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๑ ขันธ์ ๕ ดูรูปนาม ขันธ์ห้า สภาวะ ได้ขณะ ปัจจุบัน ไม่หวั่นไหว สันตติ ขาดฉับ ตัดดับไป เห็นพระไตร ลักษณะ ชนะมาร การปฏิบัติธรรมนับว่าเป็นอุบายวิธีการดับทุกข์ด้วยการเจริญสติ เพื่อพัฒนาปัญ ญา ๒๗๔ เมื่อนักปฏิบัติพยายามเจริญสติจนมีปัญญาสามารถ เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น และอบรมจิ ต ให้ เ กิ ด วิ ปั ส สนาญาณหยั่ ง เห็ น ไตรลั ก ษณ์ ไ ด้ โ ดยประจั ก ษ์ กระทั่งสามารถทาลายความเห็นผิดที่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวเป็นตนได้ เมื่อนั้น จิตของบุคคลนั้นย่อมเป็นอิสระจากกองทุกข์ทั้งปวง๒๗๕ ความหมายต่างๆ ของขันธ์ ขนฺธ แปลว่า แบกภาระไว้ ดั งบาลีว่ า ขมติ ภารนฺติ ขนฺโ ธ หมายความว่า ปัญจขันธ์นี้เ ป็นภาระที่หนั กมาก บุคคลทุ กคนเป็ นผู้แบก ภาระไว้ การแบกภาระเป็นทุกข์ในโลก วางภาระเสียได้เป็นสุขจริงๆ บุคคล วางภาระอันหนั กเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอื่นอีก ถอนตัณหาพร้อมทั้ง ราก ปราศจากความอยาก ปรินิพพาน นั่นแหละเป็นบรมสุข ๒๗๔ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปัฎฐานสูตร ทางสู่พระ นิพพาน, หน้า ๙, ๓๓, บทบาทของสติในการพัฒ นาปัญญา พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม (ฉบับเดิม), พิมพ์ครั้งที่ ๑๓, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก, ๒๕๕๐), หน้า ๒๑, การที่เป็นผู้มีสติ คือ การที่ประกอบด้วยสติปัญญาเป็นเครื่อ ง รักษาตน - ที.ปาฏิ. (ไทย) ๑๑/๙/๓๖๑, ซึ่งสติปัญ ญาเป็นเครื่องรักษาตนในที่นี้ หมายถึงสติและเนปักกปัญญา (สัมปชัญญะ) - องฺ.สตฺตก.อ. (บาลี) ๑๖๕, องฺ.สตฺตก. ฏีกา (บาลี) ๑๙๓. ๒๗๕ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), มหาสติปัฎ ฐานสูตร ทางสู่ พระ นิพพาน, หน้า [๑]. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๒ ขนฺธ แปลว่า สภาวธรรมที่ถูกทุกข์นับไม่ถ้วน มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เป็นต้น เคี้ยวกินอยู่เสมอ ดังบาลีว่า ชาติชรา พฺยาธิมรณาทีหิ อเนเกหิ ทุกฺเขหิ ขชฺชติ ขาทียเตติ ขนฺโธ ขนฺธ แปลว่า สภาวธรรมที่ถูกทุกข์ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น บั่นทอน ตัดรอนอยู่เสมอ ดังพระบาลีว่า เตเหวทุกฺเขหิ ข ฺ ติ อวทารียตีติ ขนฺโธ “ขันธ์ ๕” หมายถึง ส่วนประกอบ ๕ อย่างที่รวมเข้าเป็นชีวิต๒๗๖ ประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สัง ขารขันธ์ และวิญญาณ ขันธ์๒๗๗ ที่ประชุมกันเข้าเป็นหน่วยรวมซึ่งบัญญัติเรียกว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน ตัวเรา ตัวเขา เป็นต้น๒๗๘ เดิมทีมนุษย์ไม่รู้ว่าตัวตนที่ตนยึดถือไว้ ไม่มีจริง ซึ่งความจริงเป็น เพียงกระแสของรูปธรรม นามธรรม ที่อาศัยเหตุปัจจัยทาให้เกิดขึ้นและ เสื่อมสลายเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เนื่องจากสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ ทาให้เกิด ความเห็นผิด จึงหลงยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเรา ของเรา สมดังพระบาลีว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปแหละมีอยู่ ความเห็น (ผิด) อาศัยรูปบด รูป จึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวของเรา เมื่อเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณมีอยู่ ความเห็น(ผิด) อาศัยวิญญาณ ยึดวิญญาณ จึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวของเรา ดังนี้” ๒๗๖ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวล ธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย , ๒๕๔๓), หน้า ๑๖๓. ๒๗๗ ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๑๕/๒๐๗, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๕/๒๙๙–๓๐๐. ๒๗๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวล ธรรม, หน้า ๑๖๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๓ ดัง นั้น รูปจึง เสมือนเรื อนจา(ที่คอยจองจาสั ตว์ไ ว้ ในทุกข์) เวทนา เหมือนการลงโทษ (ด้วยสุข ทุกข์) สัญญาเหมือนโทษ (จาได้ว่าโสมนัสหรือ โทมนัส) สังขารเหมือนผู้ลงโทษ (ปรุงให้ทุกอย่าง)วิญญาณเหมือนนักโทษ๒๗๙ แม้ขณะปฏิบัติธรรม หากนักปฏิบัติขาดสติในการกาหนดระลึก รู้ ขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง ย่อมสามารถทาให้เห็นและเข้าใจผิดคิดเอาได้ว่า มีสัตว์ มีบุคคล มีตัวตน มีเรา มีเขา ที่กาลังกระทากิริยาอาการยืน เดิน นั่ง นอน ฯลฯ เหล่านั้นอยู่ โดยเริ่ มจากรูปขันธ์ที่กาลังเคลื่อนไหวอยู่ เช่น ในการเดินจงกรม เมือ่ นักปฏิบัติขาดการรู้ชัดในขณะเคลื่อนไหว ย่อมทาให้เห็นและเข้าใจผิดถึง รูปที่กาลังเคลื่อนไหวนั้นว่า เป็นเราที่เดินอยู่ (เป็นตัวเราที่กาลังเคลื่อนไหว) เรามีการเดิน (เรามีรูปที่เคลื่อนไหว) การเดินเป็นของเรา (รูปที่เคลื่อนไหวอยู่ ในเรา) เรากาลังอยู่ในการเดิน (เราอยู่ในรูปที่เคลื่อนไหวนั้นๆ) เป็นต้น ขันธ์ถัดมา คือ เวทนาขันธ์ เมื่อนักปฏิบัติขาดการรู้ชัดในขณะเสวย เวทนาอยู่ เช่นทุกขเวทนา ย่อมเห็นและเข้าใจผิดคงเห็นเป็นบัญญัติอันเนื่อง มากจากสักกายทิฎฐิว่าเป็นเราปวด เราเมื่อย เราเจ็บ เราร้อน เป็นต้น๒๘๐ ความรู้สึกทุกข์เหล่านั้นอยู่ในเรา เรามีความรู้สึกทุกข์เหล่านั้นอยู่ จึงคิดว่า ทุกขเวทนานี้คือตัวเรา เป็นของเรา เราเป็นผู้เสวยทุกขเวทนานั้นๆ แม้ใน เวทนาที่เหลือก็ทานองเดียวกัน ถัดจากนั้น คือ สัญญาขันธ์ เมื่อนักปฏิบัติขาดการรู้ชัดในขณะที่ อารมณ์ปรากฏทาให้จาได้หมายรู้ เช่น จารูปได้ จาเสียงได้ จากลิ่น จารสได้ จ าสั ม ผั ส ได้ จ าเรื่ อ งราวต่ า งๆ ได้ ๒๘๑ เรี ย กว่ า จ าสมมุ ติ บั ญ ญั ติ ไ ด้ นั่ น เอง ๒๗๙ พระพุทธโฆษาจารย์, วิสุทธิมรรค เล่ม ๓ ภาคปัญญา ปริเฉทที่ ๑๔ ขันธนิเทศ หน้าที่ ๖๙-๗๐. ๒๘๐ พระอาจารย์สัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, วิปัสสนากรรมฐาน, (มูลนิธิ สัทธัมมโชติกะการพิมพ์, ๒๕๒๘), หน้า ๕๙. ๒๘๑ พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี), วิปัสสนาภูมิ, หน้า ๖๔. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๔ ตัวอย่างเช่น จาได้ว่ากิริยาท่าทางอย่างนี้คือการเดินจงกรม ย่อมเห็นและ เข้าใจผิดไปใน(รูป)สัญญาที่กาลังจาได้หมายรู้ว่า จาได้ว่าเรากาลังเดินจงกรม จาได้ว่าเรายกเท้าข้างนี้เป็นเท้าซ้าย จาได้ว่าเป็นการยกเท้านี้คือการยกเท้า ของเรา เป็นต้น นอกจากนั้น ในสังขารขันธ์ เมื่อนักปฏิบัติขาดการรู้ชัดในขณะที่ ใส่ใจหรือไม่ใส่ใจอย่างแยบคายในสังขารที่ปรากฏ เช่น ความฟุ้ง เป็นต้น๒๘๒ ย่อมเห็นและเข้าใจผิดไปในสั งขารคือการปรุงแต่งไปในความคิดว่า เราคิด เรื่องนั้น เราคิดเรื่องนี้ เรานึกถึงอดีต เราคิดถึงอนาคต ทาให้รู้เพียงเรื่องที่คิด และปรุงแต่งความคิดซึ่งทาให้เกิดความฟุ้งเรื่อยไป ลาดับสุดท้าย คือ วิญญาณขันธ์ เมื่อนักปฏิบัติขาดการรู้ชัดในขณะ รับรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ย่อมเห็นและเข้าใจผิดไปในสภาพการรับรู้ว่าเรา เห็นบุคคลคนนั้น เราได้ยินเสียงนกร้อง เราได้กลิ่นหอม เรารู้รสอร่อย เรารู้ สัมผัสที่แข็ง เรามีการรับรู้อยู่และการรับรู้เป็นของเรา จึงคิดว่าสภาพการรับรู้ ทั้งหมดนี้คือตัวตนหรือตัวเราที่กาลังรับรู้อยู่ ดังนั้น ทุกๆ ขณะของการเคลื่อนไหว นักปฏิบัติพึงเจริญสติระลึกรู้ ให้ชัดถึงขันธ์ ๕ ในขณะยืน เดิน นั่ง นอน คู้ เหยียด ชา เหน็บ เจ็บ ปวด คิด นึก ฟุ้ง การรับรู้ ต่างๆ ฯลฯ เพื่อรู้ชัดเข้าใจชัดถึง ปรากฏของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้ของขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง๒๘๓ ในสติปัฎฐานสูตรทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถา ก็ปรากฏว่ามีการ แสดงให้นาเอา (ขันธ์ ๕) ปัจจุบัน ที่กาลังเป็นไปอยู่เท่านั้นมาพิจารณาเป็น อารมณ์๒๘๔ ดังปรากฏข้อความในหมวดของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานที่ว่า ๒๘๒ ความฟุ้งเป็นสังขารขันธ์ พระครูเกษมธรรมทัต, วิปัสสนาภูมิ, หน้า ๖๕. ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ส.ข. (บาลี) ๑๗/๙/๑๖-๑๗, ส.ข. (ไทย) ๑๗/๙/๒๔. ๒๘๔ พระโสภณมหาเถระ, วิปัสสนาชุนี ภาคปฏิบัติ, หน้า ๑๗๖. ๒๘๓ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๕ คจฺฉนฺโต วา “คจฺฉามี” ติ ปชานาติ. ผู้ที่กาลังเดิน หรือไปอยู่ ย่อมรู้ ชัดว่า “กาลังเดินอยู่ ” ซึ่งขันธ์ ๕ ย่อมมีปรากฏขึ้นพร้อมกัน ๒๘๕ กล่าวคือ เมื่อผู้ ปฏิบัติกาหนดก้าวเท้า เป็น รูปขันธ์ ความรู้สึกดีหรือไม่ดี เป็น เวทนาขันธ์ การกาหนดอยู่ เป็น สัญญาขันธ์ การทาความพยายามอยู่ เพื่อจะก้าวเท้าไป ๒๘๖ เป็น สังขารขันธ์ และการรับรู้ด้วยใจ เป็น วิญญาณขันธ์ จากข้อความข้างต้น ผู้ปฏิบัติจะสามารถรับรู้สภาวธรรมขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ได้เพียง ขันธ์เดียวในขณะที่กาลังเดินหรือกาหนดรู้อยู่เท่านั้น หากผู้ปฏิบัติมีสติเข้าไป กาหนดรู้ในส่วนของกาย คือ กองรูป หรื อรูปขันธ์ คือ การเดิน จึงสามารถ สงเคราะห์เข้าเป็นการกาหนดในส่วนของกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หากผู้ปฏิบัติรู้ชัดในขณะเสวยอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดี (เวทนาขันธ์ ) เป็นสุขหรือเป็นทุกข์จากการเดิน จึงสงเคราะห์เข้าเป็นการกาหนดรู้ในส่วน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดังมีปาฐะเป็นต้ นว่า สุข วา เวทน เวทยมาโน “สุข เวทน เวทยามีติ ” ปชานาติ. เมื่อเสวยสุขอยู่ ย่อมรู้ชัดว่า “เรา เสวยสุขอยู”่ ๒๘๗ นอกจากนั้ น หากรู้ชั ด ในส่ วนของการก าหนดอยู่ (สั ญ ญาขั น ธ์ ) การทาความพยายามอยู่ (สังขารขันธ์) และการรับรู้ที่เกิดขึ้น (วิญญาณขันธ์) จึงสงเคราะห์เข้าเป็นการกาหนดในส่วนของ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดังมี ปาฐะในคัมภีร์อรรถกถาเป็นต้นว่า “ในขณะใด ๆ (หมายถึงทุกขณะ) จิตใดๆ กาลังเกิดขึ้นอยู่, ในขณะนั้นๆ ผู้ปฏิบัติย่อมกาหนดจิตนั้นๆ จึง ได้ชื่อว่าเป็น ผู้อยู่โดยตามพิจารณาจิตทั้งที่เป็นของตนบ้าง ของผู้อื่นบ้าง ทั้งของตนและ ๒๘๕ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภเถระ), ธรรมบรรยาย ธมฺมปทฏฺ กถา, (ม.ป.ท.), หน้า ๕๗. ๒๘๖ สยาดอว์ อู จาติละ, ธรรมบรรยายภาคปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร: (ม. ป.ท.), ๒๕๕๑), หน้า ๒. ๒๘๗ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๑๓/๘๒, ม.มู (ไทย) ๑๒/๑๑๓/๑๐๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๖ ของผู้อื่นสลับกันเป็นครั้งคราวบ้าง”๒๘๘ หากผู้ปฏิบัติรู้ชัดถึงสภาวธรรมขันธ์ทั้ง ๕ คือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสภาวธรรมที่ ถู ก ก าหนดรู้ คื อ รู ป ที่ เ คลื่ อ นไหวและจิ ต ใจที่ รู้ อ ยู่ เ ท่ า นั้ น ไม่ มี สั ต ว์ บุ ค คล ตัวตน เรา เขา ที่กาลังเดินอยู่ จัดเป็นธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดัง มี ปาฐะเป็นต้ นว่า “ภิกฺขเว อปร ปุน จ, ภิ กฺขเว ภิกฺ ขุ วิ หรติ ปญฺจ สุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี ” ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย หลักการ เจริญสติพิจารณาด้วยวิธีการอื่น ยังมีอยู่อี ก ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย ภิกษุย่อม อยู่ โดยเป็นผู้พิจารณาตามเห็นธรรมกล่าวคือ อุปาทานขันธ์ ๕ ว่า “เป็ น เพียงสภาวธรรมเท่านั้น”๒๘๙ โดยมีหลักการปฏิบัติดังต่อไปนี้ กระบวนการก าหนดระลึ ก รู้ ใ นรู ป ขั น ธ์ ขณะที่ นั ก ปฏิ บั ติ เคลื่อนไหว จะต้องเจริญสติรู้ชัดและเท่าทันในสภาวของความเกิดขึ้นและดับ ไปของรูปขันธ์ในระยะต่างๆ เช่น การเดินจงกรมว่า รูปที่ดาเนินไปในแต่ละ ระยะ ยังไม่ถึงระยะต่อไปก็ดับลงไปในระยะที่ดาเนินอยู่ เหมือนรูปปัจจุบันที่ ปรากฏความเกิดดับ จึงมีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน๒๙๐ ผู้ปฏิบัติธรรมควรกาหนดสติพิจารณาเห็นอสาระ (ความไม่มีสาระ) ในรูป เช่น ท้องพอง ท้องยุบ ทั้งเก่าและใหม่ ในอดีตหรืออนาคต ที่มีสภาวะ ที่แตกต่างกันไป ว่าเป็นของว่างเปล่าเกิดขึ้นแล้วก็หายไป มีแล้วก็แตกดับ ทาลายไป เหมือน ฟองน้า เป็นเพียงแค่สภาวธรรม ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น การกาหนดสติระลึกรู้ในเวทนาขันธ์ ในเวทนาทั้งสามประเภทคือ สุขเวทนา ทุกขเวทนาและไม่สุขไม่ทุกข์ นี้ นักปฏิบัติมักจะรู้ชัดถึงเวทนาคือ ๒๘๘ พระโสภณมหาเถระ, วิปัสสนาชุนี ภาคปฏิบัติ , หน้า ๑๗๗, ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๓๙๑, ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๒/๓๑๕. ๒๘๙ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๓/๒๕๗, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๓/๓๑๘. ๒๙๐ วิสุทธิ ๒/๒๙๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๗ ความเจ็บปวดทางกายก่ อนในขณะนั่งกรรมฐานเป็นเวลานาน ทุกขเวทนา เหล่านี้ย่อมปรากฏขึ้น คือ ความเจ็บ ปวด เมื่อย ชา ร้อน จนทาให้ทุกข์ ทางใจปรากฏขึ้น คือ กลัว ร้อนรน วิตกกังวล เป็นต้น เมื่อรู้สึกว่ามีความเจ็บความปวดเกิดขึ้นไม่ควรเกร็งร่างกายหรือ เคร่งเครียดกับการรู้ชัด ควรจดจ่อที่อาการปวดให้ชัดเจนว่า อาการปวดนั้น เกิดที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือกระดูก๒๙๑ ด้วยการพยายามกาหนดสติระลึก ตามความเป็ น จริ ง ด้ วยค าก าหนดว่ า ปวดหนอๆๆ เจ็ บหนอๆๆ เป็น ต้ น การรู้ ชั ด เวทนานี้ จุ ด ประสงค์ เ พื่ อ รู้ ชั ด เข้ า ใจชั ด ถึ ง ลั ก ษณะที่ แ ท้ จ ริ ง ของ ทุกขเวทนา คือสถาพที่รับรู้สัมผัสที่ไม่น่าปรารถนา กล่าวคือ สภาพธรรมที่ ทนได้ยาก และมีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อนักปฏิบัติที่รู้ชัดเพียงอาการปวด ไม่มีสัณ ฐานของกายที่ปวด จะรู้สกึ ว่าอาการปวดไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรา ไม่มีเราอยู่ในอาการนี้ ความรู้สึก เช่นนีจ้ ัดว่ากาจัดความยึดมั่นในเวทนาได้ เพราะรู้เพียงอาการปวดและจิตที่ ตามรู้ ไม่มีอัตตา ตัวตน ตัวเรา หรือของเรา ปัญญาจะประจักษ์เข้าใจชัดว่า อาการปวดและจิต ที่ต ามรู้ เ ป็น คนละส่ว นกั น (แม้สุ ขเวทนาและอุ เบกขา เวทนาเช่นเดียวกัน) ผู้ป ฏิบั ติธ รรมควรกาหนดสติ พิจ ารณาเห็ นความไม่ มีแ ก่ นสารใน เวทนา เช่น ความชา ความเหน็ บ ความเจ็บ ความปวด ทั้ ง ความสุข และ ความทุกข์ หรือความรู้สึกเฉยๆ ทั้งเก่าและใหม่ ในอดี ต หรืออนาคต ที่ มี เกิดขึ้นมาแล้วหรือยังไม่ได้เกิด ว่าเป็นของว่างเปล่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีแล้ว ก็สลายไป เหมือนต่อมน้า เป็นเพียงแค่สภาวธรรม ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น การกาหนดสติระลึกรู้สัญญาขันธ์ ขณะที่นักปฏิบัติกาหนดสติอยู่ สามารถรับรู้ถึงอาการต่างๆ ที่จาได้ เช่น การเห็นรูปย่อมจารูปที่เห็นนั้ นได้ว่า ๒๙๑ ๔, หน้า ๒๓. คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ธรรมภาคปฏิบัติ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๘ เป็นรูปอะไร เกิดขึ้นที่ไหน สัญญาขันธ์จึงเกิดขึ้นแล้ว ๒๙๒ เพราะสัญ ญานี้ มั ก ปรากฏชั ด ในขณะกระทบอารมณ์ ใ หม่ ท างทวารทั้ ง ๖ นั ก ปฏิ บั ติ จาเป็นต้องมีสติกาหนดระลึกรู้ให้เท่าทันกับรูปที่เห็น ทางตา ด้วยการกาหนด ว่า เห็นหนอๆๆ (การจาได้ในกิริยาอาการหรืออารมณ์ต่างๆ ให้ กาหนดตาม อาการความรู้สึกอย่างนั้นๆ เช่น ท้องพอง ว่า พองหนอ) บางครั้งในขณะเดิน จงกรม นักปฏิบัติอาจกาหนดไม่ถูก ไม่รู้เท้าขวาหรือเท้าซ้ายที่กาลังเคลื่อน อยู่ บริกรรมสลับกันบ้าง แสดงให้เห็นว่าสัญญานั้นดับไปชั่วคราว ย่อมรับรู้ถึง สัญญาขันธ์ที่มีสภาพ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และบังคับบัญชาไม่ได้นั่นเอง ผู้ปฏิบัติธรรมควรกาหนดสติพิจารณาเห็นความเป็นมายาในสัญญา เช่น ความจาได้ว่าท้องพอง ท้องยุบ ทั้งเก่าและใหม่ ในอดีต หรืออนาคต ที่มีสภาวะที่แตกต่างกันไป ว่าเป็นของว่างเปล่า เป็นภาพมายา เกิดขึ้นแล้วก็ หายไป มีแล้วก็แตกดับทาลายไป เหมือนพยับแดด ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น การกาหนดสติระลึกรู้สังขารขันธ์ ในขณะที่นักปฏิบัติกาหนดสติ อยู่นนั้ มีความชอบใจ ไม่ชอบใจเกิดขึ้น จิตใจกระสับกระส่าย คิดนึกฟุ้งซ่าน ถึงเรื่องราวต่างๆ แสดงให้เห็นว่าสังขารขันธ์เกิดขึ้นแล้ว นักปฏิบัติจาเป็นต้อง กาหนดสติว่า ชอบใจหนอๆๆ ไม่ชอบใจหนอๆๆ ฟุ้งหนอๆๆ เป็นต้น จัดว่า เป็นการกาหนดในส่วนของสังขารขันธ์ ผู้ป ฏิบั ติธ รรมควรกาหนดสติ พิจ ารณาเห็ นความไม่ มีแ ก่ นสารใน สัง ขาร เช่น การปรุงแต่งสิ่ งต่างๆ ให้ดี ให้งาม ให้สวย ให้ หล่อ ให้ คิดนึ ก เก่าและใหม่ ในอดีตหรืออนาคต ที่มีเกิดขึ้นมาแล้วหรือยังไม่เกิดขึ้น ว่าเป็น ของว่ า งเปล่ า เป็ น ของไม่ มี อ ยู่ จ ริ ง เกิ ด ขึ้ น แล้ ว ก็ ดั บ ไป มี แ ล้ ว ก็ ส ลายไป เหมือนต้นกล้วย หาแก่นสารไม่ได้ เป็นเพียงสภาวธรรม ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ๒๙๒ พระครูวิศาลเขมคุณ, แสงสว่างทางปฏิบัต,ิ บริษัทธนาเพรส แอนด์ กราฟฟิค จากัด, กรุงเทพ, ๒๕๔๗, หน้า ๕๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๔๙ การกาหนดสติระลึกรู้วิญญาณขันธ์ คือการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น การเห็นทางตา ย่อมรู้สึกถึงว่ารูปนี้เกิดขึ้นได้เพราะอะไร เป็น รูปของอะไร มาจากไหน วิญญาณขันธ์เกิดขึ้นแล้ว ๒๙๓ นักปฏิบัติควรกาหนด รู้ตามอาการที่รับรู้ว่า เห็นหนอๆๆ เป็นต้น การได้ยินเสียงทางหู ให้กาหนด ว่า ได้ยินหนอๆๆ การได้กลิ่นทางจมูก ให้กาหนดว่า กลิ่นหนอๆๆ การได้รับรู้ การกระทบสัมผัส ให้กาหนดตามอาการที่ถูกกระทบ เช่น เย็น กาหนดว่า เย็นหนอๆๆ หากรู้สึกร้อน กาหนดว่า ร้อนหนอๆๆ เป็นต้น จัดว่าเป็นการ กาหนดรู้วิญญาณขันธ์ ผู้ปฏิบัติธรรมควรกาหนดสติพิจารณาเห็นอสาระในวิญญาณ เช่น ความรู้ทเี่ กิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ทั้งเก่า และใหม่ ในอดีตหรืออนาคต ที่มีสภาวะที่แตกต่างกันไป ว่าเป็นของว่างเปล่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นของหลอกลวง เกิดขึ้นแล้วก็หายไป มีแล้วก็แตกดับ ทาลายไป เหมือนกลมายา เป็นเพียงแค่สภาวธรรม ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น โดยใจความแล้วได้แก่ รู้พระไตรลักษณ์ คือ อนิจ จัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ที่จะรู้อย่างนี้ได้ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนถึงอุทยัพพยญาณเป็นต้นไป เมื่อถึง ญาณนี้แล้วจะรู้เองว่า รูป นาม นี้ ดับไปตรงไหน เมื่อไร ขณะไหน โดยไม่ต้องไปถามใครอีก" รู้แจ้ง " ชัด ด้วยการปฏิบัติของตนเอง เมื่อเกิดญาณปัญญาดังกล่าวจากการปฏิบัติธรรม ย่อมเกิดความเบื่อ หน่ายด้วยปัญญา ทาให้คลายความยึดติด จึงสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ ทั้ง ปวงไปได้ ดัง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้ง หลาย อริยสาวก ผู้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้ง ในสัง ขาร ทั้ง ในวิ ญญาณเมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกาหนัด เพราะคลาย กาหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญ าณหยั่ง รู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้ ๒๙๓ พระครูวิศาลเขมคุณ, แสงสว่างทางปฏิบัติ, หน้า ๕๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕๐ อายตนะ อายตนะ แปลว่ า เครื่ อ งติ ด ต่ อ หรื อ ที่ เ ชื่ อ มต่ อ โดยรวมแล้ ว หมายถึ ง สิ่ง ที่ เ ป็ น สื่ อ ใช้ ส าหรั บ ในการติ ด ต่ อ กัน ระหว่ างสิ่ ง ภายนอกและ สิ่งภายใน โดยทาให้เกิดความรู้สึกขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ อย่างด้วยกัน คือ อายตนะภายนอก ที่หมายถึงสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเรา ๖ อย่าง และอายตนะ ภายใน หมายถึงสิ่งที่อยู่ภายในตัวเรา ๖ อย่าง อายตนะภายนอก ได้แก่ ๑. รูปายตนะ คือ รูป หรือสีต่างๆ ที่มากระทบกับตาของเรา (รูป) ๒. สัททายตนะ คือ เสียงต่างๆ ที่มากระทบกับหูของเรา (เสียง) ๓. คันธายตนะ คือ กลิ่นต่างๆ ที่มากระทบกับจมูกของเรา (กลิ่น) ๔. รสายตนะ คือ รสต่างๆ ที่มากระทบกับลิ้นของเรา (รส) ๕. โผฏฐัพพายตนะ คือ สัมผัสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะร้อน, เย็น, หย่อน, แข็ง ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มากระทบกับกายของเรา (การกระทบสัมผัส) ๖. ธัมมายตนะ คือ อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งมากระทบกับจิตใจ อายตนะภายใน ได้แก่ ๑. จักขายตนะ คือประสาทตาที่ได้รับการมองเห็นในสิ่งต่างๆ (ตา) ๒. โสตายตนะ คือ โสตประสาท หรือประสาทหู ที่ได้รับการได้ยิน ในเสียงต่างๆ (หมายถึง หู) ๓. ฆานายตนะ คือ ฆานประสาท หรือประสาทรับกลิ่นที่ได้รับใน กลิ่นต่างๆ (หมายถึง จมูก) ๔. ชิ ว หายตนะ คื อ ชิ วหาประสาท หรื อ ประสาทรั บ รสในการ ได้รับรสต่างๆ (หมายถึง ลิ้น) แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕๑ ๕. กายายตนะ คือ กายประสาทหรือประสาทที่ไ ด้รับการสัมผั ส ต่างๆ (หมายถึง กาย) ๖. มนายตนะ คื อ จิ ต ที่ รั บ รู้ ค วามเป็ น อารมณ์ ทั้ ง หมด เป็ น ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เมื่ออายตนะภายนอกกระทบกับอายตนะภายใน ย่อมก่อให้เกิด การรับรู้ และมี ค วามรู้ขึ้ นมา คือ รู้ ว่าเห็น เป็น รูปสั ตว์ บุค คล มนุ ษย์ หรื อ สิ่งของ ได้ยิน เสียงของอะไร กลิ่นอะไร รสชาดเป็นอย่างไร สัมผัสจากอะไร ใจรับรู้หรือรู้สึกถึงอะไร เป็นต้น จากนั้น สังขารคือการปรุงแต่งย่อมทาหน้าที่ ปรุง ต่อ ไปให้รั บรู้ ว่าสวย หล่อ ดี ไม่ ดี หอม เหม็น อร่อย ไม่อ ร่อย ถู กใจ หรือ ไม่ ถูกใจ ซึ่ง จะเป็น เหตุให้ เกิ ดกิ เลสสัง โยชน์ คือ เครื่อ งร้ อยรั ดจิ ตให้ พัวพัน ผูกพัน และยึดติดกับอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ไว้ เพราะเข้าใจผิดใน รูปารมณ์ เป็นต้นนั้นว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จึงติดอยู่ในกองทุกข์ ไม่หลุดพ้นไปได้เพราะไม่เห็นรูปนามตามความจริง ท่านจึงกล่าวว่า ย ปสฺสติ น ต ทิฏฺ ย ทิฏฺ ต น ปสฺสติ อปสฺส พชฺฌเต มูฬฺโห พชฺฌมาโน น มุจฺจติ “บุคคลดูสิ่งใดไม่ชื่อว่าเห็นสิ่งนั้น เห็นสิ่งใดไม่ชื่อว่าดูสิ่งนั้น เมื่อไม่เห็นย่อมหลงติด เมื่อติดอยู่ย่อมไม่หลุดพ้น”๒๙๔ การหลงลืมสติในการรับรู้อารมณ์ต่างๆ จิตอาจจะอาศัยความหลง ไปยึดติดกับรูปารมณ์ด้วยความยินดีพอใจในรูปนั้นๆ หากเป็นเช่นนั้นจิตย่อม เข้าไปปรุงแต่งรูปนั้นด้วยความไม่รู้ ซึ่งจะก่อให้เกิดเวทนา และกิเลสตัณหา ตามมา ทาให้จิตใจเร่าร้อน ไม่สงบ ยากที่จะพ้นทุกข์ไปได้ ดังพระบาลีว่า๒๙๕ ๒๙๔ ที.อ. ๒/๓๗๑ อ้างใน พระโสภณมหาเถระ, มหาสติปัฏฐานสูตร ทางแห่ง พระนิพพาน, หน้า ๓๒๖. ๒๙๕ ส. สฬา. ๑๘/๙๕/๗๑. แนวทางปฏิบัติธรรม รูปํ ทิสฺวา สติ มุฏฺ า สารตฺตจิตฺโต เวเทติ ตสฺส วฑฺฒนฺติ เวทนา อภิชฺฌา จ วิเหสา จ เอว อาจินโต ทุกฺข ๒๕๒ ปิย นิมิตฺต มนสิกโรโต ตญฺจ อชฺโฌส ติฏฺ ติ อเนกา รูปสมฺภวา จิตฺตมสฺสูปหญฺ ติ อารา นิพฺพาน วุจฺจติ “เมื่อบุคคลเห็นรูปแล้วใส่ใจถึง รูปนิมิตที่น่ารัก สติหลงไปแล้ว เขามี จิตกาหนัดเสวยอารมณ์นั้น ทั้งมีความติดใจในอารมณ์นั้นอยู่ เวทนาอันเกิด จากรูป ความละโมบ และความประทุษร้าย ย่อมทวีขึ้นเป็นอันมากจิ ตของ เขาย่อมถูกรบกวนให้เร่าร้อน เมื่อเขาสั่งสมทุกข์อยู่อย่างนี้ บัณฑิต กล่าวว่า อยู่ห่างไกลนิพพาน” นักปฏิบัติจึงควรกาหนดรู้รูปารมณ์ หมายถึง อารมณ์ต่างๆของจิต ทีร่ ู้ทางตา อันเป็นที่อาศัยเกิดของกิเลสด้วย ดังข้อความในมหาสติปัฏฐานว่า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ จกฺขุญฺจ ปชานาติ รูเป จ ปชานาติ ยญฺจ ตทุภย ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ สญฺโญชน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (ย่อม) รู้ชัดตา(ย่อม) รู้ชัดรูปารมณ์ สังโยชน์ใด อาศัยตาและรูปทั้งสองนั้นเกิดขึ้น ก็รู้ชัดสังโยชน์นั้น๒๙๖ วิธีการกาหนดระลึกรู้อารมณ์ที่เข้ามาทางตา ให้นักปฏิบัติเพียงแค่ รับรู้ว่ามีอารมณ์เข้ามา โดยไม่ต้องสาคัญว่าคืออะไร แต่ให้มีสติรู้ว่ามีอารมณ์ เกิดขึ้นอยู่ ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า๒๙๗ “ตถาคตเห็นรูปที่ควรเห็น ย่อมไม่ สาคัญว่าเห็นรูปที่เห็นแล้ว ย่อมไม่สาคัญว่าเป็นรูปที่ยังไม่มีใครเห็น ย่อมไม่ สาคัญว่าเห็นรูปที่ควรเห็น ย่อมไม่สาคัญว่าเห็นรูปที่ มหาชนดูกันอยู่” เมื่อรู้ แล้วให้ละไป* ให้ทาเหมือนกับคนตาบอดที่ดูเหมือ นจะเห็นแต่ไ ม่เห็นหรือ เห็นเพียงเลือนลาง แล้วเลิกสนใจ ดังที่พระมหากัจจายนะแนะนาว่า ๒๙๖ ๒๙๗ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๙๒/๓๓๘, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๙๒/๓๓๘. อง.จตุ. (ไทย) ๒๑/๒๔/๔๐, *รู้แล้วละ ส.สฬา. (ไทย) ๒๓/๒๕/๒๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕๓ จกฺขุมาสฺส ยถา อนฺโธ คนตาดีให้ทาเหมือนคนตาบอด๒๙๘ จากข้อความดังกล่าว อธิบายว่า คนตาดีให้ทาเหมือนคนตาบอด คือ เมื่อเห็น อารมณ์เข้ามาทางตา ให้นักปฏิบัติ ธรรมพยายามกาหนดสติว่า เห็นหนอๆๆ โดยที่ไม่ต้องใส่ใจกับสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งใดที่เข้ามาในคลองแห่ง จักษุ แต่ให้สนใจเพียงการกาหนดสติระลึกรู้อยู่เพียงแค่อาการเห็น หมายถึง กาหนดตรงกลางที่เป็นแดนเชื่อมต่อ กันระหว่างรูป (อายตนะภายนอก) กับ ตาหรือจักขุ (อายตนะภายใน) ที่เรียกว่าจักขุวิญญาณ อุปมา เหมือนการนั่งดูหนังดูละครในโทรทัศน์ ย่อมรับรู้เรื่องราว ต่างๆ ของหนัง ของละคร ให้เราถอยออกมาสนใจตรงกลางระหว่างโทรทัศน์ กับตัวเรา ซึ่ง จะทาให้เราไม่ได้รับรู้เรื่องราวของหนังละครที่กาลังเล่นอยู่ใน จอโทรทัศน์ แต่รู้ว่าหนังละครนั้นยังเล่นอยู่ ตัวเราก็นั่งดูอยู่ ฉันใด การเจริญ สติรับรู้ระหว่างอายตนะภายในที่กระทบกับอายตนะภายนอก ก็ให้นักปฏิบัติ กาหนดสติระลึกรู้เพียงอาการเห็นในระหว่างทั้งสองเท่านั้น ไม่ได้รับรู้ว่าเป็น อะไร (สมมุติบัญญัติ) เป็นเรื่องราวอย่างใด แต่ก็รู้อายตนะทั้งสองอยู่ ฉันนั้น เพื่อละสิ่ง ทั้ง ปวง คือ อายตนะ วิญญาณ สัมผัส เวทนา ๒๙๙ ที่จะทาให้เกิด อุปาทาน๓๐๐ และเพื่อประคับประคองจิตของตนไว้ให้เป็นกลางที่สุด นักปฏิบัติพยายามมีสติในการกาหนดระลึกรู้อารมณ์ต่างๆ ที่เข้า มาตามความเป็ น จริ ง ไม่ ลอยไปกับ อายตนะภายนอก หรือ ไม่ จมลงกั บ อายตนะภายใน และไม่ติดอยู่ในท่ามกลาง (รู้แล้วก็ปล่อยไป) เช่น เมื่อเห็น รูป ให้กาหนดสติว่า เห็นหนอๆๆ ซึ่งเป็นการกาหนดรู้ตรงที่จะเกิดอุปาทาน ๒๙๘ ๒๙๙ ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๓๖๖/๓๔๒, ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๕๐๑/๔๒๔. ส.สฬา. (ไทย) ๒๕/๒๔/๒๓. ๓๐๐ อุปาทาน หมายถึง ฉันทะราคะ คือความชอบใจจนติด หรืออยากอย่าง แรงจนยึดติด กล่าวคือตัณหา จึง เป็นเหตุปัจ จั ยจึงมีอุปาทานครอบง า ส .ข. ๑๗/ ๓๐๙/๒๐๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕๔ พระสารีบุตรได้กล่าวกับพระโปฐิละว่าการบรรลุเป็นพระโสดาบัน จนถึงพระอรหัตผลต้องกาหนดระลึกรู้ที่อุปาทานขันธ์เท่านั้น๓๐๑ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค๓๐๒ได้ยกตัวอย่างวิธีการกาหนดสติของพระ มหาติสสะที่เห็นไรฟันหญิงสาว เมื่อท่านเห็น ท่านรีบเจริญสติกาหนดระลึกรู้ ไม่ ให้ ล่ว งเลยไปถึง รูป ร่า งหน้า ตา กิ ริย าท่ าทางต่า งๆ ของหญิ ง สาว มี ส ติ กาหนดระลึกรู้ แล้วละด้วยปัญญา ทาตามกระแสพระดารัสที่กล่าวไว้ว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา น นิมิตฺตคฺคาหี โหติ นานุพฺยญฺชนคฺคาหี ภิกษุ (เมื่อ) เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว (ย่อม) ไม่ถือเอารูปร่าง ไม่ถือเอาอวัยวะน้อยใหญ่๓๐๓ อรรถกถาจารย์กล่าวเสริมว่า ทิฎฺ มตฺเตเยว สณฺ าติ ย่อมดารง จิตไว้ในสภาวะเห็นเท่านั้น คัมภีร์ฎีกาอธิบายเพิ่มเติมว่า ภิกษุควรยังจิตที่รับรู้สภาวะการเห็น เท่านั้นให้เกิดขึ้น ไม่ควรใส่ใจต่อความงามหรือไม่งามของสิ่งที่เห็น โดยคล้อย ตามบาลีที่ว่า ทิฎเฺ ทิฎฺ มตฺต ภวิสฺสติ เมื่อเห็น จักเป็นเพียงแค่เห็น ท่านพระมหาติสสะจึงสามารถบรรลุ อรหัตผลได้ขณะยืนนั่นเอง เพราะจิตไม่มีความติดใจในอารมณ์ที่เห็นนั้น ๆ จิตย่อมปล่อยอารมณ์นั้นไป สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า๓๐๔ น โส รชฺชติ รูเปสุ วิรตฺตจิตฺโต เวเทติ ยถาสฺส ปสฺสโต รูปํ ๓๐๑ รูปํ ทิสฺวา ปฏิสฺสโต ตญฺจ นาชฺโฌส ติฏฺ ติ เสวโต จาปิ เวทน Sayadaw U Jatila, Dhamma discourses, p 130 - 131. พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, , หน้าที่ ๗๖ – ๗๙” ๓๐๓ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒/๑๕. ๓๐๔ ส. สฬา. ๑๘/๙๕/๗๑. ๓๐๒ แนวทางปฏิบัติธรรม ขียติ โนปจิยติ เอว อปจินโต ทุกฺข ๒๕๕ เอว โส จรติสฺสโต สนฺติเก นิพฺพาน วุจฺจติ “บุคคลนั้นเห็นรูปแล้ว มีสติไม่พอใจในรูปทั้งหลาย มีจิตคลาย กาหนัด เสวยอารมณ์นั้น ทั้งไม่มีความติดใจอารมณ์นั้นอยู่ เมื่อเขาเห็น รูปและเสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมสิ้นไปไม่สั่งสมทุกข์อีก ฉันใด เขาเป็น ผู้มีสติ เที่ย วไป ฉัน นั้น เมื่อ ไม่สั่ งสมทุกข์ อ ยู่อย่ างนี้ บัณฑิ ตกล่ าวว่ า ใกล้นิพพาน” แม้ ใ นอายตนะที่ เ หลื อ คื อ หู จมู ก ลิ้ น กาย ใจ ก็ ใ ห้ ก าหนด เช่นเดียวกัน คือ เมื่อได้ยินเสียง ให้กาหนดว่า ได้ยินหนอๆๆ เมื่อได้กลิ่น ให้ ก าหนดว่ า กลิ่ น หนอๆๆ เมื่ อ รู้ ร ส ให้ ก าหนดว่ า รสหนอๆๆ เมื่ อ ถู ก กระทบสัมผัสต่างๆ ไม่ว่าจะเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ให้กาหนดสติตามอาการที่ เข้ากระทบว่า เย็นหนอๆๆ ร้อนหนอๆๆ อ่อ นหนอๆๆ แข็งหนอๆๆ เมื่อมีอารมณ์มาปรากฏกับใจ ให้กาหนดสติว่า รู้หนอๆๆ ดังนี้ ไม่ปล่อยให้จิตล่องลอยไปกับเสียงและไม่จมลงกับความรู้สึกที่ได้ยิน ไม่ลอยไปในกลิ่นและไม่จมลงในความรู้สึกที่ได้กลิ่น ไม่ลอยไปกับรสชาติ และ ไม่จมลงกับในความรู้สึกที่รับรส ไม่ลอยไปการถูกกระทบสัมผัสและไม่ จมลง ในการรับรู้สัมผัส ไม่ลอยไปในเรื่องราวต่างๆ หรือไม่จมอยู่กับอารมณ์ต่างๆ ให้นักปฏิบัติมีสติระลึกรู้เพียงสักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ ว่ารู้รส สักแต่ว่าถูกกระทบสัมผัส และสักแต่ว่ารู้ เท่านั้น เพราะอารมณ์ต่างๆ มีไว้เพื่อรู้ เพื่ออาศัยระลึกรู้เท่านั้น ย่อมไม่ยึดติด ใดๆ ในโลก ดังพุทธดารัส ในสติปัฏฐานสูตรว่า “เธอย่อมเป็นอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือ สติของเธอย่อมปรากฏว่ามีเพียง สภาวธรรม เพื่อปัญญาและการระลึกรู้ยิ่งๆ ขึ้นไปเท่านั้น เธอเป็นผู้อยู่อย่าง ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิเข้าอิงอาศัย และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก” แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕๖ ปริเฉทที่ ๓ บทสรุปส่งท้าย แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕๗ อานิสงส์สติปฏั ฐาน พระพุทธองค์ ทรงตรัสถึงวัตถุประสงค์ หรืออานิสงส์ที่เกิดขึ้นจาก การปฏิบตั ิธรรมตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ไว้มากมาย ดังที่ทรงตรัสว่า เอกายโน อย ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตาน วิสุทฺธิยา โสกปริเทวาน สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสาน อตฺถงฺคมาย ายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉกิ ิริยาย, ยทิท จตฺตาโร สติปฏฺ านา.๓๐๕ “ภิกษุ ทั้ง หลาย ! ทางนี้เป็ นทางเดีย วเพื่ อ ความบริ สุทธิ์ ของ เหล่ า สั ต ว์ ทั้ ง หลาย เพื่ อ ล่ ว ง โสกะปริ เ ทวะ เพื่ อ ดั บ ทุ ก ข์ แ ละโทมนั ส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทาให้แจ้งนิพพาน ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔๓๐๖ จากพุ ท ธพจน์ ดั ง กล่ า วข้ า งต้ น สามารถอธิ บ ายขยายความถึ ง อานิสงส์ทเี่ กิดจากการเจริญสติปัฎฐาน ๔ ได้ดังนี้ เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์ เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย(สตฺตาน วิสุทฺธิยา) ข้อนี้มีความหมายว่า สัตว์ทั้งหลาย คือมนุษย์ เทวดาและพรหมยัง ไม่บริสุทธิ์ เพราะบุคคลเหล่านั้นยังถูกนิวรณ์ มีกามฉันทะ อุปกิเลสทั้งหลาย มี อ ภิ ช าวิ ส มโลภะเป็ น ต้ น ครอบง าจิ ต อยู่ ดั ง ที่ พ ระพุ ท ธองค์ ต รั ส ไว้ ว่ า “ดู ก่ อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย สั ต ว์ ทั้ ง เศร้ า หมอง เพราะจิ ต ใจเศร้ า หมอง สั ต ว์ ทั้งหลายผ่องแผ้ว เพราะจิตใจผ่องแผ้ว และความผ่องแผ้วของจิตนั้นจะมีได้ เพราะการเจริญสติปัฏฐานนี้”๓๐๗ ๓๐๕ ๓๐๖ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๙๐/๔๓. ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๖๗/๒๑๐-๒๑๑, ที.ม.อ. ๓๗๓/๓๖๘. ๓๐๗ ส.ข. (ไทย) ๙/๒๕๘/๑๔๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕๘ โลภ คือ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากรู้ อยากเห็น โกรธ ความไม่พอใจ ความไม่ชอบใจ ความพยาบาท ความกลัว หลง หลงยืน เดิน นั่ง นอน เห็น ได้ยิน ฯลฯ หลงรู้สมมุติบัญญัติ ทิฎฐิ สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่ากายนี้เป็นตัวของตน มานะ ถือตัวว่า ต้อยต่ากว่าเขา เสมอเขา เหนือกว่าเขา ถีนะ ความเซื่องซึม หดหู่ ถดทอยจากกุศลธรรม คือ สติ มิทธะ ความง่วง ความหลับไหล อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ความคิดไม่หยุด ความไม่ตั้งมั่นแห่งจิต กุกกุจจะ ความราคาญใจ ความหงุดหงิดใจ อวิชชา ความไม่รู้รูปนาม ไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปบาท กิเลสเหล่านี้ จะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติตลอดเวลาหากว่าขาดสติ ฉะนั้น จึงต้องพยายามกาหนดรู้กิเลสเหล่านี้ตามความเป็นจริง เพราะกิเลสเกิดจาก จิต จะบริสุทธิ์ไ ด้ด้วยการกาหนดรู้ที่จิตเท่านั้น สมดัง คากล่าวที่ว่า “โคลน เกิดจากน้า ย่อมล้างสะอาดได้ด้วยน้า ฉันใด บาปเกิดจากจิต จะบริสุทธิ์ ได้ด้วยจิต ฉันนั้น”๓๐๘ หากนัก ปฏิ บัติ ธรรมมีกิ เลส คือ ความโลภ ความชอบใจ ความ พอใจเกิดขึ้น ที่จิตใจ ให้กาหนดสติว่า โลภหนอๆๆ ชอบหนอๆๆ พอใจ หนอๆๆ จิตที่กาหนดสติระลึกรู้ จะเข้าถึงความเป็นกลาง (คือไม่ยึดติดกับ สภาวธรรมคือความโลภ) ความโลภจึง คลายไป หายไป หมดไปจากจิตใจ จิตจึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ ๓๐๘ พระจันทิมา ประเทศเมียนม่าร์ อ้างใน มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่พระ นิพพาน, พระโสภณมหาเถระ, หน้า ๑๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๕๙ เมื่อนักปฏิบัติมีกิเลส คือความโกรธ ความไม่ชอบใจ ความไม่พอใจ เกิดขึ้น ให้กาหนดสติว่า โกรธหนอๆๆ ไม่ชอบหนอๆๆ ไม่พอใจหนอๆๆ จิตจะเข้าถึงความเป็นกลาง ทาให้ความโกรธ หายไป คลายไปจากจิตใจ จิต จึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ เมื่อนักปฏิบัติมีกิเลส คือ ความหลง ความเผลอ ความเหม่อลอย เกิดขึ้น เมื่อได้กาหนดสติ ว่า หลงหนอๆๆ เผลอหนอๆๆ เหม่อ หนอๆๆ หรือกาหนดว่า รู้หนอๆๆ จิตจะเข้าถึงความเป็นกลาง ความเผลอจะหายไป คลายไป หมดไปจากจิตใจ จิตจึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ ทาจิตให้บริสุทธิ์จากสักกายทิฏฐิ ด้วยสัมมาทิฎฐิ คือ การกาหนด สติรู้กายตามความเป็นจริงว่า ยืนหนอๆๆ นั่งหนอๆๆ พองหนอๆๆ เป็นต้น จิตจะเข้าถึงความเป็นกลาง จิตจึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ เมื่อความหดหู่เกิด นักปฏิบัติทาจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยการกาหนดว่า หดหู่หนอๆๆ เมื่อจิตเข้าถึงความเป็นกลาง ความหดหู่จะหายไป คลายไป หมดไปจากจิตใจ จิตจึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ เมื่อความง่วงเกิดขึ้น นักปฏิบัติทาจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยการกาหนดว่า ง่วงหนอๆๆ จิตจะเข้าถึงความเป็นกลาง ความง่วงจะหายไป คลายไป และ หมดไปจากจิตใจ จิตจึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ เมื่ อ ความฟุ้ ง ซ่ า นเกิ ด ขึ้ น นั ก ปฏิ บั ติ ท าจิ ต ให้ บ ริ สุ ท ธิ์ ด้ ว ยการ กาหนดว่า ฟุ้งหนอๆๆ จิตจะเข้าถึงความเป็นกลาง ความฟุ้งซ่านจะหายไป คลายไป หมดไปจากจิตใจ จิตจึงเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ เมื่อความหงุดหงิด ราคาญเกิดขึ้น นักปฏิบัติทาจิตให้บริสุทธิ์ ด้วย การกาหนดว่า ราคาญหนอๆๆ หงุดหงิดหนอๆๆ จิตจะเข้าถึงความเป็น กลาง ความหงุดหงิดราคาญจะหายไป คลายไป หมดไปจากจิต ใจ จิตจึ ง เข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๐ ทาจิตให้บริสุทธิ์จากอวิชชา ด้วยการกาหนดสติระลึกรู้ให้เกิดอย่าง ต่อเนื่องจนเห็นอาการของรูปนามต่างๆ ตามที่ปรากฏชัด (วิชชา) ตามความ เป็นจริง รักษาความเป็นกลางของจิตไว้ จิตจึงบริสุทธิผุดผ่องจากกิเลส เพื่อขจัดความเศร้าโศก เพื่อขจัดความเศร้าโศก ความคร่าครวญ พิไรราพัน ความน้อยอก น้อยใจ ความคับแค้นใจ (โสกปริเทวาน สมติกฺกมาย) ข้อนี้หมายความว่า เพื่อก้าวล่วงการร้องให้ราพัน ที่ต้องพลัดพรากจากสิ่ง อันเป็นที่รักที่ชอบใจ เหมือนกับนางปฏาจาราที่สูญเสียสามีและลูก ภายหลัง นางได้ก้าวล่วงการ ร้องให้ราพันด้วยพระพุทธโอวาท ที่พระพุทธองค์ทรงตักเตือนว่า “บุตร ไม่มี อะไรมาต้านทานซึ่งความตาย แม้บิดาและพวกพ้อง ก็มีอะไรมาต้านทานซึ่ง ความตาย เมื่อหมู่สัตว์ถูกมัจจุครอบงา ย่อมไม่มีอะไรมาต้านทานซึ่งความ ตาย แม้หมู่ญาติทั้งหลายก็ไม่มีอะไรมาต้านทานซึ่งความตาย” ทาให้นางได้ สติสามารถก้าวล่วงความเศร้าโศกอันเกิดแต่บุตรได้๓๐๙ เพื่อดับทุกข์โทมนัส เพื่อขจัดความทุกข์กายทุกข์ใจ (ทุกฺขโทมนสฺสาน อตฺถงฺคมาย) เพราะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก หากยังมีขันธ์เหลืออยู่ก็ไม่ทุกข์ไปกับขันธ์คล้าย กับอยู่คนละส่วนกัน เหมือนหยาดน้าบนใบบัว ถึงจะอยู่บนบัวแต่ ก็ไม่ยึดติด กับใบบัว รอแสงพระอาทิตย์ทาให้เหือดแห้งไป พระอรหันต์เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีขันธ์เหลืออยู่แต่รอเวลาที่เข้าสู่ปรินิพพาน ท่านใช้ขันธ์ที่เหลืออยู่ ตามเหตุปัจจัย ไม่ทุกข์ไปกับขันธ์ เช่น ความปวดเมื่อย เป็นแค่อาการอย่าง หนึ่งเท่านั้น ไม่ปวดเมื่อยไปกับสังขารร่างกาย สามารถที่จะแยกแยะอาการ กับ ความรู้ สึก ว่ า เป็ น คนละอย่ า งกั น ได้ สมดั ง ที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ทรงตรั ส ว่ า “ดูก่อนคหบดี พึงศึกษาว่ากายปวดแต่ใจไม่ปวดไปด้วย”๓๑๐ ๓๐๙ ๓๑๐ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๒๘๘/๖๖. ที.อ. ๒/๓๘๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๑ แต่ปุถุชนทั้งหลายเมื่อเกิดทุกขเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งมักจะมีเรา เจ็บปวดไปด้วย เช่น อาการของธาตุที่เปลี่ยนแปลงไปที่ขา จากการที่นั่งนิ่งๆ เฉยๆ ทาให้รู้สึกถึงความแข็ง เสียดแทงภายในเนื้อ เมื่อขาดการกาหนดรู้จึง เข้าไปยึดมั่น หมายมั่นว่าสิ่งที่กาลังเกิดอยู่นั้นเป็นเรา เริ่มจากเป็นความปวด ปวดที่ไหน ปวดที่ขา ขาของใคร ขาของเรา ใครปวด เราปวด ใจเราจึงทน ไม่ไ ด้ที่รับรู้ถึง อาการปวดนั้นๆ พระพุทธเจ้าจึงทรงอุปมาเหมือนถูกลูกธนู ดอกเดียวแต่เหมือนโดนยิงถึงสองดอกด้วยกัน ความดับแห่งทุกข์ทางคือเวทนาที่ปรากฏชัดเจนเหมือนกับภิกษุรูป หนึ่ง บาเพ็ญสมณะธรรมอยู่ เมื่อเท้าของท่านบวมมีทุกขเวทนามากท่า นก็ เดินจงกรมด้วยเข่า ในคืนนั้น นายพรานคนหนึ่งเข้าใจว่า ท่านเป็นเนื้อจึงแทง ท่านด้วยหอก ท่านให้เขาเอาหอกออก แล้วเอาหญ้ามาม้วนๆ อุดปากแผล เอาไว้ไม่ให้เลือดออก ให้เขาพยุงตัวท่านให้นั่ง ข่มเวทนา ถือโอกาสเจริญ วิปัสสนา มีเวทนาเป็นอารมณ์ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา และได้ อุท านค าว่ า พระพุท ธเจ้า ผู้ป ระเสริ ฐสุ ดได้ ตรั สไว้ว่ า “ดูก่ อนภิก ษุ ทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความเข้าไปดับสังขารทั้ง หลายเป็นสุข ” ด้วยเหตุ เพียงเท่านี้ ทางสายนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย ทุกข์ทางใจ คือ ความโกรธ ความกลัว ความกลุ้มใจ ความเสียใจ เหมือนเทพสุพรหม เมื่อมีนิมิตทั้งหลายปรากฏคือ ๑. ดอกไม้ที่ประดับเหี่ยวแห้ง ๒. พัสตราภรณ์ที่สวมใส่หมองจางลง ๓. เหงื่อไหลออกจากรักแร้ ๔. ผิวพรรณเศร้าหมองปรากฏที่กาย ๕. เทพบุตรนั้นหมดความยินดีในทิพย์สมบัติของตน นี้เป็ นนิ มิ ต หมาย บอกว่า จะต้ องจุ ติจ ากภพภูมิ ที่เ ป็น เทวดา ก็ ทราบว่าจะต้องจุติแล้วไปเกิดในนรก จึงตกใจ เสียใจ ดาริว่า ใครหนอจัก แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๒ บรรเทาความโทมนัสนี้ได้ ก็มองเห็นแต่พระพุทธองค์เท่านั้น ที่จะขจัดความ โทมนัสนี้ได้ จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้กราบทูลถามปัญหา ว่า“จิตนี้สะดุ้งอยู่เนื่องนิจ จิตนี้หวาดผวาเป็นประจา เมื่อจิตเกิดขึ้นแล้วและ ยัง ไม่เกิ ดขึ้น ถ้า หากความไม่สะดุ้ง ความไม่กลั วมีอยู่ ขอพระองค์ อันข้ า พระองค์ทูลถามแล้ว จงตรัสบอกความไม่สะดุ้งนั้น แก่ข้าพระองค์เถิด”๓๑๑ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพยากรณ์ว่า“เรามองไม่เห็นความสวัสดี อย่างอื่นของสัตว์ทั้งหลาย นอกจากการบาเพ็ญเพียร นอกเสียจากการเจริญ โพชฌงค์ นอกเสียจากการสารวมอินทรีย์ และนอกเสียจากการปล่อยวาง จากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง”เมื่อจบเทศนา เทวดาองค์นั้นก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วก็ดารงอยู่ในทิพย์สมบัติสืบไป ทางเส้นนี้บุคคลผู้เจริญแล้ว พึงเข้าใจได้ เลยว่าเป็นไปเพื่อดับโทมนัส ความเสียใจของสัตว์ทั้งหลายดังนี้ เพื่อบรรลุอริยมรรค เพื่อเข้าถึงสัจจะความจริงของชีวิต คือบรรลุอริยมรรค ( ายสฺส อธิคมาย) คือการทาความรู้หรือปัญญาให้ยิ่งขึ้นไปตั้งแต่เริ่มรู้ความจริงของ ธรรมชาติประการแรกคือรู้เพียงแค่สิ่งที่ถูกรู้ กับใจที่รู้อยู่มีอยู่เพียงเท่านั้น ไม่ มีสตว์ ม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ไม่ มีเรา ไม่มีเขา มีเพียงธรรมที่ชาติที่ถูกรู้กับ ธรรมชาติที่รู้อยู่เท่านั้น และธรรมชาติเหล่านี้เกิดและดับไปอยู่เนืองนิตย์ทุกๆ การกาหนดที่รับรู้ เริ่มเบื่อหน่าย คลายกาหนัดจากความยึดถือมั่นในรูปนาม เพราะได้รับความรู้ในธรรมชาติเหล่านั้น ยิ่งๆ ขึ้นไปจนหยั่ง เห็นความจริง ดังกล่าว จนสามารถบรรลุอริยมรรค คือ การรับเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ด้วยมรรคญาณ ดังพระบาลีว่า๓๑๒ ายสฺสาติ อคฺคมคฺคสฺส ตติยมคฺคสฺส จ ฯเปฯ คาว่า ายสฺส (อริยมรรค) คือ อรหัตมรรค และมรรคที่ ๓ (อนาคามิมรรค) ๓๑๑ ๓๑๒ ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๖๙/๓๕๕. ม.ฎี. ๑.๔๑๘, อ้างในพระโสภณมหาเถร, มหาสติปัฎฐานสูตร,หน้า ๒๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๓ เพื่อกระทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เพื่อกระทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน (นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย)ข้อนี้ มีความหมายว่า การปฏิบัติเพื่ อให้เห็นประจักษ์แจ้ง ด้วยตนเอง ซึ่ง อมตะ ธรรมที่ไ ด้นามว่า พระนิพพาน เพราะเว้นจากธุลีคือตัณ หา เครื่องร้อยรัด เพราะว่ามรรคคือสติปัฏฐานที่บุคคลอบรมแล้ว ย่อมสาเร็จการกระทาให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพาน ดังพระบาลีว่า๓๑๓ ผล าเณน วา ปจฺ จกฺ ขกรณ สนฺธ าย วุ ตฺต นิพฺ พานสฺ ส สจฺฉิกิริยายาติ คาว่า นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย (เห็นแจ้งพระนิพพานได้) กล่าวไว้ โดยหมายถึงการหยั่งเห็นโดยประจักษ์ด้วยผลญาณ” อีกอย่างหนึ่ง ความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้ง หลาย ต้องเป็นไปพร้อม ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด ความบริสุทธิ์จะมีได้ เพราะก้าวล่วงโสกะปริเทวะ ความก้าวล่วงโสกะปริเทวะจะมีได้ เพราะทุกขโทมนัสดับไป การดับทุกข โทมนัสจะมีได้ เพราะได้บรรลุญายธรรม การบรรลุญายธรรมจะมีได้ เพราะ การกระทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ฉะนั้น พระองค์จึงทรงแสดงไว้ตามลาดับ และทรงตรัสว่า สตฺตาน วิสทุ ธิยา เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้นดังนี้ หากปฏิบัติแล้วยังไม่บรรลุในชาตินี้ ๑. เมื่อตายจะได้บรรลุ ๒. เมื่อได้ไปเกิดในสุคติ โลกสวรรค์จะสามารถบรรลุ ๓. ได้บรรลุตอนเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ๔. ได้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า๓๑๔ ๓๑๓ ๓๑๔ ม.ฎี. ๑.๔๑๘, อ้างใน พระโสภณมหาเถร, มหาสติปัฎฐานสูตร, หน้า๒๐. ขุ.ชา.อ. ๖/๓๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๔ ความเพียร การปฏิบัติต้องมีความขยัน ความพากเพียรในการกาหนดสติให้ ต่อเนื่อง ปัญญาที่นาไปสู่ มรรคผลจึงจะเกิดขึ้นได้ เพราะปัญ ญาเกิดขึ้ นได้ เพราะความเพียร เสื่อมไปเพราะความไม่พากเพียร ดังพุทธพจน์ที่ว่า โยคา เว ชายเต ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย เอต เทฺวธาปถ ตฺวา ภวาย วิภวาย จ ตถตฺตาน นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ ปัญญาย่อมเกิดขึ้นเพราะประกอบความเพียร เสื่อมสิ้นไปก็เพราะ ไม่ประกอบความพียร รู้ทางทั้งสองของความเกิด ความเสื่อมแห่งปัญญาแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ด้วยประการใด ก็พึงตั้งตนไว้ด้วยประการนั้นดังนี้๓๑๕ ความเพียร หมายถึง ความก้าวไปข้างหน้า ความดาเนินไป ความ บากบั่น ความพยายาม ความอุตสาหะ ความหมั่น ความออกแรง ความไม่ ถอยหลัง ความทรงไว้ ความไม่ย่อหย่อน ความไม่ทอดทิ้ง ฉันทะ ความไม่ ทอดทิ้งธุระ ความประคอง ธุระไว้วิริยะ วิริยินทรีย์ วิริยพละ สัมมาวายามะ ที่เป็นไปทางจิต ความเพีย ร หมายถึ ง ความบากบั่ น ความพยายามทากิจไม่ ท้อถอย ความขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้ มแข็ง อดทน เอาธุระ กาลังความเพียร (Power of energy or diligence) ความเพียร ระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ความเพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ความเพียรเจริญทากุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นความเพียรรักษากุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อมไป และให้เพิ่มขึ้น ๓๑๖ T ๓๑๕ ๓๑๖ ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๐/๕๒, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๗๖/๑๑๗. ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๐๖/๑๙๘, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๖/๒๗๗. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๕ อรรถกถาสัพพาสงสังวรสูตรกล่าวว่า๓๑๗ ความเพียรเป็นสภาวะที่ แกล้วกล้า มีความประคับประคองจิตเป็นลักษณะ มีการอุปถัมภ์จิตเป็นกิจ มี ความไม่ ท้อ แท้ แห่ ง จิต เป็ นเครื่ องปรากฏมีค วามเพีย รเป็ นคุ ณสมบั ติห รื อ อาการอย่างหนึ่งของจิตเป็นคุณสมบัติที่เป็นกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว ความเพียร ๒ ประการ ในคัมภีร์อรรถกถารูปาทิวรรคได้กล่าวถึงความเพียร ๒ ประการ คือ ๑. ความเพียรทางกาย ได้แก่ ความเพียรทางกายของภิกษุผู้ชาระ จิต จากนิ ว รณ์ ด้ ว ยการเดิ น ด้ ว ยการนั่ ง ตลอดวั น กลางคื น พั ก ๔ ชั่ ว โมง ในมัชฌิมยาม (สี่ทุ่มถึงตีสอง) ๒. ความเพียรทางจิต เมื่อภิกษุผู้พากเพียรอยู่พึงผูกใจว่า เราจัก ไม่ออกไปจากที่เร้นนี้ หรือเราจักไม่เลิกขัดสมาธินี้ ตราบเท่าที่จิตของเรายัง ไม่หลุดพ้น จากอาสวะ ย่อมถึงพร้อมด้วยความเพียรทางกายและทางจิต ความเพียร ๓ ประการ๓๑๘ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “อะไรเล่าที่เป็นอาหารทาความเพียรที่ ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น แล้วให้เจริญเต็มที่ คือ ความริเริ่ม ความพากเพียร ความ บากบั่นมีอยู่ หรือทาวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญเต็มที่ ๑. อารพฺภธาตุ ได้แก่ ความเพียรครั้งแรกเริ่มที่จะปฏิบัติ ๒. นิกฺขมธาตุ ได้แก่ ความเพียรที่มีกาลังกว่านั้น เพราะสามารถ ออกจากความเกียจคร้าน ออกจากกิเลสนิวรณ์ได้ ๓. ปรกฺกมธาตุ ได้แก่ ความเพียรที่มีกาลังกว่านั้น เพราะเป็นเหตุ ให้สติปัญญาพัฒนาก้าวไปข้างหน้าเรื่อยไป ๓๑๗ ม.มู.อ. (ไทย) ๑๒/๑๐/๑. พระครูพิศิษ ฏ์ชัยโชติ (ส ารวย โชติวโร), ศึกษาวิริยะในการปฏิบัติ วิปัสสนาภาวนา, พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, มจร. บาลีศึกษาพุทธโฆส, หน้า ๒๖. ๓๑๘ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๖ ผู้ ป ฏิ บั ติ ธ รรมจะต้ อ งมนสิ ก ารความเพี ย รในธาตุ ทั้ ง ๓ นี้ ใ ห้ สม่ าเสมอ ให้ เ หมื อ นกั บ อาหาร และลมหายใจที่ ร่ า งกายขาดไม่ ไ ด้ เพื่ อ อุดหนุนธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นและเพื่อความไพบูลย์ของความเพียรด้วย ปธานสูตรกล่าวถึงความเพียร ๔ ประการ๓๑๙ ๑. สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้น ๒. ปหานปธาน เพียรละอกุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป ๓. ภาวนาปธาน เพียรให้กุศลธรรมเกิดและเจริญยิ่งขึ้น ๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม สังวรปธาน สังวรปธาน เพียรระวังอกุศลใหม่ที่ยังไม่เกิดอย่าให้เกิดขึ้น ในมหา สติปัฏฐานสูตร ที่ว่าด้วย สมุทยสัจจะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ า สิ่งใดเป็น ที่รกั ที่พอใจในโลก กิเลสจะอาศัยสิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งใดเล่าเป็นที่รักที่พอใจในโลก สิ่งนั้นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ที่เกิดกับใจนั่นเอง กิเลสจึง อาศัยอายตนะทั้ง ๑๒ เกิดขึ้น ดังพระบาลีว่า๓๒๐ กิญฺจิ โลเก ปิยะรูปํ สาตรูปํ จกฺขุ วา โสต วา ฆาน วา ชิวหา วา กาโย วา มโน วา, โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ เอตเถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมา นา อุปฺปชฺชติ เอตถ นิวีสมานา นิวีสติ รูปา วา สทฺทา วา คนฺธา วา รสา วา โผฏฺ พฺพา วา ธมฺมา วา, โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ เอตเถสา ตณฺหา อุปฺปชฺ ชมานา อุปฺปชฺชติ เอตถะ นิวีสมานา นิวีสติ ๓๑๙ ๓๒๐ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๖๙/๙๖., ๑๔/๒๐, ๑๓/๑๙. พระโสภมหาเถระ, มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน, หน้า ๓๙๖ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๗ อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลกตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่รัก ที่เจริญใจในโลก ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในที่นี้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นที่รักที่เจริ ญใจใน โลก ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้ เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ เนื่องจากตาของเราสอดส่ายหาอารมณ์ตลอดเวลาเหมือนการเลื้อย ไปของงูเ พราะส่า ยไปส่ายมาอยู่ตลอด หู ชอบฟั ง เสียงเย็นๆ เสีย งไพเราะ เหมือนจระเข้ที่ชอบอยู่ในน้าเย็น จมูกจับกลิ่นได้แม่นยาและรวดเร็วเหมือน เหยี่ยวที่โฉบเหยื่อไม่มีพลาด ลิ้นชอบรสชาดเหมือนสุนัขบ้าน (น้าลายไหล) กายเหมือนสุนัขจิ้ง จอกเพราะชอบความอบอุ่นของร่างกาย ใจเหมือนลิ ง เพราะไม่เคยอยู่นิ่ง อายตนะภายในจึงออกไปภายนอกกายเพื่อไปหาอาหารของตนๆ คือรูปสวย กลิ่นหอม รสอร่อย เสียงที่ไพเราะ สัมผัสที่ถูกใจ และการรับรู้ ดัง นั้นกิเลสใหม่ที่ยังไม่เกิดจึ งเกิดขึ้น เช่น เมื่อเห็นรูปสวย เป็นต้น จึง เกิด ความยินดีพอใจ เพลิดเพลินในการเห็น จึงเกิดยึดติด เกิดการแสวงหาให้ได้ เห็นอย่างนั้น อีก ความโลภจึงอาศัยรูปเกิดขึ้น หรือในทางตรงกันข้าม หาก เห็นรูปแล้ว มีความไม่พอใจเกิดขึ้น จึงไม่ยินดีในการเห็น ไม่ชอบ ไม่พอใจ และไม่ อยากจะเห็ น ต่อ เมื่ อ ยัง เห็น อยู่จึ ง ทาให้กิ เ ลสคื อความโกรธอาศั ย เกิดขึ้น หรือเว้นทั้งสองอย่างคือ เมื่อเห็นรูปแล้วเห็น เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็ น ต้ น กิ เ ลส คื อ ความหลงจึ ง อาศั ย เกิ ด ขึ้ น ได้ เพราะเห็ น เป็ น บัญญัติ เป็นสมมุติ เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติจะต้องระวังกิเลสเหล่านี้ที่ยังไม่เกิด มิให้ เกิดขึ้นโดยการสารวมระวังอินทรีย์ด้วยสติ เกิดที่ไหนกาหนดที่นั่น เช่น เกิด ที่ตาคือการเห็นรูป เมื่อเห็น ให้กาหนดว่าเห็นหนอ ฯลฯ กิเลสคือความโลภ โกรธ หลง ก็อาศัยเกิดไม่ได้เพราะเราใช้สติเข้าไปตัด การเห็นจึงเป็นเพียงสัก แต่ว่าเห็นลางๆ เท่านั้น กิเลสใหม่ที่ยังไม่เกิดก็จักไม่เกิดขึ้น แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๘ ปหานปธาน ปหานปธาน เพียรละอกุ ศลเก่า อกุศลเก่า คือ โลภ โกรธ หลง ความโลภเกิดขึ้นได้ในขณะปฏิบัติธรรม เช่น ในเวลายืนก็อยากเดิน เวลาเดิน ก็อยากนั่ง พอนั่งก็อยากนอน ตอนนี้ฟังธรรมก็อยากปฏิบัติ พอปฏิบัติก็อยาก ฟั ง ธรรม ฉะนั้ น เมื่ อ รู้ สึ ก ถึ ง ความโลภ ให้ ก าหนดว่ า โลภหนอๆๆ หรื อ อยากหนอๆๆ เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ กลับรู้สึกโกรธขึ้นมาแทนความ โลภหรือความอยาก ให้กาหนดว่า โกรธหนอๆๆ โดยเฉพาะกิ เ ลสที่ เ รีย กว่ าความหลง คื อ หลงกาย หลงใจ หลง ปล่อยจิตใจออกทางอายตนะ นักปฏิบัติธรรมต้องพยายามกาหนดให้เยอะ เพราะเมื่อมีความหลงเกิดขึ้น จักทาให้ความโลภและความโกรธเกิดขึ้นด้วย ดั ง นั้ น นั ก ปฏิ บั ติ ต้ อ งพยายามก าหนดให้ ทั น ความรู้ สึ ก ที่ ก าลั ง เกิดขึ้น โดยกาหนดระลึกรู้สึกตัวที่กายของตน เช่น ในขณะยืน กาหนดว่า ยืนหนอๆๆ ขณะเดิน กาหนดว่า ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ฯลฯ เพื่อละ ความหลงกาย คื อ หลงว่ า เรายื น เราเดิน เรานั่ ง เป็น ต้ น (ในความรู้ สึ ก ภายในย่อมรู้สึกว่ากายเป็นเรา เราเป็นกาย กายเป็นของเรา เราเป็นเจ้าของ กาย) เพราะแท้ที่จริงมีพียงรูปนามเท่านั้น เมื่อพยายามกาหนดความเห็นที่มี เรายื น เราเดิ น เรานั่ ง ฯลฯ จะค่ อ ยๆ หมดไปจากความรู้ สึ ก ดั ง นั้ น การกาหนดสติระลึกรู้สึกตัวอยู่อย่างนี้ จึง เป็นการสารวมระวังกิเลสใหม่ ที่ยัง ไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้นด้วย เรียกว่า ปหานปธาน ภาวนาปธาน ภาวนาปธาน เพียรเจริญกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น อธิบายว่า กุศลในที่นคี้ ือสติ เพราะสติในพระอภิธรรมท่านกล่าวว่าเป็นมหากุศลเจตสิก สติจะเกิดขึ้นได้โดยพยายามตามกาหนดรู้ตามฐานทั้ง ๔ หรือเรียกสติปัฏฐาน ๔ กาหนดทั้งการยืน การเดิน การนั่ง การนอน ฯลฯ จนจิตสามารถจดจา สภาพธรรมนั้ นๆ ได้ สติ จึงจะเกิ ดขึ้ น เพราะอาศั ยการจดจาสภาวธรรมที่ กาหนดรู้นั้นอยู่บ่อยๆ กุศลใหม่คือสติที่ยังไม่เกิดจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๖๙ อนุรักขณาปธาน อนุรัก ขณาปธาน เพียรรักษากุศลให้เจริญ ยิ่ง ขึ้นไป เมื่อจิตมีสติ เกิ ด ขึ้ น ต้ อ งพยายามก าหนดรู้ ใ ห้ ต่ อ เนื่ อ งกั น ไปตั้ ง แต่ ตื่ นกระทั่ ง หลั บ ไป กาหนดให้ต่อเนื่องตั้งแต่ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต และฐานธรรม มิให้ ขาดจากการกาหนดแม้แต่วินาทีเดียว เรียกว่าเป็นการรักษากุศลใหม่คือสติที่ เกิ ด ขึ้ น แล้ ว ท าให้ เ จริ ญพั ฒ นายิ่ ง ๆ ขึ้ น ไป เพราะเมื่ อ มี ส ติแ ละพยายาม รักษาการกาหนดให้ต่อเนื่อง สติจะเป็น เหตุให้เกิดปัญ ญา (วิปัสสนาญาณ) จนนาไปสู่การตรัสรู้ได้ในที่สุดนั่นเอง ผู้ปฏิบัติธรรมจึงควรพยายาม ขยัน พากเพียรในการกาหนดสติ ระลึกอารมณ์ต่างๆ ทั้งทางกาย ทางเวทนา ทางจิต และทางธรรมอย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง เมื่อมีความเพียรอยู่อย่างนี้ จะทาให้สติพัฒนาปัญญาไปตามลาดับ ถึงแม้จะยังไม่เห็นฝั่งคือพระนิพพาน แต่ตราบใดที่ยังมีความเพียรกาหนดสติ อยู่ สักวันจักคงต้องถึงฝั่งพระนิพพานอย่างแน่นอน เหมือนพระมหาชนก พระมหาชนก๓๒๑ ครั้นเมื่อเรือจมลง เหล่าพ่อค้ากลาสี เรือทั้งปวงก็จมน้า กลายเป็น อาหารของสัตว์น้าไปหมด แต่พระมหาชนกทรงมีกาลั งจากอาหารที่เสวย มี ผ้าชุบน้ามันช่วยไล่สัตว์น้าและช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้าได้ดี จึงทรงแหวกว่าย อยู่ในทะเลได้นานถึง ๗ วัน ฝ่ายนางมณีเมขลาเทพธิดาผู้รักษามหาสมุทร เห็นพระมหาชนกว่ายน้าอยู่เช่นนั้น จึงลองพระทัย พระมหาชนก "ใครหนอ ว่ า ยน้ าอยู่ ไ ด้ ถึ ง ๗ วั น ทั้ ง ๆ ที่ ม องไม่ เ ห็ น ฝั่ ง จะทนว่ า ยไปท าไมกั น " พระมหาชนกทรงตอบว่า "ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึง ฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง" ๓๒๑ ขุ.ชา.(บาลี) ๒๘/๔๔๒-๔๔๘/๑๖๕, ขุ.ชา.(ไทย) ๒๘/๑๒๓-๑๓๑/๒๐๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๐ นางมณี เ มขลากล่ า วว่ า "มหาสมุ ท รนี้ ก ว้ า งใหญ่ นั ก ท่ า นจะ พยายามว่ ายสั ก เท่า ไรก็ คงไม่ ถึงฝั่ ง ท่า นคงจะตายเสี ยก่อ นเป็ น แน่" พระ มหาชนกตรัสตอบว่า "คนที่ทาความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะกาลัง ทาความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาตาหนิติเตียนได้ เพราะได้ทาหน้าที่ เต็มกาลังแล้ว "นางมณีเมขลาถามต่อว่า "การทาความพยายามโดยมองไม่เห็น ทางบรรลุ เป้าหมายนั้น มีแต่ความยากลาบากอาจถึงตายได้ จะต้องเพียร พยายามไปทาไมกัน" พระมหาชนกตรัสตอบว่า "แม้จะรู้ว่าสิ่ง ที่เรา กาลัง กระทานั้นอาจไม่สาเร็จก็ตาม ถ้าไม่เพียรพยายามแต่กลับหมดมานะเสียแต่ ต้นมื อ ย่อ มได้ รับ ผลร้ายของความเกี ยจคร้า นอย่า งแน่ นอน ย่อมไม่ มี วั น บรรลุถึง เป้าหมายที่ต้องการ บุคคลควรตั้งความเพียรพยายาม แม้การนั้น อาจไม่สาเร็จก็ตาม เพราะเรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ เราจึงยัง มี ชีวิตอยู่ได้ในทะเลนี้ เมื่อคนอื่นได้ตายกันไปหมดแล้ว เราจะพยายามสุดกาลัง เพื่อไปให้ถึงฝั่ง ให้จงได้" นางมณีเมขลาได้ยิน ดังนั้น ก็สรรเสริญ ความเพียร ของมหาชนกกุมาร และช่วยอุ้มพามหาชนกกุมาร ไปจนถึงฝั่ง เหตุที่ทาให้เกิดความเพียร ให้นักปฏิบัติธรรมระลึกนึกถึง พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระศาสดาก็ ทรงบาเพ็ญเพียรอย่างยิ่งยวดเริ่มจากทรงกระทาทุกกรกิริยาจนถึงเปลี่ ยนมา เป็น การบาเพ็ญ เพีย รทางจิ ตใจ ด้ วยความเพี ยรอั นประกอบด้ วยองค์ ๔ ทรงเริ่มตั้ง ความเพียรว่า “หนัง เอ็นและกระดูก จงเหลืออยู่ เนื้อเลือดใน ร่างกายของเราจงเหือดแห้งไปก็ตามที่ ยังไม่บรรลุผลที่จะพึง บรรลุด้วย เรี่ยวแรง ความเพียร ความบากบั่นของบุรุษ จักไม่หยุดความเพียร”๓๒๒ ๓๒๒ ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๒๒/๒๘-๒๙, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒๒/๓๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๑ นอกจากนี้ นักปฏิบัติธรรมยังทาความเพียรให้เกิดขึ้นได้ด้วย ดังนี้ ๑. ให้นักปฏิบัติธรรมคิดว่าถ้าไม่รีบทาความดีเสียในวันนี้ พรุ่ง นี้ เราอาจจะตาย เลยหมดโอกาสทาความดีก็ได้ ๒. เราจะสามารถบรรลุ มรรคผลได้ ก็ต่ อ เมื่ อ ลงมือ ปฏิบั ติ อย่ า ง จริงจัง ถ้ามัวนอนอยู่มรรคผลจะบรรลุไม่ได้ ๓. เราจะเดิ น ไปตามทางที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า พระสาวก พระเจ้ า จักรพรรดิ มหาเศรษฐี หรือบุคคล ผู้ประสบความสาเร็จอื่นๆ ได้เสด็จดาเนิน และเดินไปแล้ว แต่ทางนั้นคนเกียจคร้านไม่อาจจะเดินไปได้ ๔. ถ้าเรามัวเกียจคร้าน ดีแต่ เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน เย็น จาวัตร ไม่อายผู้ปฏิบัติท่านอื่นบ้างหรือ ๕. ถ้าเรามัวเกียจคร้าน ก็ไม่อาจรักษามรดกธรรมที่ตกทอดมาจาก พระบรมศาสดาไว้ได้ ตายแล้วจะไปพบหน้าท่านได้อย่างไร ๖. เราบวชเข้ามาเป็นพระพระโยคาวจร เป็นโยคี เป็นผู้ปฏิบัติ ธรรมถ้ามัวเกียจคร้านอยู่ จะสมควรหรือ ๗. เขาก็คนเราก็คนเมื่อเขาปฏิบัติได้เราก็ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างเขา ๘. ให้ระลึกนึกถึงความกลัว เช่น กลัวจะต้องตกอบายภูมิ และถูก ลงโทษจากนายนิรยบาล๓๒๓ กลัวการเวียนว่ายตายเกิด กลัวความทุกข์ต่างๆ สรุปเหตุเกิดความเพียรมีมาก แต่สรุป ให้เหลือเพียงประการเดียว คือเห็นประโยชน์ที่เกิดจากความเพียร หรือเห็นโทษของความเกียจคร้าน อานุภาพความเพียร พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรม อื่นแม้อย่างหนึ่งที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่ เกิดขึ้น อกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ๓๒๓ ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๔๗๕/๓๑๕, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๕๐/๒๙๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๒ แล้วเสื่อมไปเหมือนการปรารภความเพียร เมื่อบุคคลเป็นผู้ปรารภความเพียร กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไป” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเพราะชี้แจงถึงเหตุภายใน เราย่อมไม่เล็งเห็น เหตุอื่นแม้อย่างหนึ่งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์อย่ างใหญ่ เหมือนการปรารภ ความเพียร การปรารภความเพียรย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่” พระพุทธดารัสนี้แสดงให้เห็นถึงอานุภาพความเพียร หลักเรื่อ ง ความเพียรเป็น ลักษณะสาคัญอย่างหนึ่งของพุทธศาสนา คาสอนใดเป็นไป เพื่ อ ความเกี ย จคร้ า น ค าสอนนั้ น ไม่ใ ช่ พ ระพุ ท ธศาสนา ความเพี ย รเป็ น องค์ประกอบในหมวดธรรมะที่สาคัญต่างๆ มากมาย เช่น อิทธิบาท (ธรรมที่ ทาให้สาเร็จความประสงค์) โพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้เป็นต้น) ภิกษุผู้ทาความเพียรมี ๔ ประเภท๓๒๔ ท่านกล่าวว่า“ภิกษุผู้ทาความเพียร มี ๔ ประเภท คือประเภทที่ ๑ “นาไปไม่ น ากลั บ ” ประเภทที่ ๒ คื อ “น ากลั บ ไม่ น าไป” ประเภทที่ ๓ “นาไปด้วยนากลับด้วย” และประเภทที่ ๔ คือ “ไม่นากลับและไม่นาไป” ๑. นาไปไม่นากลับ เมื่อเริ่มปฏิบัติตั้งใจเพียรเจริญสติหรือตั้งใจ กาหนดอารมณ์ กรรมฐานอย่างเต็มที่ พอถึงเวลาเลิกปฏิบัติออกจากศาลา ปฏิบัติธรรม กลับปล่ อยจิตใจจากการกาหนดอารมณ์ กรรมฐาน ขาดการ เจริญสติกากับ บางครั้งอยากรีบไปพักผ่อน จึงรีบร้อนเดินไปในสถานที่พัก อาศัย ขาดการกาหนดความเพียรในการเจริญสติอย่างต่อเนื่อง จากข้อความดังกล่าว อธิบายได้ว่า เมื่อนักปฏิบัติธรรมตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นมา เดินเข้ามากาหนดสติอยู่เสมอ พยายามกาหนดอยู่อย่างต่อเนื่อง “ขวาย่ า งหนอ” “ซ้ ายย่ า งหนอ” เรื่ อ ยไป พอเดิ น เข้ ามาปฏิ บั ติ ใ นศาลา อาคารปฏิบัติธรรม มานั่งนิ่งแล้วตั้งใจกาหนดเรื่อยไป “นั่งหนอ” “ถูกหนอ” “พองหนอ” “ยุบหนอ” แต่พอหมดเวลา กราบพระเสร็จ เดินกลับไปในที่พัก ๓๒๔ ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/๔๑๖ – ๔๒๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๓ หรื อ ในห้ อ งอาหารก็ ดี เลิ ก ก าหนดสติ เ สี ย ทิ้ ง กรรมฐาน ไม่ ก าหนดแล้ ว เพราะ ลืมตัวไป ไม่กาหนดให้ต่อเนื่อง พอพักหรือทากิจเสร็จ เพื่ อนชวนคุย ก็คุยกับเพื่อนเรื่อยไป อย่างนี้คือเรียกว่า “นาไปไม่นากลับ” ๒.นากลับไม่นาไป เพราะความรีบร้อน กระวนวาย เพราะกลัว ไม่ทันกับเวลา เช่น รีบไปให้ทันเวลาปฏิบัติ ทาวัตรสวดมนต์ เวลากินข้าว แต่เมื่อไปถึง สถานที่นั้น ๆ แล้ว ก็ยังไม่กาหนด แต่เมื่อถึง คราวหมดเวลา ปฏิ บั ติ จึ ง ได้ พ ยายามเจริ ญ สติ ก รรมฐาน โดยการเดิ น การขยั บ เขยื้ อ น เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ จากข้อความดังกล่าว อธิบายได้ว่า เวลามาปฏิบัติในศาลาอาคาร ปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยได้ปฏิบัติเท่าไหร่ แต่เวลาจะเดินไปรับประทานอาหาร หรือเห็นผู้คนเยอะก็เริ่มปฏิบัติ หรือ จะกลับที่พัก เริ่มมีความเพียรในการ กาหนด “ขวาย่างหนอ”“ซ้ายย่างหนอ” เรียกว่า“นากลับไม่นาไป” ๓.นาไปด้วยนากลับด้วย มีศรัทธาในการประพฤติปฏิบัติหวัง เพื่อต้องการพ้นทุกข์ให้เกิดสุขคือมรรคผลพระนิพพานจึงตั้งใจใช้ความเพียร ในการเจริญสติอย่างต่อเนื่องในทุกๆ อิริยาบถ จะยืน จะนั่ง จะนอน จะเดิน จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็กาหนดอยู่ตลอดเวลา กิเลสเกิดขึ้นตอนใดก็รู้และ หยุดกาหนด ดังภิกษุรูปหนึ่งบวชได้ ๑๙ พรรษา พยายามเดินจงกรมกลับไป กลับมาอยู่ใกล้ๆ ทุ่งนา พวกชาวนากาลังพากันทานาอยู่ แลเห็นท่านเดิน เกิดความสงสัยว่า ท่านลืมของหรือหลงทางหนอ ทาไมจึงเดินกลับไปกลับมา อยู่อย่างนี้ ส่วนท่านเองมิได้สนใจอะไรเลย มุ่งหน้าแต่ทากรรมฐานอย่างเดียว ท่านตั้งอกตั้งใจทาความเพียรจริงๆ ในไม่ช้าก็ได้บรรลุอรหัตตผล จากข้อความดังกล่าว อธิบายได้ว่า นักปฏิบัติที่ตั้งใจและพยายาม เจริญสติอยู่เสมอไม่สนใจใครๆ เลยเรียกว่ากาหนดตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่ง หลับไป ผู้ปฏิบัติประเภทนี้มีอยู่ ในกลุ่มของผู้ปฏิบัติธรรมนี่ ถ้า สังเกตดีๆ ก็จะเห็นได้ บุคคลนั้นจะไม่สนใจใครเลย นอกจากการกาหนดสติ อย่ า งเดี ย ว จะเดิ น จะนั่ ง จะขบ จะฉั น จะท าอะไร จะก าหนดสติ อ ยู่ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๔ ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นกาลังใจให้เราได้ ถ้าเราไปปฏิบัติให้ดูเพื่อนที่ขยันในการ ปฏิบัติ เราจะสามารถยังตนให้เป็นผู้มีความขยันกาหดนตลอดเงลาได้เช่นกัน ๔.ไม่นาไปไม่นากลับ ทอดทิ้งการเจริญสติกรรมฐาน ลืมไปว่า ตนเองเป็ น ผู้ ป ฏิ บั ติ ลื ม หน้ า ที่ ข องตนเองว่ า มี ห น้ า ที่ ใ นการก าหนดสติ ประกอบอยู่ความลังเลสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรมคาสอนที่ทาให้พ้น ทุกข์ ในแนวทางแห่งการปฏิบัติ ประกอบด้วยความไม่พอใจในการปฏิบัติ จากข้อความดังกล่าว อธิบายได้ว่า นักปฏิบัติที่ไม่มีศรัทธาในการ ประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังจึงไม่ได้กาหนดสติเลย ไม่มี กรรมฐานเลย ไม่เอา เลย ขาดการกาหนดตั้งแต่เริ่ม พอถึงเวลาปฏิบัติหลบหลีกหนีไปที่นั้นบ้างไป ที่นี้ บ้ าง เข้า ห้ องน้ าบ่อ ยๆ บ้ า ง แอบไปคุ ย สนทนากั บ พวกเดีย วกัน บ้ า ง พอพักหรือทากิจเสร็จแล้ว ก็ชวนเพื่อนคุย คุยกับเพื่อนเรื่อยไป คุยแต่เรื่องที่ ทาให้ติดอยู่ คือ เรื่องภายนอก เรื่องทั่วๆ ไป อย่างนี้คือเรียกว่า “ไม่นาไป ไม่นากลับ ” บุคคลเป็นประเภทนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นผู้ว่างเปล่า จากมรรคผล ฉะนั้น การที่บรรลุมรรคผลได้ช้าหรือไว อยู่ที่ความเพียรของเรา ถ้ามีความเพียรมาก กาหนดได้ต่อเนื่องไม่ยิ่งหย่อนอาจบรรลุธรรมได้ภายใน ๗ วัน เพียรปานกลางอาจเป็น ๗ เดือน เพียรน้อยอาจเป็น ๗ ปี เพียรบ้าง อาจจะ ๗ ชาติหรือ ๗ กัป หรือ ๗ อสงไขยก็อาจจะได้พ้นทุกข์ได้จากความ เพียร ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “วิริเยน ทุกขมจฺเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ ได้เพราะความเพียร” แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๕ ภาวนาต่อเนื่อง ผู้หวั ง ความพ้ นทุก ข์ เข้ าสู่ มรรคผล พระนิ พพานในชาติ นี้ พึง มี ความเพียรในกาหนดอารมณ์ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง ให้เป็นแบบ สาตจฺจกิริยา วเสน๓๒๕ หมายความว่า จักต้องพยายามกาหนดระลึกรู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่น นอนจนกระทั่งหลับไป ดังพุทธพจน์ว่า สตฺติยา วิย โอมฏฺโ ฑยฺหมาเนว มตฺถเก สกฺกายทิฏฺ ปฺปหานาย สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเชติ ฯ๓๒๖ ภิ ก ษุ ผู้ เ ห็ น ภั ย ในวั ฏ ฏสงสาร พึ ง มี ส ติ ก าหนดตลอดเวลา เพื่ อ ประหาณสักกายทิฏฐิให้จงได้ เสมือนบุคคลถูกแทงด้วยหอก แล้วรีบหาทาง ถอนหอกนั้นออกจากอกให้ได้เร็วที่สุด หรือ เสมือนบุคคลถูกไฟไหม้อยู่บน ศีรษะ แล้วรีบหาทางดับไฟให้ได้โดยเร็วที่สุด ฉะนั้น๓๒๗ ภาวนาไปเถิดจะเกิดผล (นาวาสูตร) นั ก ปฏิ บั ติ ธ รรมจึ ง ควรก าหนดสติ ร ะลึ ก รู้ ใ ห้ ต ลอดเวลาอย่ า ง ต่อเนือ่ ง ทั้งการก้าวไปถอยกลับ การเหลียวซ้าย การแลขวา การคู้เข้า การ เหยียดออก การใส่เสื้อผ้า การถือการจับสิ่งของ การกิน การดื่ม การเคี้ยว การถ่าย การยืน การเดิน การนั่ง การตื่น การนิ่ง การพูด แม้ตอนนอนก็ต้อง กาหนด ถ้าทาได้อย่างนี้จึงเรียกว่า กาหนดได้อย่างต่อเนื่อง ถึง แม้นักปฏิบัติ จะไม่คาดหวังว่าจะได้อะไรจากการปฏิบัติ จักพึงได้เอง ดังที่พระพุทธเจ้าทรง ตรัสไว้ในนาวาสูตรว่า๓๒๘ ๓๒๕ สาตจฺจกิริยาวเสน หมายถึง ถึงพร้อมด้วยกิริยาที่ต่อเนื่อง ส.ส. (บาลี) ๑๕/๕๗/๑๙, ส.ส. (ไทย) ๑๕/๒๑/๒๕. ๓๒๗ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ), วิปัสสนาชุนี, ห้างหุ้นส่วน ประยูร สาส์นไทย การพิมพ์, ๒๕๕๓, หน้า ๔๖๕. ๓๒๘ องฺ.สตฺตก. (บาลี) ๒๓/๗๑/๑๐๔, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๗๑/๑๕๘. ๓๒๖ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๖ “ดู ก รภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย เมื่ อ ภิ ก ษุ ประกอบภาวนานุ โ ยคอยู่ ถึ ง จะ ไม่เกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอจิตของเราพึงพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่นดังนี้ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น จิตย่อมพ้นอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่า เพราะเธออบรม เพราะอบรม อะไร เพราะอบรมสติปัฏฐาน ๔ เพราะอบรมสัมมัปปธาน ๔ เพราะอบรม อิ ท ธิ บ าท ๔ เพราะอบรมอิ น ทรี ย์ ๕ เพราะอบรมพละ ๕ เพราะอบรม โพชฌงค์ ๗ เพราะอบรมอริยมรรคมีองค์ ๘ ดู ก รภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ไข่ ไ ก่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรื อ ๑๒ ฟอง ไข่ เหล่านั้นอันแม่ไก่นอนทับด้วยดี กกด้วยดี ฟักด้วยดี แม่ไ ก่นั้นถึง จะไม่เกิด ความปรารถนาอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอลูกของเราพึง ทาลายเปลือกไข่ด้วย ปลายเล็บเท้าหรือด้วยจะงอยปากออกมาโดยสวัสดีดังนี้ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น ลูกไก่เหล่านั้นสามารถทาลายเปลือกไข่ด้วยปลายเล็บเท้าหรือด้วยจงอยปาก ออกมาโดยสวัสดี ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ทั้งนี้ เพราะไข่ไก่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟองนั้น อันแม่ไก่นอนทับด้วยดี กกด้วยดี ฟักด้วยดี แม้ฉันใด ดูกรภิก ษุทั้ งหลาย เมื่อ ภิกษุ ประกอบภาวนานุโ ยคอยู่ ก็ฉั นนั้ น เหมือนกันแล ถึงจะไม่เกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ขอจิตของ เราพึงพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้ ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น จิตของเธอ ย่อมพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ข้อนั้นพึงกล่าวได้ ว่า เพราะว่าเธออบรม เพราะอบรมอะไร เพราะอบรมสติปัฏฐาน ๔ เพราะ อบรมสัมมัปปธาน ๔ เพราะอบรม อิทธิบาท ๔ เพราะอบรมอินทรีย์ ๕ เพราะอบรมพละ ๕ เพราะอบรมโพชฌงค์ ๗ เพราะอบรมอริยมรรคองค์ ๘” อธิบายได้ว่า ภายในไข่ คือ อุปาทานขันธ์ ความยึดมั่นถือมั่นใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ผู้ปฏิบัติธรรมพึ งตามรู้ตามกาหนดใน ขันธ์ ทั้ง ๕ เหล่านี้ ด้วยการตามกาหนดรู้ รูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน ฯลฯ ว่า ยืนหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่ างหนอ นั่งหนอ พองหนอ ยุบหนอ ฯลฯ เพื่อคลายความยึดมั่นจากการยึดติดรูป เพราะเห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๗ บังคับบัญชาไม่ได้ของขันธ์ ๕ ที่มีความเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาที่กาหนดรู้ จิตจึงเกิดความเบื่อหน่ายด้วยปัญญาในการเข้าไปรู้ในสิ่งที่ไม่เที่ยง เมื่อเบื่อ หน่ายก็คลายกาหนัดคือความพอใจในรูป เมือ่ คลายกาหนัดก็หลุดพ้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความขยันในการกกไข่ คือ วิริยะ ความเพียรในการละกิเลสเก่า คือความโลภ โกรธ หลง ให้หมดไปด้วยความขยันในการกาหนด เมื่อจิต เกิดมีกิเลสเกิดขึ้น กาหนดว่า โลภหนอๆๆ โกรธหนอๆๆ เป็นต้น เพียรในการ ระวังกิเลสใหม่ คือความชอบใจหรื อความไม่ชอบใจที่เกิดจากการรับรู้ทาง อายตนะ ด้วยการกาหนดว่าเห็นหนอ เป็นต้น การสร้างกุศลใหม่ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น คือสติ ทาให้เกิดขึ้นได้ด้วย การกาหนดอารมณ์นั้นๆ อยู่บ่อยๆ สติจึงจักเกิดขึ้น เพียรรักษากุศลใหม่ให้ พัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป คือการรักษาการกาหนดรู้ให้ต่อเนื่องจนปัญญาเกิดขึ้น แม่ไก่ไม่ออกไปข้างนอกคือสารวมอินทรีย์ ระวังภัยที่จะเกิดขึ้น คือสติ นักปฏิบัติจึงต้องสารวมระวังด้วยสติตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าอารมณ์ใด เกิดขึ้นต้องกาหนดรู้ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้อารมณ์นั้นๆ ไหลเข้าสู่จิตใจ เปลือกไข่ คือ อวิชชา ความไม่รู้จักรูปนามตามความเป็นจริง คือ ไม่รู้ว่ารูปนามนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จึงยึดรูปนามนี้เป็นเรา เป็นตัว เรา เป็นของเรา มีเรายืน เราเดิน เรานั่ง เรานอน เราเห็น เราสุข เราทุกข์ นักปฏิบัติพึงกาหนดให้ต่อเนื่อง ย่อมสามารถทาลายสักกายทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิ ทาลายอัตตาตัวตนออกได้ทีละน้อยๆ นั่นเอง ยางเหนียว คือ ตัณหา ความทะยานอยากในกามคุณ ๕ ดังนี้คือ ๑.อยากได้รูป สวย อยากได้ กลิ่นหอม อยากได้รสอร่อย อยากได้ยินเสีย ง ไพเราะ อยากได้ สัมผัสที่ถูกใจ เรีย กว่า กามตั ณหา ๒.ความอยากมีบ้า น มีรถ มีทรัพย์สมบัติ เช่น อยากยืน อยากเดิน อยากนั่ง อยากนอน เรียกว่า ภวตัณหา ตรงกันข้าม ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เช่น ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน เรียกว่า วิภวตัณหา แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๘ ลูกไก่ คือ จิตผู้ปฏิบัติธรรม จิตที่ไม่ไ ด้ฝึกย่อมหลงอยู่ในตัณหา ทั้ง ๓ ติดอยู่ออกมาไม่ได้ จงอยปากและเล็บของลูกไก่ คือ สติปัญญา จะให้เล็บหรือจงอย ปากคมจะต้องพยายามหมั่นขยันลับ สติปัญญาเช่นเดียวกันต้องขยันหมั่น กาหนดให้ต่อเนื่องตามฐาน ๔ ความร้อนจากแม่ไก่ คือ สมาธิ เมื่อภาวนากาหนดรู้ตลอดเวลา ขณิ ก สมาธิ จั ก เกิ ด ขึ้ น ที ละขณะๆ ที่ ไ ด้ ก าหนดรู้ เช่ น พองหนอ ยุ บ หนอ ขณิกสมาธิจักเกิดขึ้น ผู้ ปฏิบัติธ รรมจึ งต้องมีความเพีย รพยายามกาหนดสติให้ต่ อเนื่อ ง ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับไป๓๒๙ ฉะนั้น นักปฏิบัติพึงกาหนดภาวนาให้ติดต่อ ต่อเนื่องตั้งแต่เริ่ม เป็นผูป้ ฏิบัติธรรมผู้ปฏิบัติธรรม มีหน้าที่ในการกาหนดตั้งแต่สภาวธรรมต่างๆ เกิดขึน้ จนดับไป ไม่ว่าเกิดอารมณ์ใดให้กาหนดอารมณ์นั้นๆ จนกว่าจะดับ ไปตามฐานทั้ ง ๔ พองหนอ ยุบ หนอ นั่ง หนอ ถู กหนอ ชาหนอ เจ็บ หนอ คิดหนอ นึกหนอ ฟุ้งหนอ พอใจหนอ ไม่พอใจหนอ เห็นหนอ ได้ยินหนอ กลิ่นหนอ ฯลฯ โดยไม่ขาดการกาหนดรู้ กิเลสลดเมื่อกาหนดต่อเนื่อง เมื่อนักปฏิบัติพยายามกาหนดให้ต่อเนื่อง กิเลสย่อมสิ้นไปทีล ะ น้อยๆ แต่เราไม่รู้หรอกว่าวันนี้กิเลสลดลงไปเท่าไร พรุ่งนี้จะลดไปอีกเท่าใด รู้แต่เพียงว่ากิเลสได้ลดลงไปเท่านั้น เหมือนด้ามมีดไม้ที่เราใช้ทาครัว เมื่อเรา ใช้งานบ่อยๆ ต่อเนื่อง เราย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่าด้ามมีดสึกไปเท่าไร พรุ่งนี้จะ สึกไปอีกเท่าใด รู้แต่เพียงว่าด้ามมีดสึกไปแล้ว ดังพระบรมศาสดาทรงตรัสว่า ๓๒๙ ภิกษุ เธอจงเป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่นอย่า งต่อเนื่อง ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๗๔/๕๕, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๗๔/๗๘, In this very life, p 41. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๗๙ “ดูกรภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือย่อมปรากฏ หรือรอยนิ้วหัวแม่มือ ย่อมที่ด้ามมีดของนายช่างไม้ หรือลูกมือของนายช่างไม้ แต่นายช่างไม้หรือ ลูกมือของนายช่างไม้นั้นหารู้ไม่ว่า วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปประมาณเท่านี้ วานนี้สึกไปประมาณเท่านี้ วันก่อนๆ สึกไปประมาณเท่านี้ นายช่า งไม้หรือ ลูกมือของนายช่างไม้นั้น มีความรู้แต่ว่าสึกไปแล้วโดยแท้แล แม้ฉันใด ดูกร ภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย เมื่ อ ภิ ก ษุ ป ระกอบภาวนานุ โ ยคอยู่ ห ารู้ ไ ม่ ว่ า วั น นี้ อ าสวะ ทั้ง หลายของเราสิ้นไปแล้วประมาณเท่า นี้ วานนี้สิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ หรือวันก่อนๆ สิ้นไปแล้ว ประมาณเท่านี้ก็จริง ถึงอย่างไรนั้น เมื่ออาสวะสิ้น ไปแล้ว เธอก็มีความรู้แต่ว่าสิ้นไปแล้วๆ ฉันนั้นเหมือนกันแล”๓๓๐ เพราะฉะนั้น ขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายพยายามกาหนดจอจ่อ ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นนอน กระทั่งหลับไป เมื่อปฏิบัติได้ดังนี้ มรรคผล นิพพาน ความพ้นทุกข์จักปรากฏได้ภายใน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ดังที่องค์สมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสอานิสงส์ไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดก็ตามเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึง หวัง ผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็จะเป็นพระอนาคามี ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางสายเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ ของเหล่าสั ตว์ เพื่อล่ วงความโศกและปริ เทวะ เพื่ อความดับ สูญ แห่ ง ทุก ข์ โทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพานหนทางสายนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ๓๓๐ องฺ.สตฺตก. (บาลี) ๒๓/๗๑/๑๐๔, องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๗๑/๑๕๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๐ องค์ธรรมแห่งการปฏิบตั ิ องค์ หมายถึง ลักษณะ คุณสมบัติ ส่วนประกอบของทั้งหมด ธรรม หมายถึง สภาพที่ทรงไว้ สภาวธรรม สัจจธรรม องค์ธรรมที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐาน จึงหมายถึง คุณสมบัติของ สภาวธรรม หรือส่วนประกอบของสภาวธรรมทั้งหมดที่เป็นสัจจธรรม ซึ่งจะ ใช้ในการกาหนด มี ๓ ประการด้วยกัน คือ อาตาปี สติมา สัมปชาโน ในมหาสติปัฏฐานสูตร ทั้งกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตา นุปัสสนาและธรรมานุปัสนาทุกหมวด พระพุทธองค์ตรัสสอนให้นักปฏิบัติ ใช้องค์ธรรมในการปฏิบัติคือ ความเพียร การมี สติ และการรู้สึกตัวอยู่เสมอ ดังพระบาลีว่า “อาตาปี สมฺปชาโน สติมา”๓๓๑ อาตาปี หมายถึง ความเพียรเพ่งเพื่อเผากิเลส ดัง ที่ปรากฏใน ปธานสูตร สังวรสูตร๓๓๓ มี ๔ ประการ คือ เพียรเพื่อละอกุศลเก่า เพียร เพื่อไม่ทาอกุศลใหม่ เพียรเพื่อทากุศลใหม่ และเพียรเพื่อเพิ่มพูนกุ ศลเก่า๓๓๔ พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวเสริมว่าความเพียรชื่อว่า อาตัปปะ เพราะเผา กิเลสทั้งหลายหรือยังกิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อนทั่ว๓๓๕ ๓๓๒ ดังนั้น เมื่อนักปฏิบัติพยายามใช้ความเพียรในการเจริญสติกาหนด จดจ่ออย่างต่อเนื่องในช่วงเริ่มต้นของการปฏิบัติ จักทาให้กิเลสในจิตใจเกิด ความเร่าร้อนขึ้นมา จากอนุสัยกิเลสแสดงผลขึ้นมาเป็นปริยุฏฐานกิเลส คือ ความหงุดหงิด ความราคาญ ความเบื่อ ความเซ็ง ความง่วง เป็นต้น ๓๓๑ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๒๗๓/๓๒๕, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๕/๑๐๑, ส.ม. (ไทย) ๑๙/๓๖๗/๒๑๐-๒๑๑. ๓๓๒ องฺ.จตุ. (ไทย) ๒๑/๑๓/๒๓-๒๔. ๓๓๓ องฺ.จตุ. (ไทย) ๒๑/๑๔/๒๔-๒๗. ๓๓๔ องฺ.จตุ. (ไทย) ๒๑/๑๔/๒๔-๒๗. ๓๓๕ ม.อุ.อ ๓/๒๑๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๑ นักปฏิบัติธรรมต้องพยายามกาหนดสติระลึกรู้ด้วยความอดทน และอดกลั้ น ไม่ ท าตามใจกิ เ ลสที่ เ กิ ด ขึ้ น ด้ ว ยการก าหนดว่ า หงุ ด หงิ ด หนอๆๆ ราคาญหนอๆๆ เบื่อหนอๆๆ เซ็งหนอๆๆ ง่วงหนอๆๆ เป็นต้น จนกว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะหายไปจากจิตใจ กิเลสนั้นจะค่อยๆ สงบลงไป สติมา หมายถึง การระลึกได้ นึกได้ สานึกอยู่ไม่เผลอ ไม่หลง คือ ระลึกได้ก่อนทา พูด คิด ก่อนขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่เผลอจากการระลึก รู้สึกตัวตลอดเวลา สัมปชาโน หมายถึง ความรู้สึกตัวอยู่เสมอ พระพุทธองค์ทรงตรัส การปฏิบตั ิแบบให้รู้สึกตัวอยู่เสมอว่า๓๓๖ อภิกกฺ นฺเต ปฏิกกฺ นฺเต สมฺปชานการี โหติ ภิกษุย่อมเป็นผู้ทาความเป็นผู้รู้ตัวทั่วพร้อมในการก้าวไปข้างหน้า และถอยกลับมาข้างหลัง อาโลกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ ย่อ มเป็ น ผู้ รู้สึ ก ตั ว ในการแลไปข้ า งหน้ า แลเหลี ย วไปข้ า งซ้ า ย ข้างขวา สมิญชฺ ิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้สึกตัวในการคู้อวัยวะเข้า เหยียดอวัยวะออก สงฺฆาฏิ ปตฺต จีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้สึกตัวในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และวีจร อสิเต ปิเต ขายิเต สายิเต สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้สึกตัวในการกิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม อุจจฺ ารปสฺสาว กมฺเม สมฺปชานการี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ๓๓๖ ม.มู. (บาลี) ๑๒/๑๓๔/๑๐๕, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๐๙/๑๐๕. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๒ คเต เต นิสินฺเน สุตฺเต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชาน การี โหติ ย่อมเป็นผู้ทาความรู้ สึกตัวในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และ ความเป็นผู้รู้ตัวในการนิ่งอยู่ ดั ง นั้ น เมื่ อ น าคุ ณ สมบั ติ ข องสภาวธรรมทั้ ง ๓ มารวมเข้ า เป็ น ส่วนประกอบของทั้งหมด (องค์) จะมี ความหมายว่า มี ความเพียรระลึ ก รูส้ ึกตัวอยู่เสมอ เรียกว่า องค์ธรรมแห่งการปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐาน นักปฏิบัติจาเป็นต้องใช้องค์ธรรมนี้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติเพื่อ นาตนไปสู่การรู้แจ้ง โดยการกาหนดกาย เวทนา จิต และธรรม ด้วยความ เพียรระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่ให้ขาดสายเหมือนสายน้าที่ไหลต่อเนื่ องกันไป ฉันใด การกาหนดสติของนักปฏิบัติก็ฉันนั้น จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความ เพียรกาหนดสติระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ กาหนดซ้าแล้วซ้าอีก ดังอุปมาต่อไปนี้ เปรียบเหมือ นบุรุษส่องกระจกที่มัว ๆ เงาย่อมปรากฏไม่ชัดเจน แต่บุรุษนั้นไม่ทิ้ง กระจกบานนั้น แต่กลับเช็ดถูกระจกนั้นซ้าแล้วซ้าเล่าจน กระจกนั้ นใสสะอาด เงาย่อมปรากฏชัดเจนขึ้นเองได้ฉัน ใด เมื่อ บุคคลไม่ สามารถกาหนดรูปนามได้อย่ างชัดเจนแต่ไม่ละเลิกความเพียร ไม่ทอดทิ้ง แต่ เ พี ยรก าหนดอย่า งจดจ่ อ ไม่ข าดสาย รูป กั บ นามย่ อมปรากฏขึ้ นอย่ า ง ชัดเจนฉันนั้น๓๓๗ เปรียบเหมือนผู้ที่มีความต้องการน้ามันงา จึงนางามาใส่ภาชนะ แล้วจึงเอาน้าประพรหมลงไปเล็กน้อย จากนั้นจึงบีบคั้นงานั้นเพียงครั้งสอง ครั้ง น้ามันงาก็ยังไม่ไหลออกมา แต่ผู้นั้นก็ไม่นางาไปทิ้ง แต่เอาน้าอุ่นประ พรหมลงไปแล้ ว บี บ คั้ น ซ้ าแล้ ว ซ้ าเล่ า จนน้ ามั น งาที่ ใ สไหลออกมาอย่ า ง พอเพียง๓๓๘ ๓๓๗ ๓๓๘ พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๙๕๓. อ้างแล้ว. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๓ เปรียบเหมือนมีผู้ที่ต้องการน้าที่ใสสะอาด จึงนาสารส้มไปแกว่งใน น้าเพียง ๒-๓ ครั้ง น้าก็ไม่อาจใสได้ แต่ผู้นั้นไม่ยอมทิ้งสารส้ม แต่กลับนาไป แกว่งในน้าซ้าแล้วซ้าอีกจนโคลนตมที่อยู่ในน้าตกตะกอนนอนก้น ทาให้น้าใส สะอาดขึ้นโดยอัตโนมัติ๓๓๙ จากข้อความอุปมาข้างต้น อธิบายได้ว่า เมื่อนั กปฏิบัติกาหนดสติ อย่างต่อเนื่องด้วยความเพียรระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอที่รูปกาย ในการยืน เดิน นั่ง นอน (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ได้ละเอียดดีแล้ว เวทนาที่เป็นส่วนของ รูปกับนามย่อมปรากฏขึ้น ให้ได้รับรู้ คือ ปวดกาย ทุกข์ใจ (เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน) เมื่อพยายามใช้องค์ธรรมกาหนดอย่างจดจ่อเนื่องต่อไป กิเลสใน จิตใจย่อมเร่าร้อนทนอยู่ไม่ได้ (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ย่อมคลายกิเลส ต่างๆ ออกมาให้รับรู้ แต่เมื่อ อดทนประกอบความเพียรในการระลึก รู้สึกตัว อย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง จิตใจจะละกิเลสต่างๆ ด้วยการเจริญ สติ เห็น สภาพที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (ธัม มานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ไม่ยึดติดอยู่กับสภาวธรรมใดๆ จิตใจของนักปฏิบัติ จะเริ่มสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา” เมื่อใดบุคคลเห็นด้ วยปัญญาว่า สังขารทั้ง หลายทั้ง ปวงไม่เที่ย ง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นั่นแหละเป็นทางแห่ง ความบริสุทธิ์ ๓๔๐ สรุป นักปฏิบัติต้องมีความเพียรระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ ตั้งแต่ตื่น นอนจนกระทั่งหลับไป โดยกาหนดสติระลึกรู้ สึกตัวอยู่เสมอในกิริยาอาการ ทุกๆ อย่าง ทุกๆ อารมณ์ ทุกๆ ความรู้สึก ทุกๆ เวลานาที ๓๓๙ ๓๔๐ พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, หน้า ๙๕๔. ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๐/๕๑ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒๗๗/๑๑๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๔ การส่งอารมณ์ การส่งอารมณ์ หมายถึง การนาเอาประสบการณ์อันเกิดจากการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ มาเล่าแก่ผู้มีหน้าที่รับฟัง (พระวิ ปั ส สนาจารย์ ) เพื่ อ ให้ ค าแนะน าที่ ดี แ ละวิ ธี ก ารปฏิ บั ติ ที่ ถู ก ต้ อ ง เหมาะสมตรงตามสภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ การสอบอารมณ์ หมายถึ ง การที่ บุ ค คลได้ รั บ การแต่ ง ตั้ ง จาก คณะกรรมการและพระสงฆ์ (พระวิ ปั สสนาจารย์ ) ว่ า มี คุ ณ สมบั ติ ที่ จะ ทาหน้าที่สอบอารมณ์ ให้คาแนะนาวินิจฉัยประเมินผลเพื่อเพิ่มหรือลดลาดับ ขั้นของการปฏิบัติ ให้ถูก ต้องและตรงกับสภาวธรรมที่ แท้จริ ง ของผู้ปฏิบั ติ วิปัสสนากรรมฐาน พระวิปัสสนาจารย์จึงต้องทาหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร ซึ่งหมายถึง บุคคลผู้เป็นอาจารย์ ในปกรณ์วิเสสวิสุท ธิมรรคกล่าวความสาคัญ ของการ แสวงหากัลยาณมิต รไว้ว่ า “ผู้เ จริญ กรรมฐานไม่ ว่าจะเป็นทางสมถะหรื อ วิปัสสนา ควรมีอาจารย์เป็นผู้แนะนาชี้ทางผิดและทางถูกให้ เพราะอาจารย์ก็ นับเป็นจานวน ๑ ใน ๓ ทีน่ ักปฏิบัติธรรมบุคคลจะละมิได้”๓๔๑ เหตุนี้จึงนับว่า อาจารย์เป็นบุคคลที่สาคัญยิ่ง เพราะกัลยาณมิตร เปรียบเหมือนกับคหบดีอันมั่งคั่งผู้ใหญ่กว่าพ่อค้าทั้งหลายและเป็นที่เคารพ ของคนทั่วไป เหมือนคนใจดีมีความกรุณา เหมือนบิดามารดาผู้เป็นที่รักยิ่ง ย่อมทาให้ผู้ปฏิบัติมุ่งมั่น เหมือนการล่ามโซ่ทาให้ช้างมุ่งงาน กัลยาณมิตรที่ บุคคลอาศัยแล้วทากุศลเปรียบได้กับ ควาญช้างฝึกช้างให้เดินถอยหลังและ เดินไปข้างหน้า เหมือนกับถนนหนทางที่ดี ซึ่งบุคคลสามารถที่จะเทียมวัวเข้า กับแอกขั บเกวีย นไปได้ เหมือนกับนายแพทย์สามารถรัก ษาโรคและขจั ด ๓๔๑ สิ่งที่โยคีบุคคลจะละมิได้ คือ ๑) อยู่ในสานักอาจารย์ผู้สามารถ ๒) รักษา อินทรีย์ให้สมบูรณ์ ๓) ผูกจิตไว้ในอารมณ์กัมมัฏฐาน” ส.ม. (บาลี) ๑๙/๓๗๓/๑๓๐, วิสุทฺธิมคฺ. (บาลี) ๑/๒๐. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๕ ความเจ็บป่วยออกไปได้ เหมือนสายฝนตกลงมาจากสวรรค์ ที่ทาให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างชุ่มชื้นได้ เหมือนมารดาถนอมบุตร เหมือนบิดาแนะนาบุตรของตน เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงแก่พระอานนท์ว่า “ความมีกัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์”๓๔๒ สมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสคุณสมบัติของกัลยาณมิตร ๗ ประการ ใน ทุติยมิตตสูตรว่า๓๔๓ “ภิกษุทั้งหลาย มิตรประกอบด้วยองค์ ๗ ประการ เป็น ผู้ควรเสพ ควรคบ ควรเข้าไป นั่งใกล้ แม้ถูกขับไล่ก็ตาม ๑. เป็นที่รักเป็นที่ พอใจ ๒. เป็นที่เคารพ ๓. เป็นที่ยกย่อง ๔. เป็นผู้กล่าวสอน ๕. เป็นผู้อดทน ต่อถ้อยคา ๖. เป็นผู้พูดถ้อยคาลึกซึ้งได้ ๗. ไม่ชักนาในอฐานะ” ผู้ที่จะเป็นอาจารย์ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นกัลยาณมิตรของผู้ปฏิบัติธรรม ต้องประกอบด้วยองค์ ๗ ประการ คือ ๑) ปิโย เป็ นที่รั กที่พ อใจ ( lovable; endearing ) เพราะมีศี ล บริสุทธิ์ มีลักษณะแห่งกัลยาณมิตร ๘ ประการ คือ (๑) มีศรัทธา คือ เชื่อการตรัสรู้ของพระตถาคต เชื่อกรรม และผลของกรรม (๒) มีศีล คือ เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ เป็นที่นับถือ (๓) มีสุตะ คือ กล่าวถ้อยคาที่ลึกซึ้งที่สัมปยุตด้วยสัจจะ และปฏิจจสมุปบาท (๔) มีจาคะ คือ แบ่งปัน ปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ (๕) มีความเพียร คือ ปรารภความเพียรในการปฏิบัติ เพื่อ เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น ๓๔๒ ๓๔๓ ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๒๙/๑๕๓-๑๕๔. องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๓๗/๕๗-๕๘. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๖ (๖) มีสติ คือ มีสติตั้งมั่น (๗) มีสมาธิ คือ มีจิตตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน (๘) มีปัญญา คือ รู้อย่างไม่ วิปริต ใช้สติพิจารณาคติแห่ ง กุศลธรรมและอกุศลธรรม รู้สิ่งที่เกื้อกูลและสิ่งที่ไม่เกื้อกูลแห่งสัตว์ ทั้ง หลายด้วยปัญญาตามความเป็นจริง มีจิตเป็นหนึ่ง ด้วยสมาธิ เว้นสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ประกอบสิ่งที่เกื้อกูลด้วยความเพียร ๒) ครุ เป็นที่เคารพ (estimable; respectable; venerable) เพราะ ประกอบด้วยคุณธรรม มีศีล สมาธิ และการถือธุดงค์ ๓) ภาวนีโย เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ (adorable; cultured; emulable)เพราะมีจิตใจเที่ยงธรรมไม่ลาเอียงในบรรดาศิษย์ ๔) วตฺตา จ เป็นผู้สามารถอบรมลูกศิษย์ให้ดีฉลาดในการใช้คาพูด (being a counsellor) ๕) วจนกฺข โม เป็นผู้ ยอมรับ คาตัก เตือ นได้ (being a patient listener) หมายถึงรับฟังคาตักเตือนท้วงติงจากผู้อื่นได้ ๖) คมฺภีรญฺจกถกตฺตา เป็นผู้พูดถ้อยคาลึกซึ้งได้ (able to deliver deep discourses or to treat profound subjects) เป็นผู้สามารถชี้แจงถ้อยคา และธรรมที่ สุ ขุ ม ลุ่ ม ลึ ก ในรู ป นาม ขั น ธ์ ๕ สั จ จะ ๔ ปฏิ จ จสมุ ป บาท ไตรลักษณ์ หมายถึง เรื่องเกี่ยวกับฌาน วิปัสสนา มรรค ผล และนิพพาน ๗) โน จฏฺ าเน นิโยชเย ไม่ชักนาในอฐานะ (never exhorting groundlessly; not leading or spurring on to a useless end)เป็นผู้ไม่แนะนา ในทางที่ไม่สมควร๓๔๔ หมายถึง ป้องกันไม่ให้ทาในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ มีคติ เป็นทุกข์ แต่ชักชวนให้ทาสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลมีคติเป็นสุข ๓๔๔ พระพุทธโฆสเถระ, คัมภีร์วิสุทธิมรรค, แปลโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ), หน้า ๑๖๑-๑๖๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๗ คุ ณ ๗ ประการดั ง ที่ ก ล่ า วมาแล้ ว นี้ ย่ อ มมี คุ ณ แก่ ต นและแก่ ผู้ปฏิบตั ิตลอดทั่วไปในพระพุทธศาสนา ฉะนั้น ถ้าหากว่าผู้ที่เป็นอาจารย์ขาด คุณ ๗ ประการนี้ไปเพียงประการใดประการหนึ่ง แล้ว จะเรียกว่าเป็นผู้ถึง พร้อมด้ว นกัลยาณมิตรที่แ ท้นั้นยัง ไม่ได้ โดยเหตุ นี้ผู้ที่เป็น อาจารย์ สมถะ วิปัสสนาของผู้ปฏิบัติทั้งหลายควรพยายามอบรม ตั้งตนไว้ให้สมบูรณ์ด้วยคุณ ทั้ง ๗ ประการนี้ เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรที่ถูก ที่แท้ พร้อมมูล โดย ประการทั้ง ปวง สาหรับผู้ที่ปฏิบัติสมถะ วิปัสสนาทั้งหลาย ก็ต้องแสวงหา อาจารย์ ที่ ป ระกอบด้ ว ยคุ ณ ธรรม ๗ ประการนี้ ด้ ว ยเช่ น กั น จึ ง จะได้ รั บ ประโยชน์จากการปฏิบัตินี้อย่างสมบูรณ์ได้ ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก การปฏิ บัติ ธรรมในช่ วงแรกการแนะน ามี ความจ าเป็นมากหาก นักปฏิบัตขิ าดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติอาจทาให้ไขว้เขวหลงทางแห่ง การปฏิบัติได้ บางท่านติดนิมิตอยู่นาน ไม่สามารถผ่านไปได้เพราะหลงนึกว่า เป็นมรรคผลนิพพาน บางท่านติดอยู่เพียงแค่สมถะ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ก็มี ฉะนั้ น จึ ง จ าเป็ น ต้ อ งมี กั ลยาณมิ ต รที่ ค อยช่ ว ยเหลื อ ให้ ค าแนะน าให้ เ ดิ น ทางเข้าสู่วิปัสสนาอย่างถูกต้องต่อไป พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่ากัลยาณมิตร เป็ น เหมื อ นทุ ก อย่ า ง แต่ เ มื่ อ ได้ รั บ ค าแนะน าแล้ ว ไม่ เ ชื่ อ ไม่ ป ฏิ บั ติ ต าม กัลยาณมิตรก็ช่วยไม่ได้ เพราะเป็นเพียงผู้บอกให้ ส่วนการปฏิบัติท่านต้อง ทากันเอง ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า ตุมฺเหหิ กิจฺจ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคโต ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา ท่านทั้งหลายต้องทาความเพียรเอง พระตถาคตเป็น เพียงแต่ผู้บอกผู้มีปกติเพ่งพินิจปฏิบัติแล้วจักพ้นจากเครื่องผูกของมาร๓๔๕ เรื่องนี้ทรงปรารภพราหมณ์ที่ เข้า มาทูล ถามว่ า “ข้าแต่พระโคดม ผูเ้ จริญ ก็สาวกของพระโคดมผู้เจริญ เมื่อพระโคดมได้กล่าวสอนพร่าสอนอยู่ ๓๔๕ ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๑๐๓/๘๗, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๗๗/๘๓. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๘ อย่างนี้ ทุกๆ องค์ได้บรรลุนิพพาน อันเป็นผลสาเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่ง หรือว่า บางองค์ไม่ได้บรรลุ ” พราหมณ์คณกโมคคัลลานะ ได้ทูลถาม พระพุทธองค์ ทรงตรัสตอบว่า พราหมณ์ ! สาวกของเรา แม้เรากล่าวสอน พร่าสอนอยู่อย่างนี้ น้อย พวกที่ได้บรรลุนิพพาน อันเป็นผลสาเร็จถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ “พระโคดมผู้เจริญ ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่ าเป็นปัจจัย,ที่พระ นิพพาน ก็ยังตั้งอยู่, หนทางเป็นที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพานก็ยังตั้งอยู่ , พระโคดม ผู้ชกั ชวน (เพื่อการดาเนินไป) ก็ยังตั้งอยู่,ทาไมน้อยพวกที่บรรลุ และบางพวก ไม่บรรลุ ” พราหมณ์ ! เราจัก ย้อ นถามท่ านในเรื่ องนี้ ท่ านจงตอบตามควร, ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในหนทางไปสู่เมืองราช คฤห์ มิใช่หรือ ,มีบุรุษผู้จะไป เมืองราชคฤห์ เข้ามาหาและกล่าวกับท่านว่า “ท่านผู้เจริญ ! ข้ าพเจ้าปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห์ ขอท่านจง บอกทางไปเมืองราชคฤห์ แก่ข้าพเจ้าเถิด” ท่านก็จะกล่าวกะบุรุษนั้นว่า“มา ซิท่าน, ทางนี้ไปเมืองราชคฤห์ ไปได้ครู่หนึ่ งจักพบบ้านชื่อโน้นแล้วจักเห็น นิคมชื่อ โน้ น จัก เห็น สวนและป่า น่า รื่นรมย์ จั กเห็น ภูมิภ าคอัน น่า รื่น รมย์ สระโบกขรณีน่ารื่นรมย์ ของเมืองราชคฤห์ ”ดังนี้. บุรุษนั้น อันท่านพร่าบอก พร่าชี้ให้อย่างนี้ ก็ยังถือเอาทางผิดกลับหลังตรงข้ามไป, ส่วนบุรุษอีกคนหนึ่ง (อันท่านพร่าบอกพร่าชี้อย่างเดียวกัน) ไปถึงเมืองราชคฤห์ได้โดยสวัสดี พราหมณ์ ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย , ที่เมืองราชคฤห์ ก็ยัง ตั้ง อยู่ , หนทางสาหรับไปเมืองราชคฤห์ ก็ยังตั้ง อยู่ ,ท่านผู้ชี้บอก ก็ยัง ตั้ง อยู่, แต่ทาไมบุรุษผู้หนึ่งกลับหลังไปผิดทาง,ส่วนบุรุษผู้หนึ่ งไปถึงเมือง ราชคฤห์โดยสวัสดี “พระโคดมผู้เจริญ ! ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าจักทาอย่างไรได้เล่า , เพราะ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น” แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๘๙ พราหมณ์ ! ฉันใดก็ฉันนั้น, ที่พระนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่, ทางเป็นเครื่อง ถึงพระนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่, เราผู้ชักชวน ก็ยังตั้งอยู่,แต่สาวกของเรา แม้เรา กล่าวสอน พร่าสอนอยู่อย่างนี้ น้อยพวกได้บรรลุนิพพาน อันเป็นผลสาเร็จถึง ที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ. พราหมณ์ ! ในเรื่องนี้เราจักทาอย่างไรได้ เล่า, เพราะเราเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า สมัยพุทธกาลพระภิกษุที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เช่น พระเมฆิยะเป็นต้น สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ จาลิกบรรพต ใกล้เมือง จาลิ ก าก็ โ ดยสมั ย นั้ น แล ท่ า นพระเมฆิ ย ะเป็ น อุ ปั ฏ ฐากพระผู้ มี พ ระภาค ครั้ง นั้นแล ท่า นพระเมฆิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ ถวาย บังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มี พระภาค ว่ า ข้ า แต่ พ ระองค์ ผู้ เ จริ ญ ข้ า พระองค์ ป รารถนาจะเข้ า ไปบิ ณ ฑบาตใน ชันตุคาม พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเมฆิยะ เธอจงสาคัญกาลที่ควรในบัดนี้ ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ท่านพระเมฆิยะครองอันตรวาสกแล้ว ถือ บาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังชันตุคาม ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในชันตุคาม เสร็จแล้ว กลับจากบิณฑบาตในเวลาภายหลังภัต เข้าไปยังฝั่งแม่น้ากิมิกาฬา ท่านพระเมฆิยะเดินเที่ยวพักผ่อนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ากิมิกาฬา ได้เห็นอัมพวันอันน่า เลื่อ มใสน่ ารื่ นรมย์ โดยที่ใ นอดีต กาลนั้ น บริ เวณนั้ นเป็น พระราชอุท ยาน ที่พระเถระเคยเกิดมาเป็นพระราชาและครอบครองมา ตลอด ๕๐๐ ชาติ ตามล าดับ ด้ว ยเหตุนั้น จิต ของพระเถระนั้น จึง น้ อมไปเพื่ อจะอยู่ใ นที่นั้ น ในขณะเพียงแค่ไ ด้เห็นเท่านั้น ครั้นเห็นแล้ว ได้มีความคิดดังนี้ว่าอัมพวันนี้ ช่างน่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์หนอ ควรเพื่อบาเพ็ญเพี ยรของกุลบุตรผู้ต้องการ ความเพีย ร ถ้าพระผู้มีพระภาคพึงอนุญาตเรา เราพึง มายัง อัม พวันนี้เพื่ อ บาเพ็ญเพียร ครั้งนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๐ ภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์ ครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตในชันตุคาม ครั้น เที่ยวบิณฑบาตในชันตุคามเสร็จแล้ว กลับจากบิณฑบาตในเวลาภายหลังภัต เข้าไปยังฝั่งแม่น้ากิมิกาฬา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเมื่อข้าพระองค์เดินเที่ยวพัก อยู่ที่ฝั่งแม่น้ากิมิกาฬา ได้เห็นอัมพวันอันน่าเลื่อมใสน่ารื่นรมย์ ครั้นเห็นแล้ว ข้าพระองค์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า อัมพวันนี้น่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์หนอควร เพื่อบาเพ็ญเพียรของกุลบุตรผู้ต้องการความเพียร ถ้าพระผู้มีพระภาคพึงทรง อนุญ าตเรา เราพึงมายังอัมพวันนี้เพื่อบาเพ็ ญเพียร ถ้าพระผู้มีพระภาคพึง ทรงอนุญ าตข้าพระองค์ ข้าพระองค์พึงไปยังอัมพวันนั้นเพื่อบาเพ็ญ เพียร เมื่อท่านพระเมฆิยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคสดับคาของพระเถระแล้ว ทรงใคร่ครวญอยู่ ทรงรู้ ว่าญาณของพระเถระนั้น ยังไม่แก่กล้าก่อนดังนี้ จึงตรัสห้ามท่านพระเมฆิยะ ว่าดูกรเมฆิยะจงรออยู่ก่อน เราอยู่คนเดียว เธอจงรออยู่จนกว่าภิกษุรูปอื่นมา แม้ครั้งที่ ๒ ท่านพระเมฆิยะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคไม่มีกิจอะไรที่จะพึงทาให้ยิ่ง ไม่มีการสั่งสม อริยมรรคที่ทรงทาแล้ว ข้าพระองค์ยังมีกิจที่ จะพึง ทาให้ยิ่ง ยัง มีการสั่ง สม อริยมรรคที่ทาแล้ว ถ้าพระผู้มีพระภาคพึงทรงอนุญาตข้าพระองค์ข้าพระองค์ พึงไปยังอัมพวันเพื่อบาเพ็ญความเพียร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเมฆิยะ จงรออยู่ก่อน เราอยู่คนเดียว เธอจงรออยู่จนกว่าภิกษุรูปอื่นมาแทนตัว ฯ แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระเมฆิยะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคไม่มีกิจอะไรที่จะพึงทาให้ยิ่ง ไม่มีการสั่งสม อริยมรรคที่ทรงทาแล้ว ส่วนข้าพระองค์ยังมีกิจที่จะพึงทาให้ยิ่ง ยังมีการสั่ง สมอริ ย มรรคที่ ท าแล้ ว ถ้ า พระผู้ มี พ ระภาคพึ ง ทรงอนุ ญ าตข้ า พระองค์ ข้าพระองค์พึงไปยังอัมพวันนั้นเพื่อบาเพ็ญความเพียร พระผู้มีพระภาคตรัส ว่าดูกรเมฆิยะ เราจะพึงว่าอะไรเธอผู้กล่าวอยู่ว่า บาเพ็ญเพียร ดูกรเมฆิยะ เธอจงสาคัญกาลที่ควรในบัดนี้ ฯ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๑ ก็เพราะเหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาตให้เธอไปในที่นั้น ? เพราะพระองค์ทรงอนุญาตด้วยทรงพระดาริว่า เมฆิยะนี้ถึงแม้เราไม่อนุญาต ก็ยัง จะละเราไปอยู่นั่ นแหละ อีกทั้ง เธอก็จ ะมีความคิดเป็ นอย่างอื่นไปว่ า ชะรอยพระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่อนุญาตให้เราไป เพราะประสงค์ให้เป็น ผู้ป รนนิบั ติ ซึ่ง ถ้า ให้ เธอคิ ดเช่น นั้น ก็จ ะท าให้ไ ม่เ ป็น ประโยชน์ เกิ ดทุ ก ข์ ตลอดกาลนานแก่เธอ พระเมฆิยะถูกอกุศลวิตกเข้าครอบงา ครั้ง นั้นแล ท่านพระเมฆิยะลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระ ภาคกระท าประทั ก ษิ ณ แล้ ว เข้ า ไปยั ง อั ม พวั น อาศั ย อั ม พวั น นั้ น นั่ ง พั ก กลางวันอยู่ บนแผ่นศิลามงคล ซึ่งวางอยู่ ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง แผ่นศิลานั้นก็ เป็ น แผ่ น ศิ ล าแผ่ น เดี ย วกั บ ที่ พ ระเถระเมื่ อ ครั้ ง อดี ต ที่ เ คยเป็ น พระราชา ติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติเคยนั่งอยู่ในอุทยานนี้แหละ พร้อมกับทรงเล่นกีฬา และการละเล่นต่าง ๆ แวดล้อมด้วยสาวสนมนางใน ตั้งแต่เวลาที่ท่านพระ เถระนั่ง ลงบนแผ่นศิลานั้นก็ปรากฏเหมือนภาวะแห่ง สมณะเพศได้หายไป แต่ทรงเพศเป็นพระราชาเหมือนเมื่อครั้งในอดีต นั่งบนบัลลังก์อันควรค่ามาก ภายใต้เศวตฉัตร ครั้นเมื่อท่านยินดีสมบัตินั้น กามวิตกก็เกิดขึ้น ขณะนั้นเองท่านได้เห็น เหมือนเห็นโจร ๒ คนถูกจับพร้อมด้วย ของกลาง ที่ราชบุรุษนามายืนต่อเบื้องพระพักตร์ พยาบาทวิตกเกิดขึ้นด้วย อานาจการสั่งให้ฆ่าโจรคนหนึ่ง และวิหิงสาวิตก (ความคิดในทางทาลายหรือ ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ) เกิดขึ้นด้วยอานาจการสั่งให้จองจาโจรคนหนึ่ง เมื่ อ เป็ น เช่ น นั้ น ท่ า นได้ เ ป็ น ผู้ ถู ก ครอบง าด้ ว ยอกุ ศ ลวิ ต ก ๓ ประการ คือ กามวิตก พยาบาทวิตกวิหิงสาวิตก เกิดความฟุ้ง ซ่านเป็นอัน มาก ท่านพระเมฆิยะจึงได้มีความคิดดังนี้ว่า ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ กุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาก็ยังถูกอกุศล วิตกอันลามก ๓ ประการ คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกครอบงา ฯ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๒ พระเถระเมื่ อ ฟุ้ ง ซ่ า นไปด้ ว ยมิ จ ฉาวิ ต กอย่ า งนี้ เมื่ อ ไม่ อ าจท า กรรมฐานให้เป็นสัปปายะ จึงเห็นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเห็นกาลไกล ได้เห็นเหตุอันน่าอัศจรรย์นี้หนอ จึงทรงห้าม คิดว่า เราจักกราบทูลเหตุนี้แด่ พระทศพล จึ ง ลุ ก ขึ้ น จากอาสนะที่ นั่ ง เข้ า ไปเฝ้ า พระผู้ มี พ ระภาคเจ้ า ถึ ง ที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลเรื่องของตน พระผู้มีพระภาคแสดงธรรมโปรดพระเถระ เมือ่ ท่านนั่งกราบทูลเรื่องราวของตนอย่างนี้ ลาดับนั้น พระผู้มีพระ ภาคเจ้า เมื่อ จะทรงแสดงธรรมอัน เป็นสั ปปายะ สาหรับบ่ มวิมุ ตติแ ก่เธอ จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนา มีความโดยสรุปดังนี้ ดูกรเมฆิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีมิตรดี มีส หายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นธรรมประการที่ ๑ เป็นผู้มีศีล สารวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระแล โคจร มีปกติเห็นภัยในโทษมีประมาณเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท ทั้งหลาย นี้เป็นธรรมประการที่ ๒ เป็ น ผู้ไ ด้ ต ามความปรารถนา ได้โ ดยไม่ ย าก ไม่ล าบาก ซึ่ง กถา เครื่องขัดเกลากิเลส เป็นไปเพื่อเป็นที่สบายในการเปิดจิต เพื่อเบื่อหน่ายโดย ส่วนเดียว เพื่อคลายกาหนัด เพื่อความดับ เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสัง สัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญ ญากถา วิมุตติกถา วิมุตติ ญาณทัสสนกถา นี้เป็นธรรมประการที่ ๓ เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความเกิดขึ้นแห่ง กุศลธรรม เป็นผู้มีกาลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม นี้เป็น ธรรมประการที่ ๔ เป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาความเกิดและ ความดับ เป็นอริยะ ชาแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ นี้เป็นธรรมที่ ๕ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๓ ดูกรเมฆิยะ ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่ง เจโตวิมุตทิ ี่ยังไม่แก่กล้า การสอบอารมณ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอบอารมณ์พระสาวกในพระสูตรหลายพระสูตร เช่น อนัตตลักขณสูตร อาทิตตลักขณสูตร ฯลฯ ดังจะยกตัวอย่างเรื่องราว การสอบอารมณ์ของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในปุณณสูตร ดังนี้ เย็นวันหนึ่งพระปุณณะได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าขอพระโอวาท ย่อเพือ่ นาไปปฏิบัติพระองค์ก็ตรัสสอนให้ละความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่ถูกต้องกาย) และธรรมารมณ์ (สิ่งที่ใจคิด) จากนั้นตรัสถาม พระปุณณะว่าจะไปอยู่ที่ไหน ป. ชนบทชื่อว่าสุนาปรันตะ พ. ชาวสุนาปรันตะเป็นคนดุร้าย หยาบช้า ถ้าเขาด่า เธอจะคิดอย่างไร ป. ยังดีที่เขาไม่ทุบตีด้วยฝ่ามือ พ. ถ้าเขาทุบตีด้วยฝ่ามือ เธอจะคิดอย่างไร ป. ยังดีที่เขาไม่ขว้างด้วยก้อนดิน พ. ถ้าเขาขว้างด้วยก้อนดิน เธอจะคิดอย่างไร ป. ยังดีที่เขาไม่ตีด้วยท่อนไม้ พ. ถ้าเขาตีด้วยท่อนไม้ เธอจะคิดอย่างไร ป. ยังดีที่เขาไม่ตีด้วยอาวุธ พ. ถ้าเขาตีด้วยอาวุธ เธอจะคิดอย่างไร ป. ยังดีที่เขาไม่ปลิดชีพเราเสียด้วยอาวุธอันมีคม พ. ถ้าเขาปลิดชีพเธอเสียด้วยอาวุธอันมีคม เธอจะคิดอย่างไร ป. มีบางคนต้องการฆ่าตัวตาย ต้องเที่ยวแสวงหาอาวุธอันมีคม เราไม่ต้อง แสวงหา ก็ได้อาวุธอันมีคมสาหรับปลิดชีพแล้ว๓๔๖ ๓๔๖ ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๗๕๗/๔๘๒, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๙๖/๔๔๙. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๔ เมื่อพระปุณณะตอบอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสสรรเสริญ ความรู้ จัก ข่ ม ใจของพระปุณ ณะ หลัง จากพระปุ ณ ณะไปอยู่ ที่ สุน าปรั น ต ชนบทแล้ว ก็สามารถทาให้ชาวสุนาปรันตะจานวนหนึ่งกลับใจแสดงตนเป็น อุบาสกอุบาสิกา ต่อมาท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์ในพรรษานั้นเอง หลักการส่งอารมณ์ ๑. ต้องมีความซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อตัวเอง ๒. ต้องเล่าให้ตรงกับสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจริงในขณะปฏิบัติ ๓. ต้องเล่าไปตามลาดับไม่ควรตัดลัดขั้นตอนโดยไม่จาเป็น ๔. ต้องตั้งใจเล่าให้เสียงดังพอสมควร วิธีการส่งอารมณ์ การนัง่ กาหนด (การนั่งสมาธิ) o นั่งกาหนดนานเท่าไหร่ กาหนดอย่างไหร่อยู่ o เล่าอาการพอง-ยุบ ที่รู้สึกเองว่า สั้น ยาว หยาบ ละเอียด อย่างไร กาหนดได้หรือไม่ o จิตแนบแน่นกับอาการพอง-ยุบตลอดเวลาที่กาหนดหรือไม่ มีการคิด ไปบ้างหรือเปล่า มากแค่ไหน o มีอารมณ์อื่นมาแทรกหรือไม่ เช่น ความคิด ความเจ็บ ภาพในใจ ได้ยินเสี ยง หงุดหงิดราคาญใจ อาการสั่น เกร็ ง ชา เป็นต้ น และ เกิดบ่อยแค่ไหน เช่น เกิดทุกครั้งที่นั่ง ๕ นาที o เมื่อมีอารมณ์อื่นมาแทรก ท่านกาหนดอย่างไร จับได้ทันทีที่สิ่ง นั้น เกิ ด ขึ้ น หรื อ ไม่ ก าหนดนานกี่ ค รั้ ง อารมณ์ เ หล่ า นั้ น มี ค วาม เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อย่างไร แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๕ การส่งอารมณ์ในการเดินจงกรม o เดินกี่ระยะ ระยะใดบ้าง เดินกี่นาที o มีสติต่อเนื่องหรือไม่อย่างไร จดจ่ออยู่กับการเดินได้แค่ไหน o ในแต่ละก้าวคาบริกรรมทันกับอาการหรือไม่อย่างไร o มีอารมณ์สภาวะอื่นเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ อย่างไร เกิดจังหวะไหนของ การก้าวเดิน บ่อยไหมทุกระยะของการเดินหรือไม่ o ท่านกาหนดอารมณ์ที่เข้ามาแทรกอย่างไร เกิดอะไรขึ้น o รู้สึกอาการก้าวแต่ละก้าวอย่างไร เช่น เหมือนกันทุกก้ าว ต่างกัน ทุกก้าว กาหนดอิริยาบถย่อยหรือไม่ ในขณะที่เปลี่ยนอิริยาบถจากยืนเป็นนั่ง หรือทานอาหาร อาบน้า ก้มเงย คู้เหยียด ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้า เป็นต้น มีผลเป็นอย่างไร ขณะคู้ เหยียด ก้ม เงย กาหนดอย่างไร รู้สึกอย่างไร? ประโยชน์ของการส่งอารมณ์ทาให้เกิดสัม มาทิฏฐิ ดาเนินการปฏิบัติ ได้อย่างถูกต้อง ทาให้ไม่ต้องเสียเวลานั่นเอง หน้าที่ครูอาจารย์ ช่วยอบรม ให้ตั้งใจ ไม่ปิดบัง ยกย่องว่า คอยชี้ช่อง เหมือนกับมิตร ให้รู้จัก เจริญจิต ฝึกหัด น้อมนึก บอกสิ้น มีอย่างไร ป้องกัน ช่วยแนะนา ปฏิบัติธรรม ในทานอง ดัดนิสัย การศึกษา ในศิลปา ในความดี สั่งสอนศิษย์ คอยสั่งสอน ตามครรลอง วิปัสสนา แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๖ ทารุกขันโธปมสูตร๓๔๗ การปฏิ บัติสามารถบรรลุ ธรรมได้ภ ายใน ๗ วั น ดั ง กล่าวแล้ วใน อานิสงส์ นักปฏิบัติต้องกาหนดอย่างต่อเนื่อง อุปมาเหมือนสายน้าที่ไหลไม่ ขาดสาย ย่อมมีกาลังพัดพาขอนไม้ที่หนักๆ ให้ไ หลไปสู่มหาสมุทรได้ ฉันใด การกาหนดรู้ด้วยสติบ่อยๆ อย่างต่อเนื่องย่อมมีกาลัง ทวนกระแสของกิเลส ไหลไปสู่พระนิพพานได้ ฉันนั้น ในสมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งริมฝั่ง แม่นาคงคา ้ ใกล้กรุงโกสัมพี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จานวน ๕๐๐ รูป พระองค์ ทอดพระเนตรเห็นท่อนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งถูกกระแสน้าพัดไปอยู่ จึงชี้ท่อนไม้ นั้นแล้วตรัสถามว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นท่อนไม้ใหญ่โน้นที่ถูก กระแสน้าพัดไปอยู่หรือไม่” ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า“เห็นพระพุทธเจ้าข้า” พระองค์รั บสั่ง ต่อ ไปว่า “ดูก่ อนภิก ษุทั้ง หลาย ถ้ าท่ อ นไม้ไ ม่ถู ก กระแสน้าซัดขึ้นฝั่งนี้ จะลอยไปสู่มหาสมุทร ถ้าไม่ถูกซัดขึ้นฝั่งโน้น ไม่จมน้า เสียก่อน ไม่เกยบก ไม่ถูกคนเก็บไปเสีย ไม่ถูกอมนุษย์ยึดเอาไว้ ไม่ถูกกระแส น้าวนดูด หรือไม่ผุพังไปก่อน จะลอยไปสู่มหาสมุทร” ในที่นี้พระพุทธองค์ ทรงแสดงว่า ถ้าไม่มีโทษแปดอย่างเหล่านี้ ท่อนไม้จะลอยไปสู่มหาสมุทรได้ จากนั้นได้รับสั่งว่า "ท าไมท่ อ นไม้ นี้ จึ ง ลอยไปสู่ ม หาสมุ ท รได้ เ ล่ า “ข้ อ นั้ น เพราะ กระแสน้าแห่งแม่น้าคงคาลุ่มลาดไหลไปสู่มหาสมุทร ในเมื่อไม่มีโทษแปด อย่างเหล่านี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทานองเดียวกัน ถ้าพวกเธอไม่มีโทษ แปดอย่างเหล่านี้ก็จะบรรลุถึงพระนิพพานได้ เพราะสัมมาทิฏฐิย่อมโน้มน้อม [ผู้ปฏิบัติ]ไปสู่ความดับทุกข์ในสังสารวัฏคือพระนิพพาน” ในขณะนั้ น ภิ ก ษุ รู ป หนึ่ ง ได้ ทู ล อาราธนาให้ พ ระพุ ท ธองค์ ต รั ส อธิบายอุปมาเหล่านั้นในเรื่องนี้ ๓๔๗ ส.สฬา. (บาลี) ๑๘/๒๒๓/๓๒๒, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๔๑/๒๔๒. แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๗ คาว่า “ ฝั่งนี”้ ได้แก่ อายตนะภายในหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ คาว่า “ฝั่งโน้น” ได้แก่ อายตนะภายนอกหก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ คาว่า “จมน้า” ได้แก่ ความผูกพันกับสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต คาว่า “เกยบก” ได้แก่ ความถือตัวถือตน คาว่า “ถูก คนเก็ บไป” ได้แ ก่ การคลุ กคลีกั บคฤหั สถ์อย่ างไม่ เหมาะสม คาว่า “ถูกอมนุษย์ยึดเอาไว้”ได้แก่ การบาเพ็ญกุศลโดยปรารถนา ให้บังเกิดในเทวโลกหรือพรหมโลก คาว่า “ถูกกระแสน้าวนดูด” ได้แก่ความเพลิดเพลินในกามคุณห้า คาว่า “เน่าในไปเสียก่อน” ได้แก่ การเสแสร้งทาตนเป็นผู้ทรงศีล ทัง้ ที่ไม่ใช่ผู้ทรงศีลโดยแท้ แม้ พ ระพุ ทธองค์จ ะทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ แ ก่เ หล่า ภิ ก ษุ เท่านั้น แต่ก็จัดว่าเกี่ยวเนื่องกับทุกชนชาติและทุกศาสนา เพราะไม่ว่าใครก็ ตามที่ไม่มีโทษแปดอย่างดังกล่าว ย่อมจะบรรลุถึงมหาสมุทรคือพระนิพพาน ได้ เมื่อเขาบรรลุถึงมหาสมุทรคือพระนิพพานแล้ว ก็จะหลุดพ้นจากการเวียน ว่ายตายเกิดและบรรลุถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในพระธรรมเทศนาบางแห่งของพระพุทธองค์ พระพุทธดารัสว่า ” มหาสมุทร” ระบุถึงการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ส่วนพระธรรมเทศนา บางแห่งระบุถึงพระนิพพาน ในพระสูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงระบุมหาสมุทร ว่าคือพระนิพพาน ท่อนไม้ที่กล่าวถึงอุปมาเหมือนขันธ์ห้าหรือตัวเรา ขันธ์ห้าได้แก่รูป ขันธ์หนึ่งและนามขันธ์สี่ เมื่อคุณไม่เห็นขันธ์ห้าเหล่านี้ว่าเป็นเพียงกองรูปและ แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๘ กองนาม ยึดติดขันธ์เหล่านั้นว่าเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ก็จะเกิด ความผูกพันขึ้น แต่ถ้าเห็นมันว่าเป็นเพียงกองรูปและกองนาม ก็จะไม่ผูกพัน ว่า เป็ นคน สั ตว์ บุ คคล ตั วตน เรา เขา แล้ วจะไม่ ผูก พั น กับ มั น เมื่ อ เป็ น เช่นนั้น คุณจะบรรลุมหาสมุทรคือพระนิพพานได้ ฝั่งนี้และฝั่งโน้น พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบอายตนะภายในหกเหมือนฝั่งนี้ และทรง เปรียบเทียบอายตนะภายนอกหกเหมือนฝั่งโน้น โดยมีพุทธประสงค์อะไรเล่า ในเรื่องนี้จะต้องอธิบายคาว่า ”จิต” ตามหลักพระอภิธรรมก่อน จิต คือสภาพธรรมที่รับรู้อารมณ์ [ทางทวารทั้งหก] เมื่อเกิดแล้วจะดับลงทันทีไว กว่าชั่วพริบตาเดียว จิตจึงเป็นสภาพธรรมที่รับรู้อารมณ์ [ซึ่งเกิดขึ้น] และดับ ไปอย่างรวดเร็ว การรับอารมณ์ของจิตนี้ใช้เวลาไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาที จิตเป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ ไม่ใช่ดวงตา แต่จิตจะรู้อารมณ์ไ ด้ โดยอาศัยดวงตาซึ่งเป็นหนึ่งในอายตนะ [ภายใน] หก เช่น คุณเห็นรถโรล สรอยส์คันใหม่ ในกรณีนี้มีรูปารมณ์ที่เห็นได้ และดวงตาที่เป็นเหตุให้จิตรู้เห็น รูปารมณ์นั้น เมื่อคุณเห็นรถคันนั้น จะเกิดความรู้สึกว่าถ้าเราเป็นเจ้าของมัน ก็คงจะดี ถ้ามันเป็นสมบัติของคุณจริงๆ คงจะก่อให้เกิดความพอใจ คุณจะ ผูกพันกับมันเพราะได้พบเห็นและยึดติดว่าเป็นรถคันงาม คุณไม่ได้นึกว่ามัน เป็นเพียงรูปธรรมทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนั้นจัดว่าคุณแวะเข้าไปติดที่ฝั่งโน้นคือรถ และติดที่ฝั่งนี้คือดวงตา เนื่องด้วยคุณเกิดความผูกพันในรถซึ่งเป็นรูปารมณ์ และในดวงตาซึ่งเป็นอายตนะหนึ่งในอายตนะภายใน ดวงตาจัดว่าเป็นอายตนะหนึ่งในอายตนะภายในหกประเภท เมื่อ ดวงตาสั มผั ส กับ สี หรื อ สั ณฐานของรถ จะเกิ ด จิ ตที่ รู้ เห็ น รถคั นนั้ น แต่ จิ ต ดังกล่าวมิได้หยุดอยู่ในสภาพธรรมสักแต่ว่าเห็น มันยังปรุงแต่งต่อไปโดยคิด ว่ารถคันนี้เป็นของฉัน เป็นรถคันใหม่ที่ดีเยี่ยม ฉันเพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี้ มีราคา สูง มาก ในกรณี นี้คุ ณจะผู กพั น กับ รถโรลสรอยส์คั นนั้ น สิ่ ง นี้ หมายถึง คุ ณ ผูกพันอยู่กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต เพราะสีสันสัณฐานและดวงตาเหล่านั้น แนวทางปฏิบัติธรรม ๒๙๙ สมมุ ติ ว่ าคุ ณ จอดรถไว้ ริม ถนน และบั ง เอิ ญ มี คนขั บ รถมาเฉี่ ย ว ประตูรถของคุณจนเป็นรอย คุณจะโกรธเพราะรถของคุณถูกเฉี่ยวเป็นรอย ตอนนี้จัดว่าคุณเกิดความผูกพันที่จัดเป็นโลภะและความโกรธที่จัดเป็นโทสะ ความโลภและความโกรธเหล่านั้นไม่นาความสุขมาให้คุณเลย มันนาแต่ความ ทุกข์ใจมาให้คุณเท่านั้น ความทุกข์ใจของคุณเกิดจากการที่คุณแวะเข้าไปติด ที่ฝั่งนี้และฝั่งโน้น ความผูกพันเช่นนั้นเกิดจากรูปารมณ์คือ รถที่พบเห็นทางดวงตา ด้วยเหตุดังกล่าว คุณจึงเกิดความทุกข์ใจเพราะจักขุวิญญาณจิต (จิตที่รับรู้ อารมณ์ทางจักษุปสาท) ที่ทาให้คุณแวะเข้าไปติดที่ฝั่งนี้และฝั่งโน้น ถ้าคุณยัง ผู ก พั น อยู่ กั บ รถที่ พ บเห็ น ทางดวงตา คุ ณ จะบรรลุ ถึ ง มหาสมุ ท รคื อ พระนิพพานไม่ได้ จัดว่าคุณถูกกระแสน้า [คือกิเลส] ซัดขึ้นฝั่งนี้หรือฝั่งโน้น เมื่อคุณเห็นว่ารถคันนั้นเป็นรถโรลสรอยส์ที่คุณซื้อมาเมื่อวานนี้เอง ราคาสูงมาก คุณจะผูกพันกับมัน แต่ถ้าคุณเห็นว่ามันเป็นเพียงรูปธรรมอย่าง หนึ่ง[เหมือนสิ่งทั่วๆ ไป] คุณก็จะไม่ยึดติดมัน แล้วจะไม่เกิดความทุกข์ใจใน เมื่อรถคันนั้นถูกเฉี่ยวเป็นรอย เพราะไม่ยึดติดว่าเป็นรถโรลสรอยส์ราคาแพง จัดว่าคุณไม่ถูกกระแสน้า [คือกิเลส] ซัดขึ้นสู่ฝั่งทั้งสอง (U Chanapiwong) นักปฏิบั ติก็ เช่ นเดี ยวกัน บางครั้งก็ ติด อายตนะภายใน คื อตา หู จมูก ลิ้น ที่อยู่ในร่างกาย เพราะมีร่างกาย จึงมีความรักกายห่วงกาย จนหวง กาย เวลาปฏิบัติมีมดไต่ ยุงกัด แมลงเกาะก็กังวลคอยลืมตาหรือใช้มือปัดอยู่ ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าจะเป็นอะไร เวลาปวดก็กลัวว่าขาจะเป็นอัมพาตเดินไม่ได้บ้างละ หาข้ออ้างไป เรื่อยๆ ถ้ายังห่วงอยู่ก็กาหนดได้ยากเมือนเป็นกับตะปูคอยตรึงใจนักปฏิ บัติ เพราะกังวลว่าร่างกายตนจะเป็นอะไรไป จึงไม่ค่อยกล้าปฏิบัติ เหมือนนาง รูปนันทา ไม่กล้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะกลัวรู้ความจริงเกี่ยกับร่างกาย๓๔๘ ๓๔๘ ขุ.ธ.อ. ชราวรรค เล่ม ๒๕ ข้อ ๒๑. แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๐๐ บางครั้ งก็ติด อายตนะภายนอก ชอบมองรูป พอเห็นก็เ ป็นสัต ว์ บุคคล ตัวตน เป็นดอกไม้ แจกัน พัดลม หญิงชายเป็นต้น เมื่อเห็นก็ชอบ เมื่อชอบก็แสวงหาในรูป ฯลฯ จึงยึดติดในรูป เหมือนเรื่องนางสิริมากับภิกษุ (ให้แก้ด้วยการสารวมอินทรีย์) หรือเหมือนพระมหาติสสะเห็นไรฟันหญิง สาว (ให้แก้ด้วยให้สักแต่ว่าเห็น ไม่มองด้วยนิมิต หรืออนุพยัญชนะ) ดาดิ่งในวังวน คาว่า ”ถ้าท่อนไม้ถูกกระแสน้าวนดูด จะไม่บรรลุถึงมหาสมุทร” หมายถึงผู้เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ความเพลิดเพลินนี้จัดว่าเป็นความ ผูกพัน ถ้าคุณผูกพันอยู่กับสิ่งที่เห็น ได้ยิน รู้กลิ่น ลิ้ม รส สัมผัส และสิ่งที่คิด อยู่เสมอ จัดว่าถูกกระแสน้าวนดูด คุณจะไม่สามารถบรรลุถึงมหาสมุทร คือ พระนิ พ พาน เพราะพระสั ท ธรรมเป็ น สิ่ ง ที่ มี เ หตุ มี ผ ลคล้ อ ยตามเหตุ ผ ล [ที่ต่อเนื่องกัน] และเป็นสภาพธรรมที่มีจริง (U Chanapiwong) นักปฏิบัติเองหากยังมีตัณหามาก อยู่บ้ านทาตามใจตนเอง อยาก ทาอะไรก็ทา อยากได้อะไรก็ได้ พอมาปฏิบัติธรรม มาปฏิบัติ แฝงด้วยตัณหา คือ อยากได้สภาวธรรม อยากได้ญาณ อยากได้ความสงบ สมาธิ ญาณ ฌาน สมาบัติ พอไม่ไ ด้อย่างที่คิดก็ไม่อยากกาหนด ไม่อยากปฏิบัติ เมื่อขาดการ เจริญสติกาหนด จึงปล่อยใจในการเห็น ได้ยิน ฯลฯ ตามความเคยชินที่อยู่ที่ บ้าน จึงวนไปวนมาอยู่ในวังวนทั้ง ๓ คือ ยินดี พอใจ ไม่พอใจ เพราะฉะนั้น ต้องกาหนด ยินดีหนอ อยาก.....หนอ ไม่พอใจหนอ จมลงตรงกลาง พระบรมศาสดาทรงประสงค์ที่จะตรัสว่าสภาพที่ท่อนไม้จมน้าเป็น ความผูกพัน ซึ่งได้แก่ความปรารถนาความทะยานอยาก ความกาหนั ดยินดี ความรัก ถ้าคุณยังมีความผูกพันอยู่ กับสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ก็จะบรรลุถึง มหาสมุทรคือพระนิพพานไม่ได้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๐๑ นักปฏิบัติเองหากยังยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เมื่อขาดสติ จิตใจจะเตลิดเพลิดเพลินไปในกามคุณทั้ง ๕ เมื่อเพลิดเพลินยินดีจึง ยึดติด เมื่อยึดติดจึงรู้สึกผูกพัน จึงต้องแสวงหาให้ได้มาสู่จิตใจ จึงปล่อยจิตปล่อยใจ ให้เหมือนตอนอยู่บ้าน ครูบาอาจารย์ตักเตือนให้พยายามกาหนดก็ไม่เชื่อฟัง ยึดติดกับความพอใจของตน ฉะนั้นต้องเตือนตนเองให้กาหนด ติดเกาะกลาง การที่ท่อนไม้เกยบก หมายถึงความถือตัวถือตน ถ้าคุณถือตัวถือ ตนเกี่ยวกับความรู้ ความร่ารวยหรือยศตาแหน่ง ความความถือตัวถือตนนั้น จะทาให้ประสบความเนิ่นช้าในการบรรลุพระนิพพาน เพราะเมื่อคุณมีความ ความถื อ ตั ว ถื อ ตน ก็ จ ะไม่ เ กิ ด ปั ญ ญาหยั่ ง รู้ ส ภาวธรรมทางกายและ สภาวธรรมทางจิตตามความเป็นจริงได้ และจะยึดติดรูปธรรมและนามธรรม ว่าเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา รวมทั้งกิเลสธรรมต่างๆ เช่น ความ กาหนัดยินดี ความละโมบ ความโกรธ ความไม่พอใจ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอีก จัดว่าเหมือนท่อนไม้ที่ลอยไปเกยบก จะไม่บรรลุถึงมหาสมุทรได้ เพราะจะไม่ เกิดปัญญาหยั่งรู้สภาพธรรมต่างๆ ได้ เพราะความถือตัวถือตนนั่นเอง นักปฏิบัติเองหากยังมีทิฎฐิมานะสูงอยู่ เรื่องทุกอย่างมีความรู้แล้ว รู้หมดแล้ว (ท่านพุทธทาสจึงกล่าวว่า กูรู้ทุกอย่าง ยกเว้นตัวกู) จึงทาให้นัก ปฏิบัติยังติดอยู่ เหมือนพระโปฎฐิละที่ถือตัวถือตนว่ามีความรู้เชี่ยวชาญใน พระไตรปิฎกจึงบรรลุธรรมได้ยาก เรียกว่า ติดเกาะกลาง ถูกมนุษย์เก็บไว้ คาว่ า ”ถ้ าท่ อ นไม้ ถูก คนเก็ บเอาไป จะไม่ บ รรลุ ถึง มหาสมุท ร” หมายถึง ภิกษุผู้ไ ม่ปฏิบัติ ภารกิจของตนซึ่ งเป็นคั นถธุระหรือวิปัส สนาธุร ะ เผยแพร่พระสัทธรรม แนะนาสั่งสอนศิษยานุศิษย์ในข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือ สนับสนุนให้ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ในทางตรงกันข้าม กลับคลุกคลี กับคฤหัสถ์ในทางที่ไม่เหมาะสม [คือเพลิดเพลิน เศร้าโศกอยู่กับคฤหัสถ์ เมื่อ เขาสุขก็สุขด้วย เมื่อเขาทุกข์ก็ทุกข์ด้วย แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๐๒ ภิ ก ษุ เ ช่ น นั้ น จั ด ว่ า เหมื อ นท่ อ นไม้ ที่ ถู ก คนเก็ บ ไป จะบรรลุ ถึ ง มหาสมุทรคือพระนิพพานไม่ได้ เพราะมัวผูกพันอยู่กับคฤหัสถ์ที่ตนคลุกคลี ด้วย และยิ่งจะเกิดความผูกพันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในโลกีย์วิสัย จนไม่เกิดปัญญา ที่หยั่ง รู้ลัก ษณะสามอย่างของสภาวธรรมทางกายและสภาวธรรมทางจิ ต ซึ่งได้แก่ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน เมื่อไม่สามารถหยั่ง รู้ สัจ ธรรมสามอย่ า งเหล่ า นี้ ไ ด้ ก็ ย่ อ มจะยิ่ ง ผู ก พั น อยู่ กั บ โลกี ย์ วิ สั ย มากขึ้ น จนบรรลุถึงมหาสมุทรคือพระนิพพานไม่ได้ (U Chanapiwong) เช่นเดียวกับนักปฏิบัติหากยังชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ชอบพูดคุย ส่งอารมณ์กันเอง บอกกันเอง ก็ยังติดอยู่ เรียกว่า ถูกมนุษย์เก็บเอาไว้ ถูกเทวดาเก็บไป คาว่า ”ถ้าท่อนไม้ถูกอมนุษย์ ยึดเอาไว้ จะไม่บรรลุถึงมหาสมุทร” หมายถึงการบาเพ็ญกุศลกรรม เช่น ทาน ศีล หรือภาวนา โดยประสงค์จะไป เกิดในเทวโลกหรือพรหมโลก เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จัดว่าอมนุษย์ยึดไปสู่แดน ของพวกเขา ถ้าเกิดสถานการณ์นี้ขึ้น ก็จะบรรลุถึงมหาสมุทรคือพระนิพพาน ไม่ไ ด้ เพราะผู้ปรารถนาเช่น นั้นจะบรรลุผลของการเกิดในภพชั้นสูง ด้ว ย อานาจกุศลกรรมที่บาเพ็ญ ทาให้ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แต่ไม่บรรลุถึง มหาสมุทรคือพระนิพพาน หากนักปฏิบัติยังปฏิบัติเพียงเพื่อปรารถนาความสุข ปรารถนาไป เกิดในเทวโลก ก็จะไม่สามารถไปถึงฝั่งแห่งพระนิพพานได้ เหมือนพระนันทะ ปฏิบัติเพื่อหวังไปเกิดเป็นเทวดา เรียกว่า ถูกเทวดาเก็บเอาไป เน่าในไปเสียก่อน ประเด็นสุดท้ายคือท่อนไม้ได้ผุพังไป ถ้ามันผุพัง ไปเช่นนี้จะบรรลุ ถึงมหาสมุทรไม่ได้ หมายความว่าผู้ที่เสแสร้งทาเป็นผู้ทรงศีล ทั้งที่ไม่ใช่ผู้ทรง ศีล จัดว่าผุพังไปเสียก่อน และจะบรรลุถึงมหาสมุทรคือพระนิพพานไม่ได้ แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๐๓ นักปฏิบัติเองปฏิบัตินิดหน่อย และเป็นผู้ที่ชอบกล่าวอ้างสรรพคุณ ของตนให้คนอื่นได้รับรู้ ว่าตนปฏิบัติถึงญาณนั้น ญานนี้ เห็นอย่างนั้น รู้เห็น อย่างนี้ ปฏิบัติแล้วต้องบรรลุอย่างนี้ ฯลฯ เรียกว่า เน่าในไปเสียก่อน พระบรมศาสดาตรัสว่ า “ถ้าพวกเธอไม่ มีโทษแปดอย่างเหล่านี้ จะ บรรลุถึงมหาสมุทรคือพระนิพพานได้เพราะกระแสน้า [คือสัมมาทิฏฐิ] จะพัดพา พวกเธอไป” กระแสน้าในที่นี้หมายถึงอริยมรรคมีองค์แปด [ซึ่งมีสัมมาทิฏฐิเป็น ประธาน] ผู้ที่เจริญอริยมรรคนี้จะเหมือนท่อนไม้ที่ไม่ถูกกระแสน้าคือกิเลสซัด ขึ้นฝั่งนี้หรือฝั่งโน้น จะไม่จมน้าเสียก่อน จะไม่เกยบก จะไม่ถูกคนเก็บไปเสีย จะ ไม่ถูกอมนุษย์ยึดเอาไว้ จะไม่ถูกกระแสน้าวนดูด และจะไม่ผุพังไปก่อน เขาจะ บรรลุถึงมหาสมุทรคือพระนิพพานได้อย่างแน่นอน เมื่อพระพุทธองค์ประทับนั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้าคงคา ทรง แสดงพระธรรมเทศนานี้อยู่ ได้มีนายโคบาลชื่อนันทะสดับพระธรรมเทศนานี้ แล้วเกิดความซาบซึ้งยิ่ง จึงต้องการจะถูกกระแสน้าคืออริยมรรคมีองค์แปดพัด พาไปสู่มหาสมุทรคือพระนิพพาน เขาได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์และกราบทูลขอ อุปสมบทเป็นพระภิกษุว่า ”ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ต้องการจะถูก กระแสน้ าคื อ กิ เ ลสซั ด ไปสู่ ฝั่ งนี้ ห รื อฝั่ ง โน้ น หรื อ เหมื อ นท่ อนไม้ ที่ จ มน้ า ข้าพระองค์ประสงค์ถูกกระแสน้าคืออริยมรรคมีองค์แปดพัดพาไปสู่มหาสมุทร คือพระนิพพาน ข้าพระองค์ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์พึงได้รับอุปสมบท เป็นพระภิกษุ จึงจะเจริญอริยมรรคมีองค์แปดได้” พระพุทธองค์ตรัสว่า ”ดูก่อนนันทะ เธอเป็นนายโคบาล เธอมีภาระที่ ต้องนาโคกลับบ้านและมอบโคให้แก่เจ้าของก่อน ถ้ าเธอทาเช่นนั้นไม่ได้ เรา ตถาคตก็จะยังไม่อนุญาตให้อุปสมบท” นายนันทโคบาลปฏิบัติตามที่พระพุทธ องค์รับสั่ง จากนั้นเขาได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่ออุปสมบทเป็นพระภิ กษุ [หลั ง จากอุ ปสมบทแล้ ว] พระนั นทะได้ เข้ าไปสู่ ป่ าซึ่ ง เงี ยบสงั ดและเจริ ญ อริยมรรคมีองค์แปด โดยกาหนดรู้สภาวธรรมทางกายและสภาวธรรมทางจิ ต ทั้งหมดในปัจจุบันขณะ ท่ านพากเพียรเจริ ญสมณธรรมเพราะประสงค์จะถู ก แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๐๔ กระแสน้าคืออริยมรรคมีองค์แปดพัดพาไป และท่านได้บรรลุถึงมหาสมุทรคื อ พระนิพพานได้ในกาลไม่นานนัก เนื่องจากไม่มีโทษทั้งแปดอย่างเหล่านั้น และ ถูกกระแสน้าคืออริยมรรคมีองค์แปดพัดพาไปยังมหาสมุทรคือพระนิพพาน พระพุทธองค์รับสั่ง [แก่เหล่าสาวก] เสมอว่า ”พึงมีสติระลึกรู้อารมณ์ ที่เกิดในปัจจุบันขณะตามความเป็นจริงหรือพึงกาหนดรู้กายกับจิตทุกอย่างของ ตนตามความเป็นจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเธอจะถูกกระแสน้าคืออริยมรรคมี องค์แปดพัดพาไป และบรรลุถึงมหาสมุทรคือพระนิพพาน” ฉะนั้ น ผู้ ป ฏิ บั ติ ธรรมทั้ ง หลายต้ องพยายามก าหนดสติ ระลึ ก รู้ ทาสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถหยั่งรู้ลักษณะที่พิเศษ คือ ๑. หยั่งรู้ลักษณะพิเศษ (สภาวลักษณะ) ของรูปธรรมและนามธรรม ๒. หยั่งรู้ลักษณะทั่วไป (สามัญลักษณะ) ของสภาพธรรมเหล่านั้น ๓. หยั่งรู้อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ (สภาพที่ทนได้ยาก) สมุทัย (เหตุให้เกิด ทุกข์) นิโรธ (ความดับทุกข์) และมรรค (ทางแห่งความดับทุกข์) ๓๔๙ ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่านจงมีสติปัญญารู้อุปสัคที่ขัดขวางถึงทางมรรคผล พระนิ พพานและแก้ ไข เพื่ อได้ เข้ าถึ งสภาวะก้ าวหน้ าได้ โดยลาดั บ พึงเจริ ญ อริยมรรคมีองค์แปดเพื่อชาระจิตให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์ เพื่อก่อให้เกิดปัญญาหยั่ง รู้ลักษณะพิเศษและลักษณะทั่วไปของสภาวธรรมทางกาย และทางจิ ต รวมทั้ง เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจสี่จวบจนประจักษ์แจ้งพระนิพาน อันเป็นที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ โดยทั่วกันทุกท่าน ทุกรูป ทุกคน เทอญ ๓๔๙ Dhamma talk by Chanapiwong, Parable of the Log, Buddhist Forum, 1981. The Fundamental Doctrine of Buddhism. แนวทางปฏิบัติธรรม ๓๐๕ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระ อรหัตผลในปัจจุบัน ๑ เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑๓๕๐ ๗ ปียกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ...๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่าง หนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจ จุบัน ๑ หรือเมื่อยัง มีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระ อนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดื อน เขาพึง หวั งผล ๒ ประการอย่า งใดอย่า งหนึ่ ง คือ พระอรหัต ผลใน ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือ น ... ๓ เดือ น ... ๒ เดือ น ... ๑ เดือ น ... กึ่ ง เดือ น เขาพึง หวั ง ผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิ เหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ อย่ า งนี้ ต ลอด ๗ วั น เขาพึ ง หวั ง ผล ๒ ประการอย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง คื อ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑” ๓๕๑ PT ๓๕๐ ๓๕๑ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๕๖/๑๑๒, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๒/๒๐๑. ที.ม. (บาลี) ๑๐/๔๐ ๔/๒๖๘, ที.ม.(ไทย) ๑๐/๔๐๔/๓๓๘-๓๔๐. แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ๓๐๖ บรรณานุกรม ก. ภาษาไทย ๑. ข้อมูลปฐมภูมิ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย . พระไตรปิ ฎกภาษาบาลี ฉบับ มหาจุฬ า เตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๓๕. วิ.มหา. (บาลี) = วินยฺปิฏก มหาวิภงฺคปาลิ วิ.ป. (บาลี) = วินยฺปิฏก ปริวารวคฺคปาลิ ที.สี. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย สีลกฺขนฺธวคฺคปาลิ ที.ม. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวคฺคปาลิ ที.ปา. (บาลี) = สุตตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย ปาฏิกวคฺคปาลิ ม.มู. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก มชฺฌิมนิกาย มูลปณฺณาสกปาลิ ม.ม. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก มชฺฌิมนิกาย มชฺฌิมปณฺณาสกปาลิ ม.อุ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก มชฺฌิมนิกาย อุปริปณฺณาสกวคฺคปาลิ สํ.ส. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สํยุตฺตนิกาย สคาถวคฺคปาลิ สํ.ข.(บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สํยุตฺตนิกาย ขนฺธวารวคฺคปาลิ สํ.สฬา. (บาลี)= สุตฺตนฺตปิฏก สํงยุตฺนิกาย สฬายตนวคฺคปาลิ สํ.นิ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก สํยุตฺตนิกายนิทานวคฺคปาลิ สํ.ม. ไทย) = สุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค องฺ.ปญฺจก.(บาลี)= สุตฺตนฺปิฏก องฺคุตฺตรนิกาย ปญฺจกนิปาตปาลิ องฺ.สตฺตก. (บาลี)= สุตฺตนฺปิฏก องฺคุตฺตรนิกาย สตฺตกนิปาตปาลิ ขุ.ธ. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทปาลิ ขุ.เถร. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย เถรคาถาปาลิ ขุ.ชา. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ชาตกปาลิ ขุ.ม. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย มหานิเทสฺปาลิ ขุ.จู. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย จูฬนิเทสฺปาลิ แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ๓๐๗ ขุ.ป. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ปฏิสมฺภิทามคฺคปาลิ อภิ.สงฺ. (บาลี) = อภิธรรมปิฎก ธมฺมสังคณี อภิ.ก. (บาลี) = อภิธมฺมปิฏก กถาวตฺถปุ าลิ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลั ย. เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. วิ.มหา. (ไทย) = วินยฺปิฎก มหาวิภังค์ วิ.ป. (ไทย) = วินยฺปิฎก ปริวารววรรค ที.สี. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ที.ปา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ม.มู. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิปัณณาสก์ ม.อุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สํ.ส. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สัยุตตนิกาย สคาถวรรค สํ.ข. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค สํ.สฬา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตนิกาย สฬายตนวรรค สํ.นิ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกายนิทานวรรค สํ.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค องฺ.ปญฺจก. (ไทย) = สุตตันปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิปาต องฺ.สตฺตก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิปาต ขุ.ธ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท ขุ.เถร. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา ขุ.จู. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส ขุ.ป. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ๓๐๘ อภิ.สงฺ. (ไทย) = อภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีบาลี อภิ.ก (ไทย) = อภิธรรม กถาวัตถุ มหามกุฏราชวิทยาลัย.อรรถกถา บาลี / แปล ชุด ๙๑ เล่ม. ๒๕๒๕. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏ ราชวิทยาลัย, ๒๕๒๕. อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ที.สี.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี สีลกฺขนฺธวคฺคอฏฺ กถา ที.ม.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี มหาวคฺคอฏฺ กถา ม.มู.อ. (บาลี) = มชฺฌิมนิกาย ปปญฺจสูทนี มูลปณฺณาสกอฏฺ กถา สํ.สฬา.อ.(บาลี)=สํยุตฺตนิกาย สารตฺถปฺปกาสินี สฬายตนวคฺคอฏฺ กถา สํ.ม.อ. (บาลี) =สํยุตฺตนิกาย สารตฺถปฺปกาสินี มหาวคฺคอฏฺ กถา องฺ.เอกก.อ.(บาลี)=องฺคุตฺตรนิกาย มโนรถปูรณี เอกกนิบาตอฏฺ กถา องฺ.ติก.อ. (บาลี) =องฺคุตตรนิกาย ติกนิบาตอฏฺ กถา องฺ.อฏฺฐก.อ.(บาลี)=อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี อฏฺ กนิบาตอรรถกถา ที.ม.อ. (บาลี) =ทีฆนิกาย สุมงฺคลวิลาสินี มหาวคฺคอฏฺ กถา ม.มู.อ. (บาลี) =มชฺฌิมนิกาย ปปญฺจสูทนี มูลปณฺณาสกอฏฺ กถา ขุ.ขุ.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ปรมตฺถทีปนี อิติวุตฺตกอฏฺ กถา ขุ.ธ.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ธมฺมปทอฏฺ กถา ขุ.เถร.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ปรมตฺถทีปนี เถรคาถาอฏฺ กถา ขุ.ชา.อ. (บาลี) =ขุทฺทกนิกาย ชาตกอฏฺ กถา ขุ.ป.อ (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ปฏิสมฺภิทามคฺคอฏฺ อภิ.สงฺ.อ.(บาลี) = อภิธมฺมปิฏก ธมฺมสงฺคณี อฏฺ าสาลินีอฏฺ กถา อรรถกถาปกรณวิเสส สงฺคห. (บาลี) = อภิธมฺมตฺถสงฺคห แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ๓๐๙ ที.สี.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี สีลขันธวครรคอรรถกถา ที.ม.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี มหาวรรตอัฏ กถา ม.มู.อ. (ไทย) = มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี มูลปัณณาสกอัฏ กถา องฺ.เอกก.อ.(ไทย)=อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณีเอกกนิบาตอรรถกถา องฺ.ติก.อ. (ไทย) =อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตอรรถกถา องฺ.อฏฺฐก.อ.(ไทย)=อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี อัฏฐกนิบาตอรรถกถา ที.ม.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี มหาวรรคอรรถกถา ม.มู.อ. (ไทย) = มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี มูลปัณณาสก์อรรถกถา ขุ.ขุ.อ. (ไทย) =ขุททกนิกาย ปรมัตฺถทีปนี อิติวุตฺตกอรรถกถา ขุ.ธ.อ. (ไทย) =ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา ขุ.เถร.อ. (ไทย) =ขุททกนิกาย ปรมัตถทีปนี เถรอรรถกถา ขุ.ชา.อ. (ไทย) =ขุททกนิกาย ชาดกอรรถกถา ขุ.ป.อ. (ไทย) = สุตฺตันตปิฏก ขุทฺทกนิกาย ปฏิสัมภิทามครรคอรรถกถา อภิ.สงฺ.อ.(ไทย) = อภิธมฺมปิฏก ธัมมสังคณี อัฏฐาสาลินีอรรถกถา ๒. ข้อมูลทุติยภูมิ พระพุทธโฆสเถระ. คัมภีร์วิสุทธิมรรค. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภ มหาเถร) แปล และ เรี ย บเรี ย ง. พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ ๔. กรุ ง เทพฯ : บริษัท ประยูรวงศ์พริ้นติ้ง จํากัด, ๒๕๔๖. . คัมภีร์วิสุทธิมรรค. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภ มหาเถร) แปล และ เรี ยบเรีย ง. พิมพ์ ครั้ ง ที่ ๑๐. กรุ ง เทพฯ : บริษัท ธนาเพรส จํากัด, ๒๕๔๘. พระอนุรุทธะ. อภิธัมมัตถสังคหะ. พระคันธสาราภิวงค์ แปล กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจํากัด ไทยรายวัน กราฟฟิค เพลท, ๒๕๔๖. พระอุปติสสเถระ รจนา. วิมุตติมรรค. พระเทพโสภณ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) และคณะแปลจากฉบับภาษาอังกฤษของพระเอฮารา พระโสมเถระ และพระเขมิ น ทเถระ. อนุ ส รณ์ ง านบํ า เพ็ ญ กุ ศ ลออกเมรุ แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ๓๑๐ พระราชทานเพลิงศพพระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจนมหาเถระ ป.ธ.๕) พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๘. มูลนิธิปราณี สําเริงราชย์, มิลินทปัญหา. ไชยวัฒน์ กปิลกาญจน์, พิมพ์ครั้งที่ ๔. โรงพิมพ์ สุสวัสดิ์ พริ้นเตอร์, ๒๕๕๓. ๒.๑. หนังสือ ดร. ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหกัมมัฏฐานจริยะ พุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต กิตติมศักดิ์. วิปัสสนาธุระ. ชลบุรี : C ๑๐๐ DESIGN CO., ๒๕๓๖. . ภาพอุปมาสติปัฏฐาน ๔ แนวทางการเจริญสติ. พิมพ์ครั้ง ที่ ๑. กรุงเทพฯ : หอรัตนชัยการพิมพ์ย, ๒๕๔๖. ธนิต อยู่โพธิ์. วิปัสสนาสาธิต อธิบายวิธีปฏิบัติวิ ปัสสนาด้วยตนเอง ตามแผนภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. . วิปัสสนานิยม ว่าด้วยทฤษฎีและการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐาน จบสมบูรณ์. พิมพ์ครั้งที่ ๗. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐. พระกั มมัฏฐานาจริยะ อู ชะนะกาภิวังสะ. ธรรมบรรยาย เกี่ยวกับธรรม ปฏิบัติ. แปลและเรียบเรียงโดย เกษิณี เฉลิมตระกูล. พิมพ์ครั้ง ที่ ๒. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ บริษัท สหธรรมิก จํากัด, ๒๕๓๕. พระกัมมัฏฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภิวังสะ. IN THIS VERY LIFE รู้แจ้งใน ชาตินี้. ตรวจและปรับปรุงแปล โดย พระครูปลัดประจาก สิริวณฺโณ พระครูวิศาลเขมคุณ, แสงสว่างทางปฏิบัติ, บริษัทธนาเพรส แอนด์ กราฟ ฟิค จํากัด, กรุงเทพ, ๒๕๔๗. แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ๓๑๑ พระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณสิทฺธิ) . คาถาม-คาตอบ เรื่องวิปัสสนา กรรมฐาน. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย , ๒๕๔๘. . วิ ปั ส สนากรรมฐาน ภาค๑ เล่ ม ๑ ว่ า ด้ ว ยวิ ปั ส สนา กรรมฐานทั่วไป . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สหธรรมิก จํากัด , ๒๕๔๘. . วิ ปั ส สนากรรมฐาน ภาค ๑ เล่ ม ๒ ว่ า ด้ ว ยวิ ปั ส สนา กรรมฐานทั่วไป . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สหธรรมิก จํากัด , ๒๕๔๘. . วิปั ส สนากรรมฐาน ภาค ๒ ว่า ด้ วยมหาสติ ปัฏ ฐาน . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สหธรรมิก จํากัด , ๒๕๔๘. พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต). ศัพท์วิเคราะห์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง, ๒๕๕๐. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). พุทธธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : บริษัท สหธรรมิก จํากัด , ๒๕๔๕. . พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรุงเทพฯ : บริษัท ศรีธนา เพอร์เฟคท์ จํากัด, ๒๕๔๘. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวล ศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ กรุงเทพฯ : บริษัท เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์ จํากัด, ๒๕๔๘. พระมหาพุทธโฆสเถระ. วิสุทธิ ญาณ นิเทส ตาราคู่มือวิปัสสนากัมมัฏฐาน จากพระบาลีคัมภีร์วิสุทธิมัคค ปริจเทจที่ ๑๘ – ๒๓. แปลและ เรียบเรียง โดย ธนิต อยู่โพธ์. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจํากัด ศิวพร ๗๔, ๒๕๒๕. พระมหาสีสยาดอ อัครมหาบัณฑิต ธัมมาจาริยะ.วิปัสสนาชุนี หลักการ ปฏิบัติวิปัสสนา(ภาคปฏิบัติ) . แปลโดย จํารูญ ธรรมดา. กองทุน ธรรมจักร พิมพ์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ทิพย์วิสุทธิ์, ๒๕๔๐. พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ). วิสุทธิญาณกถา ว่าด้วยวิสุทธิ ๗ ปละ ญาณ ๑๖. แปลโดย ธนิต อยู่โพธิ์, ๒๕๔๔. แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ๓๑๒ .วิปัสสนานัย. แปลโดย พระคันธสาราภิ วงศ์. เล่ มที่ ๑. นครปฐม : ห้างหุ้นส่วนจํากัด ซีเอไอ เซ็นเตอร์ จํากัด, ๒๕๔๘. . มหาสติปัฏฐานสูตร ทางสู่พระนิพพาน. แปลโดย พระ คันธสาราภิวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจํากัด ไทย รายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙. . ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร, แปลโดย พระคันธสาราภิวงศ์. นครปฐม : ห้างหุ้นส่วนจํากัด ประยูรสาส์นไทย การพิมพ์, ๒๕๕๔. . หลั ก การปฏิ บั ติวิ ปั ส สนากั ม มั ฏ ฐาน. แปลโดย จํ า รู ญ ธรรมดา. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วน จํากัด ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๖. พระภาวนาพิศาลเมธี. วิปัสสนาภาวนาที่ไม่ได้ถูกเขียนไว้ในพระไตรปิฎก ประยูรสาส์นไทย: การพิมพ์ กรุงเทพฯ, ๒๕๕๘. พระสั ท ธั ม มโชติ ก ะ ธั ม มาจริ ย ะ, ปรมั ต ถโชติ ก ะ พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ ๖, กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจํากัด ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๔๔ วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี, คู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๒ ชื่อ เจตสิกสังคหวิภาค. ๒.๒. วิทยานิพนธ์ พระครูพิสิฐสรภาณ (นิรันดร์ ศิริรัตน์ ), การศึกษาวิเคราะห์หลักการ ปฏิบัติธรรมในภัทเทกรัตตสูตร, วิทยานิพนธ์ปริญ ญาพุทธศาสตร มหาบั ณ ฑิ ต . สาขาวิ ช าวิ ปั ส สนาภาวนา บั ณ ฑิ ต วิ ท ยาลั ย มหาวิ ทยาลั ยมหาจุฬ าลงกรณราชวิ ทยาลั ย วิทยาเขตพุทธโฆส, ๒๕๕๕. พระครูพิศิษฏ์ชัยโชติ (สํารวย โชติวโร), ศึกษาวิริยะในการปฏิบัติวิปัสสนา ภาวนา, วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชา วิปัสสนาภาวนา บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย วิทยาเขตพุทธโฆส, ๒๕๕๖. แนวทางการปฏิบตั ิธรรม ๓๑๓ ข. ภาษาอังกฤษ Bhaadantacariya Buddhaghosa. Visuddhimagga (The path of Purification) Translated by Bhikkhu Nanamoli, penang, Malasia. : The Penang Baddhist Associsation. 1999. Chanapiwong Sayadaw, Dhamma talk , Parable of the Log, Buddhist Forum, 1981. Venerable Sayadaw Ashin U Jatila, Dhamma Discourses, Yangon (Myanmar) : Buddha Sasana Nuggaha Organization. 2007. Mahasi Sayadaw. The Satipatthana Vipassana Meditation, Yangon (Myanmar) : Buddha Sasana Nuggaha Organization. 1992. Sayadaw U Pandita. In This Very Life (Second Edition) Kandy : Buddhist Publication Society. 1993. . The Fundamental Doctrine of Buddhism.